"มัลดีฟส์กำลังจะจม”
แม้จะฟังดูเป็นคำพูดที่มีพลังดึงดูดให้ต้องรีบฉีกกระเป๋าสตางค์แล้วบินไปในทันใด
แต่คำพูดนี้ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เรายอมกัดฟันจ่ายเงินก้อนใหญ่
เพื่อไปใช้ชีวิตติดเกาะในราคาที่หนีไปเที่ยวญี่ปุ่นได้หลายวัน
หรือบินไปเที่ยวยุโรปได้แบบสบายๆ



แต่เพราะ “มัลดีฟส์” เป็น Dream Destinations แรกในชีวิตที่เคยบอกกับตัวเองไว้ว่า “ต้องไปให้ได้เว้ย!!” ซึ่งพูดไว้ตั้งแต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกาะสวรรค์ในฝันนี้มันอยู่ตรงส่วนไหนของโลกกลมๆ ที่กว้างใหญ่ใบนี้ นกระทั่ง .. ร่างกายเริ่มรู้สึกได้ถึงความต้องการไอแดดและน้ำทะเลอย่างแรงกล้า ประกอบกับทนเสพติดการดูภาพน้ำทะเลสีเทอร์คอยซ์ของมัลดีฟส์จากใน Instagram ไม่ไหว เราจึงตัดสินใจว่า “จะไม่ทำให้มัลดีฟส์เป็นแค่ Dream Destinations อีกต่อไป!” -- Don’t worry, Beach happy!! (กลับมาก็แค่จนนน)



การเดินทางไปประเทศมัลดีฟส์มีให้เลือกทั้งไฟลท์บินตรงและเปลี่ยนเครื่อง ซึ่งอันที่จริงมีอยู่หลายสายการบิน แต่ที่ได้รับความนิยมมีอยู่ 2 สายการบิน คือ Bangkok Airways และ SriLankan Airlines – ความแตกต่างของสองทางเลือกนี้มีอยู่เล็กน้อยแต่ก็ให้ทำคิดหนักไม่น้อยคือ บางกอก แอร์เวย์ส ราคาแพงกว่าแต่ได้บินตรงในระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วน ศรีลังกัน แอร์ไลน์ ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศศรีลังกาแต่ราคาถูกกว่านีสนึง แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่เลือกบางกอก แอร์เวย์ส แต่เพราะเรามีเวลาพักผ่อนอยู่ที่มัลดีฟส์แค่ 3 วัน 2 คืน จึงตัดใจเลือกศรีลังกัน แอร์ไลน์ เพราะเวลาบินสวยหรูกว่า ไปถึงมัลดีฟส์เช้าและบินกลับช่วงค่ำ ฉะนั้นจึงมีเวลาอยู่บนเกาะนานกว่าบินกับบางกอก แอร์เวย์ส ซึ่งจะถึงมัลดีฟส์ตอนเที่ยงและต้องบินกลับตอนเที่ยงเช่นเดียวกัน

รีสอร์ทส่วนใหญ่ของมัลดีฟส์ สามารถเช็คอินเข้าห้องพักได้ตั้งแต่ตอนเดินทางไปถึง แม้จะระบุเวลาเช็คอินไว้ตอน 14.00 น. ก็ตาม และถึงแม้จะต้องเช็คเอาท์ตอน 12.00 น. แต่ถ้ามีไฟลท์บินกลับช่วงค่ำ ก็สามารถเตร็ดเตร่อยู่บนเกาะได้จนถึงเวลาออกจากเกาะ – นี่เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมเราจึงเลือกบินกับศรีลังกัน แอร์ไลน์ (กิกิ)



เครื่องบินจากโคลัมโบไปมัลดีฟส์ใช้เวลาแค่อึดใจเดียว ประมาณไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น หลังจากถึงสนามบินอิบราฮิม นาเชอร์ (Ibrahim Nasir Airport) ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดจนสามารถเห็นเครื่องบิน Landing และ Take off ได้แบบชิดติดขอบสนามแล้ว ขั้นตอนการผ่าน ตม. ที่นี่ยังไม่ยุ่งยากเท่าไร ที่สำคัญคนไทยอย่างเราไม่ต้องใช้วีซ่าจ้า และยังสามารถเดินผ่าน ตม. ได้พร้อมกันทั้งครอบครัวอีกด้วย บรรยากาศจึงดูสบายๆ แตกต่างจากเกาหลีหรือญี่ปุ่นที่มีแต่ความมาคุพอสมควร ยิ่งได้กลิ่นลมทะเลพัดโชยมาเพราะสนามบินที่นี่เป็นแบบ Open Air ยิ่งย้ำให้เรารู้สึกว่า น้ำทะเลสีเทอควอยซ์อยู่ตรงหน้าเราแล้ว



DON’T LISTEN TO WHAT THEY SAY. GO SEE!

