"โอ๊ยยยย!! อีด*ก มึงพากูมาทำอะไรที่นี่"


คำพูดแสนไพเราะที่คุ้นหูดังมาจากเพื่อนสาวที่ไม่ได้เจอกันนาน ซึ่งเพื่อนหารู้ไม่ ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบๆแอบยิ้มกรุ่มกริ่ม และหัวเราะในใจว่า "นี่แหละ สิ่งที่กูอยากได้ยิน 555" เพราะหลังจากที่เราเรียนจบ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน แต่แล้ว....ฟ้าก็ประทานวันหยุดมาให้!! วะฮะฮะ

ครั้งนี้เพื่อนเดินทางมาหาเราที่เชียงใหม่ และในฐานะเจ้าภาพที่ดี เราก็ต้องพามันไปเที่ยวสินะ เราได้ทำการวางแผนว่าจะพาเพื่อนไปนอนบ้านพักกลางทุ่งนาที่ป่าบงเปียงตามรีวิวสวยๆ แต่แล้วด้วยความที่เป็นวันหยุดนั้น... ที่พักเต็มค่ะ!! เราเลยต้องเปลี่ยนแผน ชะนีเลยไปทำเสิร์ชหาข้อมูลมาใหม่ และตัดสินใจว่าจะพาเพื่อนไปเที่ยวน้ำพุร้อน ซึ่งชะนีรู้อยู่แล้วว่าทางที่จะไปค่อนข้างลำบาก แต่ก็ไปเป่าหูเพื่อนว่า "มึง เดี่ยวเราขึ้นดอยไปนอนรีสอร์ท แช่ออนเซ็นอุ่นๆกัน" พร้อมกับโชว์รูปสวยๆรัวๆ เจอเบบนี้เข้าไป มีรึจะปฏิเสธ!!

พอตกลงกันเรียบร้อย เราก็เก็บกระเป๋าแล้วไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ร้านประจำ(Buddy Bike Rental)ในราคาวันละ 200 บาท ตอนแรกกะว่าจะเช่ารถเกียร์แต่พอดีมีคนเช่าไปหมดแล้ว เราเลยบอกกับทางร้านว่าจะขึ้นดอย เค้าเลยเลือกรถที่ค่อนข้างใหม่และแรงให้ ซึ่งได้เป็น Honda Click มาแทน

เราออกเดินทางกันประมาณเที่ยงเพื่อไปแวะที่ม่อนแจ่มก่อน ครั้งนี้เราไม่ได้ใช้ถนนเส้นหลักที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน เราใช้เปลี่ยนมาใช้ถนนเส้นแม่แรมเข้าทางหลังม่อนแจ่มซึ่งถนนเส้นนี้สวยมากแถมรถไม่ค่อยเยอะด้วย

ถนนเส้นแม่แรม


ถนนเส้นหลังม่อนแจ่ม

และแล้วเราก็มาถึงม่อนแจ่มภายในเวลาชั่วโมงกว่าๆ เนื่องจากแวะถ่ายรูปตลอดทาง

อากาศที่นี่เริ่มเย็นลงแล้ว จึงมีหมอกให้เห็นกันพอสมควร


บางคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ! ไปม่อนแจ่มตั้งหลายครั้ง ทำไมฉันไม่เคยเห็นมุมนี้ ไม่ต้องแปลกใจค่ะ มันคือไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่พึ่งเปิดใหม่อยู่ทางด้านหลังม่อนแจ่ม เพราะฉะนั้น มาก่อนคือชนะค่ะ! หึๆ (ยิ้มมุมปาก)

แต่มาก่อน คือ ไม่เห็นสตรอว์เบอร์รี่จ้ะ!

