17-23/11/17 (6คืน6วัน) งบ7000บาทนิดๆ

‘ลาว’ ประเทศเพื่อนบ้านของเรา ที่อยู่ไกล้ประเทศไทย ประเทศที่มีภาษา อาหาร วัฒนธรรม ผู้คน คล้ายคลึงกับประเทศไทยมากๆ ราวกับเป็นประเทศฝาแฝดกัน สำหรับการเดินทางของผมจะไปวังเวียงก่อนแล้วไป หลวงพระบาง และที่สุดท้ายคือนครหลวงเวียงจันทร์พร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปพร้อมกันได้เลยครับ

คำเตือน: รูปเยอะมาก

เวอร์ชั่นวีดีโอก็มีนะครับอิอิ


Day1(17/11/17) พาตัวเองสู่จังหวัดอุดรธานีหรือจังหวัดหนองคาย

ผมออกเดินทางจากรุงเทพมหานคร โดยรถไฟ(นอน)ด่วนพิเศษอีสานมรรคา ขบวนที่25 ซึ่งเป็นรถไฟขบวนใหม่สุดของการรถไฟแห่งประเทศไทย ขึ้นที่สถาานีรถไฟดอนเมืองและไปลงที่สถานีหนองคาย ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง จองตั๋วชั้นบน แอร์หนาวมาก

ข้อดีของรถไฟแบบนี้คือทำให้เราพักผ่อนได้เต็มที่ ตื่นเช้ามาไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลย

รถไฟก่อนเข้าสถานีหนองคาย


Day2(18/11/17) หนองคาย เมืองแห่งประตูสู่ลาว

มาถึงสถานีหนองคายเกือบ 07:00น. จากนั้นต่อรถสองแถวหน้าสถานีรถไฟหนองคายมาลงที่บขส.หนองคาย (30บาท) จริงๆสามารถนั่งรถสองแถวมาลงที่ด่านตม.ตรงสะพานมิตรภาพไทยลาว แล้วทำเรื่องข้ามผ่านแดน แล้วขึ้นรถโดยสารบนสะพาน ข้ามไปยังประเทศลาว ต่อรถไปวังเวียงได้เลย แต่ผมไม่กล้าเสี่ยง555 กลัวหลง เลยมาขึ้นที่รถของบขส.ของไทยสบายใจกว่า รถที่เรานั่งไปวังเวียงวันนี้เป็นรถบัสปรับอากาศ ถามพนักงานได้ข้อมูลมาว่า ขึ้นรถที่อุดรธานีหรือขึ้นที่หนองคาย ราคา320บาท เท่ากัน และยังบอกอีกว่ามีราคา 240บาทด้วยถ้าขึ้นที่นี่ แต่ต้องรอให้รถบัสออกมาจากหนองคายก่อน ฟังดูดีนะ ลดไปตั้งหลายสิบบาท แต่ก็ต้องเสี่ยงนิดนึงเกี่ยวกับที่ว่าที่นั่งจะเต็มหรือไม่

นั่งรถมาได้สักพักรถบัสจอดให้ลงที่ตม.ฝั่งไทย ให้เราทำเรื่องออกจากประเทศ หลังจากนั้นก็กลับไปขึ้นรถคันเดิม นั่งผ่านแม่น้ำโขงบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แล้วรถจะจอดอีกที่ที่ตม.ประเทศลาว ทำเรื่องผ่านแดนตามปกติ เขียนใบขาเข้าประเทศ และก็จะมีบัตรที่เรียกว่าOne way ticket(55บาท) ด้วย ต้องซื้อเพื่อผ่านประตู คล้ายๆบีทีเอสบ้านเรา ที่นี่จะมีที่แรกเงินด้วย เรทตอนนั้น 252กีบ=1บาท

