‘ย่างกุ้ง พม่า’ ดินแดนแห่งความเชื่อ ศรัทธา และมีอารยธรรมที่น่าค้นหาอยู่มากมาย รวมไปถึงเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการมาไหว้พระขอพร โดยเฉพาะมหาเจดีย์ชเวดากองคู่บ้านคู่เมือง และเสน่ห์ของเมืองย่างกุ้ง ที่ไม่ควรพลาดคือสถาปัตยกรรม ตึกทรงโคโลเนียลที่มีให้พบเห็นทั่วไป ทำให้การเดินเล่นชมสถาปัตยกรรมของย่างกุ้งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ การที่เราได้มาสัมผัสบรรยากาศท้องถิ่นและวัฒนธรรมในพื้นที่แห่งนี้ มันเป็นอะไรที่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ..

"ติดตามภาพถ่ายอื่นๆได้ที่^^

เพจ>>https://www.facebook.com/wejourneys

Instagram>> https://www.instagram.com/ou.wejourney

[Day1]

เราขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองเวลา 12.05น. ถึงสนามบินYangon 12.55น.เวลาท้องถิ่นที่พม่า ช้ากว่าไทย 30 นาที ทริปนี้เราไปกันสองคนค่ะ พอถึงสนามบินผ่านตม.เรียบร้อยแล้ว เราตรงไปแรกเงินที่บูทธนาคารกันก่อน เราแลกเงิน USD มาจากไทยแล้วเอามาแลกเงินจ๊าดที่พม่า แบงค์ดอลลาร์ที่เราแลกมาต้องห้ามพับ ห้ามทำยับ และที่สำคัญก่อนเราจะแลกเงินจ๊าดเราต้องแบ่งเงินดอลลาร์เก็บไว้จำนวนหนึ่งเพราะรายจ่ายบางอย่าง เช่นค่าเข้าสถานที่บางแห่ง เค้ารับแต่เงิน USD เท่านั้น

หลังจากเราแลกเงินเสร็จ ก็เดินมาเจอพี่แท็กซี่มารุมล้อมเพื่อจะให้ซื้อทัวร์แต่เราก็ปฏิเสธไปเพราะเราตั้งใจว่าจะเที่ยวเอง^^ เราเลยเดินไปหาแท็กซี่แถวหน้าสนามบิน เจอพี่แท็กซี่คนนึงจอดรอลูกค้าอยู่เราเลยเรียกให้ไปส่งหน้าที่พัก ค่าแท็กซี่ 8000Kyats

ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงที่พัก เราจองที่พักแถวถนน Lower Pazundung ชื่อ Mother land Inn2 จองผ่านแอพ Agoda ราคาคืนละ 23$ รวมอาหารเช้า ห้องสำหรับ2คน ห้องน้ำรวม พนักงานที่นี่น่ารักมาก บริการดียิ้มแย้มแจ่มใส

หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไป ‘เจดีย์สุเล Sule Pagoda’ กัน ที่จริงเราชอบเดินเที่ยวนะเพราะว่าทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตได้ถ่ายรูปไปด้วยสนุกดี แต่ครั้งนี้เวลาไม่พอทำให้นอกจากเดินแล้วพาหนะหลักของเราในการไปที่ต่างๆคือแท็กซี่ ตอนแรกก็กลัวๆเหมือนกันว่าจะต่อราคายังไงดีเพราะไม่รู้เรทแต่เราก็ใช้วิธีการกดดูราคาuberคร่าวๆก่อนแล้วก็ค่อยต่อราคา^^

เดินจากที่พักไปเจดีย์สุเลประมาณ1.4กิโลเมตร ระหว่างทางเราก็เก็บภาพวิถีชีวิต ตึกเก่าสไตล์อังกฤษ แปลกอีกอย่างนึงคือที่นี่รถเค้าบีบแตร์กันตลอดเวลาเหมือนเป็นปกติ ตอนแรกก็ตกใจกับเสียง หลังๆเริ่มชิน

เดินสักพักก็ถึงเจดีย์สุเล ที่นี่มีค่าเข้า3$ และมีค่าฝากรองเท้า1000 Kyats แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านก็ถือกันเข้าไปไม่ต้องฝากก็ได้

เจดีย์สุเล Sule Pagoda หรือที่เรียกกันว่า สุเลพญา (Sule Paya)’ เป็นเจดีย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงย่างกุ้ง และสร้างขึ้นมากว่า2,000 ปีที่แล้วเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ลักษณะโครงสร้างของเจดีย์มีความสูงมากกว่า 150 ฟุต

