ซิน จ่าว...สวัสดีค้าบบบบ
เนื่องด้วยอาทิตย์ที่ผ่านมาเราได้ Backpack กันไปที่เวียดนามเหนือกันมา
ก็เลยจะมารีวิวพร้อมกับแบ่งปันข้อมูลที่ได้จากทริปนี้ ว่าเราเจออะไรกันมาบ้าง แล้วเวียดนามเหนือมีดีอะไร ทำไมนักท่องเที่ยวถึงนิยมไปกันเยอะ ต้องไปดูกัน อาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังจะไปเวียดนาม
แต่หากมีข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค้าบ


ทริปนี้มีสมาชิกด้วยกัน 5 คน ไปทั้งหมด 5 วัน 4 คืน โดยเราจองตั๋วโปรของ Air Asia ข้ามปีกันเลยทีเดียว ค่าตั๋วประมาณคนละ 2,2xx บาท ถือว่าราคาดีพอสมควร


แพลนคร่าวๆของเราคือ
28 Sep 2017
- BKK to Noi bai International Airport
- Private Van from Airport to Hanoi
- Walk around Hanoi
- Night train to Lao Cai Station
29 Sep 2017
- Arrive Lao Cai Station
- Bus to Sapa Summit Hotel
30 Sep 2017
- Check in at Sapa Eden Hotel
1 Oct 2017
- Sleep Bus to Hanoi
- Check in Hanoi Guesthouse Hotel
2 Oct 2017
- Walk around Hanoi
- Private Van to Noi bai International Airport
- Noi bai International Airport to BKK
***********************************
เตรียมตัวอะไรบ้าง ?
1.Agency ก่อนเดินทาง 1 เดือน เราได้ติดต่อ Agency ชื่อ Ms.Houng โดยให้จองรายการต่างๆ คือ
- รถมารับที่สนามบินนอยไบ ไปส่งที่ office ราคา 15$ ต่อคนก็คนละ 3$ (ย่าน Old Quarter) สามารถฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ได้ และมีห้องให้อาบน้ำก่อนไปขึ้นรถไฟ
- รถไปส่งที่สถานีรถไฟฮานอย (ฟรี)
- ตั๋วรถไฟจาก Hanoi to Lao Cai ราคา 29$/คน
- รถบัสจากสถานี Lao Cai ไปส่งที่โรงแรม Sapa Summit ราคา 3$/คน
- รถบัสนอนขากลับจาก Sapa to Hanoi ราคา 13$/คน
- รถมารับที่ฮานอยไปส่งที่สนามบินนอยไบวันกลับ 13$ ต่อคนก็ตกคนละ 2.6$
รวมทั้งหมด 253$ ตกคนละ 50.6$ สำหรับผมถือว่าคุ้มครับ สะดวกสบายและประหยัดเวลาไปได้เยอะ
2.ที่พัก เรานอนบนรถไฟ 1 คืน , พักที่ซาปา 2 คืน และที่ฮานอยอีก 1 คืน เราจองที่พักผ่าน Agoda และ Booking ไปเลยครับ แต่จริงๆที่ซาปาสามารถ walk-in ได้เลย เพราะว่าที่พักมีให้เลือกเยอะมาก อยากได้วิวแบบไหนก็จัดเลย
3. ช่วงที่เราไปอากาศที่ฮานอยค่อนข้างร้อน แต่ที่ซาปาอากาศกำลังดีครับ เย็นๆ ไม่ถึงกับหนาว อาจมีฝนบ้าง เตรียมเสื้อกันฝนติดไปก็ดีครับ
4.แลกเงิน เราแลกเงินจากไทย 10,000 บาท เหลือเศษนิดนึง ได้มา 300$ แล้วเอาดอลล่าไปแลกเป็นเงินดองที่สนามบินนอยไบ100$ ได้มาประมาณ 2,250,000 VND เรทตอนที่เราไปอยู่ที่ 1$ = 22,550 VND
5.ซิมการ์ด เราซื้อซิมการ์ดกับทาง Agency ในราคา 7$ ใช้ได้ Unlimited และไม่จำกัดวัน
6.การหยิบโทรศัพท์หรือกล้องขึ้นมาถ่ายรูปบนท้องถนนก็ให้ระมัดระวังกันสักนิดนึงครับ
7.ที่ซาปาสามารถเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเที่ยวได้ แต่ละที่ไม่ไกลกันมากนัก ถ้าให้ทางโรงแรมเช่าให้ ราคาก็จะแพงกว่าเช่าตามร้านข้างทางพอสมควร และการนับเวลาเช่าของที่นี่จะไม่เหมือนบ้านเรา ไม่ว่าเราจะเช่าตอนไหนก็ต้องคืนรถในวันนั้นนับเป็น 1 วัน ถ้าเป็นของบ้านเรา เช่าวันนี้เที่ยงก็คืนรถพรุ่งนี้เที่ยงอะไรประมาณนี้


ฝากกดถูกใจเพจบันทึกการเดินทางเล็กๆของผมเพื่อเป็นกำลังใจในการทำรีวิวต่อไปๆด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/TheBackpackersOfAnOrdinaryMan

เอาล่ะ ไม่ให้เสียเวลา ไปกันเลยดีกว่า.............