***แปลงเงินลาวเป็นเงินไทยง่ายๆคือ ตัดศูนย์ออก3ตัวแล้วคูณด้วย4=จำนวนเงินไทย เช่น 10.000กีบ=10*4=40บาท *****

ผมแลกไม่ทันเพราะใช้เวลาเข้าแถวนานมาก กลับมาขึ้นรถต่อ นั่งไปอีกสัก3ชั่วโมง รถก็จอดที่ร้านอาหารที่ไหนสักแห่ง มีเวลาครึ่งชั่วโมงสำหรับทานข้าว เข้าห้องน้ำ ซื้อของ ผมซื้อซิมพร้อมเน็ตที่นี่เลย เป็นค่าย Lao Telecom ราคา120บาทไทย ได้เน็ต7วัน 1.5GB แรงใช้ได้ ถูกด้วย หลังจากเสร็จธุระเรียบร้องก็เดินทางยาวไปเมืองวังเวียง เส้นทางส่วนใหญ่เป็นภูเขา ถนนเล็ก โค้งเยอะ ทำให้เวียนหัวมาก ก็ดมยาดมตราโป๊ยเซียนวนไปสิ เมื่อไหร่จะถึง555 รถมาจอดที่สถานีขนส่งวังเวียง ต่อรถฟรีคล้ายๆรถสองแถวไปยังตัวเมือง ระยะทางไม่ไกลเท่าไร่ พอถึงก็หาที่แลกเงินที่ร้านขานทัวร์แห่งหนึ่ง ตอนนั้นแลกเงินไป100ดอลล่าร์ยูเอดี เรท8300K=1USD พอคำนวณดูแล้วไม่มีความจำเป็นที่ต้องแลกเงินดอลล่าร์มาเลย เอาเงินบาทมาแลกแหละดีอยู่แล้ว เดินหาที่พักในกูเกิลแมพกว่าจะเจอใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงกว่า เช้คอินโฮสเทลเสร็จ อาบน้ำ จัดของ พร้อมลุย

ที่แรกที่ผมมาคือ บริเวณแม่น้ำซอง เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งจะเป็นร้านนั่งชิว ร้านอาหาร ให้นั่งกินลมชมวิวเพลินๆ เทื่อได้มาถึง ณ ตรงนี้ ก็ถามตัวเองว่า ฉันมาอยู่ที่วังเวียงแล้วหรือนี่ มันสวย บรรยากาสดีมาก ได้ฟังเสียงน้ำไหลไปเรื่อยๆมันทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

สะพานส้ม (สามารถเดินไปถ้ำจังโดยผ่านสะพานนี้ได้)


กลับไปที่ริมแม่น้ำซองอีกครั้ง เพื่อทานมื้อเย็น กับบรรยากาศเสียงเพลงสนุกๆ ที่นี่เขานิยมเปิดเพลงไทยด้วย รู้สึกภูมิใจอย่างมาก555 เห็นคนอื่นเขามากับเพื่อนกับแฟน เห็นแล้วก็อดคิดอิจฉาไม่ได้ ก็เรามาคนเดียวนี่ ต้องสตรองไว้

สั่งอาหารมาเท่านี้แหละ เบียรลาวขวดใหญ่ น้ำเปล่า ข้าวเหนียว บาร์บีคิวที่ไม่ได้สั่ง(สั่งปีกไก่มาได้บาร์บีคิว เอิ่มน้องงง) และก็หมูย่าง ราคาแรงเอาเรื่อง สองร้อยไทยบาทนิดๆมื้อนี้

มีโคมลอยด้วย


Day3 (19/11/17) อยากไปไหนก็ไปจ้า

วันนี้ขออิสระวันนึง อิสระแบบตามใจฉัน เที่ยวเรื่อยๆ ไม่รีบ แต่โคตรเหนื่อย เราก็เลยตัดสินใจเช่าจักรยานเสือภูเขามาขี่ ค่าเช่า25.000กีบ ใช้พาสสปอรต์มัดจำไว้ด้วย ขี่มาได้ไม่เกิน100เมตรจากร้านเช่าจักรยาน ช่วงที่เท้ากำลังถีบที่ปั่นจักรยาน โซ่หลุดจ้า หน้าเราหัวทิ่มหกขะเมน หน้าแข้งหน้าขาถลอกปอกเปลิกไปนิดหน่อย เลือดซิบแต่เช้า เลยจำเป็นต้องมาเปลี่ยนเป็นคันใหม่ให้เอาคันที่มันดีกว่าหรือใหม่กว่าให้ ป้าเจ้าของร้านเช่าแกก็เอาคันใหม่มาให้แต่โดยดี ได้แต่ยิ้มแหยๆ ก็ไม่เป็นไร ถือว่าฟาดเคราะห์ละกัน