“ไปให้เห็นกับตา” .. คือคำพูดที่เรามักบอกตัวเองอยู่เสมอก่อนตัดสินใจเดินทางไปที่ไหน ยิ่งมีโอกาสได้เดินทางบ่อยขึ้น ยิ่งใช้หูฟังน้อยลง แต่ใช้ตามองและเปิดใจมากขึ้น เลิกตัดสินใจอะไรก่อนจะได้ไปเห็นกับตาและสัมผัสด้วยความรู้สึกของตัวเอง — มัลดีฟส์ก็เช่นกัน บางคนบอกว่า “มัลดีฟส์แทบไม่ต่างอะไรจากทะเลบ้านเรา” บ้างก็บอก “ที่มันสวยก็เพราะเขาแต่งรูป” .. คำพูดพวกนี้อาจรบกวนความรู้สึกเราได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้วคนตัดสินใจก็คือตัวเราเอง

แน่นอนว่าเราเลือกตัดสินใจมาให้เห็นกับตา ..



.. และแค่ภาพแรกที่เห็น ณ สนามบินอิบราฮิม นาเชอร์ ก็ทำเอาอ้าปากค้างได้แล้ว เพราะน้ำทะเลรอบเกาะของสนามบินใสมากกกกก! ที่สำคัญมันเป็นสีเทอควอยซ์จริงๆ! นึกดีใจว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ไม่เหมือนพัทยาบ้านเราแล้ว เงินทองที่อุตส่าห์ตรากตรำทำงานหนักมาไม่สูญเปล่าแล้ว (โว้ยย!)

การเดินทางจากสนามบินไปยังเกาะของรีสอร์ทต่างๆ มีอยู่สามวิธี คือ Speed Boat, Sea plane และ Domestic Fight หรือเครื่องบินภายในประเทศซึ่งมีค่อนข้างน้อยเพราะใช้กับรีสอร์ทที่มีระยะทางไกลตั้งแต่ 100 – 300 กิโลเมตร แต่รีสอร์ทดังๆ ส่วนมากไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้น ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงเดินทางด้วย Speed Boat และ Sea plane เป็นหลัก ส่วนจะเดินทางแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับการเลือกรีสอร์ทด้วย เพราะถ้ารีสอร์ทอยู่ใกล้ก็สามารถนั่ง Speed Boat ไปได้โดยใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้ารีสอร์ทอยู่ไกลก็จำเป็นต้องนั่ง Sea plane ซึ่งแน่นอนว่าราคาแพงกว่า แต่ก็นับเป็นสูตรของการเที่ยวมัลดีฟส์ที่ไม่ควรพลาด เพราะวิวจากบน Sea plane นั้นสวยงามและยากจะหาประสบการณ์นี้สัมผัสได้จากที่อื่น



รีสอร์ทที่เราเลือกคือ “Veligandu Island Resort” ซึ่งตีลังกาเอาเท้าก่ายหน้าผากคิดมาหลายวันหลายคืนกว่าจะตัดสินใจได้ ด้วยเหตุผลว่าอยู่ในช่วงงบประมาณที่จ่ายไหว ได้นั่ง Sea plane และเป็นรีสอร์ทห้าดาวที่ราคาไม่เจ็บแสบมาก (แต่ก็เจ็บอยู่ดี T T)

เราว่าการวางแผนเที่ยวมัลดีฟส์ ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือตอนเลือกรีสอร์ท เพราะงบประมาณของแต่ละคนไม่เท่ากัน ความต้องการไม่เหมือนกัน บางรีสอร์ทตอบโจทย์ได้แค่บางอย่าง เช่น ราคาถูกแต่รอบเกาะไม่มีปะการัง ในขณะที่บางรีสอร์ทราคาแพงกว่าแต่ก็ดันไม่มีแพ็กเกจแบบ All Inclusive

“All Inclusive” เปรียบเสมือนบัตรผ่านสำหรับความสะดวกสบาย คล้ายป้ายห้อยคอว่า “คุณคือพระเจ้า” ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนเกาะ เพราะสามารถสวาปามได้เกือบทุกอย่างที่อยู่ในเมนูอาหารโดยไม่ต้องมานั่งปวดขมองเรื่องค่าใช้จ่ายระหว่างอยู่ที่รีสอร์ท ยิ่งเป็นคอแอลกอฮอล์ยิ่งเปรมปรีดิ์แบบคูณสองเพราะแพ็กเกจนี้รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ดริ้งก์กันแบบไม่อั้นด้วย!


