ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าในรอบปีที่ผ่านมา (อันที่จริงแค่ 8 เดือน) ผมจะไปไต้หวันมาแล้วถึง 3 ครั้ง … ที่บอกว่าไม่อยากเชื่อเพราะก่อนหน้านี้ “ไต้หวัน” ไม่เคยอยู่ในลิสต์ของประเทศที่อยากไปเที่ยวเลย และอาจเป็นเพราะไม่ค่อยให้ความสนใจนี่เองเลยไม่เคยรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วไต้หวันมีอะไรให้เที่ยวเยอะมาก โดยเฉพาะธรรมชาติสวยๆ แบบที่ผมโปรดปราน … และนี่คือครั้งที่ 3 สำหรับทริปถ่ายภาพในไต้หวันของผม ซึ่งไต้หวันได้เปลี่ยนสถานะจากประเทศนอกสายตากลายเป็นที่ของขาประจำไปซะแล้ว

การเดินทางครั้งนี้ผมลองเที่ยวแบบใช้รถสาธารณะผสมกับการเช่ารถพร้อมคนขับ ซึ่งคิดว่าน่าจะเหมาะกับรสนิยมการท่องเที่ยวของคนไทยโดยเฉพาะที่เที่ยวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เลยอยากเอาประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง … โดยไปรอบนี้ผมยังคงมีเวลาน้อยเหมือนเดิม คือพักที่โน่นเพียง 4 คืนเท่านั้น ยังดีที่ครั้งนี้บินการกับการบินไทยซึ่งเวลาการบินดี ขาไปออกเช้าถึงเที่ยงมีเวลาเที่ยวช่วงบ่าย ส่วนขากลับออกจากไทเปค่ำจึงมีเวลาเที่ยวคุ้มค่าจนถึงวันกลับเลย

สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยวตามไปพูดคุยกันต่อได้ที่เพจ นายมด (https://facebook.com/9MotPhotography) ครับ

วันเดินทางผมถึงสนามบินตั้งแต่ตี 5 หลังจากผ่าน ตม.แล้วก็ถือตั๋วตรงรี่ไปหาเลาจน์การบินไทยเลยครับ เพราะผมถือบัตร K-bank platinum สามารถใช้สิทธิ์ที่เลาจน์การบินไทยได้ปีละ 2 ครั้ง (ต้องมีตั๋วเดินทางต่างประเทศกับการบินไทย) ยังเสียดายอยู่เลยที่ไปไอซ์แลนด์เมื่อตอนต้นปีลืมใช้สิทธิ์นี้ เพราะครั้งนั้นก็เดินทางกับการบินไทยเหมือนกัน

พร้อมเดินทางแล้ว

ผ่านต.ม.เสร็จแล้วก็ตรงไปเลาจน์การบินไทยเลยครับ … ใครถือบัตรเครดิตอย่าลืมเช็คสิทธิ์นะครับ เหมือนจะมีบัตรที่ร่วมรายการหลายประเภทเหมือนกัน

ผมเก็บภาพบรรยากาศมาฝากนิดหน่อยนะครับ โดยรวมคนมาใช้บริการเยอะทีเดียว อาหารในเลานจ์ถือว่าดีเลยล่ะมีทั้งของทานเล่นจำพวกขนมไปจนถึงเมนูที่อยู่ท้องอย่างไข่และแฮม นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มให้เลือกเยอะเลย แต่สำหรับผมมื้อเช้าขอเป็นกาแฟดีกว่า

ใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องผมจึงไปที่เกต โดย Flight TG634 ของการบินไทย ก็คือ Flight ที่จะเดินทางไปเกาหลีนั่นเอง แต่เครื่องจะไปแวะที่ไทเปก่อน ทั้งนี้เครื่องเป็น Boeing 777-300 ลำใหญ่ ใช้เวลาบินราว 3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงไทเปแล้ว

สำหรับผมบินกับสายการบินแห่งชาติของเรา นอกจากความอุ่นใจกับการบริการแล้ว ผมยังใช้ entertainment บนเครื่องได้คุ้มค่าที่สุด เพราะเวลาชมภาพยนต์มี sub ไทยให้หรือไม่ก็พากต์ไทย ไม่ต้องตั้งสมาธิชมภาพยนต์จนเกินไป ภาพยนต์บางเรื่องมีบทคุยกันเยอะๆ ถ้าไม่มี sub ไทยบางทีก็ฟังไม่ทันเหมือนกัน 555

นอกจากนี้เมนูที่เสิร์ฟบนเครื่องก็ถูกปากเป็นส่วนใหญ่ครับ จึงไม่แปลกใจที่การบินไทยจะได้รับ “รางวัลอันดับ 1 สายการบินที่ให้บริการอาหารสำหรับชั้นประหยัดยอดเยี่ยม”

เมนูบนเครื่องขาไป

หลังจากผ่านตม.แล้วก็ทดลองใช้บริการ MRT สายใหม่ที่วิ่งตรงจากสนามบินเถาหยวนไปยังไทเป ค่าบริการคนละ 160 TWD จะนั่งขบวนธรรมดาที่แวะทุกป้ายหรือขบวนด่วนที่แวะน้อยกว่าและใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็ได้ราคาเท่ากันเลย … สำหรับตั๋วสามารถซื้อได้ที่ทางเข้าสู่สถานี เป็นตู้อัตโนมัติมีเมนูภาษาไทยด้วยสำหรับนักท่องเที่ยว VIP อย่างชาติไทยเรา อิอิ

แน่นอนว่ารถไฟฟ้ายังใหม่กริ๊บเพราะเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อต้นปีนี้เอง มีช่องเก็บสัมภาระให้ในทุกตู้จึงสะดวกสำหรับนักเดินทางพร็อพเยอะอย่างเราๆ

