กราบสวัสดีทุกท่านๆนะครับ ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไป Road Trip รอบเกาะใต้ของประเทศนิวซีแลนด์มาครับ เลยจะมาแชร์เรื่องราวข้อมูลการเดินทางให้กับเพื่อนๆที่กำลังแพลนจะไป และป้ายยาคนที่พลาดหลงเข้ามาครับ บอกเลยว่าอ่านจบได้ไปเปิดเวปหาตั๋วถูกๆกันแน่นอน

จริงๆที่ผ่านมาผมไม่เคยมีความคิดที่จะมาเที่ยวประเทศนี้เลยครับ เพราะติดภาพว่าค่ากินอยู่ค่อนข้างแพง และที่เที่ยวเป็นวิวเป็นทุ่งหญ้าฝูงแกะซะส่วนใหญ่ ซึ่งผมจะชอบวิวภูเขาหิมะแถบยุโรปมากกว่าครับ

พอได้มาจริงๆบอกเลยครับว่าที่นี่สวยเกินความคาดหวังของผมมาก จริงๆก็ตื่นเต้นตั้งแต่เริ่มอ่านรีวิวตอนแพลนทริปแล้วครับ ไม่คิดเลยว่าเกาะน้อยๆเกาะนี้จะมีภูมิประเทศได้หลายหลาก และสวยงามขนาดนี้ครับ ทั้งทุ่งกว้าง ภูเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง ชายหาด และภูมิประเทศแปลกๆอีกเพียบ(เรียกไม่ถูก) โดยเฉพาะทะเลสาบประเทศนี้นี่ดีงามมากกก น้ำใส สีสวย และสะท้อนสุดๆ

โดยก่อนจะเริ่มทริปเราไปทำความรู้จักประเทศนิวซีแลนด์สักเล็กน้อยกันก่อนดีกว่าครับ

- New Zealand ชื่อภาษาเมารีคือ Aotearoa หมายถึง "ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว"

- คนที่นี่จะเรียกตัวเองว่า Kiwis (ชาวกีวี่) ชาวกีวี่จะค่อนข้างร่าเริง และช่างคุยมากกก แต่ช่วงหลังได้ยินมาว่าเริ่มเคืองๆคนจีนแล้ว ตอนผมไปเวลาบอกว่าเป็นไทยแลนด์เค้าก็จะยิ้มแย้มให้ตลอดครับ โดยในเรื่องเชื้อชาติคนที่นี่จะมี 2 เชื้อชาติคือเมารี (Maori - ชนพื้นเมือง) และอังกฤษครับ ชาวเมารีจะผิวคล้ำๆหน่อย หน้ามีความดุ เผ่านี้แต่ก่อนเป็นเผ่านักรบที่เหี้ยมโหดแห่งท้องทะเลครับ

- นิวซีแลนด์ห่างจากกรุงเทพฯ แค่ไหน ถ้าคิดเร็วๆก็ใกล้ๆกับกรุงเทพไปลอนดอนนี่แหละครับ โดยส่วนใหญ่เครื่องที่ไปนิวซีแลนด์จะต้องไปต่อเครื่องที่ออสเตรเลียก่อน ระยะเวลาบินก็จะประมาณ 8+3 ชม. ครับ

- นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่น่าสงสาร มีเพื่อนบ้านแค่สองประเทศคือ ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติกาครับ เรียกว่าอยู่ห่างจากชาวบ้านเค้ามากๆ แต่เนื่องจากด้านใต้คือขั้วโลกใต้ เพราะฉะนั้นประเทศนี้มีโอกาสเห็น “แสงออโรร่า” ครับ ใช่แล้วเราไม่ต้องไปฝ่าความหนาวแถบยุโรปก็มองเห็นได้ โดยเฉพาะแถบ Mount Cook ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดที่มืดที่สุดจุดหนึ่งของโลกครับ (ช่วงที่ผมไปฟ้าปิดเลยไม่มีโอกาสได้เห็นครับ แต่มีพี่ๆในพันทิปได้แนะนำวิธีตามล่าแสงใต้ให้เรียบร้อยแล้วในนี้ครับ https://pantip.com/topic/35881226)

- ตัวประเทศจะแยกเป็นสองเกาะครับ คือ เกาะเหนือกับเกาะใต้ เมืองหลวงคือเมือง Wellington ซึ่งจะอยู่ล่างสุดของเกาะเหนือครับ แต่เมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเริ่มทริปกันคือเมือง Auckland สำหรับเกาะเหนือ และ Chistchurch กับ Queenstown สำหรับเกาะใต้ครับ โดยสองเกาะนี้จะมีเรือเฟอรี่ให้นั่งข้ามไปข้ามมาได้ หรือจะนั่งเครื่องข้ามไปก็ได้ครับ โดยทุกเมืองที่กล่าวมาจะมีสนามบินรองรับทั้ง Domestic และ International ครับ

- ที่เที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นแนวธรรมชาตินะครับ เป็นสวรรค์ของคนชอบเดินป่า มี Track ให้เดินเกือบทุกเมือง ถ้าอินดี้หน่อยจะเดิน Track ข้ามเมืองเลยก็ยังได้ครับ รวมถึงยังมี Track สำหรับ Mountain Bike อีกหลายเส้นนะครับ ตอนผมไปก็เจอชาวไต้หวันมาขี่จักรยานรอบเกาะด้วย

- ที่เที่ยวดังๆส่วนใหญ่จะอยู่เกาะใต้นะครับ เช่น Milford Sound, Mount Cook, Lake Tekapo เกาะเหนือจะมีพวก Glow worm cave และบ้าน Hobbit ที่ดังๆ แต่จริงๆแล้ว Nation Park ของทางเหนือก็สวยไม่แพ้เกาะใต้เลยครับ

- ค่าเงินทที่นี่จะใช้ NZD ครับ โดย 1 NZD ประมาณ 25 บาทไทยตอนผมไปครับ เวลาซื้อของก็เอาราคา NZD หาร 4 คูณ 100 ก็ใช้ได้แล้ว



Travel Itinerary

ทริปของผมจะเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 6 เมษายนนะครับ ยาวไปถึงวันที่ 17 เมษารวม 12 วันซึ่งจะหมดเวลาไปกับการเดินทาง 2 วัน และเป็นวันเที่ยว 10 วันครับ

การเดินทางจะใช้การเช่ารถขับครับ โดยแวะพักตาม Hostel รายทาง ผมเลือกจะขับจากทางตะวันตกไปตะวันออกครับ (ทวนเข็มนาฬิกา) เนื่องจากเส้นทางซีกตะวันตกจะขับยากกว่าหน่อย เลยเลือกไปตอนที่ยังมีแรงครับ และเผื่อมีปัญหาติดขัดเช่นรถเสียด้วยจะได้ทำเวลาช่วงท้ายๆทริปได้

เส้นทางใน Google Map จะเป็นเส้นหลักที่ขับครับ แต่จริงๆเรามีออกนอกเส้นทางไปที่เที่ยวอื่นๆด้วย ตรงที่มาร์คดาวไว้คือที่เที่ยวที่แวะไปครับ พอดี Google Map มันเลือกปลายทางได้แค่ 10 ที่

Day 1 : Bangkok - Melbourne - Christchurch

Day 2 : Christchurch - Hokitika (แวะ Greymount และ Punakaiki)

Day 3 : Hokitika - Fox Glacier (แวะ Franz Josept Glacier)

Day 4 : Fox Glacier - Wanaka

Day 5 : Wanaka - Queenstown

Day 6 : Queenstown - Milford Sound

Day 7 : Milford Sound - Queenstown

Day 8 : Queenstown - Mt.Cook Village

Day 9 : Mt.Cook Village - Lake Tekapo

Day 10 : Lake Tekapo - Christchurch

Day 11 : Christchurch - Akaroa - Christchurch (บินตอนเย็น)

Day 12 : ฺArrived at Bangkok

ซึ่งตาม Route นี้ช่วงวันแรกๆจะขับรถเยอะหน่อย และเริ่มเบาลงเรื่อยๆครับ ความพีคของที่เที่ยวก็จะค่อยๆไล่ไปตามระดับเหมือนกันครับ



Budget

มาถึงเรื่องสำคัญระดับชาติ งบประมาณครับ ทริปนี้ผมขอซอยเป็นส่วนย่อยๆให้นะครับ เพราะแต่ละคนอาจจะใช้ไม่เท่ากัน ยิ่งนิวซีแลนด์นี่แนวการเที่ยวหลากหลายมากครับ โดยกลุ่มผมไปกัน 5 คนครับ ราคาที่พัก รถ และน้ำมันก็จะเป็นราคารวมหาร 5 ครับ

ทริปนี้ผมใช้งบประมาณไปทั้งหมดประมาณ 75,168 บาท รวมทุกอย่างแล้วนะครับ โดยแยกได้ดังนี้ครับ

1. ค่าอาหาร 9,141 บาท : โดยแพทเทิร์นการกินทริปนี้คือ มื้อเช้าทำกินเอง มื้อเที่ยงทำกินสลับกับกินร้านอาหาร (ดูเป็นวันๆไปว่าตอนเที่ยงจะผ่านเมืองมั้ย ของผมกินร้านประมาณ 5 วันครับ รวมในสนามบินด้วย) ส่วนมื้อเย็นกินร้านเป็นส่วนใหญ่ครับ

2. ค่าที่พัก 10,354 บาท : ผมจองผ่าน Booking.com โดยจะมีคืนแรกที่มาถึงตอนเที่ยงคืนแวะไปนอนบ้านของคนรู้จักที่อยู่ใน Christchurch ครับ นอกนั้นจะนอน Hostel เป็นหลัก

3. ค่าเช่ารถ 5,434 บาท : เช่าทั้งหมด 10 วัน ได้เป็น Toyota Highlander สำหรับ 5 คน รถคันใหญ่ นั่งสบาย เงียบ โดยรถเช่าจากเวป Carrental.com ครับ

4. ค่าน้ำมัน 3,207 บาท : รถที่เช่ามาใช้เบนซิน 91 ครับ ระยะทางที่ขับเกิน 2 พันกิโลเมตร มีทั้งเรียบ ทั้งชัน ทั้งโค้ง ครบรสครับ

5. ค่าเข้าที่เที่ยว 3,422 บาท : อันนี้แต่ละคนจะไม่เท่ากันนะครับ อยู่ที่ชอบเที่ยวแนวไหน อย่างผมจะเน้นธรรมชาติเป็นหลักเพราะงั้นพวกกิจกรรมเอ๊กสตรีมอย่างนั่งสปีดโบ๊ท บันจี้จั๊ม จะไม่ได้ตังจากผมไป แต่ไปเสียให้กับนั่งกระเช้าไปดูวิวที่ Queenstown Skyline กับทัวน์ฟาร์มอัลปาก้าเป็นหลักครับ

6. ค่าซิมการ์ด 1,040 บาท : เอาไว้เปิด Map เป็นหลักนะ ไม่ได้โซเชียลเลยสักนิดดดด ซิมที่นี่จะ Customize ได้นะครับ ผมเลือก vodafone แบบโทรน้อยสุด เนต 3.5 GB สัญญาณโทรศัพท์ประเทศนี้ครอบคลุมทุกที่ยกเว้นแถบ Milford Sound ครับ

7. ค่าวีซ่า 5,650 บาท : ตัวแพงเลยอันนี้ เป็นราคาขอสำหรับ 1 คนนะครับ วีซ่าทำไม่อยากครับ คล้ายๆทำเชงเก้น แต่ไม่ต้องไปยื่นด้วยตัวเองก็ได้ วิธีทำมีคนรีวิวไว้เยอะอยู่ครับ ถ้าไปหลายๆคนขอวีซ่าแบบกลุ่มจะประหยัดไปเยอะครับ แต่กรณีผมมีปัญหานิดหน่อยเลยต้องขอแยกคนเดียวครับ

8. ค่าเครื่องบิน 36,920 บาท : อันนี้ก็แพงงงงง เลือกเอาเวลาสบาย ต่อเครื่องน้อยๆ เลยโดนหนักหน่อยครับ นี่คือไฟลท์บินจากกรุงเทพไปต่อเครื่องที่ Melbourne และลงที่ Christchurch ครับ ผมเคยหาได้ประมาณ 2 หมื่นนิดๆ ของ Air Asia โดยเพิ่มจุด Transit ที่กัวลาลัมเปอร์อีกจุดนึงครับ แต่เสียงส่วนใหญ่มาทางอันแพงมากกว่าเลยต้องตามน้ำไปครับ แลกกับได้นั่งเครื่องสบายๆของการบินไทยไปแทน

