บ้านอีต่อง..เมืองต้องมนต์(เสน่ห์)


K : สิ้นปีเราไปเที่ยวอีกซักรอบมั้ย..ร่างกายอยากปะทะหมอก

F : เค้าก็อยากไปนะแต่จะไปไหนหล่ะ...ที่ใกล้ๆเราก็ไปมาหมดและ

K : เธอลืม "บ้านอีต่อง" ไปรึเปล่า...


  • แน่นอนละครับ ว่าเข้าหน้าหนาวทั้งที เราทุกคนล้วนแล้วแต่แสวงหาแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถทำให้เราได้ปะทะลมหนาวและไอหมอก รวมกระทั้งผม ซึ่งเป้าหมายของเราก็คือ ไปที่ไหนก็ได้ใกล้ๆ หนาวพอดี ชมวิถีชาวบ้าน มีกิจกรรมให้ทำ จิบกาแฟชมวิว ซึ่งหวยก็มาออกที่ "บ้านอิต่อง" นั้นเอง

ด้วยนิยามที่ใครต่อใคร ต่างพากันพูดว่า "อีต่องคือสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย" ยิ่งทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและอยากไปจนตัวสั่น ด้วยความหวังที่ว่า ต้องหนาว ต้องสวย ต้องชิวโคตรๆ แน่ๆ


สิ่งที่ท่านจะต้องเตรียมเป็นอย่างแรกเลย คือการจองบ้านพัก แน่นอนครับ อีต่องเป็นเมืองเล็กๆที่มีความเจริญไม่มากนัก ทุกคนต่างอยู่กันแบบวิถีชาวบ้าน คงไว้ซึ่งความเป็นอยู่และวิถีชีวิตดั่งเดิม และที่พักก็มีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งถ้าเทียบกับนักท่องเที่ยว ถ้ารถทัวส์ลงสองคัน ท่านหาที่กางเต็นท์ได้เลย

ดั้งนั้น การจองที่พักจึงสำคัญที่สุด และที่ๆเราจองได้มานั้นก็คือ.......คื๊อ.........คือ!!!!

  1. บ้านทานตะวัน
  2. ปิล็อกแคมป์ คอฟฟี่

เมื่อจองที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็จะรออะไรหล่ะครับ เก็บกระเป๋า เก็บเงิน เดินทางได้เลย...!!!!


และแน่นอน....อีกอย่างนึงก็คือ เราจะเดินทางไปแบบไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ตามสไตล์ฟรีแลนซ์อารมณ์ดีเช่นเคย เราเริ่มออกเดินทางจากบ้านไปสายใต้ใหม่ ตั้งแต่ตี 5.30 น. เพื่อที่จะได้ไปให้ทัน รถสองแถวทองผาภูมิ-อีต่อง คันสีเหลืองในตำนานและโคตรจะอินดี้ แต่อินดี้ยังไงเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังอีกที ซึ่งถ้าคุณไปไม่ทัน คุณจะต้องเหมารถขึ้นไปหรือไม่..ก็คอยโบกรถชาวบ้าน ซึ่งราคาเหมาก็สูงเอาเรื่อง

เราถึงสายใต้ใหม่ ตอน 6.00 น. เดินไปวินรถตู้เลยครับ หาวินแฮปปี้ กรุงเทพ-กาญจนบุรี

ที่เรเลือกวินนี้เพราะเรานั้งกันมาหลายครั้งแล้ว บริการดีและการขับขี่ค่อนข้างมีความปลอดภัย

ไม่แรงเกินไปราคาก็ไม่แพงครับ 100 บาทเท่านั้น บอกเจ้าหน้าที่เลยครับ ว่านั้งไปลงขนส่งกาญ...

ภาพแรกก็จะเบลอๆหน่อย เพราะตื่นเช้ามากยังเมาขี้ตาอยู่....ซึ่งวินแฮปปี้จะสังเกตุง่ายๆครับ จะมีเจ้าหน้ากลมๆสีเหลืองยิ้มอยู่...ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง หลับกันต่อยาวๆไปเลย

เหมือนกระพริบตา สองชั่วโมงผ่านไป ไวอย่างกับโกหก....เราก็มาถึงขนส่งกาญ ลงรถเสร็จเรามุ่งหน้าไปหาวินรถตู้ กาญ-ทองผาภูมิ ทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา หิวข้าวก็หิวแต่ต้องทน..เพราะกลัวไม่ทัน วินรถตู้จะอยู่ด้านหลังขนส่ง เป็นตึก1คูหา สังเกตุป้ายแดงๆใหญ่ จะมีเขียนบอกไว้อย่างชัดเจน.

เดินเข้าไปบอกพนักงานเลยครับ....ว่า ลงที่ตลาดทองผาภูมิ ราคาก็คนละ 115 บาท เท่านั้น

และแล้วรถตู้ก็มารับ เราออกจากขนส่งกาญประมาณ 8 โมงนิดๆครับ

ใช้เวลาเดินทางไปยังทองผาภูมิประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง และเราก็หลับต่อเหมือนเดิมครับ ฮ่าๆ

เมื่อถึงทองผาภูมิ ให้เดินมาทางตลาดทองผาภูมิ วินรถสองแถวจะอยู่ใกล้ๆ กับเซเว่น

ซึ่งห่างจากวินรถตู้ประมาณ 500 เมตร ระยะทางไม่ไกลมากนัก...