ผมลงที่สถานีปลายทางไทเป ซึ่งมีทางเชื่อมต่อไปยัง Taipei main station รวมถึงสถานี MRT ที่วิ่งภายในเมืองไทเปด้วย แต่เพื่อความสะดวกผมจึงไปเช็คอินน์ก่อนที่โรงแรม Mr. Lobster Secret Den Hostel ซึ่งอยู่ห่างจากสถานี airport MRT ไปนิดเดียว

ผมมาพักที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว เพราะความสะดวกของสถานที่และห้องไม่คับแคบเกินไป …

ห้องพักคืนแรกของผมเป็นแบบ 4 คนมีห้องน้ำในตัว เหมาะกับกลุ่มเพื่อนฝูงหรือครอบครัวที่มาเที่ยวด้วยกัน

หลังจากเก็บสัมภาระเป็นที่เรียบร้อย ผมเดินไปแลกตั๋วรถไฟสำหรับเดินทางไป-กลับฮวาเหลียนที่ Taipei main station โดยได้จองล่วงหน้าและชำระเงินผ่านระบบออนไลน์แล้ว แต่ต้องเอาเอกสารเลขที่การจองและ passport ของผู้โดยสารมาเปลี่ยนเป็นตั๋วเพื่อใช้ขึ้นรถไฟ … การจองสามารถทำได้ที่เวปนี้เลยครับ http://www.railway.gov.tw ผมจองไปฮวาเหลียนเที่ยวละ 440 TWD สำหรับขบวนด่วนซึ่งใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงนิดๆ โดยจองล่วงหน้าได้ 14 วัน (รวมวันเดินทาง) เมื่อได้ตั๋วมาแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าวันเดินทางจะต้องมาล่วงหน้านานเพื่อต่อคิวแลกตั๋วครับ

ย็นวันนี้แม้จะมีฝนตกปรอยๆ ผมก็ยังไม่ทิ้งแผนไปช้อปปิ้งย่าน Ximending ก่อน เพราะหลังจากนี้จะออกเที่ยวไกลตัวเมือง คงไม่มีเวลาไปเดินช้อปปิ้งอีกแล้ว จึงวางแผนว่าอยากซื้ออะไรก็จัดการซะวันนี้เลย … จากที่พักเดินลัดเลาะไปตามซอยเพื่อขึ้นรถเมล์ที่ถนนใหญ่อีกฝั่ง ตามที่ google บอก ใช้เวลารอรถนานสักนิดอาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงเวลาเลิกงานและฝนก็ตกด้วย … พอถึงจุดหมายก็เริ่มสำรวจหาอาหารมื้อค่ำทาน มาสะดุดตากับร้านอาหารริมทางร้านนึงที่มีคนต่อคิวยาว ด้านในก็คนเต็มร้าน ยืนดูพ่อค้ากำลังเอาแป้งและหอยนางรมกับไข่มาทอดร้อนๆ บนกะทะจนแน่ใจว่าน่าจะรสชาติถูกปากก็เดินไปสั่งอาหารเลย … ลักษณะก็คล้ายกับหอยทอดบ้านเรานี่แหละครับ ทานคู่กับซุปลูกชิ้นและผัดผัก เห็นบางคนจะสั่งข้าวสวยราดด้วยหมูสับมาทานด้วย … รสชาติถือว่าถูกปากเลยสำหรับหอยทอดจานนี้ ส่วนซุปผมไม่ค่อยชอบเนื้อของลูกชิ้นนัก รู้สึกว่าสู้ลูกชิ้นปลาบ้านเราไม่ได้ (ผมเคยลองทานมา 2-3 แห่ง) รู้สึกว่ามันเป็นแป้งเยอะ มีไส้ด้านในเล็กน้อยเท่านั้น

ออกจากร้านอาหารก็ได้เวลาเดินช้อปครับ … เนื่องจากมาที่นี่เป็นครั้งที่ 4 แล้วก็เลยค่อนข้างจะคุ้นเคยกับตรอกซอกซอยพอสมควร สามารถตรงไปหาของที่อยากซื้อได้เลยโดยไม่เสียเวลา … สำหรับขากลับผมใช้วิธีเดินเอาครับ เพราะจริงๆ แล้วก็ระยะทางราว 1 ก.ม. เท่านั้น เดินไม่ไกลก็ถึงที่พักของเราแล้ว

วันรุ่งขึ้นเริ่มมื้อเช้าแบบเบาๆ ด้วยกาแฟกับข้าวต้มและขนมปังที่รวมอยู่ในค่าห้องแล้ว อาหารเช้าที่ Mr. Lobster Secret Den Hostel จะให้บริการ 8-10 โมงที่โถงนั่งเล่นในโฮสเทล ทั้งนี้ใครจะทำอาหารง่ายๆ ทานเองตามสไตล์โฮสเทลก็ได้นะครับเพราะมีอุปกรณ์ทำครัวไว้บริการด้วย … ทานเสร็จแล้วก็อย่าลืมล้างจานด้วยนะครับ 🙂

โปรแกรมวันนี้ผมมีนัดกับคนไทยในไต้หวันที่ให้บริการรถเช่าพร้อมคนขับชื่อคุณบอลจากเพจ Family Travel เที่ยวไต้หวัน ซึ่งคุณบอลจะนำเที่ยวชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือในตำบลรุ่ยฟาง (Ruifang) ของไต้หวันครับ

จากไทเปขับรถไปบนเส้นทางสู่นครจีหลงจากนั้นแยกไปอีกเล็กน้อยเราก็ถึงชายฝั่งทะเลที่วันนี้อากาศไม่สดใสนักเพราะมีฝนตกปรอยๆ … คุณบอลแวะหามุมให้ถ่ายภาพก่อนจะขับรถต่อไปอีกหน่อยเพื่อไปจอดอีกจุดเพื่อเดินไปยังหินรูปช้างซึ่งเป็นจุดถ่ายภาพชื่อดังของแถบนี้