**อย่าลืมว่าจะมีค่าเสียหายจากการช้อปปิ้งอีกนะครับ


รายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆที่ควรรู้ไว้ก่อนจะเริ่มทริป


1. การต่อเครื่อง และเข้าประเทศ

- ผมใช้บริการของ Thai Airway ครับ ซึ่งจะใช้สายการบินร่วมเป็น Virgin Australia Airline ซึ่งมันจะมึนๆงงๆหน่อย ตอน transit ครับ ผมไปกลับคนละสนามบินครับ

- ขาไป Transit ที่ Melbourne ครับ ตอนออกตั๋วที่ไทยจะมีแค่ Boarding Pass ของ Thai Airway ครับ พอลงเครื่องก็เดินตามป้าย International Transit ไปมันจะพาไปหาทางตันที่มีประตูอยู่บานนึงกับโทรศัพท์ ความตลกคือเราต้องยกหูโทรหาพนักงานอีกด้าน และรอให้เค้าเดินมาเปิดให้ครับ คือถ้ายืนรอนี่ไม่รู้จะมารึป่าว โชคดีเหลือบไปเห็นป้ายที่ติดอยู่ข้างโทรศัพท์ก่อน ต่อมาพนักงานก็จะพาเราเข้าไปในด้าน ผ่านการสแกนกระเป๋าและทิ้งน้ำรอบนึง ซึ่งเราจะต้องรอ Gate เปิดถึงจะไปขอ Boarding Pass ที่หน้า Gate ได้ครับ และต้องมีตั๋วหรือใบจองไปให้เค้าดูด้วยว่าไปรอบไหนกลับรอบไหน

- ขากลับ Sydney Airport อันนี้ระบบไม่มีปัญหา แต่เครื่อง Delay ครับ ดีหน่อยที่มีพนักงานมาถือป้ายรอ สุดท้ายก็ไปทันแบบฉิวเฉียด สภาพอากาศของ NZ ช่วงที่ผมกลับคือพายุเข้า Auckland มีประกาศอพยพครับ น่าจะเป็นกรณีพิเศษจริงๆครับ

- ด่านตม.ใน NZ ไม่มีอะไรมากครับ ถามไม่เยอะ ถามทั่วๆไป แต่เค้าจะเคร่งเรื่องการ Declare ของที่นำไปด้วยมากครับ

- ของเข้าประเทศที่นี่จะเข้มงวดอยู่สองอย่างคือ อาหาร และอุปกรณ์เดินป่า อาหารสดและอาหารแห้งที่ไม่มีฉลากภาษาอังกฤษติดจะไม่สามารถนำเข้าได้ ผลไม้ทั้งหลายแหล่เอาเข้าไม่ได้ เพื่อความเซฟแนะนำพวกมาม่า Rosa พร้อม และบรรดาปลากระป๋องครับ มีคนแนะนำมาว่าให้เลี่ยงพวกหมูด้วย แนะนำว่าให้รวมอาหารไว้ในกระเป๋าใบเดียว แล้วให้คนนึง Declare ไปเลยครับ เสียเวลาไม่เกิน 10 นาที

- ส่วนอุปกรณ์เดินป่า ถ้าเคยใช้งานมาแล้วให้ล้างให้สะอาดครับ อย่าให้มีดินติด ถ้าตม.สแกนกระเป๋าแล้วถามให้บอกว่าเป็นของใหม่ครับ แต่จริงๆแค่ไม่มีดินติดก็เพียงพอแล้ว

2. การขับรถ

- ที่นี่ขับรถเลนซ้ายเหมือนบ้านเรา ถนนดีมาก ป้ายเยอะและละเอียดมาก บอกทางโค้ง โค้งมากโค้งน้อย ต้องชะลอเท่าไหร่ จำกัดความเร็ว one lane bridge อะไรพวกนี้ ที่นี่เค้าเคร่งเรื่องความเร็วอยู่นะครับ ถ้า 50 ก็คือต้องวิ่ง 50 +/- ไม่เกิน 10 ครับ เราเร็วเกินดีไม่ดีคนขับรถคนอื่นจะโทรแจ้งตำรวจเอานะ

- ออกนอกเมืองหลวงถนนจะเป็นถนนเลนเดียว ถ้าเราขับช้าให้หลบซ้ายไว้ บางจุดจะมีช่องให้หลบ ไม่ก็พวก slow vehicle lane ถ้าไม่หลบคันหลังแซงไม่ได้ นานๆเข้าเค้าก็จะโทรแจ้งตำรวจอีกเช่นกันครับ นอกจากนี้เราจะเจอพวก RV/Moterhome เป็นระยะๆ พวกนี้จะขับช้าเพราะคันใหญ่ เราต้องคอยหาโอกาสแซงครับ ไม่งั้นถ้าไปเจอช่วงที่เป็นทางแคบแซงไม่ได้ก็ต้องขับช้าๆตามไปหลายโลเลย

- ถนนที่นี่ 60% เป็นทางตรงเรียบๆยาวๆ อีก 30% จะเป็นพวกโค้งเยอะๆ หักศอก ทางคดเคียว และมี 10% ที่เป็นทางชัน+โค้งแนวๆ initial D เลย ถ้าเพิ่งหัดขับรถมาลุยที่นี่แหละได้ภาคปฏิบัติไปเต็มๆ

- น้ำมันทีนี่ใช้ระบบเติมเองครับ แล้วเดินไปจ่ายในปั๊ม ใช้งานไม่ยากครับมีป้ายอธิบายชัดเจน ในเมืองจะมีให้เติมเป็นระยะๆ แต่ช่วงที่ผ่าน National Park จะไม่ค่อยมีปั๊ม ดูจากแผนที่ก็ได้ครับ ถ้าใกล้ Area ภูเขามะไหร่ให้เติมเตรียมไว้ ที่ต้องระวังสุดคือเส้น Te Anua - Milford Sound เพราะไม่มีปั๊มเลยบนเส้นทางไปกลับ 200 กม. 4 ชม.


3. อาหาร

- ร้านอาหารที่นี่ราคาค่อนข้างมาตรฐานครับ โดยอาหารในร้านจะราคาประมาณ 28-32 NZD ส่วนกาแฟจะอยู่ที่ 4-5 NZD เป็นแบบนี้ทั่วทั้งเกาะใต้ครับ ยกเว้นจะเข้าภัตตาคารหรูๆจริงๆมันถึงจะอัพราคา

- อาหารที่นี่นอกจากหมู ไก่ เนื้อ จะเพิ่มปลา หอยแมลงภู่ และแกะ มาในเมนูเกือบทุกร้าน สเต๊กที่นี่ควรค่าแก่การรับประทานอย่างสูงครับ อร่อยมากกกก มีความ juicy ชุ่มฉ่ำ กลิ่นคาวเนื้อแทบไม่มี แกะก็เช่นกันครับ คือกลิ่นแกะที่เคยได้กินตอนกินที่เมืองไทยมันเจือจางมาก รวมถึงต้นตำรับหอยแมลงภู่นิวซีแลยด์นี่คือดีงาม ถ้าฟิตหน่อยไปซื้อในห้างมาต้มเองโลละร้อยนิดๆครับ ตัวอย่างใหญ่ เนื้ออย่างหวาน กินแบบไม่จิ้มอะไรใดๆได้เลย ถ้าชอบสไตล์ไทยๆพกน้ำจิ้มซีฟู๊ดไปไม่ผิดหวังครับ สิ่งที่ควรระวังคือหอยนางรมครับ ไม่รู้ผมไปผิดฤดูหรือที่นั่นมันไม่ใช่พันธ์เดียวกะบ้านเรา มันคาวมากครับ

- ความตลกคือหมูที่นี่หายากมากกกก

- ผลไม้แปลกๆเพียบ หน้าตาก็แปลกตาม ชื่อเรียกยิ่งแปลกใหญ่ เช่น Feijoa เรียกไม่เหมือนกันสักคน

- น้ำที่นี่แพง แต่น้ำก๊อกดื่มได้ครับ เอาขวดเปล่าไปกรอกรัวๆ เบียร์เยอะมากกกก โดยเฉพาะคราฟท์เบียร์นิวซีแลนด์หลากหลายมาก เหมือนกับต้มกันทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ ตอนผมไปเจอ Dump the Trump American IPA มีความครีเอทีฟและทันต่อเหตุการณ์


4. สภาพอากาศ

- ช่วงมีนา-เมษา อากาศยังเย็นอยู่ อุณหภูมิลดลงไปได้ถึงเลขหลักเดียว อากาศเปลี่ยนแปลงไวมากเพราะเป็นเกาะครับ ผมไปนี่จะเจอเมฆครึ้มๆบ่อยมาก ขณะที่ถ้าไปตอนหน้าร้อน(ธ.ค.) จะได้อากาศอุ่นๆแดดจ้าๆ และทุ่งดอกลูปินมาแทนครับ

- เราไว้ใจฟ้าฝนและพยากรณ์อากาศใดๆไม่ได้นะครับ ไปวัดดวงเอา ถ้าอ่านต่อไปจะเห้นว่าวันแรกของผมแดดดีมาก แต่พี่ที่อยู่ที่นั่นบอกว่าฝนตกติดต่อกันทุกวันมาอาทิตย์กว่าๆแล้ว เพิ่งเปิดวันนั้นวันแรก และหลังจากนั้นมันก็ปิดอีกยาวเลยยย คือประเทศนี้มันชื้นมากครับ เค้าบอกว่าหญ้าในสนามไม่ต้องรดน้ำเลย มันดูดความชื้นในอากาศกินก็พอแล้ว


5. Track

- Track ที่นี่ดีมาก ใครชอบเดินป่าแนะนำมาที่นี่ครับ ทางดีและชัด ป่าโปร่งไม่น่าหลง สัตว์ร้ายไม่มี งูไม่มีมันว่ายน้ำมาไม่ได้ สัตว์ใหญ่ก็ไม่มีอย่างมากคือหมูป่า

- เน้นนะครับ รองเท้าเดินป่าและ Trekking pole ถ้ามีดินติดอยู่ ตอนเข้าประเทศจะโดนเอาไปรมควันฆ่าเชื้อ (เสียตังนะ) ถ้าเป็นของใหม่จะไม่มีปัญหา หรือจะมาซื้อที่นี่ก็ได้ อุปกรณ์เดินป่าราคาไม่แพง

- ตอนนี้ NZ มีปัญหาสัตว์ต่างถิ่นมารุกรานบรรดานกน้อยทั้งหลาย นั่นคือตัวพอสซั่ม ที่หน้าตาคล้ายๆชะมดเรานี่แหละ ซึ่งตาม Track จะมีการโรยยาเบื่อไว้ ต้องระวังอย่าให้เด็กๆหยิบไปเล่นนะครับ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือชะมดเมายาจะเดินมึนๆมาโดนรถชน โดยจะเจอซากมันได้ตลอดช่วง West Coast ครับ

6. ของฝาก

- ซื้อของฝากพวกขนมนมเนยแนะนำให้เข้าร้าน PacNSave ครับ อารมณ์เหมือนแมคโครบ้านเรา มีของล้านแปดราคาถูกกว่าห้างทั่วไปครับ เทียบราคาแพงเป็นถูกจะเป็น Minimart/ร้านตามปั๊ม >> Fresh Choice >> New World/Countdown >> PacNSave

- จะบอกว่า Whitaker's chocolate อร่อยมากกก โดยเฉพาะรส Hokey Pokey ที่จะมีรวงผึ้งหวานๆผสมอยู่ครับ(อีกรสนี่แนะนำคือ L&P จะเป็นกลิ่นมะนาวผสมส้มมีผงเป๊าะแปะปนอยู่เวลากินจะรู้สึกเปรี๊ยะๆในปาก)

- นอกจากนั้นยังมีพวกครีมรกแกะ Manuka Honney สำหรับบำรุงผิว รวมทั้งบรรดาอุปกรณ์ขนแกสารพัดให้เสียทรัพย์ที่นี่ครับ ส่วนสาย Trekking ประเทศนี้เป็นบ้านเกิดของ Kathmandu ครับ แบรนด์เสื้อหนาว และกระเป๋าแบคแพค ดีไซน์อย่างสวย (ตอนแรกเห็นชื่อคิดว่าอยู่เนปาล - -)

