สมุย... เกาะสวาทหาดสวรรค์ของแท้ เพราะเป็นโลเกชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อนั้น ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อยังหนุ่ม พระ-นาง สมบัติ เมทะนี กับ อรัญญา นามวงศ์ ยังใสกริ๊งหล่อเหลาสวยสะพรั่ง มีโอกาสสักครั้งแนะนำต้องหาโอกาสไปเยือนสมุย เพื่อพิสูจน์กับตาตัวเองว่ามันแจ่มจรัสปานใด

จริงๆ ผมเคยตะลุยสมุยแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาเรียบร้อย ปักหลักอยู่ยาวเป็นสัปดาห์ ที่เที่ยวบนเกาะแปดสิบเปอร์เซ็นต์พบเห็นมาหมด ยังไม่มีความคิดกลับไปหรอกนะหากไม่ตรงจังหวะมีคิวซึ่งมิตรสหายจัดให้ไปเยี่ยมชมโรงแรมสวยเปิดใหม่ไม่ถึงสองปี "โอเซ่ เฉวง เกาะสมุย" พอดิบพอดี จึงขอควงคู่กับคุณนายไปด้วยแล้วกันเพราะเธอยังไม่เคยเห็นสมุยเหมือนกับผม แต่ช่างบังเอิญอีกเช่นกันที่ระยะเวลาเดินทางดันเป็นช่วงพายุหว่ามก๋อยกพลขึ้นฝั่ง ความฝันเห็นหาดทรายขาวทะเลใสแจ๋วเลยพังพาบไม่เป็นท่า แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหว่ามก๋ออันร้ายกาจก็ไม่อาจพรากรอยยิ้มของเราไปได้หรอกครับ

ปัจจุบันมีเครื่องบินไปสมุยเพียบ ทั้งบินตรงลงที่เกาะ หรือโลว์คอสไปลง สุราษฎร์ธานี กับนครศรีธรรมราช แล้วทรานเฟอร์สต่อรถมาต่อเรือ แต่สำหรับคนแบกเป้งบไม่มากดูท่าว่ารถทัวร์คงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แถมง่ายดายพอกัน เพราะบขส. มีรถกรุงเทพ-สมุย วันละหลายเที่ยว ทั้งขึ้นที่หมอชิตและสายใต้ ส่วนสมบัติทัวร์วิ่งวันเว้นวัน ขึ้นที่สายใต้ เมื่อก่อนตอนผมมาสองครั้งแรก บขส. ใช้เรือราชาเฟอร์รี่มาขึ้นเกาะที่ท่าหาดลิปะน้อย ส่วนสมบัติทัวร์ใช้เรือซีทรานเฟอร์รี่ขึ้นเกาะที่หน้าทอน ทว่าเดี๋ยวนี้สองบริษัทใช้ซีทรานเฟอร์รี่ทั้งคู่ เรือเที่ยวแรกฝั่งดอนสัก 6.00 น. เที่ยวสุดท้าย 19.00 น. สมุยเที่ยวแรก 5.00 น. เที่ยวสุดท้าย 18.00 น. ออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง


ตอนนี้มีเว็บไซต์สำหรับการจองตั๋วเรือสู่สมุย การท่องเที่ยวเส้นทางเชื่อมต่อสู่เกาะต่างๆ ทั้งทางอ่าวไทย และอันดามัน รวมถึงไป-กลับ กทม. ใช้ค่อนข้างง่ายสะดวกสบาย ข้อมูลเพียบเลย คลิกได้ที่ >>> https://www.ferrysamui.com/th/bangkok.html

ทริปนี้ผมเดินทางกับคุณนาย 14-16 ก.ย. ขึ้นรถที่หมอชิต รอบ 19.35 ของวันที่ 13 ก.ย. วิ่งประมาณ 11 ชั่วโมง ถึงท่าเรือซีทราน 6.30 น. รอเรือรอบเจ็ดโมงเช้าอีกสักพัก มีห้องพักผู้โดยสารให้นั่งเรือ แถมเรือเที่ยวนี้ยังเป็นเรือใหม่เอี่ยม