เส้นทางสู่รุ่ยฟาง

บรรยากาศวันนี้ ฟ้าครึ้มเหลือเกิน T T

จากถนนเดินลัดเลาะไปตามแนวโขดหินราว 5 นาทีก็ถึงหินรูปช้างครับ ไม่ต้องบอกว่าก้อนไหนเพราะรูปร่างเป็นหัวช้างชัดเจน สามารถเดินไปถ่ายรูปเก๋ๆ บนนั้นได้เลย บริเวณใกล้เคียงยังมีหินที่ปูดนูนขึ้นมาเหมือนดอกเห็นอยู่ใกล้ๆ กัน บางคนบอกว่านี่คือขี้ช้าง เออ ช่างคิดแฮะ แต่ที่แน่ๆ ทั้งสองจุดถ่ายภาพได้สวยทีเดียว … เสียดายผมเจอฝนตกแบบปรอยๆ เลยเป็นอุปสรรคกับการถ่ายภาพค่อนข้างเยอะ ได้มาแค่นี้แหละ

ช้างกับขี้ช้าง อิอิ

จากหินรูปช้างคุณบอลขับรถนำเราลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเล แต่อากาศยังคงไม่เป็นใจ ฝนตกหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ อยากหยุดถ่ายภาพใจจะขาดเพราะวิวสวยกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ด้านหนึ่งเป็นแนวผาสูง อีกด้านเป็นน้ำทะเลที่แถบนี้เป็นสีฟ้าๆ ยิ่งเวลาคลื่นกระทบฝั่งแตกเป็นฟองจะยิ่งเห็นสีฟ้า เชื่อว่าในวันอากาศดีแถบนี้ต้องสวยกว่านี้อีกมากแน่ๆ

เมื่อฝนไม่มีทีท่าว่าจะซาลงผมจึงบอกคุณบอลให้หาที่ท่านข้าวเที่ยงกันก่อนเพื่อฆ่าเวลา เราหยุดตรงจุดพักรถแห่งหนึ่งแล้วสั่งอาหารมาทานกัน รายการอาหารก็เป็นแบบในภาพราคา 600 TWD ไม่ถูกไม่แพงครับ รสชาติชืดๆ หน่อย อาจเป็นเพราะคนไทยชินกับอาหารร้อนก็เป็นได้

หลังมื้อเที่ยง แม้ฝนจะยังคงตกแต่ดูเหมือนเราไม่มีทางเลือกแล้ว คุณบอลจึงนำเราไปยังจุดชมวิวที่ Bitou Cape ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล เป็นที่ตั้งของประภาคารสีขาว และเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่สวยงามมาก

ราจอดรถกันบริเวณริมทางใกล้โรงเรียนอนุบาล Bitou ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินชมธรรมชาติ … ทางเดินปูด้วยหินสะดวกสบายแต่ต้องขึ้นๆ ลงๆ เนินพอสมควรไม่เหมาะกับผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาด้านการเดิน ส่วนวัยรุ่นอย่างผมสบายมาก อิอิ แค่หยุดหายใจหอบแฮ๊กๆ ไม่กี่รอบเท่านั้นเอ้ง!

แค่วิวตรงจุดเริ่มเดินก็สวยแล้ว มีสุสานอยู่แถบนี้ด้วย ลักษณะไม่เหมือนของบ้านเราซะทีเดียว

ที่เห็นเรียงรายอยู่คือสุสานชาวจีนครับ

ระหว่างเดินจะมีศาลาชมวิวเป็นระยะ จะแวะพักก็ได้ไม่ว่ากัน … อาคารสีสันสดใสที่เห็นคือโรงเรียนอนุบาล Bitou

หน้าผาแถบนี้สวยงามมากครับ

แม้จะต้องออกแรงขึ้นลงเนินหน่อย แต่รับรองว่าทิวทัศน์ที่จะได้เห็นนั้นสวยคุ้มค่าจริงๆ

ที่ศาลาสุดท้ายจะเป็นจุดที่มองลงไปเห็นวิวของชายฝั่งและหมู่บ้านริมทะเลได้อย่างชัดเจน ดูๆ ไปคล้ายเมืองริมชายฝั่งที่อิตาลีเลยให้ตายเถอะ

จากจุดนี้จะเดินกลับทางเดิมก็ได้ แต่เราเลือกเดินต่อลงเขาไปซึ่งจะไปทะลุที่ท่าเรือในหมู่บ้าน แล้วจึงเดินกลับไปยังจุดจอดรถ

เพื่อไม่ให้หมดแรงซะก่อนคุณบอลให้เรารอที่ป้ายรถเมล์ริมถนนแล้วนำรถกลับมารับเรา จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังจุดชมวิวอีกแห่งริมถนนใหญ่ที่มองเห็นน้ำทะเลสองสี ที่เป็นแบบนี้เนื่องด้วยน้ำตกธารทองไหลลงมาบรรจบกับทะเลที่อ่าวแห่งนี้นั่นเอง เป็นอีกมุมที่สวยมากทีเดียว

ระหว่างทางตรงไหนสวยก็แวะถ่ายภาพตรงนั้น


ทะลสองสี

จากนั้นเราขับรถไต่ระดับขึ้นไปอีกหน่อยเพื่อเก็บภาพมุมต่างๆ ของน้ำตกธารทอง ซึ่งลักษณะเป็นสายน้ำตกเส้นเล็กๆ ไหลแตกแขนงมาตามผาหินปูนสีเหลืองทอง … เนื่องจากมาในช่วงหน้าฝนน้ำก็เลยดูเหมือนขุ่น ไม่แน่ใจเหมือกันว่าในช่วงปกติน้ำจะใสหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบคือเป็นสีเหลืองๆ เนื่องจากแร่ธาตุในแถบนี้นั่นเอง