หลังจากปล่อยให้เพื่อนชื่นชมธรรมชาติ อิ่มอกอิ่มใจกับบรรยากาศดีๆแล้ว ก็ได้เวลาพามันไปพบกับโลกแห่งความจริงแล้ว นี่นางคงยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองสินะ หึๆ ไฮไลท์ของทริปนี้มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ต่างหากล่ะเพื่อนสาววววว

เราขับรถมุ่งหน้าไปยังน้ำพุร้อนโดยใช้ถนนเส้นสะเมิงเข้าสู่บ้านโป่งกว๋าวไปยังรีสอร์ท สภาพถนนค่อนข้างดี แต่สามกิโลเมตรสุดท้ายต่อจากนี้คือจุดพีค


"โอ๊ย! มึง เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย" "เอาแล้ววว... จะไปยังไงเนี่ย"

"โอ๊ยยยย!! อีด*ก มึงพากูมาทำอะไรที่นี่"

ณ เวลานั้นทำได้อย่างเดียวคือขำ แล้วก็ลงจากรถเดินลุยโคลนไป เนื่องจากถ้าซ้อนกันผ่านจุดนี้ไป มีหวังล้มคู่แน่ๆ บาปกรรมตามทันจริงๆ 555


ด้วยความที่เพื่อนสาวนั้นใส่รองเท้าผ้าใบคู่แพงมา นางก็กลัวรองเท้าเปื้อน ก็เลยต้องเท้าเปล่าฉะนี้แล ส่วนชะนีนั้นลากอีแตะมา เพราะฉันรู้อยู่ก่อนแล้ว วะฮะฮะ


สำหรับคนที่มีรถยนต์ หรือจะมาพักในช่วงฤดูหนาว ไม่ต้องห่วงจ้า ผ่านได้สบายๆ ส่วนขาลุย สายแว๊น เดินทางหน้าฝน เชิญทางนี้เลยเจ้า 5555


ก่อนถึงทางเข้ารีสอร์ทจะมีน้ำไหลผ่านถนนทางเข้าไป ขับรถผ่านน้ำไปอี๊กกกก แต่ทว่า ฟ้าดินไม่เคยเข้าข้างคนเลว เพราะประตูปิดจ้า!! 555 เราต้องขับรถไปเข้าประตูอีกทางซึ่งเป็นร้อยเมตรสุดท้ายที่โหดสุด


ขำทั้งเพื่อน ขำทั้งตัวเองที่ต้องรับกรรมเดินลุยโคลนเพราะแกล้งเพื่อน


และแล้วในที่สุด เราก็มาถึงน้ำพุร้อนโป่งกว๋าวรีสอร์ทแอนด์สปา เห็นแล้วรู้สึกว่า เออ คุ้มวะ! ที่อุตส่าห์ลุยโคลนมา


ห้องพักของเรา




เนื่องจากที่รีสอร์ทใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ เราจะสามารถใช้ไฟฟ้าได้ตอนเวลาห้าโมงเย็น บางทีไฟก็ดับ ถ้าไฟจากแผงโซลาร์ไม่พอใช้ สิ่งที่เราอยากแนะนำสำหรับคนที่อยากจะมาพักที่นี่ คือ ไฟฉายและแบตสำรอง อีกอย่างนึงคือ ลืมเรื่องโซเชียลไปได้เลยค่ะ เพราะไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ แต่ว่าดีนะ ห่างจากโซเชียลแล้วอยู่กับคนข้างๆบ้างก็ได้เนอะ :)



ทั้งรีสอร์ทมีเรากับเพื่อนพักกันแค่สองคน เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่ข้อดีก็คือ เราสามารถลงแช่น้ำร้อนที่สระไหนก็ได้ ซึ่งทางรีสอร์ทเค้ามีทั้งสระส่วนตัว สระรวมส่วนตัว สระรวมกลางแจ้งและในร่มไว้บริการ สำหรับคนที่ไม่ได้พักที่นั่นก็สามารถเดินทางไปแช่น้ำร้อนได้เช่นกัน สำหรับผู้ใหญ่ราคาจะอยู่ที่ 80 บาท ส่วนเด็ก 40 บาท ที่รีสอร์ทยังมีบริการชุดสำหรับแช่น้ำร้อนให้เช่าอีกด้วย สะดวกสบายดีทีเดียว ส่วนใครที่มีชุดแล้ว ไม่อยากใช้ชุดของรีสอร์ทก็สามารถเอาชุดไปเองได้เหมือนกันค่ะ