อย่างที่บอกครับว่าช่วงนั้นพายุหว่ามก๋อมาโบกมือหน้าประตูบ้านเราพอดี สภาพอากาศเลยเป็นอย่างที่เห็น ลุ้นดีเหมือนกันว่าฝนจะตกหรือไม่ตกนะ

นั่งเรือชั่วโมงครึ่งมาขึ้นฝั่งหน้าทอน สิ่งที่ต้องเจอแน่นอนคือร้านเช่ารถมาหาลูกค้า ราคามาตรฐาน 250 บาท เช่านานก็ลดให้นิดหน่อยว่ากันไป เดี๋ยวนี้คิดมัดจำด้วยแฮะ ผมตกลงให้ไปหนึ่งพัน ถามชัวร์แล้วว่ามัดจำสำหรับอุบัติเหตุรถล้มรถพังเท่านั้นนะ รอยถลอกขีดข่วนไม่ว่ากันเป็นอันโอเค

ใครอยากเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวสมุย ผมแนะนำเช่าตรงท่าเรือหรือแถวหน้าทอน เพราะออกจากโซนนี้โอกาสได้รถเช่าแทบไม่มี เห็นรถจอดเรียงรายแต่เขาปล่อยเฉพาะฝรั่ง ครั้งแรกที่มาผมนั่งวินถามร้านเช่าเกือบสิบร้าน ไม่มีร้านไหนให้เช่าเลย

เอาล่ะพอได้รถก็สตาร์ตเครื่องลุยโลด แผนที่สมุยฝังหัวผมอยู่แล้ว จากหน้าทอนไปเฉวงประมาณ 25 กิโลเมตร ผ่านหาดบางขาม บางปอ แม่น้ำ ทางไปสนามบิน แยกบ่อผุด ขี่เรื่อยๆ สี่สิบนาทีก็ถึง

โรงแรมโอโซ่ เฉวง ทำเลสุดยอดครับ ฝั่งหนึ่งคือหน้าหาดเฉวง อีกฝั่งคือถนนเลียบหาด เป็นแหล่งช้อปปิ้งและเริงราตรีบนเกาะสมุยเลยล่ะ แถมห่างจากเซ็นทรัล เฟสติวัล ไม่ถึงกิโลเมตร เดินแป๊บเดียว

บริเวณล็อบบี้ครับ โล่งสบาย มีมุมให้นั่งพัก นั่งรอพอสมควร รวมทั้งมุมเล่นอินเทอร์เน็ต

ปกติเวลาเช็คอินคือบ่ายสอง โชคดีว่าห้องซึ่งโรงแรมจัดให้ผมแขกออกเร็ว รอทำความสะอาดสักพักก็เข้าห้องได้ เปิดประตูห้องปุ๊บคุณนายเธอตาลุกวาวเชียว เพราะแม้ห้องจะไม่ใหญ่นัก แค่ 25 ตารางเมตร แต่ช่างน่ารักและน่าพักมาก อบอุ่นโรแมนติกน่าดู มีระเบียงเล็กๆ ให้ออกไปสูดอากาศ ตากเสื้อผ้าได้

ชอบสุดคือเตียงนอน บอกเลยว่าสบายมาก หมอนขนเป็ดอย่างดี ผมเคยพักโรงแรมรีสอร์ทมาไม่น้อย ฟันธงให้เตียงกับหมอนที่นี่เข้าขั้นสุดยอด ขนานนามให้เป็นเตียงดูดวิญญาณเลยล่ะ ล้มตัวนอนแล้วไม่อยากลุก (ฮา...)

