..ย่างเข้าฤดูฝนของทุกปี ผมมักนึกถึงดินแดนแห่งหนึ่งที่มีมนต์เสน่ห์ ทั้งธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้คนที่ทำให้ผมหลงรักจนอดใจไม่ไหวต้องคว้ากล้องสะพายเป้ขึ้นหลังทุกครั้ง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้นทันที ปีนี้ก็เช่นกันได้ทราบข่าวจากกลุ่ม "คนแบกเป้" ซึ่งเป็นกลุ่มเดินป่าที่เดินด้วยกันมาหลายปี ปีนี้ได้จัดทริปสำรวจน้ำตกแห่งใหม่ที่อยู่ชายขอบของ อช.ดงหัวสาว บนที่ราบสูงโบโลเวน และเข้าไปลึกจนถึงเมืองสนามไช แขวงอัตปือ สปป.ลาว

พวกเราเดินทางโดยใช้รถทัวร์ของบ.โลตัสพิบูลทัวร์จากหมอชิตไปลงยังด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี กว่าจะหลุดจากโคราชในช่วงวันแม่ไปได้เล่นเอานั่งลุ้นไปตลอดทางว่าเราจะไปถึง late หรือเปล่า เพราะนั่นจะหมายถึง กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่ปีนี้้ถือว่าเร็วเพราะเราออกกัน 1 ทุ่มไปถึงช่องเม็ก 8 โมงเช้าพอดี กว่าจะทำธุระส่วนตัวหาซื้อข้าวของเพื่อไปไว้ใช้ในป่ากันเสร็จก็ 9 โมงกว่า ผ่าน ตม.เดินไปขึ้นรถสองแถวทางด่านวังเต่า ฝั่งลาว มุ่งหน้าไปยังเมืองปากซองตามหมายกำหนดการกันก่อน

ลาวใต้ช่วงนี้กำลังพัฒนา มีความเจริญขึ้นทุกๆปี บ้านเมืองดูสะอาดตามากขึ้นกว่าแต่ก่อน มีป้ายบอกทางป้ายจราจรชัดเจน จากด่านวังเต่าปีนี้วิ่งเข้าปากเซต้องเสียค่าทางหลวงแล้ว ส่วนจากปากเซไปปากซองต้องนั่งกินฝุ่นกันไปตลอดทาง เพราะกำลังมีการขยายถนนเพิ่มช่องเป็น 4 เลนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวยังแถบนี้มากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย

เรามาถึงยังจุดหมายร้านกาแฟ Green Coffee ซึ่งอยู่ห่างจากปากทางเข้าบ้านหนองหลวง เมืองปากซอง สัก 2 กม. เพื่อทำการเปลี่ยนถ่ายยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางเข้าป่า รูปแบบการเดินทางในครั้งนี้ของพวกเราคือ เราจะใช้รถ jeep ในการสำรวจป่าเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและเป็นทริปชิลๆที่ไม่ต้องสะพายเป้เดินลุยเข้าป่าเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่จะหารถ Jeep ดีๆสักคันคงยาก แถบนี้จะมีก็แต่รถ jeep ของไอ้กันกับรัสเซียสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้น ซึ่งดูสภาพแล้วไม่ต้องพูดถึงว่าสมรรถนะเป็นอย่างไร เราใช้จี๊ป 7 คันกับจำนวนคน 40 กว่าคนและ รถกระบะอีก 2 คันเพื่อขนข้าวของอุปกรณ์ตั้ง camp ในครั้งนี้

"กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว" เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบ พอออกจากร้านกาแฟมาได้สัก 200 เมตรรถคันของผมก็ได้ยินเสียงดังที่แหนบ เลยต้องแวะเข้าอู่ข้างทางเพราะบรรทุกเกินไปหน่อย เพราะปกติรถ jeep willy รุ่นนี้จะบรรทุกได้ประมาณ 270 โลผู้โดยประมาณ 3-4 คนแต่เราอัดไปซ่ะ 8 เล่นเอาออกอาการกันตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มชกเลยทีเดียว ใช้เวลาซ่อมจากฝีมือช่างลาวไม่ถึง 5 นาทีเสร็จแค่หาอะไรเสริมนิดหน่อยพอให้มันวิ่งได้ ขับไปได้สักพักเจอรถในกลุ่มพวกเราจอดรอกันอยู่ และมีรถอยู่คันนึงยางรั่วก็เสียเวลาแก้ไขกันไป ถือโอกาสลงมาเดินยืดแข้งยืดขากันบ้าง เพราะยังต้องไปอีกไกล

เส้นทางที่เราใช้ในการสำรวจน้ำตกครั้งนี้เป็นเส้นทางสายเก่าระยะทางประมาณ 60 กิโลซึ่งจะตัดผ่านใจกลางผืนป่าไปยังแขวงอัตปือไม่ต้องวิ่งอ้อมไปออกทางเซกองก่อนช่วยย่นระยะทางไปเป็น 100 กิโล โดยเส้นนี้เริ่มต้นจากสามแยกสวนสาธารณะอนุสาวรีย์องค์แก้วกรมดำ ซึ่งจะอยู่ห่างจากอนุสาวรีย์พันธมิตรสู้รบเวียดนาม-ลาวที่อยู่ตรงปากทางเข้าบ้านหนองหลวงไปประมาณ 600 เมตรแยกไปทางขวาตัดผ่านหมู่บ้านและไร่กาแฟที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาของนายทุนต่างชาติ มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่ที่ตอนนี้กำลังปรับแต่งสภาพถนนจากเดิมที่เป็นลูกรังเป็นราดยางมะตอย

**เส้นทางหลัก ต้องวิ่งอ้อมไปเมืองสนามไซ แล้วตัดเข้าไปยังตาดแซพะระยะทางเกือบ 200 โล

ทางสายเก่าตัดผ่านใจกลางผืนป่ามายังตาดแซพะ โดยเริ่มต้นจากอนุสาวรีย์องค์แก้วกรมดำ ระยะทางประมาณ 60 กิโล พวกเราเลือกเดินทางสายเก่าเส้นนี้

รถจี๊ปวิลลี่ วิ่งควบปุเลงๆ มาสิ้นสุดที่ลำห้วยสายหนึ่งที่ทำให้เราต้อง "เปลี่ยนม้ากลางศึก"โดยการใช้หน่วยกล้าตายทดลองขับฝ่าสายน้ำเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แต่ด้วยสภาพตลิ่งที่ดินร่วนซุยทำให้ไม่สามารถตะกุยขึ้นไปได้ต้องใช้วิ๊นซ์ช่วยดึงขึ้นไป ดูจากสภาพแล้วคงใช้เวลานานกว่าจะผ่านไปได้หมดและยังต้องฝ่าด่านสายน้ำที่เชี่ยวกรากของลำห้วยอีกสายที่อยู่ข้างหน้าที่ระดับน้ำยังสูงอยู่เพราะน้ำป่า คงผ่านไปไม่ได้เราเลยเปลี่ยนมาใช้รถบรรทุกทางหาร GMC เป็นตัวช่วยขนคนและสัมภาระบางส่วน สัมภาระอีกส่วนก็เอาขึ้นรถจี๊ปที่ข้ามมาได้คันเดียวล่วงหน้าไปตามกองหนุนมาช่วยก่อน และยังมีมอเตอร์ไซด์เป็นพวก "ม้าเร็ว"คอยวิ่งไป-กลับประสานงานระหว่างแต่ละจุดของการเดินทาง เพราะสัญญานโทรศัพท์จะไม่มี