หลังจากชมวัดเรียบร้อยแล้วเราก็ออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆชื่อว่า ‘Maha Bandula Park’ ที่นี่มีลานกว้างให้ผู้คนมานั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจและข้างสวนสาธารณะยังมีตลาดขายอาหารท้องถิ่นให้ได้เดินเล่นอีกด้วย

บริเวณรอบเจดีย์สุเลถือว่า เป็นศูนย์กลางความเจริญของย่างกุ้งนับตั้งแต่อังกฤษปกครองพม่า จึงมีตึกที่ทรงคุณค่าทางศิลปะและสถาปัตยกรรม

นั่งเล่นสักพักถึง6โมงเย็น ที่ต่อไปที่เราไปกันคือ 19street หรือซอย19บนถนนมหาบันดูลาอยู่ไม่ไกลจากเจดีย์สุเลซึ่งเป็นย่านไซน่าทาวน์ ระหว่างทางที่เราเดินไป ถนนเส้นนี้คึกคักมากมีพ่อค้าแม่ค้าออกมาขายของกันตามสองข้างทางทำให้เราเดินดูกันจนเพลิน

เดินเล่นกันไม่นานก็ถึงย่านไชน่าทาวน์ ที่นี่เต็มไปด้วยอาหารปิ้งย่างและร้านเบียร์ลักษณะคล้ายๆกันเต็มไปหมด รวมถึงขนมหวานท้องถิ่น

เราไม่ได้แวะกินอะไรเลยเพราะว่าคนเยอะมากไม่มีที่นั่ง ตอนแรกคิดว่าจะนั่งแท็กซี่กลับเพราะไกลพอสมควรแต่ตอนเดินมาติดใจ สนุกดี ได้เห็นอะไรแปลกๆใหม่ๆก็เลยและตัดสินใจเดินกลับกันและก็กะว่าจะหาอะไรกินระหว่างทางกลับด้วย เราก็มาเจอร้านนี้ สั่งข้าวไก่ย่างมากินรสชาติใช้ได้ บรรยากาศร้านก็โอเคดี

[Day2]

วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ 7.00น. ลงมากินมื้อเช้ากันที่ห้องอาหารด้านล่าง

จะมีพนักงานมารอใส่บาตรพระทุกๆเช้า

หลังจากกินเสร็จเราเรียกแท็กซี่จากหน้าที่พักไป ‘วัดงาทัตจี Nga Htat Gyi Pagoda’ ค่ารถ 3000Kyats วัดนี้ไม่มีค่าเข้า ถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปได้เลย(อย่าลืมพกถุงหิ้วมาใส่รองเท้าด้วยเผื่อวัดไหนเก็บค่าฝากรองเท้าเราจะได้ไม่เสียเงิน)

วัดงาทัตจี Nga Htat Gyi Pagoda’ จะมีพระพุทธรูปปรางค์สมาธิ แบบศิลปะของพม่า มีความสูงประมาณตึก 5 ชั้นสวยงามมาก

ถ่ายรูปเรียบร้อยเราเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งก็จะเจอวัด ‘พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี Chauk Htat Gyi Reclining Buddha’ หรือที่คนไทยเรียกว่าพระตาหวาน เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ยาวกว่า 70 เมตรพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และถือว่ามีความงดงามมากที่สุดของประเทศพม่า องค์พระมีลักษณะแบบพระพม่าคือหน้าหวาน และที่โดดเด่นขององค์นี้คือตาหวาน

หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว ฝนก็ตกเราเลยนั่งรอกันที่วัดสักพักภายในบริเวณวัดจะมีร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า สามารถไปเดินเล่นกันได้

เราอยู่ที่นี่จนเกือบเที่ยง จากนั้นก็เรียกแท็กซี่ไป ‘เจดีย์กาบาเอ Ka Ba Aye Pagoda’ เรียกจากหน้าวัด Chauk Htat Gyi ได้เลย ค่ารถ4000Kyats พอไปถึง‘เจดีย์กาบาเอ Ka Ba Aye Pagoda’เราหาข้าวกินกันก่อนเพราะเที่ยงแล้ว เราข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามจะมีร้านอาหารท้องถิ่นหลายร้าน เราเลือกเข้ามาร้านนี้เห็นว่าคนเยอะดี แต่ไม่รู้จริงๆว่าชื่ออะไรเพราะเป็นภาษาพม่าทั้งร้าน และที่สำคัญพนักงานพูดอังกฤษไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร งานนี้ชี้เมนูอย่างเดียว ก็ได้ข้าวหน้ามันไก่ทอดมากินเพราะดูจากรูปอาหาร หน้าจะรอด รสชาติใช้ได้