7. อื่นๆ

- เรามีความเชื่อว่าที่นี่เป็นดินแดนของแกะ แต่ช่วงหลังขนแกะราคาตก ชาวกีวี่เลยกันมาเลี้ยงวัวแทน ทำให้ตอนนี้ขับผ่านทุ่งหญ้าจะเจอทุ่งแกะสลับกับทุ่งวัว นอกจากนี้บางทีจะเจอแพะ ม้า และกวางด้วย

- อากาศที่นี่เพาะเลี้ยงอัลปาก้าได้ด้วย น่ารักมากกกก

- ถ้าอ่านรีวิว NZ เก่าๆจะมีพูดถึงนก Kea มาเกาะตามรถ ตามที่เที่ยวก็จะมีป้ายห้ามให้อาหารนก แต่ตอนผมไปนี่ไม่มีนกเหลือแล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงอพยพ หรืแไอ้ตัวพอสซั่มมันมากินไข่นกไปจนหมดก็ไม่รู้ครับ

- ในช่วงปลายๆ West Coast (Haast Pass) จะมี Sand flies เป็นแมลงตัวเล็กๆคล้ายยุง แต่จะบินเร็วและตอมๆแบบแมลงวัน มันกัดเจ็บมากกก พกยากันยุงไปทาป้องกันหน่อยก็ดีครับ


ข้อมูลเบื้องต้นประมาณนี้นะครับ เรามาเริ่มทริปกันเลยดีกว่า


Day 1 : Bangkok - Melbourne - Christchurch


เราออกเดินทางตอนห้าทุ่มนิดๆจากสนามบินสุวรรณภูมิครับ ต่อเเรกเราจะบินไปลงที่ Melbourne ก่อน ใช้เวลาอยู่บนเครื่องประมาณ 9 ชั่วโมงครับ ช่วงนี้ก็จะนอนเป็นส่วนใหญ่เพราะตรงกับเวลานอนบ้านเราพอดี ทาง Thai Airway จะมีอาหารเสิร์ฟให้เรา 2 มื้อครับ และตรงที่นั่นก็จะมีจอให้ดู มีหนังและซีรี่ย์ให้ครับใช้ดูฆ่าเวลาได้ดีมาก

ส่วนที่สองเรามา Transit อยู่ในสนามบิน Melbourne ประมาณ 6 ชั่วโมงครับ ก็เจอความมึนดังที่เล่ามาข้างต้นแหละครับ เวลาที่เหลือเราใช้ไปกับการเดินดูของในสนามบิน และหาของกินครับ

ช่วงสุดท้ายคือบินเข้า Christchurch ซึ่งช่วงนี้ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครับ จะเปลี่ยนมาเป็นบริการของ Virgin Australian Airline บนเครื่องจะมีแต่น้ำให้นะครับ ไม่มีจอทีวีและปลั๊กไฟให้ด้วย

เรามาถึง NZ ตอนเที่ยงคืนครับ ผ่านตม.ใช้เวลาไม่นาน พอออกมาจะเจอร้านรถเช่ากับร้านขายซิมโทรศัพท์ ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเปิด 24 ชม. เพราะเราอยู่แถวสนามบินจนตี 1 ทำเรื่องรับรถ ซื้อซิม และขับรถเข้าตัวเมือง Christchurch ครับ คืนแรกเราไปแวะนอนที่บ้านคนรู้จัก อย่างที่ทราบกันว่าประเทศนี้เค้าต้อนรับคนต่างชาติเข้ามาทำงานและอนุญาติให้ถือสัญชาติครับ แต่ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองที่เข้มงวด มีค่าใช้จ่ายที่สูง และมีกฎข้อบังคับจำนวนมาก แต่แลกมาด้วยสวัสดิการต่างๆจากทางรัฐบาลครับ เพราะฉะนั้นเราจะเจอคนต่างชาติทำงานอยู่ที่นี่เต็มไปหมดครับ ทั้งไทย จีน และมาเลเซีย



Day 2 : Christchurch - Hokitika

1. Sheffield Pie Shop (ซื้อข้าวเที่ยง)

2. Castle Hill

3. Auther's Pass Visitor Center

4. Otira Viaduct Lookout

5. Greymouth (ซื้อเสบียง)

6. Punakaiki Pancake Rock

7. Hokitika (เข้าที่พัก)

8. Hokitika’s Glowworm Dell


1. Sheffield Pie Shop

หลังจากพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ตอนเช้าพวกเราก็ขับรถออกจากตัวเมือง Christchurch ไปตาม Highway No.73 ช่วงนี้จะเป็นทางตรงสบายๆ สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสลับเมืองเล็กๆ จะมีจุดพักที่คนนิยมไปกันคือร้านพายชื่อดังแห่งเมือง Sheffield (The Famous Sheffield Pie Shop) ร้านนี้จะขายพายทั้งแบบคาวและหวาน มีเบเกอรี่กับกาแฟอีกนิดหน่อย ซึ่งของขึ้นชื่อที่นี่จะเป็นพวกพายเนื้อครับ ใครยังไม่มีข้าวเช้า แนะนำมากินที่นี่เลยอร่อยมาก ขนาดผมห่อไปกินเป็นข้าวเที่ยงยังอร่อยเลยกินตอนร้อนๆดีที่สุดครับ



2. Castle Hill

ออกจาก Christchurch มาประมาณชั่วโมงนึงเราก็มาถึงที่เที่ยวที่แรกนั่นคือ Castle Hill ครับ เป็นทุ่งโล่งที่มีก้อนหินระเกะระกะเต็มไปหมด มีตั้งแต่ก้อนเท่าลูกฟุตบบอลไปจนถึงตึกสองชั้นครับ โดยถ้าขี้เกียจหน่อยก็เดินไปใกล้ๆเซลฟี่กะหินสองสามก้อนก็ได้ แต่ถ้าอยากได้อรรถรส ไหนๆก็บินมาถึงนี่แล้ว แนะนำให้เดินวนดูสักนิด ไต่ขึ้นสักหน่อย รับรองได้เห็นวิวงามๆแน่นอน



3. Auther's Pass Visitor Center

ถัดมาอีกครึ่งชม.เรามาถึงจุดที่เริ่มต้นของเส้น Auther's Pass ซึ่งเส้นทางหลังจากนี้จะเริ่มเป็นทางขึ้นเขาแล้ว วิวก็จะเปลี่ยนไปจากแถบ Castle Hill ครับ โดยจุดที่ผมไปหยุดแวะคือ Auther's Pass Visitor Center ซึ่งแพลนแรกกะจะไปเดิน Track ไปน้ำตก Devil's Punch Bowl ใช้เวลาประมาณชม.นึง แต่พวกผมออกเดินทางเลทจากแพลนที่วางไว้มากก็เลยได้แค่แวะเดินเล่นรอบๆแถวนั้นแล้วเดินทางต่อ มีไฮไลท์เล็กๆตรงโบสถ์ข้างๆ Visitor Center เมื่อเข้าไปแล้สมองทะลุหน้าต่างออกมาจะเห็นน้ำตกด้วย


4. Otira Viaduct Lookout

เราขับต่อมาอีกนิด แวะดูวิวที่ Otira Viaduct Lookout แป๊ปนึง หลักๆก็ดูวิวสะพานแหละครับ ที่นี่มีป้ายห้ามในอาหารนก Kea จากรีวิวที่เคยอ่านก็เหมือนที่นี่จะมีนก แต่ตอนผมไปไม่เจอสักตัวเลยครับ เศร้าาา


5. Greymouth

หลังจากนั้นเราขับต่อยาวๆไปยังเมือง Greymouth เพื่อแวะซื้อเสบียง เมืองนี้ค่อนข้างใหญ่และมีห้าง/ร้านอาหารเยอะมากหลังจากเมืองนี้ไปเราก็จะไม่เจอเมืองใหญ่อีกไปจนถึง Wanaka เลย

พวกผมแวะซื้อของที่ New World เป็นห้างประจำของที่นั่น คล้ายๆโลตัสบ้านเรา หลักๆคือซื้อของมาทำพวกแซนวิชไว้กินระหว่างทางเนื่องจากแถบนี้ไม่มีร้านอาหารระหว่างทางสักเท่าไหร่


6. Punakaiki Pancake Rock

หลังจากช้อปปิ้งเสร็จเราขับขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Pancake Rock หรือ Punakaiki จากที่จอดรถเราจะต้องเดินเข้าไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ไฮไลท์คือหินที่มีรอยเป็นเส้นๆเหมือนแพนเค้กวางซ้อนกัน วันไหนคลื่นลมดีเราจะได้เห็นปรากฎการณ์ที่คลื่นซัดน้ำกระเด็นขึ้นมาตาม Blowholes เหมือนปลาวาฬพ่นน้ำด้วย ซึ่งจุดๆนี้เป็นจุดที่เหมาะชมพระอาทิตย์ตกเนื่องจากมันหันหน้าตกไปยังทิศตะวันตก และเราจะได้เห็นแสงสีส้มยามเย็นสาดส่องไปยังหินแพนเค้กนั่นเอง


จริงๆก่อนถึง Pancake Rock จะผ่านหาด Motukiekie ซึ่งวิวสวยไม่แพ้กัน แต่ถ้าแวะผมจะไปไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน ใครมีเวลาแนะนำให้แวะด้วยนะครับ เพราะแค่ขับผ่านดูวิวมันสวยมากๆแล้ว



7. Hokitika

หลังจากดูพระอาทิตย์ตกดินเสร็จเราก็วิ่งย้อนกลับผ่านเมือง Greymouth ไปยังเมือง Hokitika ซึ่งที่พักเราคืนนี้คือ Drifting Sands Beach Accommodation เป็น Hostel เล็กๆน่ารักอยู่ติดทะเล เจ้าของน่ารักมากก ตอนเช้าเค้าทำขนมปังโฮมเมดให้เรากินด้วย เค้าบอกเป็นสูตรจากบ้านเกิดเค้า โดยเค้าบดแป้งขนมปังเองที่บ้าน


Hokitika เป็นเมืองไซส์กลางๆ มีบาร์น้อยๆ และมีห้าง New World เล็กๆอยู่ห้างนึง มีร้านพิซซ่าที่ชื่อว่าอร่อยที่สุดใน West Coast ชื่อว่า Fat Pipi Pizza ซึ่งผมได้ลองกินเป็นมื้อเย็นเรียบร้อย อร่อยจริงสมคำร่ำลือครับ

8. Hokitika’s Glowworm Dell

ก่อนถึงตัวเมืองนิดนึงจะมี Glow Worm Dell เป็นทางเดินสั้นๆ 5 นาทีเข้าไปดูรังของหนอนเรืองแสง ซึ่งเป็นไฮไลท์เล็กๆของเมืองนี้ครับ เหมือนเข้าไปดูหิ่งห้อย แค่มันไม่ขยับและไม่กระพริบครับ ถ้าอยากได้แสงสวยๆต้องเดินปิดไฟเข้าไป เดินไม่ยากครับ แต่กล้องถ่ายไม่ติดนะครับ(จริงๆก็ติดแต่ไม่สวย 555) เก็บไว้ในความทรงจำอย่างเดียว



Day 3 : Hokitika - Fox Glacier

1. Hokitika ฺBeach

2. Franz Josef Glacier

3. Fox Glacier

4. Lake Methason



1. Hokitika ฺBeach

ที่พักเราติดกับหาด ตอนเช้าเราเลยมีเวลาแวะออกมาเดินเล่นนิดหน่อย เจ้าของที่พักบอกว่าในวันที่ฟ้าเปิดเราจะมองเห็นวิวของ Mount Tasman และ Mount Cook ได้จากริมหาดนี้เลย และทุกๆจะมีเทศกาลที่ศิลปินท้องถิ่นจะเอาเศษไม้ที่โดนคลื่นซัดมาติดตามชายหาดมาสร้างเป็นงานศิลปะไว้ริมหาดนี้อีกด้วยครับ


2. Franz Josef Glacier

จากนั้นเราขับรถตรงไปที่ Franz Josef Glacier ครับ ทางไปยังเป็นถนนเรียบชายฝั่งอยู่ ช่วงหลังเริ่มมีเข้าป่าบ้าง โค้งนิดหน่อยและจะมีพวก One lane bridge ที่เราต้องดูว่าจะต้องหยุดรอรถผ่านรึป่าว