สิ่งอำนวยความสะดวกครบพร้อมโอเคทีเดียว ที่ผมกับคุณนายชอบมากคือเจลอาบน้ำ ยาสระผม สบู่ล้างมือ ใช้ผลิตภัณฑ์ บรีซสปา ของอมารี ทั้งหมด กลิ่นตะไคร้หอมหอมมาก บริเวณห้องน้ำเองก็สบายๆ สำหรับใครที่ต้องการอุปกรณ์เพิ่มเติม อย่างเช่น รองเท้าแตะ ชุดคลุมอาบน้ำ สามารถบอกพนักงานได้ตลอดเวลาครับ เขาไม่ได้จัดไว้เพราะเน้นไอเดีย ฟาสต์ เช็คอิน นอนง่าย รวดเร็ว ผ่อนคลาย มากคุณภาพ แต่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก

เปิดตู้เย็นมาโล่งโจ้ง เป็นคอนเซ็ปต์ของที่นี่อีกอย่างครับ คือสบายๆ ให้ลูกค้าซื้อมาเอง จะแบกเบียร์จากเซเว่นมาเป็นถาด น้ำอัดลมสักสองโหลเชิญเลย แต่หากไม่อยากซื้อเองจะใช้บริการชุดมินิบาร์ของโรงแรมก็ติดต่อที่เคาน์เตอร์ EAT2GO บริเวณล็อบบี้ ซึ่งเป็นแนวคิดเอกลักษณ์ของโอโซ่ในรูปแบบ grab and go คือหยิบหาของกินและเครื่องดื่มต่างๆ ได้ง่ายๆ ณ จุดดังกล่าว

อาบน้ำสดชื่นเสร็จค่อยเดินสำรวจโรงแรม ต้องใช้คำว่าสวยโมเดิร์นมาก สระว่ายน้ำ ห้องอาหาร สวนสีเขียว หน้าหาด ทุกอย่างพร้อมสำหรับการพักผ่อนจริงๆ นอกเหนือจากท้องฟ้าสีขาวหม่นเพราะเจ้าหว่ามก๋อ ที่เหลือคุณนายเธอยิ้มกรุ่มกริ่มชอบใจ แค่นี้ผมแฮปปี้เกินพอ

เพราะฟ้าไม่ใสเลยต้องงดเรื่องของทะเลไว้ก่อน พาคุณนายไปไหว้พระสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สมุยแล้วกัน เริ่มต้นเราขึ้นเขาหัวจุก อยู่ไม่ไกลจากหวดเฉวง บนนั้นมีพระเจดีย์สีทองสวยงาม มีรอยพระพุทธบาทจำลอง แถมยังเป็นจุดชมวิวกว้างไกลอีกต่างหาก

แต่พอขึ้นถึงต้องตกใจว่าเจดีย์หายไปไหนนะ บนเขาหัวจุกกำลังบูรณะใหม่หมด เหมือนกำลังสร้างเจดีย์องค์ใหม่ด้วย ส่วนองค์เก่าย้ายไปไหนผมหาคำตอบไม่ได้จริงๆ เพราะคนงานมีแต่ชาวพม่า คุยกันไม่รู้เรื่อง เลยได้แต่ชมวิวแบบผ่านๆ จากจุดนี้มองเห็นสนามบินสมุยชัดเจน

ลงจากเจดีย์เขาหัวจุกแบบยังงงๆ ขี่รถต่อไปทางพระใหญ่ ตรงนั้นมีวัดพระใหญ่เกาะฟาน เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของสมุย พระใหญ่องค์นี้พระนามเต็มคือพระพุทธสันติทีปนาถ นักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ขาดสาย ตรงลานจอดรถมีรูปปั้นตัวละคนในวรรณคดีพระอภัยมณีด้วย ถ่ายรูปเก๋ๆ กันไป

ไม่ไกลจากวัดพระใหญ่คือวัดปลายแหลม หรือวัดปลายแหลมสุวรรณาราม มีเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ พระศรีอริยเมตไตรยตามคติจีน พระอุโบสถกลางน้ำ รอบองค์พระศรีอริยเมตรไตรยังมีเทวรูปโดยรอบทั้ง พระพรหม พระนารายณ์ พระศิวะ พระอินทร์ พระพิฆเนศ ไหว้กันให้ครบทุกสัญชาติได้เลยครับ