28 Sep 2017
The First in Hanoi



03.50 ตื่นไปเที่ยวกันเถอะ.....
ไฟลท์ของเราเวลา 07.05 น. แต่เนื่องด้วยต้องรีบมาเช็คอิน เลยต้องแหกขี้หูขี้ตาตื่นแต่เช้า
มาถึงดอนเมืองเกือบๆ ตี 5 แถวยังสั้นอยู่ แปปเดียวก็เสร็จ จากนั้นแยกย้ายกันไปทำธุรกิจส่วนตัว เตรียมตัวออกเดินทางสู่ฮานอย ประเทศเวียดนาม…



เรามาถึงฮานอยประมาณเกือบๆ 9 โมง โดย Agency จะให้คนที่ขับรถมารับเรามาถือป้ายที่มีชื่อเรารออยู่ รู้สึกเหมือนเป็นดาราแล้วมี FC มาชูป้ายไฟ 555 จากนั้นเราก็ขอเขาไปแลกเงินก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าเมืองฮานอยกันเถอะ...
บรรยากาศภายในรถ ดูจากมุมที่ถ่ายแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่นั่งผมมัน VIP แค่ไหน 555
นั่งชมวิวเมืองระหว่างทางไปเรื่อยๆ อ่อลืมบอก ที่นี่เขาขับรถเลนขวากันนะครับ พวงมาลัยอยู่ทางซ้าย ตอนเช่ามอเตอร์ไซค์ที่ซาปา แรกๆ ขับซ้ายลืมตัว 555


เรามาถึงฮานอยประมาณเกือบๆ 9 โมง โดย Agency จะให้คนที่ขับรถมารับเรามาถือป้ายที่มีชื่อเรารออยู่ รู้สึกเหมือนเป็นดาราแล้วมี FC มาชูป้ายไฟ 555 จากนั้นเราก็ขอเขาไปแลกเงินก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าเมืองฮานอยกันเถอะ...
บรรยากาศภายในรถ ดูจากมุมที่ถ่ายแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่นั่งผมมัน VIP แค่ไหน 555
นั่งชมวิวเมืองระหว่างทางไปเรื่อยๆ อ่อลืมบอก ที่นี่เขาขับรถเลนขวากันนะครับ พวงมาลัยอยู่ทางซ้าย ตอนเช่ามอเตอร์ไซค์ที่ซาปา แรกๆ ขับซ้ายลืมตัว 555


หลังจากตกลงและชำระเงินค่ารายการที่เราได้จองไว้เสร็จแล้ว เราก็ฝากกระเป๋ากันไว้ที่นี่ แล้วออกไปเดินเที่ยวรอบฮานอยกัน..
สถานที่แรกที่เราไปกันคือ โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph Cathedral) เนื่องจากอยู่ไม่ห่างจาก office มาก เดินมานิดเดียวก็ถึง โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในฮานอย ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของฮานอยเลยก็ว่าได้ครับ


สวยงามมากจริงๆ




หลังจากถ่ายรูปโบสถ์กันสักพักก็เริ่มหิวกันแล้ว มื้อแรกของฮานอยเราตั้งใจกันว่าจะไปกินบุ๋นฉ่า (อาหารยอดนิยมของชาวฮานอย) กันที่ร้าน Bún Chả Hương Liên
จากโบสถ์ไปที่ร้านระยะทางประมาณ 2 กิโลกว่าๆ เราอยากลองเดินกันดู คือตอนนั้นเวลาประมาณเกือบๆเที่ยงแดดกำลังดีเลย ดีจนเหงื่อท่วม 555
ระหว่างทางก็เดินชมเมืองเขาไปเรื่อย เดินผ่านโรงเรียนเห็นผู้ปกครองมารอรับนักเรียนกลับกันเต็มเลย คือวัฒนธรรมที่นี่พักเที่ยงเขาจะให้นักเรียนกลับไปกินข้าวที่บ้าน ซึ่งต่างจากบ้านเราที่จะเน้นให้เด็กอยู่ที่โรงเรียน..