Franz Josef Glacier จะมี Track ให้เดิน มีระยะทางตั้งแต่จุดชมวิวจุดแรกที่ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จะเห็น Glacier อยู่ไกลๆ จนถึงจุดที่ใกล้ Glacier ที่สุดระยะทางจากลานจอดรถประมาณ 3 กิโลเมตรครับ ระยะทางไปกลับประมาณ 6 กิโลครับ ซึ่งเราจะเห็นวิว glacier เป็นระยะๆ มีน้ำตก ลำธาร และ Landscape สวยๆตลอดทางครับ


อีกกิจกรรมนึงที่นิยมทำทั้งที่นี่และ Fox Glacier นั่นคือนั่งฮ.ชมธารน้ำแข็งครับ แต่ราคาก็แรงพอตัวครับ

3. Fox Glacier

ถัดจาก Franz Josef Glacier มาประมาณ 40 นาที เราก็จะมาถึง Fox Glacier ครับ โดยเส้นทางจะโค้งเยอะหน่อยช่วงนี้เลยขับได้ช้า เนื่องจากเราเสียเวลาเดินเล่นถ่ายรูปใน Franz Josef Glacier ค่อนข้างมาก บวกกับตอนนี้น้ำแข็งละลายไปเยอะมากแล้ว ทำให้เราตัดสินใจไม่เดินเข้าไปข้างในครับ


4. Lake Methason

ที่สุดท้ายของวันนี้คือ Lake Methason ครับ อยู่ห่างจากตัวเมือง Fox Glacier ไปเพียง 10 นาทีเท่านั้นครับ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเงาสะท้อนในทะเลสาบมากครับ ทางเดินวนรอบทะเลสาบใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่เย็นนี้เราแวะไปแค่จุดแรกที่ชื่อว่า Jetty View Point ใช้เวลาเดินไป 15 นาที เพื่อชมพระอาทิตย์ตกครับ เสียดายที่ฟ้าไม่เป็นใจเท่าไหร่ แต่ในวันรุ่งขึ้นจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่อีกรอบครับ


เราแวะทานข้างเย็นที่ Methason Cafe เป็นร้านที่อยู่หน้า Lake ครับ ขายอาหารมาตรฐาน NZ นั่นคือเนื้อ แกะ ปลา ราคาอาหารที่นี่ค่อนข้างนิ่งอยู่ที่ 25-30 NZD ครับ

คืนนี้เราพักกันที่ Ivory Tower Backpacker lodge เป็น Hostel เล็กๆ มีห้องทั้งแบบ Dorm และ Private Room ครับ โดย Private Room จะมีครัวและห้องน้ำในตัวครับ แต่ห้องจะเล็กหน่อยครับ และห้องน้ำห้องผมระบายน้ำแย่มาก ถ้าเปิดน้ำนานน้ำจะท่วมครับ ไม่แนะนำห้อง 5 คนนะครับ


มานิวซีแลนด์ต้องกินกีวี่เนอะะ



Day 4 : Fox Glacier - Wanaka

1. Lake Methason

2. Bruce Bay & Knights Point Lookout

3. Roaring Billy Falls

4. Thunder Creek Falls

5. Fantail Falls

6. Blue Pools Walk

7. Wanaka


1. Lake Methason

วันนี้เราออกไปที่ Methason Lake อีกรอบครับ แต่คราวนี้เราแพลนจะไปที่จุด View of View ซึ่งห่างกับทางเข้าประมาณ 40 นาทีครับ แต่พอไปถึงวิวที่จุดนี้แคบมาก ต้นไม้บังเต็มไปหมด เราก็เลยเดินไปจุดต่อไปซึ่งห่างออกไป 5 นาที นั่นคือ Reflection Island ซึ่งบอกเลยว่าจุดนี้สวยมากๆ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

นอกจากนั้นทางเดินรอบๆทะเลสาบก็สวยไม่แพ้กัน ที่นี่อากาศชื้นตามทางเดินก็จะมีพวกมอสขึ้นเป็นสีเขียวสวยงามมากครับ แถมวิวรอบนอกก็ดีงามไม่แพ้กันครับ


2. Bruce Bay & Knights Point Lookout

เสร็จจากทะเลสาบเราก็ออกจาก Fox Glacier เราจะขับรถตรงไปเมือง Wanaka ครับ โดยจะผ่านเส้น Haast Pass ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Mount Aspiring National Park จะมีจุดให้เเวะเที่ยวตลอดทางครับ แต่จะไม่มีปั๊มน้ำมันนะครับ เพราะฉะนั้นควรเติมให้เต็มก่อนออกจากเมือง Fox Glacier ครับ

ก่อนเข้า Haast Pass เราแวะจุดชมวิว Bruce Bay และ Knight Point ซึ่งเป็นจุดชมวิวริมทะเลก่อนครับ ซึ่งในแถบนี้ต้องระวัง Sandflies กันดีๆนะครับ เป็นแมลงตัวเล็กชอบบินมาตอม กัดเจ็บด้วย พกตะไคร้หอมไปฉีดช่วยได้ครับ มันจะไม่เกาะแค่ตอมๆ พยายามอย่าให้มันกัดนะครับ เพราะถ้าโดนกัดมันจะไม่ปล่อย เป่าก็ไม่ไป ถ้าไม่รอให้มันอิ่มเราก็จะต้องฆ่ามันครับ


3. Roaring Billy Falls

พอเข้าช่วง Haast Pass จะเป็นเส้นทางวิ่งในป่าครับ ที่แวะเที่ยวเยอะมาก เราเลือกแวะเที่ยวแค่บางจุดตามที่เวลาจะอำนวยโดยที่เเรกคือ Roaring Billy Fall เป็นน้ำตกเล็กๆริมลำธาร ต้องเดิน Track เข้าไปประมาณ 15 นาที ป่าแถบนี้ต้นไม้จะเป็นเฟิร์นหน้าตาแปลกๆครับ น่าเสียดายที่พวกเราไปกันผิดเวลา ตรงน้ำตกมันเลยย้อนแสงแรงมากก มองเเทบไม่เห็นครับ แต่ไฮไลท์ที่ผมชอบมากของที่นี่คือเราจะต้องเดินผ่านที่ราบที้เป็นหินแม่น้ำกว้างขวางมากครับ และน้ำใสสีสวยมากกก

ปล.ที่นี่ยังมี Sand flies ตามมารบกวนอยู่นะครับ

ที่เที่ยวแถบ Hasst Pass ดูจากในนี้ได้เลยครับ https://goo.gl/kyJmL5


4. Thunder Creek Falls

ขับรถต่อจาก Roaring Billy Fall ประมาณ 15 นาทีครับ เป็นทางเดินสั้นๆ แป๊ปเดียวก็เห็นน้ำตกสูงๆไหลลงมาครับ



5. Fantail Falls

อยู่ถัดๆมาเหมือนกัน เดินประมาณ 5 นาทีเรียบแม่น้ำครับ ที่นี่จะมีจุดเด่นอยู่ที่มีกองหินจำนวนมากที่อยู่หน้าน้ำตกครับ


6. Blue Pools Walk

Blue Pool Walk เป็น Track ที่ดังที่สุดในแถบ Haast Pass ครับ รวมถึงใช้เวลาเดินยาวที่สุดด้วย โดยรอบเล็กไปที่ตัวสระน้ำจะใช้เวลาไปกลับ 1 ชั่วโมงครับ โดยจุดที่เรียกว่า Blue Pool จะเป็นจุดที่น้ำเป็นสีฟ้าใส สามารถลงไปว่ายเล่นได้ด้วยด้วย รอบยาวของ Track นี้จะเรียกว่า Young Link Track เดินต่อจาก Blue Pool ไปยัง Young River ครับ ระยะทางรวมๆ 7 กิโลเมตรแต่เราไม่ได้เดินเส้นนี้ครับ


7. Wanaka

ผ่านช่วง Haast Pass จะเข้าสู่เส้นทางคดเคี้ยวเลียบ Lake Huwea มีวิวทะเลสาบให้ชมตลอดทาง แต่คนขัยต้องใช้สมาธิหน่อยนะครับ เพราะทางจะแคบ โค้งเยอะ และรถเยอะครับ เราไม่ได้แวะจอดดูวิวครับ เพราะมันเริ่มจะเย็นแล้ว อยากจะรีบเข้าไปเที่ยวในเมืองก่อน

เราถึงเมือง Wanaka ตอนเย็นๆ ที่แรกที่เรารีบมุ่งตรงไปเลยคือ That Wanaka Tree ต้นวิวโลวว์ที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ในทะเลสาบ Wanaka เป็นแลนด์มาร์คชื่อดังของนิวซีเเลนด์ครับ เป็นจุดที่ผมอยากไปเก็บภาพมากที่สุดรองจาก The church of good shepherd ที่ Lake Tekapo เลยแหละครับ เห็นภาพจากช่างภาพดังๆและใน Google มาเยอะมาก


That Wanaka Tree จะอยู่ชิดริมซ้ายสุดของ Lake Wanaka ครับ ระหว่างเดินไปเราก็แวะุถ่ายภาพรอบๆ Lake ไปด้วย จริงๆ Wanaka นี่สามารถเดินไปที่ทะเลสาบได้เลยนะครับ เป็นเมืองไซส์กำลังน่ารัก


That Wanaka Tree ของจริงผิดกับในจินตนาการนิดหน่อย คือมันเป็นต้นไม้ต้นน้อยๆครับ สูงกว่าตัวคนแค่หน่อยนึง ในห้วงความคิดนี่พาไปถึงไซส์ต้นตะเคียน และที่สำคัญตอนผมไปคือ น้ำมันลง! คือมันไม่ได้อยู่กลางน้ำแล้ว ได้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแบบตามท้องนาบ้านเราแทน โคตรเศร้า




เรากะไปเก็บแสงเย็นที่นั่นครับ แค่ฟ้าไม่อำนวยเท่าไหร่ เลยได้แสงง่อยๆมาแทน ขากลับมีคนมาเล่นเปียโนริมทะเลสาบด้วย บรรยากาศชิลสุดๆ เหมือนศิลปินที่นี่จะสลับสับเปลี่ยนมาแสดงที่ริมทะเลสาบเสมอๆครับ เปียโนนี่เข็นไปมาได้นะ เข็นลุยทรายได้ด้วย โคตรครีเอท


คืนนี้เราพักที่ YHA Wanaka ครับ ใน NZ จะมี Franchise ของ YHA อยู่เกือบทุกเมืองครับ ที่พักก็จะเป็นมาตรฐานเดียวกัน ใครไม่ซีเรียสเรื่องพักรวมกับคนเยอะๆ ชอบห้องครัวใหญ่ๆ คึกคักๆ แนะนำพัก YHA ได้เลยครับ Facilities ครับ Free Wifi มีเพื่อนคุย ฯลฯ และไม่ไกลจาก Hostel จะมีห้าง New World อยู่เอาไว้เติมสเบียงได้ครับ

เมือง Wanaka เป็นเมืองเล็กๆ มีร้านอาหารอยู่ไม่กี่ร้านครับ จะอยู่บนถนนเรียบทะเลสาบ โดยเย็นนี้เรามากิน Lamb chop และหอยแมลงภู่อบที่ร้าน แถวๆนั้นแหละครับ (ราคามันเท่าๆกันทุกร้านเลย) และแวะจิบเบียร์ Monteith เบียร์แบรนด์ดังของนิวซีแลนด์ ที่ตั้งชื่อตามเมือง Monteith ที่อยู่ติดกับ Wanaka นี่แหละครับ

โดยที่นี่จะมีร้านอาหารที่ชาวWanaka และนักท่องเที่ยวนิยมมานั่งสังสรรค์กันด้วยครับ ชื่อร้าน Kai Whaka Pai Wanakai Bar & Restaurant จะมีความเฮฮากันมากกว่าร้านอื่นๆนิดนึง ชิลๆข้าวสารสไตล์