จากน้ำตกธารทองขับรถขึ้นเนินต่อไปไม่ไกลก็ถึงเมืองโบราณจิ่วเฟิ่น แต่สภาพอากาศตอนนี้ไม่เอื้อให้ลงไปเดินเล่น แถมเสื้อผ้าของผมก็เปียกชื้นไปหมดจึงตัดสินใจบอกคุณบอลว่ากลับที่พักดีกว่า ขากลับคุณบอลยังพยายามหามุมถ่ายภาพเพิ่มเติมให้ แต่เนื่องจากฝนตกหนักยิ่งกว่าเดิมจึงต้องจำใจกลับโรงแรมในที่สุด อย่างไรก็ตามแค่ได้ไปสัมผัสบรรยากาศริมฝั่งทะเลวันนี้ก็คุ้มค่ามากแล้ว หากเพื่อนๆ เดินทางเป็นกลุ่ม 3 คนขึ้นไปลองใช้วิธีการเดินทางแบบผมก็ดีนะครับ เพราะมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอด และค่าใช้จ่ายเมื่อหารต่อคนแล้วถือว่าประหยัดเลยทีเดียว อย่างรถเก๋งที่นั่งได้ 3-4 คนก็ตกวันละ 4,000 บาทรวมน้ำมันและค่าผ่านทางเรียบร้อย สะดวกกว่านั่งรถสาธารณะเห็นๆ แถมมีคนนำเที่ยวและชี้เป้าถ่ายภาพให้เสร็จสรรพ อ้อคุณบอลเป็นช่างภาพด้วยนะ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีภาพสวยๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้าน 🙂 … สนใจก็ add line ได้เลยที่ nobernnobell

เรามาถึงที่พักเรียบร้อยก็จัดการเก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพแล้วเดินออกไปหาอะไรทานที่ Taipei main station และดูทางลงไปยังชานชลาไว้ล่วงหน้า เพราะรถไฟที่จองไว้เป็นเที่ยวเช้า จะได้ไม่ต้องมาวิ่งวุ่นหากันในวันพรุ่งนี้ .. จากนั้นก็ทานอาหารกันที่ศูนย์อาหารที่ชั้นบนของ Taipei Main Station ถือว่ามีให้เลือกหลากหลายและราคาไม่แพงนัก เป็นอีกจุดที่ฝากท้องได้ครับ… อันที่จริงตั้งใจว่าจะหาร้านสวยๆ นั่งทานแบบชิลๆ แต่มาช่วงค่ำแบบนี้ทุกร้านคิวยาวมากก็เลยจำใจต้องไปใช้บริการศูนย์อาหารแทน

อ้อ! คืนนี้ที่ Mr Lobster Secret Den Hostel ผมย้ายมาพักอีกห้องที่นอนได้ 3 ท่าน แต่เตียงที่ 3 ถูกใช้เป็นที่วางของเพราะเรามีกันแค่สองคน โดยรวมขนาดห้องก็ใกล้เคียงกับห้องคืนก่อนหน้าครับ แม้ไม่ได้กว้างขวางมากนักแต่สำหรับ Hostel กลางเมืองผมก็ถือว่าสะดวกสบายเลยทีเดียว โดยเฉพาะมีห้องน้ำในตัวด้วยแบบนี้คุ้มราคามาก

ห้องพักคืนที่สองแบบนอนได้ 3 คน


วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าเพื่อเดินไปขึ้นรถไฟรอบ 6:30 น. เดินทางไปยังฮัวเหลียน ผมออกจากโรงแรมใช้เส้นทางลงอุโมงค์ใต้ดินไปทะลุที่สถานีรถไฟ แต่มารู้ตัวอีกทีว่าคิดผิดถนัดเพราะช่วงเช้าแบบนี้บรรไดเลื่อนทุกตัวตรงบริเวณมอลใต้ดินซึ่งเชื่อมกับสถานีรถไฟยังไม่เปิดให้บริการ ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงบันไดแบบทุลักทะเลมากๆ ดังนั้นหากต้องไปสถานีตอนเช้าแนะนำว่าให้ใช้เส้นทางด้านบนจะสะดวกกว่ามากครับ แต่สำหรับในสถานีรถไฟบันไดเลื่อนเปิดให้บริการนะครับ ที่ไม่เปิดให้บริการคือส่วนเชื่อมต่อที่เป็นมอลขายสินค้า

โชคดีที่ผมเผื่อเวลาไว้ 30 นาทีทำให้ไม่ตกรถไฟ และพอมีเวลาซื้ออาหารเล็กๆ น้อยๆ ที่ 7 eleven ตุนไว้ทานบนรถไฟ

รถไฟขบวนที่จองไว้ออกตรงเวลาเป๊ะ โดยแนวเส้นทางจะตรงไปยังหัวเกาะทางเดียวกับที่ผมไปเที่ยวมาวันก่อนหน้า ก่อนจะค่อยๆ เบนขวาลัดเลาะไปตามแนวชายฝั่งตะวันออกของประเทศไต้หวัน … การนั่งรถไฟทำให้ได้อิ่มกับทิวทัศน์อีกแบบไม่เหมือนรถยนต์เพราะส่วนที่รถไฟตัดผ่านดูเหมือนจะใกล้ธรรมชาติมากกว่า

สำหรับรถไฟขบวนนี้กว้างขวางสะดวกสบายและสะอาดดีครับ สามารถนำอาหารมาทานบนขบวนรถได้ มีชั้นวางให้เรียบร้อย … เดิมทีตั้งใจว่าจะหลับเก็บแรงไว้สำหรับทริปวันนี้แต่พอเห็นวิวริมทางก็อดไม่ได้ที่จะนั่งชมไปตลอด แม้จะไม่ค่อยได้ถ่ายภาพก็เถอะ

ผมเดินทางถึงฮวาเหลียน (Hualien) ราว 8 โมงครึ่ง … สถานีรถไฟที่นี่ไม่ใหญ่แต่ก็เห็นได้ว่ากำลังอยู่ระหว่างการต่อเติมขยับขยาย เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นทุกวัน