ในหัวเรื่องที่ผมเกริ่นไว้ว่า รถสองแถวสีเหลืองถึงอินดี้ ความอินดี้มันอยู่ที่ว่า รถทั้งหมดจะมีเพียงแค่ 4คัน ก็จะวิ่งทั้งหมด4เที่ยว โดยเที่ยวแรกจะประมาณ 10โมง ไล่ลำดับเวลาไปจนถึงเที่ยงๆบ่ายๆ แล้วแต่อารมณ์คนขับ ราคาคนละ70บาท/เที่ยว ซึ่งถ้าปรกติ เราจะสามารถ ไปรอบ 10โมง 11โมง เที่ยง ได้...แต่ถ้าวันไหน มีคนเหมารถ แน่นอนครับ รถก็จะหายไปเที่ยวนึง ซึ่งถ้ามาเป็นกรุ๊ปก็เหมาขึ้นไปได้ครับ ในราคา 1500บาท/คัน และถ้ามีคนเหมา 2 คัน รถก็จะหายไป2เที่ยว 3คันก็สามเที่ยว ซึ่งวันไหนถ้าใครซวย รถโดนเหมาหมด ท่านก็จะต้องโบกรถ หรือไม่ก็ต้องเหมารถชาวบ้านขึ้นไป เป็นความซวยที่ไม่สามารถเดาได้เลย...

ดังนั้น ออกเช้าๆ มาถึงวินตั้งแต่เที่ยวแรก ปลอดภัยที่สุดครับ...




และอีกอย่างที่ห้ามลืมเลยก็คือ อย่าลืมสังเกตุข้างรถด้วย ว่าไปอีต่อง หรือไปที่อื่น เพราะรถสองแถวที่นี่สีเหลืองเหมือนกันหมด..เพราะถ้าท่านขึ้นผิด ชีวิตท่านก็จะเปลี่ยนแน่นอน...

และถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้...ก็เพราะผมโชคดีที่ได้นั้งหน้ามีโอกาศได้คุยกับลุงคนขับตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง ความเป็นอยู่ในสมัยก่อน ตอนที่อิต่องยังเป็นเหมือง และลุงก็เป็นคนงานที่เหมืองปิล็อก คุยกันไป..ถามกันมา...ขับไปได้ซักพัก ลุงก็เลยพาแวะที่จุดชมวิว ให้เวลาเข้าห้องน้ำ เดินเล่นประมาณ 10 นาที


ลืมบอกไปครับ ว่าทางที่ขึ้นมานั้น เป็นเข้าที่คดเคี้ยวพอสมควร ว่ากันว่ามีทั้งหมด 399 โค้ง และถนนบางช่วง ก็มีหลุมมีบ่อ ลุงยังบอกอีกว่า มอ'ไซค์พวกบิ๊กไบร์ตกเขากันประจำ..เพราะขับกันไม่ระวัง ขับมาเร็ว ทิ้งโค้งกันเจอหลุมก็ลอยหายไปในป่าเลย....และตลอดทางสัญญาณมือถือก็จะมีบ้าง ไม่มีบ้างด้วยเช่นกัน

ฟ้าโปรงเป็นใจให้ได้มองเห็นวิวด้านหลัง ลมปะทะหน้า พาให้สดชื่น พร้อมนั้งรถลุยต่อไปให้ถึงปลายทาง

วิวอีกฝั่งก็สดชื่นไม่แพ้กัน มีเมฆลอยกันเป็นกลุ่ม ชวนให้ถ่ายมุมย้อนแสง...

นั้งพักเอาแรง ลุงก็เรียกขึ้นรถพร้อมไปต่อ...เหลืออีกครึ่งทางก็จะถึงที่หมาย

และแล้วก็มาถึงที่หมายจนได้...นั้งจนเมื่อยก้นกันเลยทีเดียว แวะถ่ายรูปบ่อน้ำในยามที่ไร้คนซักนิด

ถ่ายเสดก็ไม่รอช้า เดินหาทีพักทันที เก็บกระเป๋าแล้วไปหาข้าวกิน ซึ่งที่เราจะพักกันในคืนแรกนั้น

ก็คือ "บ้านทานตะวัน" นั้นเอง

สังเกตุง่ายๆครับ อยู่ริมบ่อน้ำหลังสีเหลืองๆ โดดเด่นกว่าชาวบ้าน....

ราคาก็ไม่แพงครับ..คืนละ 1000 บาท พร้อมอาหารเช้า..