นอกจากแพ็กเกจ All Inclusive ยังมีแพ็กเกจอาหารให้เลือกอีกสองแบบสำหรับการมาพักผ่อนบนเกาะสวรรค์ คือ Half Board รวมอาหารเฉพาะมื้อเช้าและอาหารค่ำ และ Full Board ที่รวมอาหารทุกมื้อแต่ไม่รวมเครื่องดื่มต่างๆ

ตอนแรกเราสับสนเรื่องแพ็กเกจอาหารอยู่เหมือนกัน แอบเข้าไปใจไปเองว่ามีแต่แพ็กเกจแบบ All Inclusive เท่านั้น แต่ความจริงเราสามารถจองเฉพาะห้องพักที่รวมแต่อาหารเช้าอย่างเดียวเหมือนการเข้าพักในรีสอร์ททั่วๆ ไปก็ได้ เพียงแต่จะต้องเสียค่าอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มเติมระหว่างอยู่บนเกาะ ซึ่งก็เป็นราคาแบบเก๊าะเกาะ ฉะนั้นจึงไม่อาจควบคุมงบประมาณได้ดีเท่าการจองแพ็กเกจแบบ All Inclusive ที่เหมาะสำหรับคนง่ายๆ และขี้เกียจคิดมากอย่างเราเป็นที่ซู้ดดด


การเดินทางสู่ Veligandu Island Resort จะต้องนั่ง Sea plane หรือเครื่องบินน้ำ ซึ่งใช้เวลาเดินทางแค่ 15 นาที แต่ก็เป็น 15 นาทีที่คุ้มค่าเพราะวิวจากบน Sea plane สวยงามอร่ามตามากกก .. เป็นวิวที่ตอบคำถามคาใจก่อนมาของเราได้อย่างไร้ข้อกังขา เพราะสงสัยมานานแล้วว่า สีน้ำทะเลที่มัลดีฟส์มันเป็นสีอะไรกันแน่ ใสเหมือนรูปสวยๆ ในอินเทอร์เน็ตหรือเปล่า แล้วก็เห็นด้วยตาตัวเองจนได้ว่า เออ! มันใสจริง เทอควอยซ์จริง ไม่อิงฟิลเตอร์ใดๆ

เลนส์อะไรที่มีอยู่ในโลก ต่อให้ราคาแพงแค่ไหนก็ไม่สวยสมใจเท่ากับเลนส์นัยน์ตาจริงๆ


ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 81 ห้อง เป็น Beach Bungalow 17 ห้อง และ Water Bungalow 64 ห้อง ซึ่งการเลือกพัก Water Bungalow ดูเหมือนจะถูกฝังลงในสูตรสำเร็จของการเที่ยวมัลดีฟส์สำหรับคนไทยอย่างเรา แต่อันที่จริงเราว่า Beach Bungalow ก็น่าพัก เพราะนอกจากจะได้วิ่งลงทะเลแล้ว ยังได้นอนเกลือกกลิ้งบนหาดทรายด้วย แต่ก็นะ .. คนไทยอย่างเราจะหาห้องพักที่ยื่นลงไปในทะเลพักได้จากที่ไหนในประเทศไทย มาถึงมัลดีฟส์ทั้งทีก็ต้องพักบ้านกลางน้ำสิ!

Water Bungalow ของเวลิกันดูแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ ฝั่งพระอาทิตย์ขึ้นและตก และโซนท้ายเกาะซึ่งจะเป็นบ้านพักสองฝั่งหันหลังชนกัน โซนที่แนะนำคือฝั่งพระอาทิตย์ตกดินซึ่งได้รับการการันตีผ่านเว็บไซต์ TripAdvisor แล้วว่าสวยงามที่สุด เพราะฝั่งพระอาทิตย์ขึ้นจะมีแนวกั้นน้ำ มองออกไปอาจทำให้รู้สึกว่ามีอะไรมาขวางตา ส่วนโซนท้ายเกาะก็เป็นบ้านพักสองฝั่งชนกัน จึงอาจจะดูแออัดไปสักนิด ฉะนั้นฝั่งพระอาทิตย์ตกนี่แหละเหมาะเหม็ง! นอกจากวิวจะสวยที่สุดแล้วยังได้นอนตีพุงดูพระอาทิตย์ตกดินหน้าบ้านด้วย ฟินนนน!!