สำหรับโปรแกรมในวันนี้ผมจะเที่ยวอุทยานแห่งชาติทาโระโกะ โดยใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับที่ติดต่อผ่าน Round Taiwan Round (rtaiwanr.com) ซึ่งเป็นออนไลน์เอเจนซี่ที่ให้บริการจัดทริปท่องเที่ยวทั่วประเทศไต้หวัน ทั้งนี้ผมนัดเจอกับคนขับชื่อ Vincent ที่หน้าสถานีตอนแปดโมงครึ่ง … หลังจากพบกับ Vincent แล้วคนขับรถซึ่งจะเป็นไกด์ด้วยในตัวนำเราไปยังรถ Toyota Wish ที่จอดรออยู่แล้วบริเวณลานจอดรถ … Vincent เริ่ม brief แผนการเดินทางสำหรับวันนี้ด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วชัดเจน หลังสอบถามดูจึงรู้ว่าเขาเคยเป็นวิศวกรสิ่งแวดล้อมและทำงานอยู่ในทาโระโกะมาก่อนที่จะเปลี่ยนสายงานมาเป็นไกด์นำเที่ยวในแถบนี้ (คนขับรถที่จองผ่าน round Taiwan round จะเป็นไกด์ที่มีใบอนุญาตนำเที่ยว ต่างจากการเช่ารถ taxi ทั่วไปที่อาจสื่อสารได้เฉพาะภาษาจีน)

โปรแกรมเช้าวันนี้ Vincent เริ่มต้นนำเราไปที่ Qingshui Cliff ก่อน ซึ่งที่นี่คือ 1 ใน 8 สิ่งมหัศจรรย์ของไต้หวัน และถือเป็นสถานที่ซึ่งบอกเล่าการเกิดของเกาะไต้หวันด้วย เพราะเป็นจุดที่เกิดการดันตัวของแผ่นดินใต้น้ำขึ้นเป็นเกาะไต้หวันในปัจจุบัน ทำให้พื้นทะเลแถบนี้ไม่ได้เป็นชายหาดแบบทั่วไปแต่เป็นหน้าผาลึกชันจนทำให้เกิดเฉดสีของน้ำเนื่องจากความลึกที่แตกต่างกันอย่างมากนั่นเอง

ลองดูภาพจาก Google earth จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ ตรงด้านขวาของอุทยานแห่งชาติทาโระโกะคือจุดที่บอกครับ เป็นหุบเหวลึกลงไปเลย

ขนาดวันฟ้าหม่นยังเห็นได้ชัดว่าน้ำเป็นสีฟ้าสวยงาม ในวันอากาศดีคงสวยกว่านี้อีกมาก แต่ผมว่าวันที่อากาศชุ่มฉ่ำแบบนี้ก็ได้บรรยากาศอีกแบบนะ ดูสายหมอกที่พาดบนเขาสิ สวยจับใจริงๆ

จาก Qingshui cliff เปลี่ยนซีนเข้าสู่เขตเทือกเขาของทาโระโกะกันเลย โดยเริ่มด้วยการแวะถ่ายภาพตรงซุ้มประตูทางเข้า

จากนั้นไปถ่ายภาพตรงสะพาน Shakadang ที่เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางเดินป่า Shakadang Trail … จุดนี้น้ำในลำธารเป็นสีฟ้าอมเขียวสวยงามมาก มีนักท่องเที่ยวไม่น้อยเดินป่ากันในเส้นทางนี้

ถัดจากที่นี่เราไปยังอีกหนึ่ง highlight ­ของทาโรโกะนั่นคือ Eternal Spring Shrine (ศาลเจ้าฉางชุน) ซึ่งเป็นศาลเจ้าท่ามกลางหุบเขาที่มีสายน้ำตกไหลผ่าน เสียดายที่อยู่ในช่วงกำลังซ่อมแซมเลยมีไม้ค้ำอยู่เยอะไปหน่อย

จากที่นี่เรานั่งรถไปอีกนิดเดียวเพื่อขึ้นไปที่วัด Chan Guang ซึ่งวิวสวยมาก มีสะพานแขวนสำหรับเดินไปชมวิว สำหรับที่นี่ทัวร์คงไม่ค่อยพานักท่องเที่ยวมาจึงมีคนไม่เยอะนัก แนะนำว่าให้เดินไปกลางสะพานแขวนแล้วมองลงมาที่ลำธารครับ สวยมากๆ

ถ่ายภาพเก็บบรรยากาศอยู่พักใหญ่ Vincent ก็พาผมไปถ่ายภาพอีกจุดนึงที่มองเห็นทั้งศาลเจ้า, วัดและสะพานแดงในเฟรมเดียว ช่างภาพห้ามพลาดเด็ดขาด

มื้อเที่ยงวันนี้เราทานกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งเมนูที่เราทานเป็นแบบ set รสชาติถือว่าพอใช้ได้ ราคาออกจะสูงสักหน่อยแต่ก็ยังรับได้ครับ

หลังมื้ออาหารเที่ยง เราเข้าไปสำรวจทาโระโกะลึกขึ้นไปอีกหน่อย โดยเริ่มจากการเดินชมช่องเขาและโตรกธาร ซึ่งทางอุทยานมีหมวกให้ยืมใช้ฟรี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากเศษหินที่อาจหล่นลงมาจากหน้าผา … เมื่อได้หมวกนิรภัยก็พร้อมเดินชมเส้นทางกันแล้ว …

ดูจากภาพอาจจะเฉยๆ แต่จะบอกว่าของจริงมันยิ่งใหญ่อลังการมาก

จากที่นี่ขับรถเลียบแนวลำธารไปอีกไม่ไกลนักก็จะถึง Cihmu Bridge (สะพานพระคุณมารดา) … จุดเด่นของที่นี่นอกจากสะพานสีแดงโดดเด่นแล้ว ยังมีหินรูปกบสวมมงกุฏให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ใช้จินตนาการด้วย … ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าหินแถบนี้คือหินอ่อนและหินประดับประเภทอื่นเกือบทั้งหมด จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราจะเห็นโรงงานหินอยู่หลายแห่งในเมืองฮวาเหลียน เนื่องจากภูเขาแถบนี้เป็นแหล่งของหินประดับชนิดต่างๆ นั่นเอง