มาดูภายในห้องกันต่อครับ เราได้ห้องชั้นล่าง ถือว่าสะอาดเลยครับ

ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ มีเครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี พัดลม

ไม่ต้องถามถึงแอร์นะครับ แม้แต่พัดลมผมก็ไม่เปิด เพราะมันหนาวมาก

มีกาน้ำร้อน และตู้เย็นให้ ซึ่งอยู่ในส่วนกลาง ตั้งอยู่หน้าห้องเรานั้นเอง...

เก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ท้องก็ร้องขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่สายใต้ใหม่ จนมาถึงบ้านอีต่อง ก็มีแต่น้ำเปล่าเท่านั้นที่พอจะได้ดื่ม...ว่าแล้วเราก็ออกไปหาข้าวกินกันเลยดีกว่า

เดินมาตามถนนคนเดิน....ก็มาเจอร้านอาหารตามสั่ง

"น้องหน่อย" เป็นร้านเล็กๆ ราคาสบายกระเป๋า(แอบมองดูราคาก่อนเข้าร้าน)

และก็เคยผ่านตาในรีวิวอื่นมาบ้าง...

บวกกับความหิว เรารีบปรี่เข้าร้านโดยทันที..

มื้อแรก มันก็จะง่ายๆหน่อย เมนูสุดคลาสสิค กะเพราไก่ไข่ดาว ต้มจืดเต้าหู้ ราคารวมกันอยู่ที่ 130 บาทเท่านั้น

อาจจะเห็นว่าเป็นผัดกะเพราธรรมดา แต่ที่พิเศษ คือ ใบกะเพราที่ใช้...เป็นใบกะเพราะป่า(เดาล้วนๆ)

พอผัดแล้วหอมมาก เพิ่มความอร่อยไปอีกเท่านึงเลยครับ ให้เยอะและราคาถูก ถือว่าเป็นมื้อแรกที่ประทับใจเลยครับ...

กินอิ่มก็เดินกลับที่พัก เจอน้องหมานอนหลับหลบใต้ต้นไม้ อากาศเริ่มค่อยๆ เย็นลงๆ จนรู้สึกว่าต้องเข้าที่พักไปใส่แขนยาว นั้งพักซักแปป ก็แต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อที่เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่เนินช้างศึกกัน...

เปลี่ยนชุดเสร็จ รีบโทรหาลุงสองแถวที่เรานั้งมา เพื่อจะเช่ามอ'ไซค์ ขับขึ้นไปบนเนินเสาธง ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปที่สะพาน มีป้ายห้อยเรียงรายเต็มไปหมด ราวกับอยู่ในหนังเกาหลี แต่เรายังไม่ผูกป้ายวันนี้ครับ เพราะพระอาทิตย์กำลังจะตก เราเลยต้องรีบไปให้ทัน...

แต่ด้วยแสงและบรรยากาศที่แสนจะเกาหลี จึงทำให้เราต้องยืนถ่ายรูปต่ออีกซักพัก....

เกาหลีระดับสิบ....ฟินเลยจ้าาาาา แถมอากาศเย็นสบายอีกต่างหาก ลมพัดพอให้ขนลุกซู่ซ่า..

ถ่ายรูปจนเพลิน.....อ้าวลืมไปเลยว่าต้องรีบไปเอามอ'ไซค์ ฮ่าๆ

เนินช้างศึก ห่างจากหมู่บ้านระยะทางประมาณ 3 กม. ถนนมีความชันเล็กน้อยถึงปานกลาง...

ความพีคมันไม่ได้อยู่ที่ถนนหรอกครับ แต่มันอยู่ที่มอไซค์ที่เราได้มาดีกว่า เช่ามาในราคา400บาทไทย น้ำมันครึ่งถัง คืนวันพรุ่งนี้เย็น อาจจะดูเหมือนคุ้ม แต่สิ่งที่แถมมาคือ เครื่องยนต์ 3000 แรงอูฐอีกแล้ว

ทำความเร็วได้สูงสุดประมาณ 55 กม./ชม. เรียกได้ว่าเต่ากัดยางเลยทีเดียว แถมตอนขึ้นเนินไม่ต้องพูดถึง...

"ตัวเอง ลงเดินเถอะนะ เค้าขับขึ้นไปไม่ได้ ความแรงมันไม่พอ" แถมเกียร์ค้างอีก..ปวดหัวเลย

(แนะนำเช่าคันใหม่ๆเลยครับ เพราะเส้นทางแต่ละที่ที่ไปมีความชันพอสมควร ไม่งั้นท่านจะต้องมาเข็นแบบเรา)

แสงทองเป็นประกาย ลมพัดมาไม่ขาดสาย

ความเหนื่อยล้าที่แบกมาด้วยค่อยๆคลายลงไปทีละนิดๆ จุดพลังให้ตัวเองอีกครั้ง...

พระอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า...อากาศก็ค่อยๆเย็นลงตามไปด้วย เย็นซะจนนั้งแทบไม่ไหว...

กลับกันดีกว่า..ท้องเริ่มร้อง...ชวนหิวซะแล้ว..

บรรยากาศแสงไฟตอนกลางคืน...แม้อากาศจะหนาว พอมองแล้วก็ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น..