ความพิเศษอีกอย่างของรีสอร์ทเวลิกันดูคือห้องพักที่นี่มี Jacuzzi ทุกหลัง! แต่ก็นำมาซึ่งความผิดหวังบางอย่างของเราเพราะตั้งใจเอาโดรนไปบินที่เกาะ แต่เพราะ Jacuzzi ทางรีสอร์ทจึงไม่อนุญาตให้นำโดรนขึ้นได้เพราะจะละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพักหลังอื่นๆ ฉะนั้นใครตั้งใจจะเอาโดรนไปบินที่มัลดีฟส์ควรสอบถามรายละเอียดหรือศึกษากฎระเบียบให้ดีก่อน เนื่องจากทุกรีสอร์ทเป็นเกาะส่วนตัวและนักท่องเที่ยวทุกคนตั้งใจมาพักผ่อน การคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลจึงต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง

ไม่ได้ใช้โดรนก็ไม่เป็นไร! .. Don’t worry, Beach happy! อยู่แล้ว เพราะที่เกาะยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมาก แค่กระโดดลงน้ำกับ Snorkeling ก็เพลินไปทั้งวัน! ยังไม่นับรวมเรือคายัคหรือกิจกรรมทางน้ำอื่นๆ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก แน่นอนว่าคนงกอย่างเราไม่สนใจอยู่แล้ว (ฮาา) แค่มีหนังสือสักเล่ม ได้นอนอาบแดด และกระโดดน้ำเล่นเป็นพอ!

แม้หลายคนจะบอกว่ามัลดีฟส์ไม่เหมาะสำหรับคนไทยเพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบอยู่เงียบๆ หรืออยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอะไรให้ทำ แต่สำหรับเรา การพักผ่อนคือการชาร์จแบตให้ชีวิตที่ดีที่สุด ได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติบ้าง ออกห่างจากโลกโซเชียลบ้าง ช่วงเวลาแบบนี้ เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ทำให้เราได้นั่งลงทักทายกับตัวเอง แล้วก็บอกกับตัวเองว่า จะมีอะไรดีไปกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกล่ะ นี่มันมหาสมุทรอินเดียในพื้นที่ของประเทศมัลดีฟส์เลยนะเว้ย!!



อีกหนึ่งกิจกรรมของเวลิกันดูที่แถมมากับแพ็กเกจ All Inclusive คือ Sunset Cruise ซึ่งพิเศษกว่าการนั่งเรือออกไปดูพระอาทิตย์ตกดินธรรมดาคือเรือจะพาล่องเรือออกไปดูฝูงโลมาตามธรรมชาติแหวกว่ายมาขนาบข้างกับเรือท่ามกลางแสงสีทองก่อนอาทิตย์จะลับลาขอบฟ้า — ฟังดูโรแมนติก แต่คนดวงกุดอย่างเราเหมือนถูกลิขิตมาให้ต้องพบเจอกับอุปสรรคก่อน เพราะเรือพาล่องออกไปไกลจนคนขับตัดสินใจหันหัวเรือกลับรีสอร์ทแล้วก็ยังไม่เจอโลมาสักกะตัว

จนกระทั่งเรือใกล้จะถึงรีสอร์ท คนขับก็หันหัวเรือกะทันหันพร้อมกับตะโกนว่า Dolphin!!! แล้วบอกให้ออกมาดูที่หัวเรือได้เลย

เกิดมาในชีวิตเคยเห็นโลมาใกล้สุดก็ที่อควาเรียม แต่การได้มาเห็นโลมาแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรตามธรรมชาติแบบนี้มันรู้สึกได้ถึงความแตกต่างจริงๆ มันดูสวยงาม อิสระ และสัมผัสได้ว่าโลมาเป็นสัตว์ที่น่ารักมากกกก! คนนำทริปบอกทุกคนบนเรือว่าให้ตะโกนเสียงดังๆ หรือทำเสียงวี้ดว้ายกรี๊ดกร๊าดเพราะโลมาชอบเสียงดัง แหม .. นี่มันสัตว์บ้ายอชัดๆ เพราะยิ่งมีเสียงดังจากบนเรือ ฝูงโลมาก็ยิ่งว่ายมาขนาบข้างคล้ายจะเป็นการทักทายหรือหยอกล้อกับเราอยู่นาน

บางครั้งโอกาสอาจมาช้า แต่มันจะมักมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมและสวยงามเสมอ .. ก็บอกแล้วว่า Don’t worry, Beach happy ไง!!