รถบรรทุกพาคณะบางส่วนมาส่งระหว่างทางแล้วมีรถตู้มารอถ่ายสัมภาระที่เหลือไปส่งยังจุดหมาย ส่วนรถบรรทุกก็ย้อนกลับไปรับคนที่เหลือ ส่วนพวกเราก็เดินเล่นไปตามถนนที่ตัดผ่านหมู่บ้านหนองหิน ซึ่งเป็นหมู่บ้านระหว่างทางหมู่บ้านเดียว แวะหาซื้อน้ำดื่มกินแก้กระหาย และพูดคุยชมบรรยากาศของหมู่บ้านไปพลางๆ ช่วงที่ระหว่างรอรถบรรทุกย้อนกลับมารับ

หลังจากที่รถบรรทุกไปรับรอพรรรคพวกมาพร้อมกันหมดก็ออกเดินทางต่อ จนมาถึงห้วยที่ 2 ที่ต้องข้ามลำน้ำไป ความสูงของตัวรถพอที่จะพาพวกเราข้ามไปได้ คนขับรู้ไลน์ในการข้ามลำน้ำเป็นอย่างดี แต่ต้องใช้กำลังในการตะกุยขึ้นไปบนฝั่งมากสักหน่อย และก็มีบางส่วนที่ลงเดินข้ามสะพานไปรอยังฝั่งตรงข้ามเพื่อลดน้ำหนักบรรทุกลง หลังจากนี้หน้าที่ของรถบรรทุกก็จบภารกิจลงส่งต่อให้ไม้ที่ 3 เป็น "ม้าย่อง" รถอีแต๊ก วิ่งแต็กๆ มาตั้งขบวนรอรับพวกเราอีกในช่วงสุดท้ายก่อนถึงที่ตั้ง camp ของเราบริเวณหัวน้ำตก

กว่าจะถึง camp ก็ประมาณทุ่มนึง ครบรอบ 24 ชั่วโมงของการเดินทางจากหมอชิตมาถึงใจกลางผืนป่าแขวงอัตปือ เราตั้ง camp กันใกล้ๆน้ำตกบริเวณบ้านของคนดูแลน้ำตก ผมคว้าผ้าขาวม้าเดินมาตามเสียงน้ำจากลำธารที่ได้ยิน แล้วจัดแจงลงไปนอนแช่ในลำธาร กระแสน้ำเย็นไม่ถึงกับหนาวไหลแรงช่วยขับไล่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากระตุ้นความสดชื่นให้กลับมาอีกครั้ง มองไปรอบๆท่ามกลางความมืดยังมองไม่เห็นอะไรเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเป็นลำธารที่ค่อนข้างกว้างใหญ่มาก อาบน้ำเสร็จจัดแจงหาข้าวปลากินกันจนดึกดื่น สภาพอากาศคืนนั้นร้อนมากๆ เรียกได้ว่านอนอยู่ในเต้นท์แทบไม่ไหว ต้องออกมานอนข้างนอก ทั้งๆที่อยู่ใกล้ๆน้ำตก บางส่วนก็ได้อาศัยพัดลมนอกชานบ้านคนเฝ้าน้ำตกหลับนอนกันโดยไม่ต้องกางเต้นท์..

แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงสีทองรำไรมาตามแนวเขา ผมถูกปลุกด้วยเสียงไก่ขันที่ดังอยู่ใต้ถุนบ้านที่พวกเราหลับนอนกันอยู่ ทำให้นอนต่อไปไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาที่ธารน้ำตก ตอนนี้ผมได้เห็นสายน้ำและลำธารใสไหลเย็นของ "ตาดแซพะ" ได้อย่างเต็มตา ภาพที่เห็นก็เป็นลำธารขนาดใหญ่ มีละอองน้ำหรือหมอกลอยขึ้นมาเตี้ยๆปลายเนินเขาเบื้องหน้า แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมเคยเห็นในภาพ ผมได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้เดินกลับมาที่ camp สอบถามจากคนดูแลน้ำตก ปรากฎว่าภาพที่ผมเคยเห็นจะอยู่เลยจากจุดนี้ไปทางขวามือ เดินไปอีกประมาณ 500 เมตรถึงจะเจอ พวกเพื่อนๆเขาเดินไปดูกันตั้งแต่เช้าแล้ว ไอ้ผมก็มัวแต่ถ่ายภาพลำธารตรงที่พักอยู่เป็นนานสองนาน