อีกหนึ่งมุมที่หัวสะพาน..ก็สวยไม่แพ้กัน

ได้เวลาเติมพลังกันแล้ว..หลังจากที่เดินทางมาทั้งวัน ขอโดนเมนูเด็ดๆซะหน่อย..

"โอ้โห ครัวเจ๊ณีที่เค้าร่ำลือ คนโคตรเยอะ ไม่มีที่นั้งเลย" ผมอุทานทันที

"'งั้นเราเอาร้านข้างๆละกัน คนน้อย น่านั้งดี" แฟนผมตอบ

"ช้างแก่ คลาสสิคโฮม" ร้านเล็กๆ ที่รสชาติไม่เล็ก ตกแต่งร้านด้วยไม้ต่างๆ ผสมผสานกับของเก่าที่เก็บไว้ ซึ่งมีป้าสุดอินดี้เป็นเจ้าของร้าน คุณป้าน่ารักเป็นกันเอง พูดคุยกันอย่างกับเราเป็นลูกเป็นหลาน ทุกคนมุ่งเป้าไปที่ครัวเจ๊ณี จนมองข้ามร้านนี้ไปได้ยังไง...

หิวจนมือสั่น...เมนูที่สั่งมาก็เป็นเมนูง่ายๆ ผัดซีอิ้ว ราดหน้าคลายหนาว ไข่นอกกะทะ เพราะมันไม่ได้อยู่ในกะทะแต่มันอยู่ในจานแทน และไฮไลค์ของงาน ก็คืออออออออ...ยำมะม่วงปูกรอบ ใช่!!!แล้วครับ ปูกรอบ

มันไม่ใช่ปูดอง แต่มันคือปูกรอบ กรอบจนสามารถเคี้ยวได้ทั้งกระดอง ทั้งก้าม คือมันแบบ อะเมซิ่งมากๆ

คือเราคิดว่า..มันจะเหมือนปูในส้มตำ แต่มันไม่ใช่เลย คนละเรื่อง คนละอารมณ์ คนละแบบ หนังคนละม้วน

ไม่ได้อวยไส้แตก แต่มันอร่อยจริงๆ เดี๋ยวไว้มาเล่าต่อ...มื้อนี้เราจบไปที่ราคา 160 บาทไทยเท่านั้น

ได้เวลาเราก็จับทั้งหมดยัดลงกะเพราะกันอย่างบ้าคลั่ง...เพียงไม่กี่นาทีทุกอย่างก็หายหมดไปกับตา

ได้เวลาบอกลาวันแรก...อากาศหนาว ราวๆ 19 องศา ทำให้เราเลือกที่จะนอนมากกว่านั้งดื่มแฮงเอ้าท์...

ฝันดี...อีต่องคืนแรก..พรุ่งนี้เช้าเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินช้างศึกกัน....


ตั้งปลุกไว้ 5.30 น. ตื่นแทบไม่ไหวเพราะอากาศที่หนาวเย็น บวกกับความเพลียจากการเดินทาง..

ทำให้รู้สึกเหมือนตัวละลายติดเตียง "ตัวเอง!!! เอาจอบมาแซะ...เค้าออกจากเตียงหน่อย"

แต่ยังไงเราก็ต้องตื่นไปดูพระอาทิตย์ให้ได้..ไม่รอช้า อาบน้ำ แต่งตัว แล้วรีบไปเนินช้างศึกกัน..

และแล้วเราก็มาถึง...ด้วยความที่คิดว่า....มาอีต่องคงไม่หนาวมาก...แต่ที่ไหนได้ ความหนาวบนเนินช้างศึก เฉลี่ย 17-18 องศา และมีลมแรงกรรโชก หนาวจนบอกไม่ถูก

เรามีแขนยาวคนละตัว ผ้าบัฟคนละผืน นั้งสั่นไปซิครับ...

เวลา 6.20 น. พระอาทิตย์ก็ยังไม่โผล่ขึ้นมาสวัสดี..มีเพียงแสงออร่าที่เปร่งประกายเหนือยอดเขา..

ให้เราได้นั้งรออย่างมีความหวัง..เพื่อรอรับอรุณแรก

เริ่มโผล่มาทีละนิด..ทีละหน่อย ลมหนาวก็พัดมาอย่างไม่ขาดสาย ในใจก็ลุ้นให้รีบๆขึ้น จะได้รีบกลับไปนอนต่อ

และแล้ว.......สิ่งที่เรารอคอย ก็เป็นจริง

พระอาทิตย์สีทอง แบกพาความอบอุ่นอันน้อยนิดมาให้....

เรานั้งมองกันอยู่นาน โดยที่ไม่ได้พูดอะไร..

ได้แต่นั้งมองภาพข้างหน้า...ชื่นชมด้วยตาตัวเองให้มากที่สุด

"ในชั่วโมงนั้น..ไม่มีอะไรจะสุขใจ......ไปมากกว่านี้อีกแล้ว"


พระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง..ส่งสัญญาณให้เรากลับเข้าที่พัก ท้องไส้เริ่มหิวอีกแล้ววววววว..