สระส่วนตัว

สระรวมส่วนตัว

สระรวมกลางแจ้ง

สระรวมในร่ม

บริเวณสระ จะมีน้ำเย็นไว้สำหรับล้างทำความสะอาดร่างกายและปรับอุณหภูมิก่อนลงแช่ในสระพร้อมกับล็อคเกอร์สำหรับใส่ของมีค่าไว้ให้บริการ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาหยิบของเราไปในขณะที่เรากำลังแช่น้ำร้อน


ทางรีสอร์ทยังมีร้านอาหารและเครื่องดื่มราคากันเองให้ผู้ที่มาใช้บริการอยู่ทางด้านหน้าอีกด้วย

รีสอร์ทนี้ถือเป็นสถานที่หนึ่งในเชียงใหม่ที่น่ามาพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการทำงานและชีวิตที่เร่งรีบในเมืองใหญ่เลยก็ว่าได้ ช่วงกลางคืนจะเงียบสงบบวกกับอากาศเย็นๆและเสียงน้ำไหลทำให้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ อาหารก็อร่อยแถมที่พักราคาไม่แพงอีกด้วย ซึ่งในราคาคนละ 250 บาท/คืนแล้วยังรวมบริการแช่น้ำร้อนฟรีอีกถือว่าหายากมากใสมัยนี้เลยนะ


"มึงๆ ตื่นได้แล้ว เราต้องกลับแล้ว"

เสียงเพื่อนเรียกเรา ในขณะที่กำลังนอนคลุมโปงหลับสบายอยู่ ได้เวลาที่เราต้องกลับเพื่อเอารถไปคืนร้านตามกำหนดแล้ว พวกเรารีบเก็บกระเป๋าและมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองเชียงใหม่โดยทันที โชคดีที่เมื่อคืนฝนไม่ตกทำให้ถนนเริ่มแห้ง และผ่านได้ง่ายขึ้น

บรรยากาศตอนเช้าก่อนกลับ


พอมาถึงเมืองเชียงใหม่พวกเราก็เอารถกลับไปคืนที่ร้านแล้วรับบัตรประชาชนคืน วันนี้เพื่อนกลับแล้ว แต่เรายังมีแผนเที่ยวต่ออีกหนึ่งที่ นั่นก็คือ ดอยสุเทพนั่นเอง หลายๆคนคงอาจจะเคยไปมาแล้วและคิดว่ามันก็คงไม่มีอะไรมาก แต่ช้าก่อน! ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยขึ้นดอยสุเทพในตอนเย็น คุณควรที่ที่จะอ่านรีวิวนี้อย่างยิ่ง มาดูกันว่าการลองทำอะไรที่แตกต่างบ้าง มันทำให้เราได้เจอสิ่งใหม่ๆประสบการณ์ใหม่ๆได้มากมายขนาดไหน

เรานั่งรถแดงขึ้นดอยสุเทพประมาณห้าโมงเย็นเพื่อให้ทันพระทำวัตรเย็นตอนหกโมง พอไปถึงก็เดินชิวๆขึ้นดอยไป ถือเป็นการเบิร์นไขมันไปในตัว

พอเดินขึ้นมาถึงวัดก็ได้ยินเสียงระฆังดังพอดี เป็นสัญญาณให้รู้ว่าพระท่านกำลังจะเริ่มทำวัตรเย็นแล้ว

ระหว่างที่พระกำลังทำวัตรเย็นก็จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมานั่งดูพิธี ซึ่งเวลานี้ทุกคนในบริเวณนั้นก็จะพร้อมใจกันเงียบสนิท