จากแคมป์เดินเลี้ยวขวามาประมาณ 500 เมตรจะมีทางเรียบลำธารได้ยินเสียงน้ำกระโจนโครมครามดังไปตลอดทางคิดว่าเบื้องหลังแนวป่าที่บดบังสายตาภาพน้ำตกจะเป็นอย่างไรหนอ พอพ้นโค้งมาได้มองเห็นกำแพงน้ำตก ขนาดย่อมๆ ไปยืนถ่ายภาพตัวน้ำตกตรงดงหญ้าคาที่พอจะมองเห็นน้ำตกระยะไกลได้ชัดเจน

พอเดินเข้ามาใกล้ตัวน้ำตกเท่าไหร่ scale ที่มองภาพน้ำตกแต่แรกว่าไม่ได้ใหญ่โตมากมาย กลับขยายขนาดมากขึ้น ขนาดความกว้างใหญ่ของลำธารไหลมาตกลงแก่งขนาดใหญ่ เกิดเป็นภาพม่านน้ำตกทอดยาวขวางลำน้ำ มีเศษก้อนหินขนาดมหึมาที่ถูกพลังทำลายล้างของกระแสน้ำกัดกร่อนจนแตกเป็นเสี่ยงๆกองพะเนินอยู่เบื้องหน้า พวกเราชื่นชมความงามของน้ำตกกันสักพักก็เดินกลับไปที่แคมป์เตรียมตัวเดินทางต่อไปชมความงามของน้ำตกตัวถัดไปที่ชื่อว่า "ตาดแซป่องไล ซึ่งอยู่ทางต้นน้ำของตาดแซพะ

**ตาดในภาษาลาวก็คือน้ำตก**

เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการเดินทางใหม่ จากที่จะนำรถพาพวกเราไปส่งยังตาดแซป่องไล แต่ด้วยระดับน้ำที่ยังสูงอยู่ทำให้ต้องใช้สองเท้าในการที่จะเข้าไปถึงตัวน้ำตกได้กับระยะทาง 7 กิโลกว่าๆ แต่ก่อนจะเริ่มเดินมีอุปสรรคที่สำคัญคือเราจะข้ามน้ำไปอย่างไร ทางทีมประสานงานท้องถิ่นใช้วิธีผูกเชือกกับต้นไม้สองต้นพาดผ่านลำน้ำ ใช้เชือกโยงกับเรือที่บรรทุกพวกเราแล้วสาวเชือกข้ามฝั่งเอา พวกที่รอบนฝั่งก็ยืนลุ้นกันว่าจะข้ามไปโดยสวัสดิภาพหรือไม่ แต่ก็ผ่านไปได้หมด กว่าจะข้ามไปหมดกินเวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เพราะกระแสน้ำที่แรงทำให้บังคับเรือได้ไม่เป็นดั่งใจ

หลังจากข้ามห้วยมาได้ก็เริ่มเดินไปตามทางรถที่ตัดผ่านเข้าไปในผืนป่า ซึ่งตัวน้ำตก 2 แห่งนี้ทั้งตาดแซพะ และแซป่องไลเป็นลำน้ำสายเดียวกัน ได้รับสัมปทานเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอนาคตอันใกล้นี้ ตลอดเส้นทางเราจะได้ยินเสียงจากลำน้ำทางซ้ายทีขวาทีนั่นก็เพราะมีบางช่วงที่ลำน้ำแยกเป็นสองสายแต่ก็ไหลไปบรรจบกันที่ตาดแซพระ บางช่วงก็มองเห็นเกาะแก่งเล็กๆที่โผล่พ้นออกมาจากแนวป่า