ว่าแล้วก็ลืมพูดถึง "เนินช้างศึก" ซึ่งเนินช้างศึกเป็นฐานปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดน เป็นฐาน ตชด ที่.ตั้งอยู่ในเส้นพรมแดนไทย-พม่า อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,053 เมตร มองเห็นวิวรอบๆได้แบบ 360 องศา เห็นวิวทั้งฝั่งไทยและพม่า สามารถนำเต็นท์ขึ้นมากางได้ แต่บริเวณนี้มีเพียงที่พักเจ้าหน้าที่ และห้องสุขา ไม่มีบ้านพัก ร้านค้า ร้านอาหาร หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ดังนั้นหากจะมากางเต็นท์ต้องนำเต็นท์มาเอง ส่วนอาหารและน้ำดื่ม ก็ต้องเตรียมมาจากด้านนอกให้พร้อม...เหมาะสำหรับสายป่าขาลุย


ฝั่งตรงข้ามพระอาทิตย์ขึ้น จะเป็นฝั่งไทยบ้านเรา

จะเห็นวิวเนินเสาธง และหมู่บ้านอีต่อง ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาด้านล่าง...

ระหว่างเดินกลับมาที่มอ'ไซค์ ก็เจอแก็งค์หมาน้อย..นอนหนาว แต่ละตัวอ้วนมาก คงเป็นเพราะนักท่องเที่ยวที่กางเต็นท์คงสงสาร เลยแบ่งอาหารให้..แต่ต้องระวังแม่มันด้วยนะ เดินตามอยู่ห่างๆ


กระดูกหนึ่งชิ้น..กับลูกหมาสี่ตัว เป็นอะไรที่วุ่นเอามากๆ แย่งกันไปแย่งกันมา พอให้เราได้อมยิ้ม จนอดขำไม่ได้

เล่นกันอยู่ซักพัก เราก็กลับเข้าที่พักดีกว่า หิวก็หิว แถมหนาวจนจมูกเย็น ไม่ไหวแล้ว...


เรากลับมาคนอื่นก็ตื่นพอดี...บางคนก็ถ่ายรูปเล่นกันที่บึง ให้อาหารปลา เดินหาของกินแล้วแต่ใครจะสะดวกแบบไหน ไม่วุ่นวาย ทุกคนต่างรู้ว่า ที่อีต่อง ต้องการความสงบ...


พอถึงหน้าห้องพัก เราก็โทรหาที่พัก เพื่อรับอาหารเช้า หน้าห้องเราเป็นวิวบ่อน้ำพอดี ลมพัดตลอดเวลา เหมาะแก่การทานอาหารเช้าจริงๆ


มาแล้วจ้าาาาาาา.....อาหารเช้าของเรา เป็นข้าวต้มหมูสับเห็ดหอม ไข่เจียวทรงเครื่อง เสริฟพร้อมกับปลาท่องโก๋ โอ้โห ทั้งอร่อยทั้งอิ่มจริงๆ ข้าวต้มมาร้อนๆ กลิ่นเห็ดหอมคลุ้งไปหมด ไข่เจียวมาแบบเครื่องแน่นๆ ปลาท่องโก๋ก็กรอบไม่อมน้ำมัน...ยกนิ้วให้เลย


อิ่มแล้วก็ต้องนอนสิครับ ขอหลับตาซักครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยเก็บกระเป๋าเช็คเอ้าท์กัน Zzz..zz..

ตื่นมาจัดกระเป๋าเรียบร้อย อาบน้ำล้างหน้าล้างตา เช็คเอ้าท์ย้ายที่พัก...

เดินเลยมาไม่กี่หลังก็ถึงที่พักคืนที่สองของเรา "ปิล็อกแคมป์ คอฟฟี่&โฮมสเตย์" ซึ่งตอนจองบ้านพัก ต้องสังเกตุดีๆ เพราะจะมีสองที่...ที่ชื่อคล้ายกันแต่ไม่รู้ว่าเจ้าของคนเดียวกันรึเปล่า ซึ่งของเราเป็นวิวริมบึง แต่อีกที่เป็นวิวภูเขา ชื่อว่า "ปิล็อกแคมป์ วิว"

และแน่นอนครับ ห้องที่เราจองก็ต้องเป็นห้องที่ปัง..และวิวดีที่สุดของที่พักนี้

ผ่าม...ผ้าม..ผ๊ามมม คือห้องนี้นี่เอง ราคาคืนละ 1200 บาท พร้อมอาหารเช้า เดินสามก้าวถึงบึงหน้าบ้าน

แถมมีเก้าอี้ให้นั้งรับลมชมวิวอีกต่างหาก...ชิวไม๊หล่าาาาาาา

ภายในห้องตกแต่งได้น่ารักเลยทีเดียว...มีทีวี พัดลม เครื่องทำน้ำอุ่น

มองจากในห้อง....ออกไปข้างนอก ก็เห็นวิวบึงน้ำเช่นกัน....เก็บกระเป๋าเช็คอินเรียบร้อย

เราไปลุยกันต่อดีกว่า....เพื่อไม่ให้เสียเวลา สถานีต่อไปวัดเหมืองแร่ปิล็อก ไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคล..