มองนาฬิกาใกล้สี่โมงเย็น ขี่รถไปทางหาดละไมดีกว่า เป้าหมายคือจุดชมวิวลาดเกาะซึ่งอยู่บนเขากั้นระหว่างเฉวงกับละไม อยู่ติดถนนใครต่อใครเลยต้องแวะมา ถ่ายรูปเพลินๆ เดี๋ยวนี้มีแขวนกุญแจคู่รักกันด้วย ฮิตลามไปทั่วเลยแฮะ

ถึงฟ้าไม่สวย ทะเลไม่ใส แต่แค่อยู่เคียงกันก็สุขใจเกินพอ

เย็นวันนี้จบลงแถวหาดละไม เข้าร้านอาหารญี่ปุ่นกินดินเนอร์ตามคำสั่งคุณนาย ก่อนกลับมาสลบเหมือดที่โรงแรม ใจจริงว่าจะแวะพักสักนิดแล้วค่อยไปเดินเล่นถนนเลียบหาดเฉวง แต่อย่างที่บอกว่าเตียงนอนที่นี่ช่างดูดวิญญาณดีเหลือเกิน (ฮา...)

เช้าวันใหม่กว่าจะกระชากตัวเองให้ลุกจากเตียงอันแสนนุ่มได้ก็ลำบากเหมือนกันนะ

ห้องอาหารหลักที่นี่ชื่อกระชับตรงใจความ EAT เบรกฟาสต์มีตั้งแต่ 6.30 – 11.00 น. โน่นเลย ขอเริ่มต้นที่บรรยากาศน่ารักๆ ด้านใน

หรือใครอยากออกมานั่งสูดอากาศริมสระน้ำด้านนอกก็ได้เช่นกัน

สำหรับไลน์อาหารละลานตาใช้ได้ กับข้าวไทย ข้าวต้ม ขนมปัง ผักสลัด ผลไม้ ซีเรียล อาหารฝรั่ง อเมริกัน ขอใช้คำว่ามีครบถ้วนตามมาตรฐานโรงแรมระดับนี้ แทบกรี๊ดคือมียำสาหร่ายของโปรดผมด้วย งานนี้เลยต้องจัดเต็ม เดินไปตักสองสามรอบแน่ะ

ที่นี่มีเครื่องดื่มประจำวัน เจ็ดวันเจ็ดสีไม่ซ้ำ ส่วนกาแฟเป็นเครื่องชงสุดไฮเทคจิ้มเอาตามความชอบ ของผมขอกดที่คำว่าคอฟฟี่ธรรมดาก็เลิศหรูเกินพอ

อิ่มหนำสำราญแล้วว่าจะเดินเล่นชายหาด ปรากฏว่าฝนตก เลยได้กลับขึ้นไปนอนกลิ้งเกลือกให้สบายอยู่บนเตียงดูดวิญญาณอีกรอบซะงั้น

เกือบสิบเอ็ดโมงโน่นกว่าฝนจะหยุด ตัดสินใจว่าเมื่อทะเลไม่สวยต้องขอเปลี่ยนแนวเที่ยวน้ำตก ที่สมุยมีน้ำตกหลายแห่ง สวยขึ้นชื่อคือน้ำตกหน้าเมือง มีเลขกำกับ 1 กับ 2 ที่จริงเป็นสายเดียวกันแต่แยกดูแล ตั้งอยู่อีกฝั่งของเกาะห่างจากหาดเฉวงราว 20 กิโลเมตร ระหว่างทางมีที่ให้แวะพอสมควร ว่าแล้วจึงจัดการแปลงโฉมคุณนายเป็นเด็กสก๊อยซิ่งกันเลยดีกว่า