เราเดินกันมาเป็นกลุ่มย่อยๆ แล้วแต่ใครเดินไวเดินช้า เดินตามทางลูกรังมาประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วก็ได้ยินเสียงรถอีแต๊กขับตามหลังมาพร้อมกับเพื่อนๆที่อยู่รั้งท้ายเกาะติดรถมาด้วย ทางทีมงานเขากลัวว่าเราจะช้าเลยนำรถอีแต๊กวิ่งอ้อมตัดป่ามารอรับพวกเราตอนขากลับ เลยได้ผ่อนแรงอีกประมาณ กิโลนึง นั่งไปลงตรงใกล้ตาดมากที่สุด หลังจากลงรถแล้วเดินลงเนินมาไม่ไกลพอลับเหลี่ยมโค้งแล้ว ภาพที่เห็นคือกำแพงน้ำตกขนาดมหึมาที่ทำให้ผมถึงกับขนลุก

ยิ่งเดินมาใกล้เท่าไหร่ ขนาดของน้ำตกก็ยิ่งใหญ่โตประดุจดังกำแพงยักษ์ มีมุมให้ถ่ายภาพมากมาย ละอองน้ำที่ปลิวมาโดนกล้องไม่ถึงกับกระเซ็นมามากนักเลยไม่ต้องป้องกันอุปกรณ์ถ่ายภาพเท่าไหร่นัก ผมนั่งลงซึมซับบรรยากาศด้วยสายตา และลงไปนอนแช่บนแก่งน้ำตกเพื่อคลายร้อนสักพัก ก่อนที่จะหามุมถ่ายภาพ สภาพรอบๆบริเวณตัวน้ำตกค่อนข้างอยู่กลางแจ้งไร้ปัญหาว่าจะมีต้นไม้ใมาบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้า แต่จะร้อนสักหน่อย มีมุมหลบแดดตรงตลิ่งด้านซ้ายของน้ำตก ด้านขวาจะเป็นหุบเหวลงไปอีกชั้นไหลต่อไปยังตาดแซพะ ลำน้ำสายนี้เป็นต้นน้ำและลำน้ำสายเดียวกันกับที่ไหลผ่านตาดผาส้วม ตาดอีตู้ ในเมืองปากซองไปลงแม่น้ำเซโดน แล้วไปออกสู่แม่น้ำโขงที่เมืองปากเซ

พวกเรานั่งกินข้าวกลางวันที่เตรียมมากันที่นี่ และถ่ายภาพกันอย่างจุใจแล้วก็เดินทางกลับ แต่คราวนี้มีรถอีแต๊กมารอรับพาตัดผ่านผืนป่าออกไปยังถนนใหญ่เมื่อตอนขามา สภาพเส้นทางที่รถอีแต๊กพาตัดเข้าไปในผืนป่าเป็นทางเหมือนทางด่านสัตว์สังเกตุว่ามีมูลจากสัตว์อยู่ตามรายทาง หรือไม่ก็เป็นเส้นทางหาของป่าหรือชักลากไม้ออกจากป่าของชาวบ้านที่รถประเภทนี้สามารถมุดป่าได้เป็นอย่างดี รถพาพวกเราส่งต่อกันเป็นทอดๆเหมือนขามากว่าจะออกจากป่าเล่นเอาเย็นย่ำ มีฝนตกลงมาพรำเป็นพักๆตลอดทาง อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็วขณะวิ่งออกจากผืนป่าจนรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง เราไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์องค์แก้วกรมดำอีกครั้งเพื่อวางแผนการเดินทางใหม่ เพราะจากกำหนดการเดิมที่เราต้องไปพักที่ตาดหัวคน ที่เมืองละมาม แขวงเซกองแต่เราเสียเวลาไปมากกับการเดินทางกว่าจะไปถึงเมืองละมามคงไม่ต่ำกว่า 4-5 ทุ่มเป็นแน่ อีกทั้งอาหารเย็นยังไม่ตกถึงท้องกันเลย เลยเปลี่ยนแผนกลับมานอนบ้านหนองหลวงเหมือนเช่นเคย