กินข้าวกันเสร็จ ฝนก็กำลังจะตกอีกรอบ55 รู้สึกว่าพวกเรามากับฝนกันทุกที่จริงๆ ที่วัดนี้เก็บค่าเข้าเฉพาะต่างชาติคนละ 3000Kyats ‘เจดีย์กาบาเอ Ka Ba Aye Pagoda’ เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะทรงกลมซึ่งมีทางเข้าทั้งหมดห้าด้าน และมีความสวยงามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านในมีหินอ่อนและกระจกเล็กๆสีสันสวยงามประดับประดารอบผนังเต็มไปหมด และยังมีภาพวาดพุทธศิลป์สวยๆมากมาย คำว่ากาบาเอ ในภาษาพม่า หมายถึง 'โลกแห่งสันติสุข'

เราเดินชมรอบๆวัดและมีโอกาสได้นั่งคุยกับคุณลุงชาวพม่าคนนึงถึงที่มาที่ไปของวัดอย่างเป็นกันเอง

หลังจากนั้นเราก็นั่งรถไปที่ ‘วัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี ซเวตอเมียต Swe Taw Myat Pagoda’ ไปถึงวัดมีค่าเข้าเฉพาะต่างชาติคนละ 2000Kyats Swe Taw Myat Pagoda’เจดีย์มีความสวยงาม เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมทรงประสาท วัดชเวตอเมียต คนไทยรู้จักในชื่อของ ‘วัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี’ เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจำลอง และภายในวัดยังมีพระประจำวันเกิดให้สักการะโดยรอบด้วย รวมถึงที่นี่ได้นำเอาสถาปัตยกรรมของพม่าในยุคต่างๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้มีความงดงามทางพุทธศิลป์เป็นอย่างยิ่ง

หลังจากชมวัดกันแล้วเราก็เรียกแท็กซี่ไป scott market คราวนี้เจอแท็กซี่พูดอังกฤษไม่ได้ เอารูปให้ดูก็ยังไม่แน่ใจ โชคดีที่มีชาวบ้านแถวนั้นช่วยพูดภาษาพม่าให้แถมยังต่อราคาให้ด้วยน่ารักมากๆเลย แท็กซี่คนแรกบอก7000Kyats เราไม่ไป พอคนที่สองบอก5000Kyats เราขอ4500Kyats คุณลุงแท็กซี่โอเค^^ นั่งมาไม่นานก็มาถึง ตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือเรียกอีกอย่างว่า ตลาดโบยกอองซาน (Bogyoke Aung San Market) ที่นี่มีของขายเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารนานาชนิด,เสื้อผ้า,ของที่ระลึก,เครื่องเงิน, อัญมณีฯลฯ

หลังจากช็อปกันเรียบร้อยแล้วเราก็ไปกินข้าวกันที่ห้าง 'Junction city' จะอยู่ตรงข้ามกับ scott market ห้างนี้ใหญ่พอสมควร น่าจะเป็นแหล่งชอบปิ้งของคนที่นี่เลยแหละ เราเดินขึ้นไปกินข้าวที่ศูนย์อาหารด้านบนมีอาหารให้เลือกหลากหลาย เราสั่งข้าวสี่โครงหมู ที่ร้าน taiwan Snacks มากิน อร่อยมาก ราคา4000Kyats กินข้าวกันเสร็จก็ไปเดินเล่นกันนิดหน่อย

ที่สุดท้ายในวันนี้ที่เราจะไปคือ ‘พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง Shwedagon Pagoda’ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลย ตอนแรกกะว่าจะเดินไปแต่ไม่ไหวแล้ว55 เพราะวันนี้ตระเวนกันมาทั้งวัน เราเลยเรียกแท็กซี่จากหน้าห้าง นั่งรถมาไม่นานก็ถึงวัด