ระหว่างทางผ่านจุดชมวิวลาดเกาะ ทางเข้าหาดละไม และก็ถึงหินตาหินยาย จัดการเลี้ยวเข้าไปโดยพลัน ฟ้าจะหม่น ลมจะแรง ทะเลจะไร้สีแค่ไหน เมื่อเที่ยวสมุยต้องแวะมาทักทายกล่าวสวัสดีตาเครงกับยายเรียมสักหน่อย (ตำนานหินตาหินยายไปหาอ่านกันเอาเองนะ)

ของตากับของยายใหญ่ยักษ์และสมจริงขนาดไหน เชิญมโนกันตามสบายครับ

ที่หินตาหินยายมีทางขึ้นไปชมวิวมุมสูงเรียกว่าจุดชมวิวหาดละไมด้วย มองเห็นหาดละไมทอดตัวยาวเหยียด ค่าขึ้นสิบบาท อยากดูก็ควักตังค์จ่ายไปไม่ต้องบ่น

ของฝากจากหินตาหินยายที่มีชื่อเป็นหนึ่งในโอท็อปของสมุยคือกะละแม ขายเรียงรายกันหลายร้าน คุณนายแวะชิมซื้อกลับไปฝากเพื่อนหลายถุง ผมไม่มีร้านไหนแนะนำ เลือกชิมเลือกซื้อกันตรงนั้นเลย

ถัดมาอีกหนึ่งจุดคือวัดพระธาตุศิลางู หรือวัดราชธรรมาราม เลยหินตาหินยายแค่นิดเดียว เป็นวัดเก่าแก่ริมทะเล ที่น่ามาเยือนมากเพราะพระอุโบสถสีแดงทั้งหลัง สีแดงนี่มาจากการผสมสีลงไปในปูนนะไม่ใช่การทาสี ประติมากรรมปูนปั้นทั้งหลายในพระอุโบสถวิจิตรบรรจง ถึงตอนนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์และคงต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนพระธาตุศิลางูคือเจดีย์สีทองนั่นไง

ว่าจะไปเที่ยวน้ำตกไม่ถึงสักทีแฮะ... เอาล่ะตั้งหน้าตั้งตาแว้นต่อดีกว่า แต่ยังมิวายพักนั่งกินข้าวเหนียวส้มตำ น้ำตก ไก่ย่าง เป็นข้าวกลางวันอีกนะ (ฮา...)

เอาน่าสายไปหน่อยแต่สุดท้ายก็ถึงที่ จากลานจอดรถเดินเข้าน้ำตกแค่สองร้อยเมตร สายน้ำไหลลงมาตามผาหินสีน้ำตาลอมส้มสวยแปลกมาก น้ำน้อยไปนิดแต่นักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำไม่ขาด ผมเองหามุมเก็บภาพเพลินๆ

บริเวณนี้มีปางช้างด้วย ไม่ต้องบอกนะครับว่าลูกค้าส่วนใหญ่คือต่างชาติ

สำหรับน้ำตกหน้าเมือง 2 อยู่ใกล้ๆ น้ำตกที่ 1 แต่เข้าไปลึกกว่านิดหน่อยและต้องเดินไกลกว่าเยอะ เพราะดูแลโดยหน้าเมืองซาฟารี เขาไม่อนุญาตให้นำรถใดๆ เข้าไป ต้องเดินเท้าและขึ้นเขาประมาณหนึ่งกิโลเมตร เหตุผลคือเพื่อขายรถโฟร์วีล รับ-ส่ง ตีนน้ำตกคนละร้อยบาท ผมแนะนำให้เดินครับ เพราะถึงจะนั่งรถไปก็ต้องออกแรงเดินขึ้นน้ำตกอยู่ดี