..เช้าวันใหม่ของผมถูกปลุกด้วยเสียงคนตะโกนขึ้นมาว่า "ใส่บาตรกันไหม พระจะมาแล้ว"ลุกขึ้นมานั่งมึนอยู่พักทบทวนความทรงจำว่าเราอยู่ที่ไหน.. เมื่อคืนรถพาเรามาส่งที่บ้านหนองหลวงจัดการหุงหาข้าวปลากินกันแล้วก็นั่งเฮอาปาร์ตี้กันอยู่จนถึง ตี 2 เพิ่งล้มตัวลงนอนไปได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมง ผมลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาขับไล่ความมึนงงแล้วคว้ากล้องออกไปมองภาพเดิมๆ มุมเดิมๆ และอิริยาบทเดิมๆของพระอาจารย์สมหวังที่นำพระลูกวัดเดินจากวัดป่าคีรีวงกตที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน เดินมารับบาตรในหมู่บ้านทุกเช้า เป็นภาพที่คุ้นตาของคนที่นี่ แต่เป็นภาพที่หาได้ยากในสังคมเมืองใหญ่ พระอาจารย์เดินผ่านผมไปด้วยลักษณะท่าทางที่สำรวม พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ จนผมไม่ค่อยกล้าสบตากับท่าน รู้สึกละอายใจ เพราะท่านเคยปรารภว่าไม่อยากให้นำภาพที่ถ่ายที่บ้านหนองหลวงไปเผยแพร่มากนัก เพราะจะทำให้ความเจริญเข้ามาและเมื่อความเจริญเข้ามาวิถีชีวิตผู้คนที่นี่ก็จะเปลี่ยนแปลงไป..

หลังจากใส่บาตรเสร็จหาอะไรรองท้องที่ตรงข้ามบ้านผู้ใหญ่ทิ ซึ่งเป็นโฮมสเตย์ที่เรามาอาศัยหลับนอนเป็นประจำทุกปี เป็นเฝอถ้วยโตร้อนๆราคา 45 บาท ช่วยแก้อาการที่ยังไม่สร่างได้เป็นอย่างดี แล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัวรอรถมารับกลับไปยังด่านช่องเม็กเพื่อเดินทางกลับกันในวันนี้ ระหว่างรอก็นั่งมอง generation ใหม่ของหมู่บ้าน เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขาทุกปี แล้วก็มาชักรูปปิดทริปเป็นที่ระลึกที่มุมเดิมๆเหมือนทุกปี

***การเดินทางไปยังตาดแซพะ - ตาดแซป่องไล หากเดินทางไปเองการเดินทางจะค่อนข้างเข้าถึงลำบาก แต่ถ้าจะไปตายเอาดาบหน้ามีตารางเดินรถจากปากเซไปอัตปือแล้วไปหาทางเข้าป่าเองก็ ตาม link นี้ ตารางเดินรถ แต่ถ้าติดต่อผ่านบ.ทัวร์ตอนนี้เห็นมี บ.KCINDOCHINA ที่จัดไปอยู่ลองโทรสอบถามดู ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวเดินป่าที่จัดไปตอนนี้ที่เห็นๆมี กลุ่มคนแบกเป้ ได้จัดทริปแก้มืออีกครั้งในวันที่ 15-17 ก.ย 60 นี้ ใครสนใจเข้าไปติดตามรายละเอียดได้ใน link นี้ ทริปเบิ่งตาดยักษ์ แซพะ - แซป่องไล


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด



สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.43 น.

ความคิดเห็น