ฤดูกาลของมัลดีฟส์แบ่งออกเป็นสองช่วงแบบง่ายๆ คือ Hi Season และ Low Season ไม่มีร้อน ฝน หนาว อะไรให้ซับซ้อน เพราะอากาศที่มัลดีฟส์อุณหภูมิคงที่แทบตลอดทั้งปี แตกต่างเพียงมีช่วงฝนตกเยอะกับน้อยเท่านั้น โดยช่วงไฮ ซีซั่น คือ เดือนพฤศจิกายน – เมษายน ส่วนโลว์ ซีซั่น คือ เดือนพฤษภาคม – กันยายน

คนไทยส่วนใหญ่จะเลือกเที่ยวกันช่วงโลว์เพราะราคาถูกกว่าเกือบเท่าตัว แต่เราเลือกเที่ยวช่วงไฮคือเดือนมีนาคม เพราะไม่มั่นใจในดวงของตัวเอง ไม่อยากเสียตังค์ก้อนใหญ่เพื่อไปเจอกับพายุฝนตลอดทั้งทริป อย่างน้อยไปช่วงไฮมันคงมีวันฟ้าใสบ้างแหละ แต่ก็ไม่วายเจอกับพายุฝนในวันสุดท้ายก่อนกลับจนได้

ฝนที่มัลดีฟส์เขาว่าตกสั้น ไม่ตกนาน เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลและรีสอร์ทก็ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ฉะนั้นฝนจึงพัดผ่านมาแค่แป๊บเดียว คนส่วนใหญ่จึงเลือกไปช่วงโลว์กันเพราะราคาถูกกว่า แต่จากที่สังเกต แม้ฝนจะตกไม่นานมาก แต่เมื่อฝนหยุดแล้ว คลื่นลมในทะเลก็ยังดูแรงกว่าปกติ และท้องฟ้าก็ดูอึมครึมไม่ค่อยสดใสหรือมีแสงแดดให้สะท้อนสีน้ำใสๆ ของทะเลเท่าไร .. แต่ทะเลก็คือทะเล มีความสบายใจให้เสมออยู่ดี



เราลากกระเป๋าออกมาเตรียมเช็คเอาท์ตอนเที่ยงพอดีเป๊ะ แต่มีกำหนดการออกจากเกาะประมาณ 5 โมงเย็น เพราะบินกลับไฟลท์ดึก ซึ่งผิดแผนนิดหน่อยเพราะฝนดันตก จึงคิดว่าคงไม่ได้เดินเตร็ดเตร่รอบเกาะอย่างที่ตั้งใจไว้ — ไม่เป็นไร นั่งเล่นในบาร์ สั่งของว่างกินให้อิ่มท้องมองวิวทะเลแทนก็ได้ เพราะแพ็กเกจ All Inclusive สามารถใช้สั่งเครื่องดื่มและของว่างได้จนกว่าจะออกจากเกาะเลย .. แต่ก็ต้องเจอเซอร์ไพรส์! เพราะพนักงานที่ล็อบบี้แจ้งว่า สามารถใช้ห้องต่อได้จนถึง 4 โมงเย็น โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม!! -- ไม่รู้เพราะฝนตกหรือไม่มีคนใช้ห้องต่อ แต่ก็คิดว่าคงเป็นความโชคดีในความโชคร้ายที่เจอมาตลอดทริป ไม่สิ เจอมาตลอดทั้งชีวิตนี่หว่า .. หรือเพราะชีวิตคนเราคงต้องพบเจอกับอุปสรรคก่อนเพื่อจะได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มา

เขาก็บอกแล้วไงว่า Don’t worry, Beach happy : )


สรุปค่าใช้จ่ายทริปมัลดีฟส์

  1. ค่าตั๋วเครื่องบิน SriLankan Airlines ราคา 15,580 บาท ต่อคน
  2. ค่าโรงแรม Veligandu Island Resort (All Inclusive) 3 วัน 2 คืน รวมค่า Sea plane ราคา 44,500 บาท ต่อคน
  3. ค่าทิปพนักงานประมาณ $20

รวม 60,680 บาท ต่อคน (เป็นราคาช่วงไฮนะ ถ้าไปช่วงโลว์จะถูกกว่านี้อี๊ก)

หวังว่ารีวิวนี้จะพอสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ ได้บ้าง ถ้าใครอยากไปเที่ยวมัลดีฟส์ด้วยตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน อ่านข้อมูลการเที่ยวมัลดีฟส์แบบง่ายๆ ในเว็บไซต์เราได้นะ http://www.movearound-journey.com/maldives/

หรือติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของเราได้ที่เพจ https://www.facebook.com/movearoundjourney / IG : @movearound_journey จ้า

Movearound Journey

 วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.23 น.

ความคิดเห็น