นี่แหละโฉมหน้าของความพยายาม ไม่อลังการมากนักแต่ชุ่มฉ่ำใช้ได้อยู่นา

ใจจริงอยากเล่นน้ำอยู่เหมือนกัน แต่ตัดสินใจกลับดีกว่าเพราะเดี๋ยวไม่ทันนัดทานดินเนอร์กับทางโรงแรมตอนหกโมงเย็น แถมเมฆดำอึมครึมมากแล้ว ทว่าสายเกินการ ระหว่างทางกลับถึงแค่แถวละไมฝนก็โปรยปราย ไม่ได้เล่นน้ำตกแต่เล่นน้ำฝนกันเปียกปอนเชียว

ดินเนอร์กับทางโรงแรมที่ว่าคือที่นี่ครับ ห้องอาหาร Stacked ตั้งอยู่ด้านหน้าของโอโซ่ บรรยากาศเลิศมาก เป็นหนึ่งในห้องอาหารที่ดีที่สุดและอร่อยที่สุดในย่านเฉวง ได้คะแนนมาสี่ดาวครึ่งเต็มห้าดาวจากคนรีวิวเกือบห้าร้อยทางเว็บไซต์ TripAdvisor ได้มาโดนของดีแบบนี้คุณนายยิ้มปริ่มเชียวล่ะ

กระซิบบอกก่อนนะว่ามื้อนี้ที่ Stacked เราทานกันทั้งหมดสี่คน ผม คุณนาย สต๊าฟฟ์จากโรงแรมอีกสอง เพราะถ้าลำพังแค่ผมกับคุณนาย ไม่มีทางยัดหมดนี่แน่นอน

เริ่มแรกเก๋ไก๋ด้วยค็อกเทล ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นแปลกเท่านี้ แก้วเด่นกว่าใครชื่อว่า Bacon-Stacked Bloody Mary ผสมว็อดก้า กับมะเขือเทศ เมล็ดพริกไทยดำ ข่า มะรุม พริกชี้ฟ้า มีเบคอนโปะหน้าอีกที ประหลาดลิ้นเหมือนกินน้ำผักผลไม้รวมรูปแบบค็อกเทล ไม่ขอฟันธงว่าอร่อยหรือไม่อร่อยแต่ขอให้คำว่าแปลกแท้น้อ

ส่วนที่มีรากผักชีชื่อ Fizz It Up เย็นชื่นใจ ติดขมเล็กน้อย ผสมจิน น้ำมะนาว โซดา ติดกลิ่นผักชีเล็กๆ ส่วนแก้วสีส้มเป็นมะม่วงผสมส้ม Baby Stacked มีเนื้อด้วยนะไม่ได้มาแค่น้ำ และสุดท้ายสีแดง Nicely Stacked น้ำแตงโม น้ำมะนาว ผสมจินกับอบเชย แก้วนี้เปรี้ยวอมฝาด เหมาะกับผู้หญิง

ออร์เดิร์ฟมีสองจาน จานแรก Chili Cheese เฟร้นช์ฟรายราดเชดดาร์ชีส ซาวครีม ซอสซัลซ่า ผสมด้วยสตูเนื้อรสเผ็ด อันนี้อร่อยมากคงเพราะผมชอบเจ้าเชดดาร์ชีสอยู่แล้ว กลมกล่อมสุดๆ ส่วน Grilled Caesar Salad ผักสดใช้ได้

สลายออร์เดิร์ฟเสร็จก็ต่อกันที่เมนคอร์ส เข้ามา Stacked ต้องลิ้มลองแฮมเบอร์เกอร์ครับเพราะเป็นจุดขายของเขา ที่ผมได้กินคือ Aristocrat ใช้เนื้อวากิวอย่างดี ชิ้นนี้ไม่ผิดหวังเลย ขณะที่ซี่โครงแกะ Country Fried Lamp นุ่มอร่อยไม่มีกลิ่นคาว ทานคู่มันบดกับสลัดผักที่ผสมวิสกี้บางๆ กำลังอร่อย