ปั่นออกจากในเมืองมา จากถนนลาดยางสู่ถนนดินแดงสีน้ำตาลส้ม เรามีคนคอยบอกทางด้วย เขาคือ จีพิเอสนั่นเอง อยากไปไหนก็พิมพ์เข้าไป ที่แรกของวันนี้คือน้ำตกแก่งนุ้ย ระยะทางประมาน8กิโลจากเมืองวังเวียง เป็นทางค่อนข้างขรุขระ และฝุ่นเยอะมาก แต่บรรยากาศ วิวดีงามมากจริงๆ ขี่ขึ้นเขาแล้วก็ลงๆสลับกันไป มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนเร่งความเร็วปั่นขึ้นเนินโซ่หลุด (อีกแล้วหรือ)…โอ้ยจะร้องไห้ พยายามใส่โซ่กลับคืนที่เดิม จนมือเปื้อนน้ำมันโซ่ดำปี๋เลย T_T สุดท้ายก็มาถึงน้ำตกจนได้ ก่อนทางเข้าน้ำตกจะได้เสียค่าเข้าน้ำตกด้วย จำไม่ได้แล้วเท่าไหร่

น้ำตกแก่งนุ้ยนี้ เราชอบมาก มหัศจรรย์ธรรมชาติสุดๆ สายน้ำไหลลงมาเป็นสายยาวมากจากหน้าผาหินสูงชัน ผู้คนต่างพาตัวเองไปให้น้ำตกรดตัว แล้วถ่ายรูปเก้บไว้ เราก็ลองให้น้ำตกมันรดตัวเราบ้าง มันชื่นใจมาก น้ำเย็นจนตัวสั่น ก็เล่นน้ำจนเหลืออยู่ตัวคนเดียว555 พอเล่นน้ำสมใจอยากก็ต้องกลับไปที่อื่นต่อ ตอนกลับก็เลยต้องขี่จักรยานกลับทั้งๆที่ตัวเปียกอย่างนั้นแหละ ลืมเอาชุดมาเปลี่ยนไง ก็เลยคิดได้ว่าไปที่บูลลากูนสิ อยากไปกระโดดน้ำ ก่อนเข้าบูลลากูนก็ต้องเสียค่าเข้าอีก

บูลลากูนมันก็เป็นสระน้ำน้อยๆใสๆ น้ำสีฟ้า(ฟ้าแบบนี้เลย) ก็แปลกนะสถานที่เล็กๆแห่งนี้ทำไมจึงเป็นที่นิยมกันจัง มีคนเยอะแยะมากมายเลยต้องมาเที่ยวที่นี่ พอเราได้มาสัมผัสก็รู้เลยว่าทำไมต้องมาที่นี่ คือมันดี มันมีเสน่ห์ โดยเฉพาะผู้เกาหลีนะ555 ไฮไลต์ของที่นี่นะก็เป็นการกระโดดน้ำจากบนต้นไม้ ตอนกำลังจะโดดผู้คนก็เชียร์กันอย่างสนุกสนาน บางทีโดดเสร็จก็มีตบมือบ้าง นี่แหละอาจจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่ก็ได้ ผมก็กระโดดไป2รอบ รอบแรกกรี๊ดเลย เสียวมาก

มีน้องปลาด้วยนะ

แถวบูลลากูนมีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆ สั่งตำไทยกับขนมปังฮ็อทดอก รสชาติอร่อยหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นหิวด้วย555

จากนั้นปั่นจักรยานไปผาเงิน เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น ซึ่งขณะนั้นแดดร้อนเปรี๊ยงปร้าง หน้าไหม้ไปเลย

ก่อนเข้าก็เสียค่าเข้าตามเคย ใช้เวลาเดินขึ้นเขาเกือบหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่ขึ้นกำลังจะถึงยอด ลมก็แรงขึ้นๆ ฟ้ามืด บ่งบอกว่าฝนกำลังจะตก แต่ก็ไม่ละความพยายาม อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว ถ้าถอดใจลงไปไม่รู้ว่าจะได้มาอีกเมื่อไหร่ ก็อึดใจเดินขึ้นสู้ ไแบบไม่หวั่นฟ้าหวั่นฝน