Day 5 : Wanaka - Queenstown

1. The Hawea Dam

2. Lake Hawea Lookout

3. Cardrona Hotel

4. Crown Range & Arrow Junction Lookout

5. Arrow Town

6. Queenstown


วันนี้แพลนตอนแรกจะไป Trekking ที่ Roy Peak และ Rob Roy Track แต่สภาพอากาศไม่เป็นใจ ฝนปรอย ฟ้าปิด คิดว่าเดินขึ้นไปคงจะไม่เห็นวิวแน่ๆ เลยเปลี่ยนแผนไปขับรถชมวิวรอบๆ Wanaka แทนครับ จริงๆแถบนี้ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่อง Track ครับ นอกจากสองที่ๆกล่าวมานั้นยังมี Track ดังๆอีกคือ Daimond Lake, Rockey Mountain และ Iron Mount ใครมีเวลามาลองเดินเล่นที่นี่ดูนะครับ แต่อย่าได้พลาด Roy Peak ด้วยประการทั้งปวงครับ มันเป็น Track ที่สวยมากอันนึงของนิวซีแลนด์ เดี๋ยวผมขอไปขโมยภาพจาก Google ให้ทุกคนดูนะครับ ไว้มีโอกาสต้องกลับมาแก้แน่นอน


1. The Hawea Dam

Lake Huwea จะมีเขื่อนซ่อนอยู่ตรงปั๊มน้ำมันครับ ต้องเปิดประตูรั้วเข้าไป ที่นี่ไม่ได้ห้ามเข้านะครับ แค่ปิดประตูกันแกะออกเฉยๆ แต่เราจะเดินเข้าใกล้เขื่อนมากไม่ได้ เป็น Restrictions Area ครับ เดินดูน้องแกะ และน้ำสีฟ้าใสในเขื่อนเพลินๆไปครับ


2. Lake Hawea Lookout

เราขับรถย้อนขึ้นไปอีกนิดนึงตรงจุดชุมวิว Lake Hawea ครับ เนื่องจากไม่ได้แวะเลยตอนขามา เราเจอคุณลุงที่มาขี้จักรยานวนรอบเกาะใต้ที่นี่ครับ แกเริ่มขี่มาจาก Chirstchurch มาได้เกือบครึ่งทางแล้วครับ

3. Cardrona Hotel

Cardrona Hotel อยู่ระหว่าง Wanaka กับ Queenstown เป็นจุดแวะพักมหาชน ที่คนแวะกันล้นหลามมากจนได้ชื่อว่า One of New Zealand's oldest and most iconic hotels ความดีงามของที่นี่ไม่ใช่เรื่องนอนหลับพักผ่อน แต่เป็น Cafe ด้านในครับ บรรยากาศย้อนไปสมยัยุคตื่นทอง มีเตาผิงอุ่นๆให้นั่งอิง มีสวนกุหลาบอยู่ด้านหลัง มีความคลาสสิคควรค่าแก่การแวะจิบกาแฟอย่างยิ่งครับ


4. Crown Range & Arrow Junction Lookout

จาก Cardrona Hotel จะเป็นถนนเรียบเขายาวๆไป โค้งบ้างพอเป็นพิธี มีจุดชมวิวให้แวะเป็นระยะครับ แต่วันนี้ฟ้าครึ้ม อากาศเย็นลงมาก และแถบนี้ลมแรงมากด้วย ถ้าไม่มีเสื้อกันลมนี่จะอยู่ยากหน่อยครับ

จุดชมวิวที่คนนิยมจอดดูคือ Arrow Junction Lookout เพราะถัดจากจุดนี้ไปมันคือทางลงเขาในเกม initial D ชัดๆ ใครอยากฝึกดริฟแบบในหนัง Tokyo Drift มาลองที่นี่ได้เลย ถนนถัดจากจุดนี้จะเป็นทางลงเขาแบบหักไปหักมาขับไม่คล่องได้มีเบรคไหม้กันบ้างแหละครับ

5. Arrow Town

Arrow Town เป็นเมืองของคนที่ทำเหมืองทองในยุคแรกๆครับ โดยส่วนนึงจะเป็นคนจีนที่เข้ามาในยุคตื่นทอง ซึ่งเค้าก็เข้ามาพร้อมความรู้ในการทำเหมืองด้วยและมีส่วนช่วยในการพัฒนาเมืองในอดีต ที่นี่จะมี Chinese Settlement ที่เป็นพิพิธภัณฑ์เล่าถึงวิถีชีวิตของคนจีนยุคบุกเบิกใน Arrow Town ให้ชมกันครับ มีทางเดินให้เข้าไปชมบ้านสมัยก่อนด้วย ช่วงที่ผมมีใบไม้เปลี่ยนสีบ้างนิดหน่อย สวยงามมากเลยทีเดียวครับ


อีกจุดที่พลาดไม่ได้คือแถบ Lakes District Museum ไม่ห่างจาก Chinese Settlement เท่าไหร่ เดินเท้าไปได้ครับ แถบนั้นจะมีร้านขายของเต็มไปหมด แต่ก็จะเป็นของขายนักท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่ ทั้งเสื้อผ้าขนสัตว์ และขนมต่างๆ ส่วนตัวผมนั่นเข้าไปเพื่อจะไปร้านไอติม The Shed Ice Cream Parlor & Takeaways ครับ ไอติมอร่อยมากกกกกก


และแวะร้านขนมสีสันสดใส ข้างในมีขนมล้านแปด ที่เป็นไฮไลท์คือฟัดจ์ครับ มีลองชิมฟัดจ์หลายรสชาดมาก มาเมืองนี้นี่เสียตังไปกับขนมและของฝากได้ง่ายๆเลยครับ (ผมได้นกกีวีมาตัวนึง >< )

6. Queenstown

ออกจาก Arrow Town มุ่งหน้าเข้า Queenstown เข้าไป Check-in ที่พักก่อนครับ คืนนี้เราพักที่ YHA Queenstown Lakefront ครับ ที่นี่มี YHA 2 ที่ครับ ในเมืองที่นึงและติดทะเลสาบที่นึงครับ เราเลือกที่นี่เพราะวิวทะเลสาบสวยกว่าเท่านั้นเอง ห้องพักก็ตามมาตรฐาน YHA ทั่วไปครับ แต่ใหญ่กว่าที่ Wanaka มากครับ ข้อเสีบอย่างเดียวคือที่จอดรถไม่ค่อยมีครับ ต้องไปจอดตามริมถนน

เก็บของเสร็จแวะออกมาเดินเล่นแถบๆทะเลสาบนิดนึงครับ ทะเลสาบนี้ชื่อว่า Lake Wakatipu ครับ เป็นทะเลสาบที่อยู่ติดกับเมือง Queenstown เลย

เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือ เราเลยไปขึ้นกระเช้าดูวิวเมืองที่ Queenstown Skyline ครับ โดยโทรจองตั๋วรถเคเบิลคาร์รวมกับร้านอาหารด้วยบนไปเลย 85 NZD คิดแล้วคุ้มกว่าขึ้นไปเฉยๆครับ ได้อยู่ข้างบนยาวๆ มีบุฟเฟ่ให้กิน ดูวิวเมืองสวยๆครับ โดยร้านอาหารจะเปิดสองรอบคือรอบห้าโมงครึ่งก้บรอบสองทุ่มครึ่งครับ นอกจากร้านอาหารแล้ว ข้างบนยังมีกิจกรรมให้ทำอีกเยอะเช่น บันจี้จั๊ม นั่งรถไถลลงเนิน Paragliding ครับ และมีจุดให้เดินดูวิวมีหลายจุดเลยทีเดียว


ส่วนบุฟเฟ่อาหารเย็นจะเป็นบุฟเฟ่อาหารนานาชาติครับ จานหลักๆคือเนื้อแกะ ริบอายสเต๊ก หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบ แซลม่อนย่าง และซาซิมิครับ นอกจาหนั้นยังมีพวกคอกเทล สลัด ซุป และของอื่นๆตามาตรฐานบุปเฟ่ครับ ของหวานเด่นๆก็จะเป็นเมอแรงผลไม้นิวซีเเลนด์ และไอติม Hokey Pokey ที่ใส่รังผึ้งครับ และจะมีพวกพาย มูส ซ๊อคโกแลตลาวา และชาร้อนครับ

พระเอกงานนี้ยกให้ซาชิมิแซลมอนเลยครับ ถึงจะไม่ได้หั่นมาประณีตแบบร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ความสด ความแน่นนี่ กัดเข้าไปแทบจะร้องขอชีวิต นี่คือความดีงามของประเทศที่มีฟาร์มปลาแซลมอนเป็นของตัวเองครับ ส่วนหอยแมลงภู่ยังคงความสดหวานได้คงเส้นคงวาไม่ว่าจะทานที่ร้านไหนๆครับ แต่ส่วนของเนื้อแกะไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่เพราะค่อนข้างเหนียวครับ เข้าใจมันไม่ใช่ Lamb Chop ด้วยแหละครับ



Day 6 : Queenstown - Milford Sound

1. Lake Wakatipu

2. Devil's Staircase Viewpoint

3. Te Anua - Milford Sound rd.

3. Mirror Lake

5. Pop's View Lookout & Monkey Creeks

6. Homer's Tunnel

7. The Chasm

8. Milford Sound


วันนี้เราจะขับรถยาวๆไป Milford Sound ซึ่งเป็น Landmark ที่น่าจะดังที่สุดในเกาะใต้แล้วครับ ประมาณว่าถ้าเสิร์จหารูปเกาะใต้ใน Google ก็น่าจะเจอรูปที่นี่ขึ้นมาเป็นที่เเรกครับ ถ้าไปเสิร์จโดยเส้นทาง Queenstown - Milford Sound ในวันนี้จะเป็นช่วงที่ถนนคดเคี้ยวและรู้สึกว่าขับยากที่สุดในทริปครับ แถมยังใช้เวลานานที่สุดอีกด้วย คือถ้ามันไม่สวยจริงนี่ไม่น่าจะมีคนยอมเสียเวลาขับไปครับ


1. Lake Wakatipu

เริ่มแรกเราแวะดูพระอาทิตย์ขึ้นริมทะเลสาบก่อน ตรงข้ามที่พักเรานี่เองแหละครับ หลังจากวันนี้ไปเกาะใต้จะเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝนอีกครั้ง ส่วนเกาะเหนือนี่ได้ยินว่าน้ำท่วมจนถึงขั้นต้องอพยพกันเลยทีเดียว เพราะงั้นวันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแบบเต็มๆครับ


2. Devil's Staircase Viewpoint

หลังจากนั้นเราก็ขับรถออกนอกเมือง Queenstown เลียบขอบเทือกเขา The Remarkables อันโด่งดัง ในช่วงแรกจะเจอทางโค้งลัดเลาะทะเลสาบครับ บริเวณนี้เรียกว่า Devil's Staircase เพราะมันจะเป็นโค้งติดๆกันไปพอมองจากไกลๆจะเห็นถนนโค้งไล่ลงมาเป็นขั้นบันไดครับ เรียกว่าเป็นช่วงที่โค้งติดๆตลอดทาง ขับได้ช้ามากครับ ผ่านจุดนี้ได้ก็จะเป็นทางธรรมดายาวๆวิวสวยๆไปจนถึงเมือง Te Anua ครับ โดยแยกที่เลี้ยวไป Milford Sound จะมีฟาร์มอัลปาก้าเล็กๆอยู่ด้วย

3. Te Anua - Milford Sound rd.

เส้น Te Anua - Milford Sound จะไม่มีปั๊มน้ำมันนะครับ เพราะฉะนั้นต้องเติมให้เต็มที่เมือง Te Anua ระยะทางไปกลับจะใช้น้ำมันประมาณครึ่งถังครับ ระยะจริงๆแค่ 100 Km แต่ใช้เวลาขับรถเกือบ 2 ชั่วโมงครับ เพราะทางคดคเี้ยว แต่วิวช่วงใกล้ๆ Milford Sound นั้นสวยคุ้มค่ามากๆครับ ผมว่าวิวข้างทางของถนนเส้นนี้นับเป็นไฮไลท์นึงของการมาเที่ยว Milford Sound เลยครับ

และหลังจากผ่านเมือง Te Anua จะหาร้านอาหารยากครับ ถ้าไม่กินที่เมืองก็เตรียมข้าวเที่ยงไปทำกินเองโดย พอเข้าเขต National Park จะมีจุดพักเป็นระยะๆ เราพักกินข้าว และเข้าห้องน้ำครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Campsite

ปล.อย่าไปดู Map เมือง Te Anua สับสนกับ Te Anua Down นะครับ สองที่นี้ห่างกันไกลอยู่โดย Te Anua Down จะไม่มีปั๊มน้ำมันและร้านอาหารครับ

