Basel บาเซิล เมืองสวยอีกแห่งหนึ่งในสวิส หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อแต่ก็ไม่ค่อยโดดเด่นอะไร และก็อาจไม่ได้มาร์กไว้ในแผนที่การเดินทาง จริงๆ ก็ใกล้เคียงครับ เพราะบาเซิลเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ของสวิสก็ไม่ได้มีธรรมชาติอะไรที่โดดเด่น ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้เด่นชัดเมืองอย่างโลซานส์ ลูเซิร์น จะทันสมัยก็ไม่เท่าซูริคหรือเจนีวา แต่บาเซิลเองก็มีอะไรที่เป็นกลิ่นอายของเค้าเองอยู่โดดเด่น ด้วยความเป็นเมืองใหญ่นานาชาติ international city ที่ตั้งอยู่ชายแดนจุดบรรจบกันของสามประเทศคือ สวิส ฝรั่งเศส และเยอรมัน บาเซิลจึงกลายเป็นเหมือนเมืองนานาชาติ มีผู้คนจากหลายประเทศหลากหลาย เป็นที่ตั้งองค์กรระหว่างประเทศมากมาย โดยเฉพาะสำนักงานใหญ่ของ Bank for International Settlement หรือธนาคารกลางโลกที่เป็นพ่อทุกสถาบัน เอ้ยนายธนาคารกลางของทุกธนาคารชาติทั่วโลก แต่ในความเป็นเมืองที่เป็นพหุสังคม บาเซิลกับเงียบๆ เหงาๆ เหมือนสาวเคร่งขรึมแต่ลุ่มลึกแบบนักบัญชี (เวิ่นเว้อมาก ผู้เขียน) เอาเป็นว่าหนึ่งวันสั้นๆ ในบาเซิลไม่ยักกะทำให้เบื่อเลยสักน้อย แม้ว่าวันนั้นฟ้าจะคลุมครึ้มไปทั้งเมืองก็ตาม

ออกจากซูริคแต่เช้าเลยครับ อากาศหนาวมั่กๆ ระยะทางระหว่างซูริคและบาเซิลไม่ไกลมากแค่ชั่วโมงเดียวก็ถือ ประมาณขับไปอยุธยาหรือบางแสนครับ ระหว่างทางผ่านอุทยานแห่งชาติ Jurapark Argau ก็เห็นหิมะแรกๆ ตกปกคลุมจนหนาแล้วขนาดแค่ต้นพฤศจิกายนเองครับ เลยหยุดพักระหว่างทางที่ประสาท Lenzburg ซึ่งตั้งอยู่บนเนินขาลูกเล็กๆ เก็บภาพหิมะนิดหน่อยก็ต้องมุ่งหน้าต่อไปถึงบาเซิล เพราะว่าวันนั้นปราสาทปิดนะครับ ว่าจะนั่งจิบกาแฟชมวิวหิมะหนาวๆ เสียหน่อย

มาถึงบาเซิลจอดรถที่สถานีรถไฟกะว่าจะนั่งรถรางต่อเข้าไปในเมือง ปรากฎว่าความยากลำบากอย่างหนึ่งคือ เราต้องซื้อตั๋วที่ป้ายรถรางซึ่งเป็นเครื่องอัตโนมัต ดังนั้นถ้าไม่มีเหรียญหมดสิทธิ แม้ว่าจะขึ้นรถรางโดยไม่มีคนตรวจตั๋วก็เหอะ แต่ไม่ควรใช่ไหม จับได้อายเขาแย่ ปรากฎว่าตรงกันข้ามคือ Mc Donald ก็เลยเข้าไปขอแลกเหรียญสักหน่อย กลายเป็นเจอน้องคนไทยที่นี่อายุยังน้อยแค่ 20 ต้นๆ ก็เป็นผู้จัดการร้านเสียแล้ว คุมพ่อครัวที่เป็นฝรั่งอายุเยอะๆ ได้นับถือจริง ปรากฎว่าไม่แค่น้องเค้าจะเลี้ยงแมคฟรีไม่คิดตังแล้ว (เกรงใจมากเลยครับ) ยังแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวด้วย มาบาเซิลไม่ต้องขึ้นรถรางหรอก เมืองเล็กๆ เดินไปไหมมาไหนก็ทั่วแล้ว และก็จริงตามน้้นจริงๆ เดินดุ่มๆ จากหน้าร้านก็ถือกลางเมืองบาเซิลภายในเวลา 10 นาที ระหว่างทางได้บรรยากาศอะไรๆ น่ารักๆ ด้วย อย่างช่วงนี้เหมือนบาเซิลจะมีเทศกาลอะไรสักอย่างด้วย และยังเจอร้านอาหารไทยที่ขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังของบาเซิลเลย น้องเขาบอกว่าน้ำซุปอร่อยมากแบบไทยแท้ๆ แต่เห็นราคาแล้ว อืม แม้จะอยากกินอาหารไทยมากก็เหอะ หนีร้อนมาพึ่งหนาวจากบ้านเรามา 20 วันแล้ว โชคดีวันพรุ่งนี้กลับบ้านพอดี เลยไม่ได้ลองก๊วยเตี๋ยวราคาเหยียบพันบาทเลย


บาเซิลเป็นเมืองเล็กๆ จริงๆ นั้นแหล่ะ และเมื่อดูด้านการท่องเที่ยวก็ไม่ได้โดนเด่นเหมือนเมืองอื่นของสวิสเซอร์แลนด์เลยครับ ทั้งที่ตัวเมืองเก่าก็ยังสตาฟอาคารโบราณสถานต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่ยุคกลางจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการเอาไดว้อย่างเหนียวแน่น แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมาบาเซิลก็เพื่อมาช๊อปปิ้ง และพักตั้งหลักก่อนจะขึ้นไปเที่ยวชมยอดเขาจูรา Jura Peak (แต่เป็นผมพักเบิร์นหรือฟรีบร๊วกน่าใกล้กว่าเยอะเลย) หรือเดินทางต่อไปยังป่าดำของเยอรมันก็ไม่ไกลครับ