ในที่สุดฉันมาถึงแล้วมันสวยมาก ที่ที่เรายืนอยู่ โอบล้อมไปด้วยภูเขา กับแสงพระอาทิตย์สีส้มอ่อนๆละหมุนๆ โรแมนติกมาก แต่เราก็ได้อยู่กับความสวยไม่กี่นาที แล้วฝนก็ค่อยๆเทกระหน่ำลงมา กระหน่ำลงมาอย่างแรง โชคดีที่ข้างบนนี้มีพี่พ่อค้าขายเครื่องดื่มอยู่ ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ลองนึกภาพสิ คนตัวคนเดียวติดฝนอยู่บนยอดเขา มืดก็มืด มองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากหมอกฝน และความมืด มันน่ากลัวจริงๆ ดีนะที่มีคนอยู่555 เลยรอดตาย ประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ที่ฝนตกลงมา รอจนฝนหยุดพี่เขาก็พาเดินลงเขากัน มีไฟฉายคนละอัน สักพักมีเจ้าหน้าที่ข้างล่างมาตามกันเต็มเลย ตื่นเต้นมาก555 ไม่เคยเจออะไรอย่างนี้เลย และแล้วก็ปั่นจักรยานคันน้อยๆ เข้าเมืองวังเวียงได้อย่างปลอดภัย หาข้าวหาปลากิน แล้วกลับเข้าที่พักนอนสลบ น้ำไม่องไม่อาบมันแล้ว เหนื่อยจัด แล้วไหนบอกวันนี้ชิวๆ 555


Dau4 (2011/17) แอ้ดเวนเจอร์เดย์

วันนี้จะไปวันเดย์ทริปที่ได้ซื้อไว้เมื่อ2วันก่อน ราคา200.000K หรือประมาณ 800บาทไทย ตามโปรแกรมจะได้ไป Zip-lining(โหนสลิง) Kayaking(พายเรือคายัค) Thamnam(ล่องห่วงยางเข้าถ้ำน้ำ) และที่สุดท้ายที่บูลลากูน(ซึ่งไปมาเมื่อวานแล้ว) รถก็จะมารับหน้าที่พักเลย พาไปโหนสลิงก่อน เป็นกิจกรรมที่สนุก เสียว ตื่นเต้นดี ก่อนเล่นเจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำการเล่น การใช้อุปกรณ์ พอเล่นจริงก็รู้สึกว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ชิวๆ

ถึงเวลาพักกินข้าวจะมีข้าวผัดไข่ให้ 1กล่องบาร์บีคิว2ไม้ กล้วย2ลูก น้ำเปล่าเล็ก1ขวด ข้าวผัดจืดมากแต่บาร์บีคิวรสชาติโอเคอยู่นะ อิ่มแล้วจึงไปพายเรือคายัคล่องไปตามแม่น้ำซอง ระยะทางราวๆ7กิโลเมตร(ถามจากพี่เจ้าของเรือมา) เรือ1ลำนั่ง2คน แต่ถ้าหากมาคนเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ผมก็ได้อยู่ลำเดียวกับพี่เจ้าของ แกก็ชวนคุยนุ่นนี้เพลินดี ไม่เบื่อเลย และความที่แดดค่อนข้างร้อนเราก็เลยต้องใส่ผ้าบัฟเช่นเคยแต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีความดำได้ T_T บางช่วงเรือจะผ่านบริเวณที่น้ำไหลแรง คือจะบอกว่ามันลุ้นตรงนี้แหละว่าจะรอดหรือจะร่วง บางคนก็ทำเรือคว่ำก็มี แต่ไม่ได้น่ากลัวนะอย่างที่คิดนะ น้ำมันตื้นมาก

จากนั้นไปล่องห่วงยางต่อที่ถ้ำน้ำ ที่ชื่อถ้ำน้ำอาจจะเป็นเพราะมีน้ำอยู่ในถ้ำกระมังเราก็ต้องนอนบนห่วงยาง มีไฟฉายคาดหัว ใช้มือสาวเชือกลอยเข้าไปในถ้ำ ข้างในมืดจนมองไม่เห็นอะไร บังคับห่วงยางให้ไปตามทางยากนิดนึง เพราะอีกมือถือกล้อง อีกมือสาวเชือก ก็มีบ้างที่จะชนกับคนอื่นบ้าง555 ล่องห่วงยางไปสักพักหนึ่งก็ลงจากห่วงยาง แล้วเดินเท้าลุยน้ำภายในถ้ำ ภายในถ้ำก็มีหินงอกหินย้อยให้ดูให้ชมเพลินตาดี