วัดเหมืองแร่ปิล็อก อยู่ห่างจากหมู่บ้านอีต่องแค่นิดเดียว ซึ่งจะไปทางเดียวกับเนินเสาธง และช่องมิตรภาพ สุดชายแดนตะวันตก บนขุนเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า ๑,๘๐๐ เมตร โอบล้อมไปด้วยภูเขา สร้างตามศิลปะแบบพม่า เป็นวัดเล็กๆ ซึ่งเงียบสงบมาก....แต่บรรยากาศดีเลยทีเดียว

อย่างที่บอกแต่แรกครับ วันเหมืองแร่ปิล็อกตกแต่งด้วยศิลปะแบบพม่า

ดั้งนั้น จึงมีรูปปั้นพระพุทธเจ้าและสาวก ถูกวางเรียงกันเป็นแถวยาวๆ เหมือนวัดในพม่า หลายๆแห่ง

รูปปั้นพระพุทธเจ้าจะอยู่หน้าสุด ซึ่งจะอยู่ตรงปากทางที่เดินไปไหว้เจดีย์...

ไหว้พระเสร็จเรียบร้อย ก็ขับมอ'ไซค์ คิดไว้ว่าจะลงมากินข้าว แต่ผ่านเหมืองปิล๊อก เห็นว่าคนน้อย

ก็แวะเลยดีกว่าจะได้ไม่วุ่นวาย ทนหิวต่ออีกนิด...เพื่อที่จะไม่ต้องแย่งกับคนอื่นถ่ายรูป..


"เหมืองปิล๊อก" เมื่อ 70 ปีก่อน เป็นสถานที่ที่เคยเป็นแหล่งเหมืองแร่เก่า พื้นที่ตรงนี้เต็มไปด้วยแร่ต่างๆมากมาย มีคนมาแสวงหาแร่กัน จนรุ่งเรืองจนสุดขีด แต่ด้วยเทคโนโลยีและโลก ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แร่ต่างๆก็ราคาถูกลง เศรษฐกิจพากันย่ำแย่ เหมืองแร่ต่างๆก็ทยอยปิดตัว คนงานพากันอพยพไปทำงานที่อื่น เหมืองปิล๊อก จึงกลายเป็นเพียงเรื่องราวในอดีต...และหลงเหลือร่องรอยไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างเราไว้ศึกษา...

เดินเข้ามาด้านใน...สิ่งแรกที่เห็น มันคือ เครื่องยนต์เก่า ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเครื่องอะไร แต่มันก็น่าจะเกี่ยวกับเหมืองแร่ ซึ่งมันถูกจัดวางไว้ให้เราได้ถ่ายรูปเล่น..สภาพก็อย่างที่เห็นมีคราบน้ำมัน และสนิมเกาะ

เดินตรงเข้ามาเรื่อยก็จะเจอ เจ้ารถสามล้อคันคันเล็กน่ารัก

ที่ใครไปใครมาก็คงที่จะไม่พลาด ที่จะไปขึ้นคร่อมถ่ายรูป...

มีรถเก่าจอดอยู่เรียงราย..เหมาะแก่การถ่ายรูป ดู Cool ไปอีกแบบ

มีบ้านพักรับรอง..แต่ไม่ได้เปิดให้คนธรรมดาอย่างเราๆเข้าไปพักนะจ๊ะ สอบถามลุงที่ดูแล บอกเอาไว้รับรองเจ้าหน้าที่ หรือ ลูกหลานเจ้าของเหมืองครับ

อาคารเก่า..ลองมองไปด่านในก็แอบหลอนนิดๆ..มืดๆและมีของเก็บไว้เพียบ..

และแล้วเราก็เจอ "บ่อปลาคราฟ" ที่เค้าร่ำลือกัน ทั้งความใสของน้ำ และปลาคราฟตัวอ้วน..

เลี้ยงแบบธรรมชาติครับ บ่อมีความสมบูรณ์มากๆ ทั้งเรื่องระบบน้ำหมุนเวียน

น้ำใสที่ไหลตลอดจากตาน้ำในป่า

พืชน้ำต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ใต้น้ำ...ที่อุดมสมบูรณ์

อากาศที่เย็น มันทำให้นึกถึงการเลี้ยงปลาคราฟที่ญี่ปุ่น เป็นโมเดลเดียวกันยังไงอย่างงั้น...

ส่วนอันนี้เป็นบ่อแรก ซึ่งตาน้ำจะไหลลงมาที่บ่อนี้ก่อน แล้วค่อยลงบ่อปลาคราฟ..

บ่อนี้จะไม่มีปลา..แต่ไม้น้ำต้องบอกเลยว่า สุดยอดจริงๆ สมบูรณ์แบบ 100 %

เรายืนอยู่ระหว่างกลางของสองบ่อ..แดดแรงแต่ไม่ร้อนเลยซักนิด...