ถึงสักที.. หิวแล้ววววว



ร้านนี้มีหลายชั้นนะครับ มีลิฟต์ด้วยนะเออไม่ธรรมดา อีกทั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่าง บารัค โอบามา เคยมานั่งทานด้วยนะครับ รู้สึกว่าจะมาถ่ายทำรายการอะไรซักอย่างนี่แหละ จากนั้นทางร้านก็มีโอบามาเซท ซึ่งเป็นเซทที่โอบามาเคยทานไว้ให้ลูกค้าเลือกด้วยครับ ผมก็จัดมาเลยอย่าได้รีรอ หิวมากกกกตอนนี้

โอบามาเซทประกอบด้วยบุ๋นฉ่า เปาะเปี๊ยะทอด และเบียร์ฮานอย เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมจีนและผัก ทั้งหมดนี้ในราคาเพียงแค่ 85,000 ดอง เท่านั้น
**บุ๋นฉ่า เป็นเมนูที่เอาหมูย่าง มาใส่ในน้ำซุปออกหวานๆ ส่วนตัวผมชอบในที่สุดในบรรดาอาหารเวียดนาม ถ้ามาฮานอยต้องลองให้ได้ครับ แนะนำๆ


กินกันอิ่มหนำสำราญแล้ว อิ่มจริงๆนะ เห็นในรูปเหมือนจะชามเล็กๆ แต่จริงได้เยอะมาก มื้อนี้เช็คบิลมาทั้งหมดราคา 325,000 ดอง
เราจะไปที่ต่อกันที่สุสานโฮจิมินห์ แต่คุยกันแล้วว่า แท็กซี่เถอะ ไม่เดินแล้วเนอะ ไกลชิหายยยย
**การเลือกแท็กซี่เราได้ถามทาง agency เรามาแล้ว เธอแนะนำให้ใช้บริการของบริษัท taxigroup จะรอดต่อการโดนโกงได้ (แต่เรื่องขับพาอ้อมไม่การันตีนะ 555) มิเตอร์จะเริ่มที่ 10,000 ดอง
เรานั่งจากร้าน Bún Chả Hương Liên ไปที่สุสานโฮจิมินห์ ราคา 64,000 ดอง หาร 5 ถือว่าราคาพอรับได้ ดีกว่าเดินเยอะ
...ถึงแล้ว...สุสานโฮจิมินห์ ที่นี่เป็นที่เก็บร่างของโฮจิมินห์ อดีตประธานาธิบดีของเวียดนาม อาคารสุสานที่เห็นนั้นสร้างด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และไม้มีค่าจากทั่วประเทศ และมีทหารกองเกียรติยศยืนถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา


แต่น่าเสียดายเราได้สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่าช่วงนี้ปิดปรับปรุง ไม่สามารถเข้าไปดูด้านในได้ แต่ไม่เป็นไรไว้คราวหน้าเราจะกลับมาใหม่


ต่อกันที่วัดเสาเดียว อยู่ใกล้ๆกับสุสานโฮจิมินห์ วัดนี้ได้รับการรับรองเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นของเอเชียจากกินเนสส์บุ๊คเอเชียด้วยนะ



พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ แต่เราไม่ได้เข้าไป ถ่ายแต่ข้างหน้ามา


ถ่ายรูปกันสักพักก็ต้องไปกันต่อ เนื่องจากต้านทานแดดไม่ไหวจริงๆ
ต่อไปเราจะไปกินกาแฟที่ชาวเวียดนามนิยมกันมากๆ นั่นก็คือ กาแฟไข่ ร้านนี้ต้องเปิด map ดูดีๆครับ เนื่องจากทางเข้าร้านจะเป็นซอกเล็กๆ แล้วต้องขึ้นไปชั้นบน


บรรยากาศภายในร้านดู classic ดีนะ


เราก็สั่งเมนู recommend มาเลย “กาแฟไข่”
รสชาติก็เข้มข้นและมันๆ ก็ผสมกันได้ลงตัวดีนะ


ต่อไปเราจะไปกินไอติมที่ชาวเวียดนามกินกันเยอะมากๆ นั่นคือร้าน Kem Trang Tien ที่ฮานอยจะมีหลายสาขาครับ ละแวกเดียวกันนี้ก็หลายร้านละ


เมื่อเข้ามาข้างในจะเห็นคนเวียดนามยืนกินกันอย่างเมามัน


ไอติมก็มีทั้งแบบแท่งและแบบตักใส่โคน เราก็จัดกันคนละแท่ง คนละรสชาติ ราคาอยู่ที่ไม้ละ 70,000 - 80,000 VND ไอติมมันจะออกหวานๆหน่อย สงสัยคนที่นี่น่าจะติดหวาน ได้อารมณ์เหมือนกินไอติมโบราณบ้านเรา แต่มาฮานอยแล้วก็ต้องมาลองให้ได้ครับ