แต่ทีเด็ดของทุกอย่างในมื้อนี้ผมยกให้อกเป็ดย่าง 2x Duck บอกเลยว่าสุดยอด เนื้อนุ่มมาก..ก...ก..ก ไม่เคยกินเป็ดที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อน ไม่ได้โม้นะเนี่ย (ฮา...) หนังกรอบอร่อยไม่แห้งเกินไป เมนูนี้ลิ้นจระเข้อย่างผมให้สิบเอ็ดเต็มสิบ ปลื้มมาก สมแล้วที่เขาบอกว่าเป็นหนึ่งในเมนูขายดีที่สุด

ตบท้ายกับของหวานสักนิด ไอศกรีม PB&J ฟินจนพุงแทบแตกกันไป

วันสุดท้ายไม่อยากจะตื่นนอน ฝนพรำตกๆ หยุดๆ อยู่ตลอดตั้งแต่กินเบรกฟาสต์ เลยจำเป็นต้องล้มแผนไปตะลอนชายหาดต่างๆ ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกันเพราะจะได้ใช้เวลาในโรงแรม ทำให้เห็นชัดเจนขึ้นอีกว่าที่นี่เหมาะกับการมาพักผ่อนมาก

บริเวณหน้าหาดของโอโซ่ ถึงฟ้าจะหม่นแต่ก็ยังมีมุมสวย และนอนเกลือกลิ้งแสนสบาย มีพนักงานรักษาความปลอดภัยดูแลตลอดทั้งวันทั้งคืน นักท่องเที่ยวนอกตีเนียนมาใช้เตียงชายหาดไม่ได้แน่

เช็คเอาต์ตอนเที่ยงฝนตกเลยต้องเตร็ดเตร่แถวล็อบบี้ พอฝนซาค่อยขี่มอเตอร์ไซค์ไปเดินเล่นหาของกินที่เซ็นทรัล เฟสติวัล แล้วกลับมาชิลฆ่าเวลาริมชายหาดที่โรงแรมต่อ บ่ายสามครึ่งจึงถึงเวลาโบกมือลาเซย์กู๊ดบาย โอโซ่ เฉวง แบบตาละห้อยอยากอยู่ต่ออีกสองสามคืน พักที่นี่ฟินสบายเหลือเกิน

รถทัวร์ขากลับกำหนดเวลาหน้าตั๋ว 16.31 น. ซึ่งเป็นเวลาออกจากท่ารถ รถจะขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่หน้าทอนห้าโมงเย็น เราขึ้นเรือรอบนั้นด้วยเลย พอใกล้ถึงฝั่งดอนสักค่อยแบกกระเป๋าขึ้นไปนั่งบนรถ เที่ยวสมุยด้วยรถทัวร์ง่ายดายแค่นี้แหละ

โบกมือบ๊ายบายสมุยพร้อมการเผชิญกับปลายหางหว่ามก๋อ แค่หางยังขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยทำไมชลบุรี ระยอง ซึ่งรับไปเต็มๆ ถึงแทบจมน้ำ

อาจเพราะพายุหว่ามก๋อด้วยละมั้งครับ ผมจึงมีความรู้สึกว่าคงมีอีกครั้งที่ต้องพาคุณนายกลับมาเที่ยวสมุย เพราะเธอยังไม่ได้เห็นเกาะสวาทหาดสวรรค์ในมุมแสนสวยเหมือนที่ผมเคยสัมผัส มีอีกหลายหาดหลายสถานที่ซึ่งผมไม่ได้พาเธอไปด้วยอากาศไม่เป็นใจ และยอมรับว่าแอบหวังลึกๆ หากมีโอกาสครั้งหน้าก็อยากมานอนเกลือกกลิ้งที่โอโซ่อีกสักหน สุดสบายแบบนี้ไม่ติดใจไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะครับ…


ใครสนบล็อกรีวิวอื่นของผม อยากคุยเรื่อยเปื่อย สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) ชวนเที่ยว ก็ยินดียิ่งครับ

>>> https://www.facebook.com/alifeatraveller

หรือ

>>> https://alifeatraveller.wordpress.com


นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller

 วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.25 น.

ความคิดเห็น