เดินไปเดินมา...ก็มาสะดุดตาเข้ากับ บ้านหลังนึง

ตั้งอยู่กลางบ่อน้ำ รูปทรงสวย...ว่าแล้วก็เดินเข้าไปดูใกล้ๆดีกว่า..

ว้าวววววววว....อย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ "สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย"

บรรยากาศมันใช่...บ้านทรงสวย บ่อน้ำที่มีปลาแหวกหวาย รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวงามตา

บอกเลยว่า ตาเปล่าสวยกว่าในกล้องเยอะ...

ตอกย้ำและยืนยันบรรยากาศความเป็นสวิสอีกรูปครับ..

มาตั้งนานพึ่งจะเห็นป้ายหมู่บ้าน ฮ่าๆ เอาซะหน่อย เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง...

ป้ายบอกทางก็มีความคลาสสิคไม่แพ้กัน...ว่าแต่โรงหนังอยู่ไหนทำไมเราหาไม่เจอ ฮ่าๆ

เที่ยงแล้วท้องร้อง...หาไรกินกันดีกว่า...

มื้อนี้...ฝากท้องไว้ที่ร้านดังแห่งบ้านอีต่องแล้วกัน "ครัวเจ๊ณี"

ร้านนี้ดังในเรื่องของปูเนื้อแน่นๆ และหอยแคลงจักพรรดิส่งตรงมาจากทะเลพม่า

แม้จะอยู่บนเขาแต่ทางร้านก็มีอาหารทะเลให้กิน..

ส่วนตัวแล้วเราไม่ค่อยอยากกินปูเท่าไหร่..แถมบวกกับความหิว เลยสั่งเมนูง่ายๆ

เราสั่ง ต้มยำปลาคัง..รสแซ่บ ถึงใจ ผัดเผ็ดไก่บ้านก็เผ็ดร้อนถึงเครื่อง...

หอยแคลงจักพรรดิตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ด้วยความสดเราจึงให้ผ่าน..

และที่พลาดไม่ได้ก็ต้องเป็น ปลาหัวยุ่งทอด..ถ้ามาอีต่องแล้วต้องกิน..หรือไม่....ก็ต้องซื้อเป็นของฝากครับ..

ถือเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาติจะออก มันๆเค็มๆ จิ้มกับซอสพริกอร่อยไปอีกแบบ..

รวมทั้งหมดก็ประมาณ 390 บาท ถือว่าไม่แพงครับ ถ้าเทียบกับรสชาติ...

แต่ด้วยความที่แฟนผมเลิฟ ยำมะม่วงปูกรอบ มาก..จึงทำให้เราต้องมาซ้ำกันอีกรอบ..

แต่รอบนี้สั่งพิเศษ 50 บาท เพิ่มปูกรอบ...

โอ้โห้วววววววว...สะใจ ปูกรอบมาเป็นตัวๆ เรากินกันเกลี้ยงไม่เหลือ..คุณป้ายืนยิ้มอย่างดีใจ

แอบถามสูตร ป้าก็ไม่บอก ป้าบอกถ้าอยากกินต้องมาที่อีต่อง..แต่ป้าก็ลงท้ายได้อย่างน่าหดหู่..

เพราะป้าเล่าว่า บางครั้งลูกค้าก็กินกันไม่หมด บางคนก็กินปูกรอบไม่เป็น บางคนก็คิดว่ากินแล้วจะท้องเสีย

ซึ่งขั้นตอนการทำมันซับซ้อน ป้าต้องเสียเวลานั้งสองแถวเพื่อไปเลือกปูเองที่ตลาดในเมือง คัดเองกับมือทีละตัว ไม่เคยให้คนอื่นมาซื้อให้ เพราะกลัวว่าจะเลือกมาไม่ดี กลับมาก็เอามาล้าง นั้งแกะ นั้งตัดทีละชิ้น ทีละส่วน..

กว่าจะได้ดองจนกินได้ 2-3 วัน ถึงจะเสร็จ ป้าว่าป้าจะเลิกทำแล้ว ไม่มีคนมาสานต่อด้วย...

ผมเลยยกเรื่องนี้มาเล่าอย่างละเอียด เพราะมันอร่อยและทรงคุณค่ามาก ใครไปอีต่องต้องลองเลยครับ

ผมไม่ได้ค่าโฆษณาหรอกครับ แต่มันสมควรได้รับการกย่องในด้านความอร่อยจริงๆ


อิ่มท้องแล้ว...ไปเล่นน้ำตกดีกว่าาาาาา

แต่ก่อนจะแวะน้ำตก ขอเลยไปชมวิว ที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิซักนิด

เสียค่าเข้าคนละ 40 บาท ที่จริงจะต้องเสียค่าเอามอ'ไซค์เข้า แต่เจ้าหน้าที่ไม่คิดเงิน

เพราะลุงสองแถวบอกมาว่า ถ้ามาให้บอกเจ้าหน้าที่ว่า....เช่ารถมาจากชาวบ้าน เราเลยเสียแค่ค่าคน

แถมเราสามารถนำบัตรนี้ไปใช่เล่นน้ำตกได้อีกด้วย...