จุดแวะต่อไปเป็นสายน้ำตกเล็กๆ ที่ไหลลงจากหน้าผาสูง มีสะพานแขวนให้เดินข้ามช่องผาเข้าไปชมวิวได้แบบ 360 องศา

ถัดมาคืออีกหนึ่งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่มีร้านรวงให้แวะซื้อขนมทานเล่นได้ ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม 5 ดาวในทาโระโกะอีกด้วย ส่วนผมขอเดินไปเก็บภาพบรรยากาศบริเวณรอบๆ ครับ

จุดแวะสุดท้ายสำหรับทาโรโกะคือที่ตั้งของชนเผ่าดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงวิถีชีวิตของคนเหล่านั้น เผ่านี้มีลักษณะเด่นคือมีการสักบริเวณใบหน้า … Vincent เล่าให้ฟังแล้วก็แอบสยองนิดนึงเพราะชายหนุ่มแต่ละคนต้องตัดหัวศัตรูมาแสดงเพื่อให้ได้รับการยอมรับและถือว่าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว

ก่อนกลับเข้าที่พัก Vincent พาไปแวะที่หาด Qixingtan ซึ่งบนชายหาดเต็มไปด้วยก้อนหินเล็กใหญ่เต็มไปหมดไม่ได้เป็นหาดทรายเหมือนบ้านเรา จะว่าไปก็ดูแปลกตาดี ยิ่งน้ำทะเลแถบนี้เป็นสีฟ้าก็ยิ่งทำให้บรรยากาศสวยงามมากขึ้นไปอีก

คืนนี้ที่พักของเราเป็น B&B น่ารักห่างจากตัวเมืองฮวาเหลียนมาเล็กน้อยชื่อว่า Ocean Journey Cafe B&B ซึ่งมีห้องพัก 5 ห้อง 5 แบบล้วนแล้วแต่ดีไซน์สวยทั้งนั้น B&B แห่งนี้ดูแลโดยลูกสาวเจ้าของบ้านที่ชื่อโมโม่ และเนื่องจากเธอจบจากคานาดาและมีประสบการณ์ท่องเที่ยวเยอะ จึงทำให้การออกแบบและบริการนั้นทำได้อย่างตรงใจนักท่องเที่ยว ที่สำคัญเธอสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างดีมาก ๆ

ก่อนขึ้นไปบนห้องพัก เธอเสิร์ฟ home made cake ที่แม่ของเธอทำเอง นอกจากอร่อยแล้วยังทำให้รู้สึกได้ถึงการต้อนรับอบอุ่นด้วย

ห้องพักของเราคืนนี้ตั้งอยู่บนชั้นสอง ลองไปดูบรรยากาศกัน

อันนี้เป็นอีกห้องที่อยู่ชั้นเดียวกัน ไม่มีแขกพักเลยขอเข้าไปถ่ายภาพไว้ซะหน่อย .. บอกเลยว่าถูกใจวัยรุ่นแน่นอน

มื้อค่ำวันนั้นโมโม่อาสาพาเราไปส่งที่ตลาดนัดกลางคืน Dongdamen Night Market ในเมืองฮวาเหลียน ซึ่งตั้งอยู่บนลานโล่งใกล้ชายหาด มีร้านรวงเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นอาหารนานาชนิด รองลงมาก็เป็นร้านเกมส์และเครื่องเล่นต่างๆ อารมณ์งานวัดบ้านเรา

มื้อค่ำวันนี้เราตกลงใจทานอาหารตามสั่งกัน ราคาไม่แพง รสชาติถือว่าโอเคเลย แต่ด้วยความขี้เกียจวันนี้เลยไม่ได้เอากล้องติดไปถ่ายภาพครับ

เช้าวันรุ่งขึ้น โมโม่เตรียมอาหารเช้าแบบอินเตอร์ไว้ให้พร้อมแล้ว วัตถุดิบของอาหารแต่ละอย่างที่นี่ถูกคัดมาอย่างดี ผักและผลไม้บางส่วนครอบครัวเธอปลูกกันเอง กาแฟก็ชงแบบมืออาชีพยกนิ้วให้เลย

Vincent มารับเราตรงเวลาที่นัดหมายไว้เพื่อเดินทางไปเที่ยวตามเส้นทางเลียบชายฝั่งตะวันออกของประเทศไต้หวัน ทั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแผนจากการขึ้นไปเที่ยวบนยอดเขาเหอหัวซานเนื่องจากฝนที่ตกหนักวันก่อนหน้าทำให้เส้นทางบางส่วนปิดและไม่ปลอดภัย ทาง round Taiwan round จึงแนะนำให้ปรับแผนเพื่อความปลอดภัย และนี่คืออีกหนึ่งข้อดีของการท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์ที่คอยให้คำแนะนำตลอดในระหว่างการท่องเที่ยว

โปรแกรมแรกเริ่มจากการขึ้นไปชมวิวเมืองฮวาเหลียนบนเนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม Farglory จากมุมนี้เห็นได้ชัดเลยว่าเมืองฮวาเหลียนถูกขนาบด้วยเทือกเขาสูงและทะเลแปซิฟิค

จากนั้นรถก็นำเราวิ่งเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก โดยแวะจุดชมวิวเป็นระยะ บางจุดสำหรับผมก็ธรรมดานะเพราะว่ามาจากภูเก็ตก็เลยไม่ตื่นเต้นนักกับทะเล (แต่ถ้าเห็นทะเลสีเทอร์คอยซ์ก็ตาลุกเหมือนกัน 555)