จากนั้นไปที่สุดท้ายแล้ว บูลลากูน วันนี้คนก็ยังแน่นเหมือนเดิม ผมก็กระโดดน้ำเหมือนเดิม รอบนี้ไม่เสียวแล้วจ้า เพราะเมื่อวานซ้อมมา555 สักพักฝนตกเฉยเลย อวสานบูลลากูนของฉัน เลยต้องรีบขึ้นบกอย่างเร็วไว

แชะกับพี่หนวด

จบโปรแกรมแล้วก็กลับไปที่พักอาบน้ำ จัดของ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ไปซากุระบาเลย ที่ที่ผู้คนรีวิวนักรีวิวหนาว่าถ้ามาวังเวียงต้องมาให้ได้ เป็นร้านเรียบๆดูธรรมดาๆ แต่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ที่สำคัญงานดีทั้งนั้น ฝรั่งเอย เกาหลีเอย โอ้ย! น้องฟิน ก็รีบไปเลยจ้า 8-9 pm. จะเป็นช่วง Free drink เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แก้วน้อยๆแต่อาณุภาพร้ายกาจ ดื่มไป3 แก้วเบลอสิ มึน แล้วรู้ตัวว่าเดินขึ้นไปเต้นกลางบนเวที ตอนนั้นไม่อายแล้วแต่ยังพอที่จะคุมสติได้อยู่นะ 555 สุดท้ายเดินกลับห้องอย่างปลอดภัยแบบงงๆ ว่าเฮ้ยกลับมาห้องถูกได้ไง สุดท้ายเข้านอน ฝันดี ราตรีสวัสดิ์


Day5(21/11/17) โกทูหลวงพระบาง

วันนี้ออกเดินทางไปหลวงพระบางแต่เช้า ไปรถตู้รอบแรก06.30น.เพราะว่าค่ารถถูกสุด ค่ารถที่ผมได้มาคือ80.000K(ตีเป็นเงินไทยประมาน320บาท) รถมารับหน้าที่พักเลยคือดีอ่ะ

ระหว่างทางวิวดีมาก ถึงหลวงพระบาง11.30น. แต่ว่าอยากให้ถึงเร็วๆมากกว่า คืออวกแทบเล็ดอ่ะ เพราะว่าถนนหนทางเป็นทางบนภูเขา โค้งเยอะ เวียนหัวมาก ก็ถ้าใครมาก็อย่าลืมเอายาดมมาด้วยละ

ถึงแล้วเดินหาที่พักในเมือง(ไม่ได้จองล่วงหน้ามา) มีที่พักเยอะแยะ เราเลือกที่มันติดกับแม่น้ำโขง แน่นอนว่าเราเลือกเป็นแบบโฮสเทลเช่นเคย (คืนละ12.000กีบ) เช้คอินเสร็จเดินชิวสโลว์ไลฟ์ริมแม่น้ำโขง ดื่มด่ำกับบรรยากาศสบายๆ เดินเล่นในเมือง

โรงเรียนเด็กประถมในเมืองหลวงพระบาง

เคยกินข้าวจี่ครั้งแรกก็ที่นี่แหละ แม่ค้าให้ลองชิมอันนึ่ง เพราะเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร กินกับน้ำพริกหนุ่มรสชาติดีเลย เลยอุดหนุนมา4อันิ อันละ1,000กีบเองหรืออันละ4บาทไทย

ตอนเย็นดูพระอาทิตย์ตกดินที่พระธาตุพูสีค่าขึ้น 20.000K วิวสวยมาก พระอาทิตย์สีทองยามเย็นส่องไปที่หุบเขาและสะท้อนกับตึกรามบ้านช่องในเมือง เข้ากันจริงๆ สังเกตได้ว่าเมืองหลวงพระบางบ้านช่องเขาเป็นระบบระเบียบดีมาก หลังคาและสีของบ้านเรือนดูเป็นโทนเดียวกันหมดเลย