3. Mirror Lake

พอเข้าใกล้ Milford Sound ก็จะเริ่มมีที่เที่ยวให้จอดรถชม และก็พวก Track ครับ โดยเราแวะเที่ยวที่ Mirror Lake เป็นที่แรก ที่นี่เป็น landmark ที่ดังมากของ Milford Sound จากความใสและนิ่งของน้ำในทะเลสาบทำให้มันสะท้อนแสงได้เหมือนกระจกเงาครับ โดยป้ายชื่อทะเลสาบนี้จะติดกลับหัวไว้เพื่อให้มันสะท้อนในน้ำครับ วันที่ผมไปฟ้าครึ้มหน่อย เลยสะท้อนสวยสู้ที่ Lake Matheson ไม่ได้ครับ


5. Pop's View Lookout & Monkey Creeks

ขับต่อไปอีกนิดจะเจอจุดชมวิว Pop's View Lookout ครับ จะได้วิวภูเขาแถบนี้ 180 องศาเลย และที่อยู่ติดๆกันคือ Monkey Creeks ครับ เป็นลำธารเล็กๆที่มีแบคกราวน์เป็นภูเขาสลับซับซ้อน ผมมาเจอฝนลงเม็ดตรงนี้พอดี ถ้าวันฟ้าใสๆน่าจะสวยงามมากครับ


6. Homer's Tunnel

จากนั้นเราขับมาเจอกำแพงหินอันใหญ่ครับ โดยจะมีอุโมงที่ยาวมากชื่อว่า Homer's Tunnel ทะลุผ่านเข้าไป รถต้องผลัดกันเข้าอุโมงนะครับเพราะมีเลนเดียว เรารอประมาณ 10 นาทีครับเลยเดินเล่นรอบๆไปก่อน

7. The Chasm

และที่สุดท้ายที่แวะก่อนจะเข้า Milford Sound ครับ ชื่อว่า The Chasm เป็นน้ำตกเล็กๆ น้ำแรงมาก ต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 20 นาทีครับ ตรงหน้าทางเข้ามีรถมาจอดขายกาแฟด้วย รับกับอากาศหนาวๆชื้นๆที่นี่มากเลยครับ

จริงๆยังมีที่ให้แวะอีกหลายที่จะนะครับ แต่ผมเวลาไม่เยอะเลยข้ามไปบ้างอันที่ดูไม่น่าสนใจ และบางที่เราจะเก็บไว้ไปในวันกลับครับ

8. Milford Sound

คืนนี้เราพักกันที่ Milford Sound Lodge ครับ เป็นที่พักของเอกชนที่อยู่ใกล้ Milford Sound ที่สุดครับ ห่างไปประมาณ 10 นาที จองออนไลน์จากในเวปได้แต่เต็มเร็วอยู่ครับ โดยที่พักจะมีทั้งเป็นบ้าน Dorm และที่จอด Camper van มี Share Facilities ให้พวกครัว ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรวม แต่ติดที่แถบนี้จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ครับ นอกจากที่นี่แล้วผมเห็นมีที่พักอีกที่ตรงหน้า Milford Sound ชื่อ Mitre Peak Lodge ครับ

ส่วนที่ผมชอบของที่นี่คือมันร่มรื่นดีครับ ตองที่จองรถ Campervan จะถูกแบ่งเป็นช่องๆด้วยต้นไม้ครับ วิวรอบๆที่พักจะเป็นหุบเขามีหมอกไหลผ่านตลอด และจะได้ยินเสียงน้ำไหล มองไปไกลๆก็จะเห็นน้ำตกเส้นเล็กๆเต็มไปหมดครับ แถมถ้าโชคดีเราจะเจอเจ้า Weka bird มาเดินเล่นแถวหน้าห้องเราด้วยครับ

เก็บของเข้าที่พักเสร็จเราก็ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ Milford Sound ครับ วันนั้นฟ้าปิดสนิทแทบจะไม่มีแสงเย็นให้เห็น แถมน้ำลงด้วยชายหาดยาวมากกกก ลงไปเดินไปเลย ไม่มีน้ำใสๆแบบในรูปโปสการ์ดเลย แถมฝนก็ลงเม็ดตลอดเย็น ถ้าไม่พกเสื้อกันลมกันฝนไปคงไม่ได้เดินเที่ยวแน่ครับ ทริปนี้นี่ผมเอากล้อง Fuji X-E2 ไปถ่ายตากฝนประหนึ่งว่ามันมี Weather Sealed


Day 7 : Milford Sound - Queenstown

1. Milford Sound

2. Lake Marian Fall

3. Te Anua

4. Queenstown Botanical Garden


1. Milford Sound

ตอนเช้าเราแวะไปแก้มือที่ Milford Sound อีกรอบครับ คราวนี้ฟ้าเปิดพอได้แสงนิดหน่อย แต่น้ำขึ้นเร็วมาก ตั้งขาตั้งกล้องได้แป๊ปเดียวต้องขยับหนีน้ำแล้ว มีแก๊งช่างภาพชาวออสซี่ใส่บู๊ทสูงถึงเข่ามายืนแช่เลย ตอนเช้าๆที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ครับ ตอนผมไปมีแค่กลุ่มผม แก๊งชาวออสซี่ 3 คน และคนมาเล 1 คน ยึดพื้นที่ทั้งอ่าวครับ

สำหรับคนไม่เน้นถ่ายรูป ที่นี่มี Track ให้เดินดูนกด้วยนะครับ เดินประมาณ 20 นาที จุดเริ่มอยู่ทางซ้ายมือของลานจอดรถ เดินเรียบชายฝั่งไปเรื่อยๆครับ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพวกล่องเรือดูวิว ดูแมวน้ำ และนกเพนกวิ้นครับ

2. Lake Marian Fall

ดูวิวเสร็จเราก็เดินทางออกจาก Milford Sound ครับ โดยวันนี้เราจะเดินทางกลับ Queenstown กันโดยย้อนเส้นทางเดิม แรกสุดเราแวะมาเที่ยวจุดที่ข้ามไปเมื่อวานก่อน นั่นคือ Lake Marian Fall ครับ จริงๆแล้วปลายทางของ Track นี้คือ Lake Marian ซึ่งต้องใช้เวลาเดินไปกลับถึง 3 ชั่วโมงครับ แต่เราเลือกเดินถึงแค่ Lake Marian Fall เป็นทางสั้นๆใช้เวลา 20 นาทีครับ

จากนั้นแวะชมวิวที่ Lake Guun นิดหน่อย ก่อนยิงยาวเข้าไปกินข้าวเที่ยงที่เมือง Te Anua ครับ


3. Te Anua

Te Anua เป็นเมืองเล็กๆมีร้านอาหารและ Grocery store สำหรับรองรับคนที่มาเที่ยวแถบซีกใต้ของเกาะใต้ครับ ตอนแรกเราแพลนจะไปกินข้าวเที่ยงร้าน Mainly Seafood ซึ่งเป็นร้านอาหารทะเลมีชื่อในเมืองนี้ โดยเมนูหลักคือ Fish and chip กับ NZ Mussels ครับ แต่ร้านดันปิดพอดี เลยเปลี่ยนไปกินร้าน Fat Duck ที่อยู่ใกล้ๆกันเเทน ซึ่งเมนูอาหารที่นี่เหมือนๆกันหมดครับ แกะ สเต๊ก ปลา หอย ในส่วนของ Fish and chip เนื้อปลาที่ใช้จะเปลี่ยนไปในแต่ละวันครับ วันที่ผมไปปลาที่ใช้เป็น Blue Cod ครับ เนื้อแน่นอร่อยเลยทีเดียว และเราสั่งหอยแมลงภู่มากินคู่กันด้วยครับ

สรุปคือแวะมากินข้าวอย่างเดียวจริงๆ 555



4. Queenstown Botanical Garden

จากนั้นเราขับรถยาวๆกลับควีนทาวน์ครับ ขับยาวแบบยาวมากกกกกก คืนนี้เราพักที่เดิมคือ YHA Queenstown Lakefront ครับ มาถึงตอนเย็นๆ

เราแวะไปเดินดูพระอาทิตย์ตกที่ Queenstown Botanical Garden อยู่แป๊ปนึงครับ ซึ่งฟ้าฝนก็ยังไม่เป็นใจเช่นเดิมครับ


มื้อเย็นเราไปลอง Fergburger ร้านเบอเกอร์ชื่อดังของ Queenstown ครับ ดังแบบใครมาเมืองนี้ก็เห็นมากินร้านนี้ทุกคน ที่นี่จะเป็นแบบ Take Away เป็นหลักครับ เราต้องต่อคิวสั่งและรอรับที่หน้าร้าน แต่จริงๆก็มีที่ให้นั่งกินนิดหน่อยครับ

ผมสั่ง Double Fergburger ชิ้นใหญ่มาก แทบจะกัดไม่ไหว แต่เมนูใหญ่สุดของร้านนี้คือ Big Al ครับ ไม่ต้องพยายามกัดเลยต้องหั่นอย่างเดียว ความเด่นของเบอเกอร์ที่นี่คือกลิ่นหอมของเนื้อย่างที่ขนาดกลืนลงไปแล้วยังติดจมูกอยู่ และความฉ่ำของเนื้อครับ ควรค่าแก่การต่อคิวรอจริงๆ


และเราไปแวะซื้อของกินเพิ่มที่ร้าน FreshChoice เมืองนี้ Countdown กับ New World จะอยู่ไกลจากใจกลางเมือง เราเลยเลือกมาร้านนี้ครับ ของจะแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อยแต่ก็มีของให้เลือกเยอะครับ โดยเฉพาะผลไม้กับคราฟเบียร์ครับ

ผลไม้ที่นี่หน้าตาประหลาด และหลากหลายมากๆครับ พอๆกับประเทศเราเลย คราฟเบียร์ก็เช่นกันครับ มีหลายชนิดมาก เรียกว่าต้มเบียร์กันตาม Event ต่างๆจริงๆครับ แถมลายกระป๋องนี่ครีเอทีฟมาก





Day 8 : Queenstown - Mt.Cook Village

1. Kawarau Gorge Suspension Bridge

2. Roaring Meg Lookout

3. Mr.Jone's Fruit Stalls

4. Lindis Pass

5. High Country Salmon

6. Lake Pukaki

7. Mount Cook - Hooker Valley Track Part I

วันนี้เราจะตีรถกลับขึ้นไปทางเหนือครับ ปลายทางคือ Mount Cook Village โดยจะแวะเที่ยวตามทางเช่นเคย เส้นทางที่ผมเลือกไปคือช่วงกลางๆเกาะครับ จะเป็นเส้นที่วิ่งจาก Queenstown - Mt.Cook - Lake Tekapo - Christchurch ถนนช่วงนี้จะขับง่ายและเป็นเส้นตรงซะเยอะครับ จริงๆแล้วจะมีอีกเส้นที่จะเรียบชายฝั่งซีกตะวันออกผ่านเมือง Dunedin ครับ ที่เที่ยวสวยๆเยอะเหมือนกัน และจะมีะวกจุดดูนก แมวน้ำ เพนกวินครับ


1. Kawarau Gorge Suspension Bridge

ออกจาก Queenstown ที่แรกสุดที่เราแวะคือ Kawarau Gorge Suspension Bridge เป็นสะพานที่เค้ามากระโดด Bungy jump กันครับ โดยที่นี่เป็นหนึ่งใน Bungy Jump ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

เราไม่ได้ไปโดดนะครับ ข้างในร้านจะมีที่ให้ยืนดูครับ และมีของที่ระลึกแปลกๆขายเยอะมากครับ


2. Roaring Meg Lookout

Roaring Meg Lookout เป็นจุดชมวิวเล็กๆตรงหัวโค้งแม่น้ำครับ เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ชื่อ Roaring Meg ก็มี่ที่มาจากเสียงคำรามของกระแสน้ำบริเวณนี้ครับ


3. Mr.Jone's Fruit Stalls

Mr.Jone's Fruit Stalls ร้านผลไม้ยอดนิยม ใครผ่านทางนี้ต้องแวะทุกคนครับ ในร้านจะเป็นแผงขายผลไม้หลากหลายชนิดครับ นอกจากนั้นยังมีแยม น้ำผึ้ง และขนมอีกหลายอย่าง ที่ห้ามพลาดเลยคือไอศครีมผลไม้ครับ เค้าจะเอาเบอรี่สดๆบดลงไปในไอติม อร่อยมากกกกก ความสด ความนัวของเบอรี่ผสมกับรสหวานๆ ของไอศครีม