แลนด์มาร์กหนึ่งเดียวของบาเซิลก็คือตัวเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์ จะเห็นยอดวิหารแห่งเมืองบาเซิลอยู่ไม่ไกลจากสะพานหลักที่ทอดข้ามจากตัวเมืองใหม่ไปต้วเมืองเก่า ซึ่งเป็นวิหารเก่าแก่และมีภาพแกะสลักจากหินทรายอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างภาพเซนต์จอร์จปราบมังกร อ้อวันนั้นที่ไปมีงานวัดด้วยครับ งานวัดจริงๆ เหมือนที่ไทยครับชอบจัดตามวัดเหมือนกัน





เมืองบาเซิลเข้าร่วมกับสหพันธรัฐสวิสย้อนหลังกลับไปตั้งแต่ปี 1501 ประวัติศาสตร์ของเมืองกลับย้อนหลังไปถึงตั้งแต่ยุคที่ชาวโรมันมีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้กันเลยโดยสมัยนั้นถือว่าบาเซิลเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน บาเซิลมาโดดเด่นเอาจริงๆ เพราะเป็นที่ประทับของบิชอปออกัสต้า ลอริก้า ในราวศตวรรษที่ 7ซึ่งในยุคนั้นคริสตจักรมีอำนาจมากบิชอปมีอำนาจปกครองเมืองๆ หนึ่งได้เลย บาเซิลมีบิชอบปกครองสืบต่อกันมาหลายรุ่นเคยเป็นเมืองของอาณาจักรต่างๆ โดยรอบทั่งเยอรมันและฝรั่งเศส เคยถูกเผาทำลายจากกองทัพชาวแมกย่าที่มาจากฮังการี ก่อนที่สุดท้ายจะถูกผนวกเป็นเมืองหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิในปี 1032 จนกระทั่งการล่มสลายของจักรวรรดิ บาเซิลจึงได้ปกครองตัวเองระยะหนึ่งก่อนที่จะเข้าร่วมกับสหพันธรัฐสวิสมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างที่บอกครับ ประว้ติศาสตร์ของบาเซิลเองก็ไม่มีอะไรโดดเด่นมากนักเพราะความที่ตั้งอยู่ชายแดนระหว่างสามประเทศก็เลยตกเป็นของประเทศรอบข้างๆ มากกว่าที่จะสร้างประว้ติศาสตร์ของตนเองที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ก็กลายเป็นส่วนทำให้ขับจุดเด่นของการเป็นเมืองทางการทูตแทน โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคกลางกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ส่งเสริมการค้าในยุโรปได้ เพราะตั้งอยู่ริมแม่น้าไรน์ที่ยาวที่สุดในยุโรปตะวันตกและเป็นเส้นทางสายไหมของยุโรปมาจนถึงปัจจุบัน ในมุมที่ดูไม่พลุกพล่าน ความเป็นเมืองสากล และนักท่องเที่ยวที่ไม่มากมาย ทำให้บาเซิลในบางปีได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งถ้าใครไปก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าทำไมเป็นเช่นนั้น

ศูนย์กลางการค้าของบาเซิลก็อยู่ที่ย่าน Martplatz หรือ Market Square อันเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองที่เห็นเป็นปราสาทสไตล์เรเนซองส์สีแดงสูงในภาพนั้นล่ะครับ ซึ่งจะเป็นแหล่งรวมแบรนด์หรูๆ รวมทั้งถนนคนเดินในเช้าวันเสารืด้วยล่ะ แต่ที่เยอะที่สุดคือร้านนาฬิกาครับสมกับเป็นสวิส แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยซื้อนาฬิกาในสวิสกันหรอกครับ แค่นั่งรถรางสาย 8 ออกไปแค่ 20 นาทีก็จะถึงห้างใหญ่ในเยอรมัน ซึ่งราคาอาจจะพอกันแต่ไม่ต้องเสียภาษีเพราะสวิสไม่ได้อยู่ในส่วนหนึ่งของอียู ดังนั้นที่ด่านจะเห็นรถติดยาวมากๆ เพราะส่วนหนึ่งคนสวิสจะมาขอคืนภาษีกันเยอะมาก แต่นั้นแหล่ะ พอเข้าสวิสก็ต้องหลบดีๆ เพราะศุลกากรสวิสก็ไม่โง่นะ ตั้งอยู่บนถนนตรงข้ามศุลกากรเยอรมันกันเลยล่ะ




สุดท้ายเราสามารถนั่งรถรางสาย 8 ซึ่งน่าจะเป็นรถรางข้ามประเทศสายเดียวในโลกเพราะไปสุดสายที่เมือง Weil am Rhein ในเยอรมัน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ก็จริงแต่มีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่มากมีที่จอดรถฟรีด้วย หาได้ยากมากในยุโรป และลูกค้าส่วนใหญ่กลับเป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในบาเซิลนี้ล่ะครับ ก็เพราะของใช้ต่างๆ ในเยอรมันมีราคาถูกกว่าสวิสมาก และชาวต่างชาติก็ไม่ต้องเสีย VAT อีกด้วย ไงครับ งั้นปิดท้ายกันข้ามแม่น้ำไรน์ไปดูฝั่งเยอรมันกันสักนิด และขอขอบคุณที่ติดตาม www.facebook.com/theTravelBagStory นะครับ


TravelTherapy

 วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.17 น.

ความคิดเห็น