ตอนกลางคืนเดินเล่นที่ถนนคนเดินหลวงพระบาง เมื่อลงมาจากพระธาตุพูสี เดินลงมาถึงข้างล่างก็พบว่ามีร้านค้ามากมายมาตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ของขายจะมีพวกเสื้อผ้าพื้นเมือง ของตกแต่ง งานแฮนด์เมดมากมาย เครื่องเงิน

ลองไปกินบุฟเฟ่15.000K หรือประมาณ 60บาทไทย เป็นผักทอด ผลไม้ เส้นหมี่ต่างๆ เขาจะให้ถ้วยมา1ใบ แล้วเราจะตักอะไรก็ได้ อิ่มมาก จนกินไม่หมด555


Day6(22/11/17) วันสุดท้ายในหลวงพระบาง

เช้านี้ตั้งใจว่าจะตื่นเช้าเพื่อมาใส่บาตร สุดท้ายตื่นสายเลยไม่ทันพระ ก็เลยเดินชมตลาดเช้าและเดินเล่นในเมืองหลวงพระบางแทน


วันนี้มีผมวันเดย์ทริปไปน้ำตกกวางสี ค่าวันเดย์ทริป 50.000K รถจะมารับหน้าที่พักตอน11.30น. จองจากเอเจนซี่แห่งหนึ่งในหลวงพระบาง จะเดินทางถึงน้ำตกกวางสีประมาณ 12.30น. และเราต้องกลับมาที่รถตอน 15.00น.(เวลาน้อยมากจริงๆ) เราสามารถเช่ารถมอร์เตอร์ไซค์ แล้วขับไปเองได้แต่ราคาเช่าแพงมากประมาณ 400 บาท ถ้ามีคนช่วยแชร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว

น้ำตกกวางสี (Kuang Si Falls/ Tat Kuang Si Waterfalls) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงพระบาง ประมาณ 32 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดของหลวงพระบาง

น้ำตกมีจำนวนชั้นทั้งหมด 4 ชั้น มีความสูงโดยรวมประมาณ 75 เมตร เป็นน้ำตกหินปูน น้ำในน้ำตกจึงมีสีเขียวมรกต ค่าเข้า 20,000 กีบ น้ำใสน่าเล่นมากแต่เวลาเราไม่อำนวย แค่เดินดูนิดๆหน่อยๆก็จะหมดเวลาแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าถ้ามาจะอยู่เล่นนน้ำที่นี่ทั้งวนเลย555


กลับมาหลวงพระบางถึง16:00 หาอะไรกิน แล้วเดินไปร้านยูโทเปีย ร้านนั่งชิวริมน้ำชื่อดังในหลวงพระบาง ราคาเครื่องดื่มสูงนิดนึง แต่บรรยากาศดีมาก ถ้าได้มาหลวงพระบางต้องไม่พลาดร้านนี้ จิบเครื่องดื่มใต้เียงเทียนฟินๆได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องรีบกลับไปรอรถที่จะมารับไปที่สถานีขนส่งหลวงพระบาง


ณ สถานีขนส่งหลวงพระบาง

ผมโดยสารรถบัสแบบนอนปรับอากาศไปเวียงจันทร์ ค่ารถ155.000K รถออก20:30น.(จริงๆในตั๋วเขียนว่ารถออก20.00น.) จะใช้เวลา10ชั่วโมงเต็ม (เลทไปประมาณครึ่งชั่วโมง) ระหว่างที่รอรถออกก็เจอคู่หนุ่มสาวชาวเกาหลี นางเป็นแฟนกันกำลังไปเวียงจันทร์เหมือนกัน นางชวนคุยเยอะมาก น่ารักจริงๆอิอิ นอนเตียงข้างๆกันด้วย อ่อเตียงที่นอน 1เตียงจะต้องนอน2คนนะ ถ้าไปคนเดียวก็ต้องนอนกับคนอื่น(ที่เป็นเพศเดียวกัน) นอนหลับๆตื่นๆทั้งคืนT_T บนรถไม่มีห้องน้ำ รถจะจอดให้ทำธุระเป็นระยะๆ พอถึงช่วงหนึ่งที่รถจะจอดที่ไหนสักที่นานมาก ก็เลยตื่นแล้วลงจากรถมา ก็ได้รู้ว่าเขามีอาหารให้กินฟรี(ต้องใช้คูปองที่ติดมากับตั๋วรถแลก) เป็นเฝ๋อชามโตๆอิ่มมาก แล้วก็กลับขึ้นรถไปนอนต่อ หลับยาวถึงเวียงจันทร์