มาสะดุดตาก็ตรงทุ่งนาริมทะเลที่ช่วงนี้บางส่วนเริ่มออกรวงสีทองสวยงามมาก … อีกอย่างที่ผมว่าทางการไต้หวันทำได้ดีคือให้ศิลปินมาสร้างงานศิลปะจำพวกประติมากรรมไว้เป็นจุดๆ ตลอดแนวชายฝั่ง โดยมากจะเป็นบริเวณจุดชมวิว จึงทำให้กลายเป็น landmark เล็กๆ ที่น่าสนใจขึ้น อย่างตรงนาริมทะเลก็มีศิลปินมาสร้างประติมากรรมจากฟางไว้เช่นกัน จะว่าหุ่นไล่กาก็ไม่ใช่นะเพราะมันน่ารักกว่ามาก

พิกัด 23.6549084,121.5386603



ก่อนอาหารเที่ยงเรามาแวะกันที่จุดชมแนวโขดหินรูปร่างแปลกตาริมฝั่งที่เกิดจากการกัดเซาะของทะเลและลมจนเกิดภูมิประเทศที่โดดเด่นชื่อว่า Shitiping ซึ่งกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยว และเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวหลายคนแวะมาถ่ายภาพ

Vincent เล่าให้ฟังว่าแถบนี้มี B&B เยอะมากและหลายแห่งราคาแพงกว่าโรงแรมห้าดาวซะอีกเพราะบรรยากาศของแถบนี้ไม่พลุกพล่านมีภูเขาอยู่ขนาบด้านหลังแถมติดทะเลนั่นเอง



มื้อเที่ยงวันนี้ทานที่ร้านอาหารซีฟู้ดที่ท่าเรือริมทะเล เนื่องจากมากันแค่สองคนจะสั่งชุดใหญ่ไฟกระพริบก็จะทานไม่หมดเลยสั่งอาหารง่ายๆ เป็นข้าวผัด, ผัดผักและปลาตัวนึง (อบเกลือแบบแห้ง) รสชาติกลางๆ ราคาปลาสูงหน่อย ไม่รู้เป็นเพราะชนิดของปลาหรือเปล่าแต่ข้าวผัดกับผัดผักก็ราคาปกติครับ

ข้าวผัดกุ้ง 70 TWD ผัดผัก 100 TWD ส่วนปลา 400 TWD (ที่ไต้หวันดูเหมือนผักจะแพงหน่อย)



Highlight สำหรับวันนี้คือสะพานสามเซียน “ซานเซียนไถ” ตั้งอยู่ลงไปตอนใต้ของประเทศไต้หวันในเขตเมืองไถตง มีลักษณะโดดเด่นเป็นสะพานโค้ง 8 ตอนข้ามจากชายฝั่งไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่ด้านหน้า ทะเลแถบนั้นน้ำใสสีสวยเช่นกัน เสียดายที่สะพานดังกล่าวนี้จะปิดซ่อมในช่วงกลางเดือนมิ.ย.-กลางเดือนก.ย. เราจึงได้เพียงถ่ายภาพจากด้านล่างของสะพาน



ขากลับเป็นการนั่งรถแบบยาวๆ จากที่นี่กลับไปยังฮวาเหลียน จะว่าไประยะทางไม่ได้ไกลนักและเส้นทางก็ดี แต่มีการจำกัดความเร็วทำให้ใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างเยอะ ระหว่างทางมีแวะเก็บภาพ 2-3 จุดที่เป็นจุดชมวิวและที่หอคอย Tropic of cancer marker หรือทรอปิกเหนือ เป็นหอคอยที่ตั้งอยู่บนแนววงกลมละติจูดเหนือสุดบนโลกที่ดวงอาทิตย์ปรากฏบนศีรษะโดยตรงเมื่อถึงจุดสูงสุด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นปีละครั้ง คือ เวลาอายันเหนือ (Northern solstice) เมื่อซีกโลกเหนือเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ มากที่สุด อย่างในปี 2017 จะเป็นวันที่ 6 กรกฎาคม 2017 … เส้นนี้อยู่ที่ 23°26′13.3″ (หรือ 23.43701°) เหนือเส้นศูนย์สูตร



เราไปถึงฮวาเหลียนช่วงเย็นจึงขอให้ Vincent พาไปที่ B&B เพื่อเก็บสัมภาระ แล้วนำเราไปส่งที่ Dongdamen Night Market อีกครั้ง … โดยวันนี้ได้ลองเมนูแปลกๆ เพิ่มหลายเมนู มีถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้างปนๆ กันไป แต่ก็นับว่าสนุกดีครับ

ตลาดกลางคืนที่นี่ทางเดินกว้างขวาง สะอาดสะอ้าน

แตงโมลูกใหญ่มาาาาก



เมนูนี้ถูกปากครับ ร้านอยู่ในสุด คนต่อคิวกันเยอะเลย

เกี๊ยวกุ้งอร่อยเช่นกัน

เบอร์เกอร์ไต้หวัน รสชาติพอใช้ได้ครับ

ผิดหวังสุดคืออันนี้เลยครับ ข้าวโพดข้าวเหนียวไม่ค่อยหวาน มีกลิ่นบาบีคิวบางๆ ... แต่คนต่อคิวเยอะเลย สงสัยผมผิดปกติ

คืนที่ 2 ที่ Ocean Journey Cafe B&B ผ่านไปยังรวดเร็ว เราทานอาหารกันสายหน่อยเพราะโปรแกรมวันนี้เราจะนั่งรถไฟกลับไทเปช่วงเกือบเที่ยง และใช้เวลาช่วงบ่ายของวันเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กงในไทเป … เช้าวันนี้เลยได้มีโอกาสนั่งคุยกับโมโม่นานขึ้น ก่อนโบกมือลากันเธอยังเอาขนมกับผลไม้ใส่กล่องให้เราไปทานบนรถไฟอีก น่ารักจริงๆ … สำหรับใครที่มองหาที่พักในเมืองนี้แนะนำเลยครับ เพราะย่านนั้นค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะมากกับการพักผ่อน