ที่นี่จะมีค่าเข้าแพงกว่าที่อื่นสักหน่อย คนละ8000Kyats แต่ข้างในวัดสวยงามมากๆ ที่เราตั้งใจมาที่นี่ในตอนเย็นเพราะอยากเก็บภาพตั้งแต่เย็นยาวไปถึงกลางคืน ‘พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง Shwedagon Pagoda’ เป็นเจดีย์ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของชาวพม่า ที่ชาวพม่าให้ความเคารพเป็นอย่างสูง เจดีย์ชเวดากองที่แปลว่า พระเจดีย์ทองคำแห่งเมืองตะเกิงเป็นพระเจดีย์ทองคำที่สร้างขึ้นบนเนินเขาที่ชื่อว่า Thienguttara Hill หรือ Singuttara Hill เจดีย์นี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความโดดเด่นมากในย่างกุ้ง

ช่วงเวลาเย็น พลบค่ำ เป็นช่วงพระอาทิตย์ตก เเสงที่กระทบกับเจดีย์จะเป็นเเสงที่สวยงามมาก พอใกล้ค่ำก็ยิ่งมีคนทะยอยเข้ามาในวัดกันเยอะมาก

หลังจากเราเยี่ยมชมวัด ถ่ายรูป และไหว้พระกันเรียบร้อยแล้ว ขากลับเราคิดว่าจะมาลองนั่งรถเมล์ดูสักครั้ง ก็เลยถามสายรถเมล์จากคนท้องถิ่นแถวนั้นว่าไปลงเจดีย์สุเลสายอะไรเค้าบอกเราว่าสาย8 นั่งรอนานมาก นี่ดึกแล้วคิดว่าคงไม่ค่อยมีรถเมล์แล้วหล่ะ ก็เลยต้องเรียกแท็กซี่ไปลงที่เจดีย์สุเลค่ารถ 2000Kyats ที่เรานั่งมาลงเจดีย์สุเลเพราะแถวนั้นคนคึกคักจะได้ไม่เปลี่ยวมาก เนื่องจากเราอยากจะเดินเล่นระหว่างกลับที่พักอีกสักหน่อย

[Day3]

วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเหมือนเดิมหลังจากกินข้าวกันเรียบร้อย จะเหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนกลับ เราเลยมีโอกาสได้เดินไปเที่ยวอีกหนึ่งที่คือ ‘เจดีย์โบ้ตาตาวน์ Botatauang Pagoda’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนักใช้เวลาเดินประมาณ 20นาทีก็ถึง

ที่นี่มีค่าเข้าเฉพาะต่างชาติคนละ 6000Kyats เดินเข้าไปด้านในเจดีย์ จะพบกับสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยสีทองสวยงาม

ส่วนมากนักท่องเที่ยว จะต่อแถวกันเข้าไปกราบตรงบริเวณที่ประดิษฐานเส้นพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และบริเวณใกล้เคียงยังมีพระพุทธรูปที่สวยงามอีกมากมายให้เราสักการะ และจุดที่คนไทยนิยมไปขอพรกันก็คือเทพทันใจ ชาวพม่ามีความเชื่อกันว่า หากมาขอพรกับ 'เทพทันใจ' ก็จะทำให้สมปรารถนารวดเร็วทันใจ

เมื่อไหว้เทพทันใจเสร็จแล้ว ให้ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม มาไหว้เทพกระซิบกันต่อ ซึ่งชาวพม่าเรียกว่า “อะมาดอว์เมียะ” หรือที่คนไทยรู้จักกันทั่วในนามว่า “เทพกระซิบ” ด้านในมีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวพม่านำดอกไม้ ชุดผลไม้มาไหว้สักการะกันมากมาย

หลังจากเราไหว้ขอพรกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเดินกลับมาที่พัก หลังจากเราเช็คเอาท์ พี่ที่ดูแลที่พักก็อาสาเรียกรถแท็กซี่ให้ รวมไปถึงมาส่งพวกเราขึ้นรถ พร้อมอวยพรให้เราเดินทางปลอดภัยเป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ ค่าแท็กซี่ไปสนามบิน 7000Kyats นั่งรถไปประมาณ 45 นาที ก็ถึงสนามบินYangon

สรุปค่าใช้จ่าย(ไม่รวมตัวเครื่องบิน)

ค่าที่พัก Mother land inn 2 คืน 46$หาร2= 763฿

ค่าแท็กซี่ 845บาท หาร2 = 423บาท

ค่ากิน = 907บาท

ค่าเข้าแต่ละสถานที่+ทำบุญ = 613บาท

รวม = 2706 บาท

::::ขอบคุณทุกคนที่ติดตามการเดินทางและภาพถ่ายของเรานะคะ◡̈แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะ:::

we journey

 วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.47 น.

ความคิดเห็น