Day7(23/11/17) ถึงแล้วนะเวียงจันทร์

07:00น. ตื่นขึ้นมาแบบง่วงๆ เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ รถส่ายตลอดคืนเนื่องจากเป็นทางภูเขาบวกกับโค้งเยอะมาก รถบัสมาจอดที่สถานีขนส่งสายเหนือ ตามข้อมูลที่หามาเราต้องขึ้นรถเมล์สีเขียวๆ ไปยังตลาดเช้า ถ้ามาหลายคนไปตุ๊กๆก็ได้สะดวกดี แต่คนเดียวคงต้องขึ้นรถเมล์ดีกว่าแค่ 5.000Kเอง ตลาดเช้าค่อนข้างดูวุ่นวายรถเยอะ ของขายมากมาย ผมก็ไปซื้อตั๋วไปอุดรธานีราคา 100บาท ตอนนั้นเงินกีบหมดแล้วเลยได้ราคานี้ เป้าหมายของวันนี้คือไปประตูไซกับพระธาตุหลวง

ปะตูไซ (Patuxai) เป็นคำประสมมาจากคำว่า "ปะตู" (ປະຕູ) หมายถึง "ประตู" และ "ไซ" (ໄຊ) มาจากภาษาสันสกฤต คำว่า "ชะยะ" หมายถึง "ความชนะ" ความหมายของคำจึงเหมือนเช่นเดียวกับคำว่า "ประตูชัย" ในภาษาไทย

ประตูไซสร้างขึ้นเป็นการสดุดีวีรชนผู้ร่วมรบเพื่อประกาศเอกราชจากประเทศฝรั่งเศส ปะตูไซถูกตกแต่งด้วยศิลปะแบบล้านช้าง นำสัตว์ในตำนานตามความเชื่อของศาสนาพุทธ เช่น กินรี และพญานาค และเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาตกแต่ง บริเวณโดยรอบมีลานจัดการแสดงน้ำพุประกอบดนตรีและสวนปะตูไซ

จากนั้นผมก็เดินไปที่พระธาตุหลวง ไกลจากประตูไซพอสมควร จะประหยัดไปไหน ป่าวหรอกเงินจะหมดแล้ว555

พระธาตุหลวง (Pha That Luang) ปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งเวียงจันทร์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาว สถานที่นี้ยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญอของประเทศลาว

พอใกล้เวลา 10:30น. ก็เดินกลับไปที่ท่ารถ(เดินไกลอีก555) เตรียมเดินทางไปอุดรธานี ถึงอุดรธานี12:30 ก็นั่งเล่นเดินเล่นตากแอร์เย็นๆที่เซนทรัลอุดรธานี เพื่อรอเวลาขึ้นเครื่องบินกลับกทม. เวลา18:00น ถึงกทม.อย่างปลอดภัย กลับมาหน้าดำปี๋เลย แต่ดำเราไม่กลัวหรอก กลัวไม่ได้เที่ยวมากกว่าอิอิ

สรุปค่าใช้จ่าย (แปลงเป็นสกุลเงินบาทให้แล้วนะครับ)

ค่าเดินทางทั้งหมด 3,189บาท

ค่าที่พัก 4 คืน 480บาท

ค่ากิน 2,00บาท

ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ 436บาท

ค่าทัวร์ One day trip ที่วังเวียงและหลวงพระบาง 1,000บาท

อื่นๆ 170บาท

รวม 7,275บาท

ผมหวังว่าทุกท่านจะได้รับความเพลิดเพลินจากการอ่านรีวิวนี้นะครับ และผมก็ยินดีมากที่ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆในครั้งนี้ โ:อกาสหน้าเจอกันใหม่ครับ

......................................................................................................................................................................................................

ร่วมกันพูดคุย/ติดตาม เพิ่มเติมได้ที่

Facebook Page: https://web.facebook.com/JourneyTamjaichan/

Instagram: https://www.instagram.com/suzsutichai/


Suzsuthichaa

 วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 10.50 น.

ความคิดเห็น