จากฮวาเหลียนเรานั่งรถไฟกลับไปยังไทเปอีกครั้ง ซึ่งเป็นขบวนด่วนที่ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเช่นเดิม พอถึงสถานี Taipei Main Station คนขับรถจาก Round Taiwan Round ที่เราจองไว้ก็มารออยู่แล้ว สำหรับรถวันนี้เป็น Toyota Camry คันใหญ่นั่งสบาย คนขับชื่อ Jeffery เป็นคนอัธยาศัยดีมาก ชวนคุยและให้ความรู้ตลอด และตัวเค้าเองก็ชอบท่องเที่ยวเหมือนกันเลยคุยกันถูกคอ

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงพิพิธภัณฑ์กู้กง เราทำการนัดแนะเวลาและจุดที่รับเพราะ Jeffery ไม่แน่ใจว่าจะหาที่จอดรถได้หรือไม่ … แยกกันแล้วผม ถ่ายภาพด้านหน้าเป็นที่ระลึกนิดหน่อย

จากนั้นก็ซื้อตั๋วเข้าชมคนละ 250 TWD

ภายในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็นห้องต่างๆ สามารถเลือกเข้าชมได้ตามต้องการ และถือเป็นโชคดีของผมที่ไกด์ของเราหาที่จอดรถได้จึงตามเข้ามาสมทบและให้ข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมทำให้การชมสนุกขึ้นเยอะเลย

เสร็จจากการชมพิพิธภัณฑ์ เรายังพอมีเวลาเหลือก่อนจะไปขึ้นเครื่องบินไฟลท์ค่ำ ทาง round Taiwan round จึงประสานงานกับโรงแรม Grand Hotel ขออนุญาตเข้าไปถ่ายภาพ เพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งมีเอกลักษณ์มากและสะดุดตาผมตั้งแต่มาไทเปสองครั้งแรก นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้เข้าไปชมความอลังการของโรงแรมที่ออกแบบสไตล์จีนอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญทางโรงแรมจะเปิดให้ชมอุโมงค์ลับที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรมด้วย

โรงแรม Grand Hotel ถือเป็นสถานที่สำคัญอย่างมากของไต้หวัน เพราะใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกวีไอพีระดับโลกมาแล้วมากมาย รวมถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของไทยเราด้วย

ทันทีที่เข้าไปถึงก็สัมผัสได้ถึงความโอ่อ่าของสถานที่ โรงแรมยังจัดมุมต่างๆ แสดงภาพถ่ายและข้าวของสำคัญในการต้อนรับแขกคนสำคัญไว้อย่างดี เหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมให้ผู้สนใจได้ชมกัน

และนี่เป็นอีกหนึ่งเซอร์ไพร์ของรทริปนี้ เราได้เข้าชมอุโมงค์ลับที่สร้างไว้สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินความยาว 85 เมตร และมีสไลเดอร์ยาว 20 เมตรสำหรับคนที่เดินไม่ถนัดด้วย … สมแล้วที่เป็นสถานที่ต้อนรับแขกสำคัญระดับโลก

หลังจากชมโรงแรมแล้ว Jeffery นำเราไปส่งยังสนามบินเถาหยวน นับเป็นการปิดอีกทริปประทับใจในไต้หวัน ผมยอมรับว่าการมาครั้งนี้ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกับไต้หวันขึ้นอีกมาก ทั้งการเดินทาง, อาหาร ผู้คน ผมเริ่มรู้สึกว่าการเที่ยวไต้หวันสร้างความอุ่นใจไม่ต่างกับการไปเที่ยวญี่ปุ่น ที่สำคัญมีความรู้สึกนึงที่เกิดขึ้นคือ “อยากกลับมาอีก” จึงไม่แปลกหากผมจะบอกว่า สำหรับผมแล้วในวันนี้ถ้าเปรียบเทียบไต้หวันเป็นคน เค้าได้เปลี่ยนจากคนแปลกหน้าสู่เพื่อนรู้ใจเรียบร้อยแล้ว

อีกเรื่องนึงที่อยากแชร์คือการเลือกสายการบินมีผลค่อนอย่างมากกับการวางแผนท่องเที่ยวไต้หวันครั้งนี้ โดยเฉพาะเที่ยวบินขากลับที่หลายสายการบินออกแต่เช้าทำให้ต้องเสียค่าที่พักเพิ่มหนึ่งคืนโดยที่วันเดินทางกลับไม่สามารถเที่ยวไหนได้เลยแถมต้องตื่นเช้าตรู่อีกต่างหาก … แต่ของการบินไทย flight TG 635 ออกราว 2 ทุ่ม จึงไม่ต้องแปลกใจที่คืนก่อนหน้าผมนอนที่ฮวาเหลียนยังนั่งรถไฟกลับมาเที่ยวไทเปอีกครึ่งวันได้แบบสบายๆ โดยไม่ต้องเร่งรีบ (ถ้าออกเช้าหน่อย มาเที่ยวที่นี่แบบเต็มวันได้เลย) ช่วงเวลาที่ถึงเมืองไทยก็ไม่ดึกเกินไป รถไฟฟ้ายังไม่หมดไม่ต้องพึ่งแท็กซี่ อิอิ ดังนั้นเพื่อนๆ ที่กำลังหาตั๋วเดินทางไปไต้หวัน ลองพิจารณาของการบินไทยดูนะครับ เวลามีโปรโมชั่นคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับบริการและเวลาการบิน

ทิ้งท้ายด้วยอาหารมื้อค่ำบนเครื่องของการบินไทยขากลับครับ

เพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยวถ่ายภาพ เชิญไปคุยกันต่อที่เพจนายมด (https://facebook.com/9MotPhotography) นะครับ ... แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าครับ

นายมด

 วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 09.18 น.

ความคิดเห็น