ไปต่อกันเถอะ... เราไปเดินเล่มกันที่ริมทะเลสาบฮว่านเกี๊ยม ที่นี่เย็นๆก็จะมีคนมาออกกำลังกาย หรือนั่งริมทะเลสาบกันเยอะ และมีอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญที่นักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายรูปกันเยอะมากๆ นั่นคือ สะพานเทฮุก


สะพานเทฮุก (The Huc) หรือสะพานแสดงอาทิตย์ ตกเย็นนักท่องเที่ยวเริ่มเยอะ
ถ้าข้ามสะพานไปก็จะเป็นวัดหงอกเซิน (Den Ngoc Son, Jade Mountain Temple) ซึ่งเราไม่ได้ข้ามไป

ใกล้เวลาที่เรานัดกับทาง agency ไว้แล้ว... ต้องกลับไปอาบน้ำเตรียมตัวขึ้นรถไฟไปซาปา
ระหว่างทางกลับ ก็เจอกับแยกนี้ ข้ามถนนโคตรสนุกเลยครัชแหม่ บีบแตรกันจนขี้หูสั่นเลยทีเดียวเชียว


ก่อนไปเก็บของ เราแวะกินเฝอที่ร้านฝั่งตรงข้ามกับ office เป็นร้าน Street food เล็กๆ
รสชาติก็พอใช้ได้ รสไก่ออกเยอะมาก เหมือนแกต้มไปทั้งเล้า 555 มื้อนี้ราคารวม 205,000 VND


อิ่มแล้วก็ไปอาบน้ำ เก็บของกันเถอะ...
ทีแรกคิดว่าที่ office จะมีแค่ห้องอาบน้ำให้ แต่ปรากฎว่ามีเป็นห้องพักมีเตียงให้ด้วยครับ อาบน้ำเสร็จนอนรอเวลาได้เลย เดี๋ยวพอรถมาถึงเธอจะขึ้นมาตามเราเอง คุ้มมากจริงๆ ไม่ต้องเสียค่าที่พักด้วย


แท็กซี่มาส่งเราที่สถานีรถไฟฮานอย โดย agency ก็มาส่งเราด้วย บริการดีจริงๆ


สักพักก็เรียกขึ้นรถไฟ

ไปดูกันดีกว่าบรรยากาศเหมือนรถไฟบ้านเราหรือป่าว


ภายใน 1 cabin จะมีทั้งหมด 4 เตียง ชั้นบน 2 ชั้นล่าง 2 เรามากัน 5 คน เลยต้องแบ่งกันเป็น 3 กับ 2


อาหารเครื่องดื่มที่วางบนโต๊ะนี้ฟรีทั้งหมด


บนรถไฟ..เราได้พบกับโอปป้าคนหนึ่ง นอน cabin เดียวกับเรา ปลายทางคือซาปาเหมือนกัน เขามากับครอบครัวเขาแต่แยก cabin กัน เราพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เดินทางกัน ได้รู้ว่าเขาไปมาแล้วหลายประเทศในโลก และเคยไปประเทศไทยแล้วหลายครั้งตั้งแต่ปีค.ศ. 1980 โดยเขาบอกว่าการเดินทางเขาจะไม่มีแพลนล่วงหน้า และไม่จองที่พักหน้า จะ walk-in อย่างเดียว นี่สิ backpacker ตัวจริง แล้วเรามารู้ทีหลังว่าเขาขึ้นเครื่องมาจากดอนเมืองไฟลท์เดียวกันกับเรา บังเอิญจริงๆ เขาบอกว่าเป็น “Destiny” 555 โดยครั้งนี้เขาตั้งใจจะไป trekking ที่ซาปา แล้วจะต่อไปจีน ถ่ายรูปไว้ที่ระลึกหน่อย แช๊ะ..


คุยไปคุยมาเขาก็หยิบหนังสือสำหรับบันทึกการเดินทางให้พวกเราไว้เล่มนึง แล้วก็หยิบ guide book ของเวียดนามขึ้นมา บอกว่าก่อนมาเวียดนามเขาก็อ่านจากเล่มนี้ เดี๋ยวจะให้พวกเรา แต่เขาจะเอาไปให้ที่โรงแรมที่ซาปา...


คุยกันเพลินจน 5 ทุ่มกว่า ก็ขอตัวแยกย้ายกันไปนอน เก็บแรงไว้ลุยต่อวันพรุ่งนี้

แล้วเจอกัน...ซาปา...

Together Backpacker

 วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.54 น.

ความคิดเห็น