สำหรับสาวๆ ที่นี่มี Manuka Honey คุณภาพดี UMF20++ ที่หายากมากตามห้างร้านทั่วไปครับ แถมราคาถูกกว่าตามร้านขายน้ำผึ้งที่เราผ่านๆมาด้วย (ถ้าในห้างจะหา UMFเกิน15++ ยากครับ)

ด้านหลังร้านมีสวนกุหลาบด้วยนะครับ อย่าลืมแวะไปเดินเล่นกัน

4. Lindis Pass

จากจุดนี้ตรงต่อไปเมือง Twizel จะผ่านช่วง Lindis Pass ที่วิวสวยแปลกตา เป็นเนินเขาที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย แต่จะเป็นทุ่งหญ้าเป็นริ้วๆสีน้ำตาล


5. High Country Salmon

ขับต่อมาถึงเมือง Twizel เราแวะกินข้าวเที่ยงที่ High Country Salmon เป็นฟาร์มแซลมอนน้ำจืดที่เปิดเป็นร้านอาหารและที่เที่ยวครับ เราสามารถสั่งเมนูแซลมอนแบบต่างๆมารับประทาน และมีเนื้อปลาแร่แช่แข็งขายครับ เราซื้อซาชิมิมาทานเป็นอาหารกลางวัน และซื้อเนื้อปลาสดกลับไปเป็นอาหารเย็นด้วย ด้านหลังร้านจะมีบ่อปลาให้เราให้อาหารแซลมอนได้ด้วยครับ

ปลาแซลมอนน้ำจืด เนื้อจะรสชาดไม่เหมือนแซลมอนน้ำเค็มครับ คือเนื้อมันจะไม่มีรส แต่จะมีกลื่นหอมๆของแซลมอน และเนื้อแน่นมากกกก กัดทีนี่คือมีความ Juicy เต็มปากเต็มคำ


6. Lake Pukaki

เราชับเลยทางขึ้น Mount Cook ไปก่อนครับ ไปแวะดูวิวที่ Pukaki lake ก่อน ที่จุดชมวิวมีร้านขายแซลมอนอยู่ด้วยครับ เป็นร้านเล็กๆ ราคาถูกกว่าที่ฟาร์มแต่ไม่รู้จะอร่อยสดเท่ามั้ย ข้างๆภูเขาจะมีรูปปั้นของตัว Himalayan Tahr คล้ายๆแพะภูเขาครับ

7. Mount Cook - Hooker Valley Track Part I

ดูวิวเสร็จเราก็ขับเข้า Mount Cook ครับ จะเป็นทางราบยาวๆเข้าไปในหุบเขา มีวิวเทือกเขาให้เห็นตลอดทาง มีจุดให้พักดูวิวเป็นระยะๆ ตลอดทางแบคกราวน์จะเป็นภูเขาหิมะลูกใหญ่ตลอดครับ ช่วงนี้หันไปมองทางไหนก็สวยไปหมด เสียดายตอนเราไปเมฆกำลังก่อตัว ภูเขาเลยมาๆหายๆ


ที่พักแถบ Mount Cook มีหลายจุดครับ จุดที่ใกล้เทือกเขาที่สุดคือบริเวณ Mount Cook Village บางทีจะเรียกจุดนี้ว่า Aoraki / Mount Cook ครับ

โดยคืนนี้เราพักที่ YHA Mount Cook ครับ จะอยู่ที่แรกสุดในหมู่บ้านเลย พอเราเข้าที่พัก Reception ก็บอกว่าเดียวอากาศจะแย่ลงเรื่อยๆ ให้รีบออกไปเที่ยวก่อน ซึ่งตอนนั้นก็สภาพครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้ว เราเลยรีบเก็บของและออกไปเดิน Track ครับ

เราขับออกจากบริเวณ Village ไปนิดนึงก็จะเจอกับ Hooker Valleys Car park ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Track สองเส้นคือ Kea Point กับ Hooker Valley Track ซึ่งอันหลังเป็น Track ที่คนนิยมมากของที่นี่ครับ ระยะทางไปกลับรวม 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมงครับ

วันนี้เรากะว่าเจอฝนแน่ๆ และมันเริ่มเย็นแล้วก็เลยจะเดินใน Hooker Valley Track แค่จุดชมวิวจุดแรก ใช้เวลาเดินไปประมาณ 20 นาทีครับ จุดชมวิวเราจะเห็นธารน้ำแข็งที่ไหลลงมาเป็นทะเลสาบ Mueller Lake จุดนี้ไม่ต้องอธิบายมากมาย ให้เดินสองชม.ก็ยังคุ้มครับ นี่ขนาดฟ้าฝนไม่เป็นใจยังสวยขนาดนี้

หลังจากจุดนี้ผมเดินต่อไปอีกนิดหน่อยครับ วิวมันสวยอยากเดินต่อ 555 ข้ามสะพานแขวนอันแรกไปนิดนึงจะเจอจุดชมวิวอีกจุดครับ ระยะทางคร่าวๆประมาณ 2 Km จากลานจอดรถ จากตรงนี้มันเริ่มเย็นแล้วเราเลยเดินทางกลับ โดยแพลนว่าถ้าวันพรุ่งนี้อากาศดีจะกลับมาเก็บให้ครบทั้ง Track ครับ ถึงจะใส่เสื้อ Hard shell ไว้ แต่พวกหมวก กระเป๋ากล้องก็เปียกไปหมดแล้ว

เดินเสร็จเราก็กลับที่พักมาทำอาหารเย็นทานกันครับ ใช้แซลมอนที่ซื้อมาเมื่อเที่ยงนี่แหละ อร่อยสุดๆ ปิดท้ายด้วยผล Kiwano ครับ รู้สึกคล้ายๆกินแตงกวา 555



Day 9 : Mt.Cook Village - Lake Tekapo

1. Mount Cook - Hooker Valley Track Part II

2. Lake Tekapo

วันนี้เราเน้นเดิน Track ตรง Mount Cook ครับ เสร็จแล้วก็ตรงไป Lake Tekapo เลย


1. Mount Cook - Hooker Valley Track Part II

โชคดีตอนเช้าฟ้าเปิดครับ(ถึงจะนิดเดียวก็เถอะ) เราก็เลยเข้าไปลุยใน Hooker Valley Track กัน โดยคราวนี้จะไปให้ถึงปลายทางเลยคือ Hooker Lake ครับ

Hooker Lake ครับ เป็นทะเลสาบที่เกิดจาก Glacier ละลายลงมา ถ้าเดินอย่างเดียวใช้เวลาไปกลับ 3 ชั่วโมงครับ แต่เราเดินไปหยุดถ่ายรูปไปใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง โดยใช้เวลาเดินไปและเที่ยวเล่นใน Lake 2 ชม.ครึ่ง และเวลาเดินกลับ 1 ชม.ครึ่งครับ (ขากลับไม่ได้หยุดถ่ายรูปแล้ว)

ตรงทะเลสาบจะมีโต๊ะให้นั่งกินข้าวครับ ถ้ามาช่วงที่หนาวๆหน่อยมันก็จะมี Glacier เยอะกว่านี้ และมีก้อนน้ำแข็งลอยในทะเลสาบเต็มไปหมด แบคกราวน์ของทะเลสาบจะเป็นยอดเขาสูงมีหิมะปกคลุมครับ ผมเพิ่งรู้ตอนกลับมาไทยแล้วเห็นเพื่อนไปนี่แหละ ตอนผมไปมันเป็นหมอกทึไปหมดเลย

จริงๆ Mount Cook ยังมี Track อีกหลายอันครับ มีตั้งแต่แบบทางสั้นๆที่รองรับ Wheel Chair ไปจนถึงทางถึกๆที่ใช้เวลาเป็นวันครับ ที่นิยมกันอันอื่นๆๆคือ Kea Point, Governors Bush Walk, Tasman Glacier >> http://www.doc.govt.nz/aoraki-walking-tracks


2. Lake Tekapo

กลับออกมาจาก Track เราก็ขับรถออกจาก Mount Cook เพื่อไปนอนที่ Lake Tekapo ครับ เย็นนี้พักผ่อนจากการเดิน Track โดยการไปเดินเล่นหน้า Church of the Good Shepherd แทนครับ

พอไปถึงน้ำตาจะไกลทัวน์ลงไม่หยุดหย่อนเลย มาครบทั้งไทยจีนแขก ถ่ายรูปโบสถ์เดี่ยวๆไม่ได้เลย


ตอนเย็นแวะไปกินข้าวที่ร้าน Mackenzies Cafe Bar & Grill ตรงถนนหน้าทะเลสาบครับ ร้านนี้จะดังอาหารพวก Stone Grill หรือเนื้อย่างกะทะร้อนครับ มีเบียร์สดประจำชาติอย่าง Monteith มากินคู่กัน บรรยากาศร้านดีมากครับ ราคาก็มาตรฐานร้านอาหาร NZ


ที่พักคืนนี้ชื่อ Lake Tekapo Motels & Holiday Park ครับ ลักษณะจะพักเป็นเคบินๆอยู่ติดๆกัน มีห้องน้ำกะห้องครัวส่วนกลางครับ ข้อเสียที่นี่คือ Facility ค่อนข้างจำกัดเทียบกับจำนวนคนที่มาพัก ห้องน้ำใช้น้ำร้อนได้ทีละ 6 นาที สัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึง และไม่มี Wi-fi Free ให้แบบที่พัก YHA ครับ ตอนผมจองที่พักประมาณ 4 เดือนล่วงหน้า เหลือที่นี่ว่างอยู่ที่เดียวใน Lake Tekapo ครับ พอดีไปตรงช่วงวันหยุดอีสเตอร์ด้วย คนเลยแน่นเป็นพิเศษ

ปิดท้ายวันด้วย Feijoa ครับ รสชาดคล้ายๆฝรั่งผสมกับสัปปะรดครับ เพื่อนๆคลายคนที่เคยมาอยู่ New Zealand ชอบมากๆครับ มาขอให้หิ้วกลับไปฝากเต็มเลย


Day 10 : Lake Tekapo - Christchurch

1. The church of good shepherd

2. Mt. John Observatory

3. Christchurch


วันนี้แพลนเราจะชิลๆครับ จะขับรถยาวๆกลับไปพักที่ Christchurch กัน โดยจริงๆมีนัดกินข้าวเย็นกับคนรู้จักที่อยู่ที่ Christchurch ด้วยครับ เลยรีบไปเมือง รวมถึงเราจะจัดการซื้อของฝาก และเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยในวันนี้ด้วย เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเราจะออกไปเที่ยวนอกเมือง และกลับมาที่สนามบินตอนกลางคืนครับ


1. The church of good shepherd

เราตื่นแต่เช้าไปซ่อมมุมตรงหน้า The church of the good Shepherd อีกครั้งครับ คราวนี้โชคดียังไม่มีคนมาเท่าไหร่ครับ ช่วง 6.30-7.30 ยังพอได้แสงเช้าและคนยังไม่มากันครับ เสียดายเมฆเยอะไปนิด แต่ก็ทำให้ได้แสงออกมาเป็นสีชมพูจางๆครับ


พอสายหน่อยนี่นักท่องเที่ยวชาวจีนมาตั้งขาถ่ายรูปกันเต็มไปหมด มีตะโกนไล่คนด้วย น่ากลัวมาก


ถ่ายเสร็จเราแวะทานข้าวเช้าที่ร้าน Dough boys bakery and cafe ครับ ที่นี่เปิดเช้า และสามารถ Take Away ได้มีอาหารให้เลือกมากมาย ทั้งพวกพาย แซนวิท ลาซานญ่า และของหวานต่างๆ ครับ Quiche ที่นี่อร่อยมาก เราซื้อเผื่อมื้อเที่ยงไปด้วยเลย เพราะไม่แน่ใจว่าขับออกจากที่นี่ไป จะไปเที่ยงตรงแถวๆเมืองรึป่าว

2. Mt. John Observatory

พอกินเสร็จเราขึ้นไปดูวิวบน Mount John ที่อยู่ข้างๆ Lake Tekapo ครับ ทางขึ้นจะเป็นทางเล็กๆ แยกอยู่ก่อนถึงทะเลสาบนิดนึงครับ ที่นี่เป็นพื้นที่ของ University of Canterbury เป็นสถานีดูดาว เห็นว่ามีทัวน์พาไปดูทางช้างเผือกด้วยนะครับ ตรงทางขึ้นจะมีป้อมเก็บค่าขึ้น 8 NZD ต่อรถ 1 คันนะครับ ทางขึ้นแคบและชัน เวลาสวนกันนี่ลำบากมาก แต่รถไม่เยอะครับ