หลังจากที่พระทำวัตรเย็นเสร็จ พระอาทิตย์ก็ค่อยๆลับขอบฟ้าไป มีพระจันทร์ขึ้นมาแทนที่ สำหรับคนที่ตั้งใจจะมาดูพระอาทิตย์ตกที่ดอยสุเทพนั้น บอกได้คำเดียวว่าคุณคิดผิดค่ะ!! คุณจะไม่เห็นพระอาทิตย์ตกแน่นอน เพราะดอยสุเทพตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองเชียงใหม่ หลายคนคงสงสัยว่า อ้าว แล้วจะขึ้นมาทำไม? คำตอบคือ ขึ้นมาดูสิ่งนี้ค่ะ

หลังจากพระอาทิตย์ตกท้องฟ้าเริ่มมืดลง ทางวัดจะฉายไฟไปที่พระธาตุทำให้เห็นพระธาตุเป็นสีเหลืองทองอร่ามแวววาวสวยงามแบบนี้ หากเดินไปออกไปที่จุดชมวิวเมืองเชียงใหม่ ก็จะเห็นเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืนในมุมสูงแบบนี้

เมื่อชื่นชมกับบรรยากาศพอแล้วก็ได้เวลาเดินลงไปขึ้นรถกลับไปยังตัวเมืองก่อนที่รถจะหมดเสียก่อน ระหว่างทางก็ชื่นชมกับธรรมชาติข้างทางยามค่ำคืนและอากาศเย็นๆบนดอย แค่นี้ก็เป็นการชาร์จพลังกายพลังใจให้พร้อมกลับไปทำงานในวันต่อไปได้แล้วค่ะ

การไปเที่ยวทุกครั้งของเราถือเป็นการได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่ทำงานแบบไม่หยุดพักมาหลายเดือน เราพึ่งจะมีโอกาสได้มาพักผ่อนจริงๆจังๆก็คราวนี้ ซึ่งมันทำให้เรารู้ว่าเรากำลังทำงานจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ให้กับคนที่เรารัก ซึ่งคนเหล่านั้นอาจจะเป็นคนดูแลเราตอนป่วยด้วยซ้ำ เจ้านายที่เราทำงานให้แทบตายก็คงไม่แยแส เค้าหาคนใหม่มาทำแทนเราได้อยู่แล้ว แล้วเราจะทำงานหนักไปเพื่ออะไร หากเงินที่ได้มาต้องหมดกับโรงพยาบาล เพราะฉะนั้น....

"เหนื่อยนักก็พักบ้างเถอะค่ะ"


สรุปค่าใช้จ่าย

- ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ 200 บาท หารสอง = 100 บาท

- ค่าน้ำมันรถไปกลับ 100 บาท หารสอง = 50 บาท

- ค่าที่พักที่รีสอร์ท 250 บาท (ปกติราคา 300 บาท)

- ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่รีสอร์ท 550 หารสอง = 275 บาท

- ค่าอาหารระหว่างเดินทาง 170 บาท

- ค่ารถขึ้นดอยสุเทพไปกลับ 140 บาท

รวมทั้งหมด 985 บาท

** เรามีที่พักในตัวเมืองเชียงใหม่แล้วจึงไม่เสียค่าที่พักอีก แต่สำหรับคนที่จะพักในตัวเมืองเชียงใหม่อีก 1 คืนตามทริปเรา แนะนำให้พักโฮสเทล ราคาจะอยู่ที่ 180-290บาท รวมอาหารเช้าเพื่อเป็นการประหยัดแถมยังได้เพื่อนใหม่อีก ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกสองถึงสามร้อยบาท

*** สำหรับคนที่สนใจติดต่อจองห้องพักสามารถเสิร์ชหาเบอร์ติดต่อได้ทางกูเกิ้ลเลยค่ะ


ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ขอให้สนุกกับวันหยุด แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า ฤดูหนาวค่ะ :)


ชะนีแบกเป้


ติดตามอ่านรีวิวทริปอื่นๆได้ที่

https://th.readme.me/id/payalerngpoy

ติดตามพูดคุยให้กำลังใจกันได้ที่

https://www.facebook.com/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%...


ชะนีแบกเป้

 วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.30 น.

ความคิดเห็น