บนนั้นเราจะเห็นวิวในแถบ Lake Tekapo แบบ 360 องศาครับ หันไปแต่ละด้านก็ได้ภูมิประเทศที่แตกต่างกัน วิวสวยมาก แต่ลมก็แรงมากเช่นกัน ควรพกเสื้อหนาวขึ้นไปนะครับ นอกจากวิวแล้วจะมีเส้นทางให้เดินวนรอบทะเลสาบ และเส้นทางขี่จักรยานด้วยนะครับ



เดินต่อไปอีกนิดนึงเราจะเจอกับ Astro Cafe เป็นคาเฟ่ชื่อดังที่จะมีขนม และกาแฟขายให้คนที่ขึ้นมาชมวิวบนนี้ครับ จริงๆเราพลาดกินกาแฟไปแล้ว เพราะเข้าใจว่าคาเฟ่เปิดสายๆ เลยทานแค่ขนมอย่างเดียว ที่สำคัญคือวิวหน้าร้านดีงามมากกกก มองเห็น The church of good shepherd ไกลลิบๆ ใครขึ้นไปอย่าลืมแวะไปลองกันนะครับ


3. Christchurch

จากนั้นเราก็ขับรถยาวๆกลับ Christchurch ครับ แวะกินข้างที่สวนสารธารณะในเมือง Ashburton ครับ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษแค่เราไปถึงเมืองนั้นตอนเที่ยงพอดีเลยหาที่จอดรถนั่งกินข้าว แต่สวนก็ร่มรื่นดีครับ มีกรงนกให้เด็กๆเดินเล่น และเจอเจ้าของฟาร์มหมา เอาลูกเยอรมันแชพเพิร์ดมาฝึกด้วย


เราถึง Christchurch ประมาณบ่ายสามครับ แวะไป Check in ที่ YMCA Christchurch ก่อน ที่นี่เป็น Hostel แนวเดียวกับ YHA ครับ แต่จะเป็นตึกสูงแบบคอนโด มีทั้งห้อง 2 และ 3 คน Share Facility ทั้งห้องน้ำและครัวครับ โดยห้องนอนค่อนข้างใหญ่เทียบกับที่อื่นๆที่เราพักมา และสะอาดครับ นอนสบาย เสียตรงห้องครัวเล็กไปหน่อย และเวลาคนอยู่ในห้องส่วนกลางเยอะๆเสียงจะดังทะลุผนังเข้ามาครับ เพราะชั้นนึงมันไม่กว้างมาก

จากนั้นเราไปเดินเล่นในเมือง Christchurch กัน โดยเริ่มจาก Hagley Park ที่อยู่ตรงข้ามที่พักครับ เป็นสวนสาธารณะประจำเมือง ต้นไม้เยอะ และใหญ่มาก ข้างในมีสวนพฤกศาสตร์ นิทรรศการ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกครับ



ออกจากสวยมาเดินต่อไปตรงหน้า Canterbury Museum และเดินตรงไปที่ Cathedral Square ครับ ระหว่างทางก็จะมีตึกสวยๆ และบรรดา Street Art ต่างๆ โดย Cathedral Square จะอยู่หน้า Christchurch Cathedral ที่ตอนนี้ถล่มลงมาเพราะแผ่นดินไหวครับ โดยชาวเมืองกำลัง Debate กันอยู่ว่าจะสร้างใหม่ไปเลย หรือจะบูรณะของเดิมดี เพราะค่าใช้จ่ายสูงมากครับ เมือง Christchurch เองก็ยังต้องซ่อมแซมอีกหลายจุด ร้านค้าส่วนใหญ่ก็ย้ายไปอยู่ตรงถนนรอบนอกเมืองหมดแล้วครับ

แต่ตรง Square นี้บรรยากาศดีมากครับ มีคนมานั่งเล่นหมากรุก มีไอติมขาย และมีร้านค้ารถเข็นเต็มไปหมด

จากนั้นเดินย้อนกลับมาเลี้ยวผ่าน Bridge of Remembrance เป็นซุ้มประตูหินแกะสลักสวยงาม เดินต่อไปยัง Re:Start Mall เป็นตลาด Container ชั่วคราวระหว่างรอบรรดาห้างร้านซ่อมแซมจากแผ่นดินไหว โดยจะมีทั้งส่วนที่เป็น Food Truck ให้นั่งกินและส่วนที่เป็น Shopping Mall อารมณ์เหมือนเดิน Art Box บ้านเราผสมกับยูเนี่ยนมอลล์ ครับ

จากนั้นก็วกกลับสู่งที่พักครับ เส้นทางคร่าวๆประมาณนี้ คือเดินกันมั่วๆวนไปวนมามากครับ


ตอนหัวค่ำเราแวะไปซื้อของฝากที่ร้าน PacNSave ครับ อย่างที่กล่าวมาตอนต้น ร้านนี้แทบจะขายของถูกสุดใน Christchurch แล้ว อารมณ์ร้านแมโครบ้านเราครับ มีของล้านแปด สากกะเบือยันเรือรบ ของสด ของแห้ง เบียร์ เหล้า มาครบ


Day 11 : Christchurch - Akaroa - Christchurch

1. Shamarra Alpacas

2. Akaroa Town


วันนี้เป็นวันสุดท้ายในนิวซีเเลนด์ของพวกเราครับ โดยตอนแรกแพลนว่าจะไป Kaikaroa ครับ เป็นเมืองที่ดังเรื่องสิงสาราสัตว์มากๆ มีทั้งนั่งเรือดูวาฬ ว่ายน้ำกับปลาโลมา กินล๊อบสเตอร์น้ำจืด (Crayfish) และที่อยากไปมากเลยคือ Ohau Stream Walk เป็นน้ำตกที่เป็นบ้านของลูกแมวน้ำครับ

แต่น่าเสียดายที่ไม่กี่เดือนก่อนเราจะไปเกิดแผ่นดินไหวแถบนั้น ทำให้ถนนเส้นหลักของ Kaikaroa ถูกตัดขาด ปัจจุบันก็ยังซ่อมช่วงบนไม่เสร็จ และที่เศร้ามากๆคือ Ohau Stream Walk ถูกทำลายไปแล้วครับ และทาง National Park ก็ไม่มั่นใจว่าลูกแมวน้ำจะกลับมาแถบนั้นอีกมั้ย

เราเลยย้ายจุดหมายไปยังเมืองใกล้ๆ Christchurch อีกเมืองนึงนั่นคือ Akaroa ครับ เป็นเมืองตากอากาศเล็กๆทางตะวันออกของ Christchurch เดินทางมาไม่ยาก ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ถนนช่วงแรกจะเป็นเส้นตรงตัดผ่านทุ่งนาและฟาร์มวัวครับ พอเข้าใกล้เมืองก็จะชันขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากเมืองนี้ถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาครับ


1. Shamarra Alpacas

โดยเหตุผลหลักที่เราเลือกมาเมืองนี้เพราะเราจะไปเล่นกับอัลปาก้าครับ แถบนี้มีฟาร์มอัลปาก้าชื่อดังอยู่แห่งนึงชื่อว่า Shamarra Alpacas เป็นฟาร์มที่วิวดีมากกกก ตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งจะมองเห็นวิวของเมือง Akaroa ได้ชัดเจนครับ แต่เนื่องจากอยู่บนเนินเขา ทางขึ้นฟาร์มจะชันมากๆครับ ถ้าเป็นรถ Eco Car คันเล็กๆเจ้าของฟาร์มจะให้จอดไว้ข้างล่าง และขับรถลงมารับครับ

โดยฟาร์มที่นี่จะคิดค่าทัวน์คนละ 75 NZD เจ้าของฟาร์มจะเป็นคนพาทัวน์เป็นรอบๆ โดยจะพาไปดูขนตัวอัลปาก้า อธิบายคุณสมบัติของมัน และพาเราไปเดินเล่นในฟาร์มให้เราได้ให้อาหาร และสัมผัสตัวอัลปาก้าครับ

ด้านหน้าฟาร์มจะเป็นร้านขายของที่ทำจากขนของอัลปาก้าครับ ขนของอัลปาก้าจะนุ่มกว่าจนแกะและไม่สากครับ มีความหนาแน่นสูงมากทำให้อุ่น

และยังกันน้ำได้ดีในระดับนึง โดยขนแกะที่หนาแน่นต่ำกว่าก็กันน้ำได้เหมือนกัน แต่จะกันด้วยน้ำมันที่ปนอยู่ในขน ทำให้ถ้าเป็นคนแพ้ง่ายจะมีโอกาสแพ้ขนแกะได้ ขณะที่จะไม่แพ้ขนอัลปาก้าครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ราคาก็แรงพอกัน ><

2. Akaroa Town

หลังจากเล่นกับน้องอัลปาก้าจนหนำใจแล้ว เราก็ลงมาเดินเที่ยวในเมือง Akaroa ครับ ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆหน้าตาน่ารัก ร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารชื่อดังของทื่นี่คือ Bully Hayes Restaurant ขายอาหารประจำเมืองคือ Fish and Chip ครับ แต่ถ้าอยากได้ร้านสไตล์ชิลๆเร็วๆไม่แพงก็จะมี Akaroa Fish and Chip อีกร้านนึงครับ แต่ทัวน์จะลงเยอะเพราะมันถูกคล้ายๆร้าน Fast Food ครับ

นอกจากโซนรับนักท่องเที่ยวแล้วด้านในเมืองจะตรอกน้อยๆมีเป็นบ้านหลังเล็กเรียงรายกันเต็มไปหมด ส่วนใหญ่ชาวกีวี่ที่เกษียณแล้วชอบย้ายมาอยู่ที่นี่ครับ อารมณ์มาอยู่เมืองตากอากาศริมทะเลนั่นเอง

และตามสไตล์เมืองริมทะเล ที่นี่เต็มไปด้วยนกนางนวลครับ มีประภาคารเป็น Landmark อันหนึ่งที่ดังอยู่ แต่ตอนผมไปพายุจะเข้าเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาสักเท่าไหร่

เรารีบเดินทางกลับเมือง Christchurch เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องบินครับ เป็นอันจบทริป 12 วันรอบเกาะใต้นิวซีแลนด์ของพวก เป็นทริปที่จะว่าชิลก้ชิล จะว่าถึกก็ถึก ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่รักธรรมชาติมากๆครับ แค่มาเดิน Track ธรรมดาก็คุ้มค่ามากแล้วกับป่าที่อุดมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่สีเขียวขจี แลนดืมาร์กแต่ละแห่งก็สุดๆจริงๆ ผมยกให้ Mt.Cook - Hooker Valley Track เป็นพระเอกของทริปนี้เลยครับ เพราะสวยทุกมุมจริงๆตั้งแต่วิวริมถนนจนถึงทะเลสาบ เรื่องวิวภูเขาผมให้ชนะ Iceland ที่ผมไปมาเมื่อปีก่อน (ไม่นับ Highland ใน Iceland นะ ยังไม่เคยไป) แต่น้ำตกนี่ Iceland ขนะไปหลายขุมทีเดียว

ใครที่จะตามรอยเส้นทางนี้ และมีเวลามากกว่านี้นะครับ อยากให้ลองมองแถบใต้สุดเกาะไว้ด้วย โดยที่ๆผมอยากลองไปมากเลยคือ Invercargill เมืองที่อยู่ใต้สุดของ New Zealand ซึ่งห่างจาก Te Anua แค่ประมาณ 2 ชั่วโมงเท่าน้น และสามารถข้ามไปยัง Stewart Island เกาะที่ปลายสุดของ New Zealand อยู่ใกล้กับขั้วโลกใต้มาก เป็นรองแค่ชิลิกับอาร์เจนตินา แถบนี้จะเห็นแสงใต้ได้ชัดเจนมากครับ


สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกๆคนมากนะครับที่ติดตามมาจนจบทริป หวังว่าสิ่งที่เขียนไปจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกคนนะครับ


ขอให้เที่ยวให้สนุกครับ

The End


Mountain Seal

 วันพฤหัสที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 23.16 น.

ความคิดเห็น