ชมวิวที่เนินกูดดอย แบบพาโนราม่า อากาศเย็นสดชื่น...

จุดชมวิวอีกมุม..สามารถมองเห็น เนินช้างเผือก

ซึ่งตอนนี้ก็เปิดให้คนขึ้นไปเดิน..ใครที่สนใจก็สามารถไปพิชิตกันได้

แต่เราสำหรับแล้ว ขอเป็นสายชิวแบบนี้ดีกว่า..แค่เนินเล็กๆยังปวดเข่า ฮ่าๆ

เดินไปเดินมาจะเย็นอยู่แล้ว ยังไม่ได้ไปน้ำตกซักที !!!

ขับออกจากอุทยานทองผาภูมิ ย้อนกลับมาทางหมู่บ้าน

ระหว่างทางจะมีป้ายบอกให้ไปน้ำตก เลี้ยวขวาเข้าไปเลยครับ...

ถ้าจ่ายเงินตรงอุทยานแล้ว ที่นี่ไม่ต้องจ่ายอีกครับ เข้าได้เลย...

เดินลัดเลาะไปตามทาง ไปเรื่อยๆ สังเกตุว่าน้ำใสน่าเล่นมากๆ

เห็นน้ำตกอยู่ไกลๆแล้ว แค่นี้ก็สดชื่น...แต่เข้าไปใกล้กว่านี้ดีกว่า..

โอ้วววววววว..พระเจ้ามันช่างสวยเหลือเกิน...โชคดีของเรา...ที่คนมาเที่ยวน้อย ไม่งั้นคงวุ่นวายน่าดู

พอเดินเข้าไปใกล้ๆ น้ำเป็นสีเขียวใส ส่วนชั้นในสุดเป็นสีฟ้าคราม พื้นล่างเป็นทราย...น่าเล่นสุดๆ

แต่น่าเสียดายตรงที่อากาศหนาวเกินไปเราจึงได้แต่เดินเล่นเอาเท้าแช่...

น้ำตกจ๊อกกระดิ่น เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม และมีเอกลักษณ์ อยู่ท่ามกลางหุบเขา

เป็นน้ำตกที่มีเพียงชั้นเดียว มีน้ำตลอดปี พื้นที่เป็นแอ่งลาด เด็กๆก็ลงเล่นได้ไม่อันตราย...

นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาเล่นน้ำ ถ่ายรูป...พักผ่อนตามอัธยาศัย

ด้วยความสูง 30 เมตร ทำให้น้ำ พอตกกระทบลงมา ทำให้เกิดไอน้ำจะกระจายไปทั่วพื้นที่...

ฟินนนนนนเว่อร์....

ถ่ายรูป แช่เท้า นั้งเล่นกันอยู่นาน...ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว

กลับไปดูพระอาทิตย์ตกที่เนินเสาธงดีกว่า....เดี๋ยวจะมาไม่ครบ

ขับย้อนกลับมาที่หมู่บ้าน เลยมาทางวัดเหมืองแร่ปิล็อก ขับมาตามทางเรื่อยๆ

เราก็จะเจอ "จุดประสานสัมพันธ์ไมตรี ไทย-เมียนมาร์ หรือว่าเนินเสาธงนั้นเอง..."

พอพ้นจากป้ายนี้ไปก็คือประเทศพม่าแล้วครับ...เป็นเขตชายแดนไทย-พม่า

เดินขึ้นไปด้านบน ก็จะเจอกับเสาธง...ที่มีทั้งธงชาติไทย และธงชาติพม่า

แสดงถึงความสัมพันธ์อันยาวนาน และมิตรภาพของทั้งสองประเทศ...

แต่ข้างบนนี้ก็ไม่มีไรมาก...นอกจากเสาธงก็มีจุดชมวิว ไหนๆก็ขึ้นมาและ จัดอีกซักรูป..

มองไปเป็นฝั่งพม่า มีเขาสลับกันไปมา หมอกอ่อนๆ กระทบกับแสงยามเย็น...

ลงจากเนินเสาธง..เราก็ขับเลยมาอีกนิดก็จะเจอ "ช่องทางมิตรภาพ" เป็นช่องเขตแดนที่สามารถเดินผ่านไปยังประเทศพม่าได้ ตอนเดินเข้าไปในใจก็แอบคิดนะ!! ว่ามันจะเป็นการลักลอบเข้าประเทศเค้ามั้ย ฮ่าๆ เพราะไม่มีทหารมาเฝ้าเลย...

เงียบสงบ สยบการเคลื่อนไหว..สวยแบบลึกลับ.

เล่นแสงกันซักนิด...ถ่ายไปก็กลัวว่าจะมีใครโผล่มาด้านหลังรึเปล่า

เราเดินมาจะเกือบสุดทาง แต่พอแค่นี้ดีกว่า ไม่กล้าเข้าไปอีก...

และแล้วก็จบภาระกิจ การไปแต่ละสถานที่ถือว่าไม่ไกลกันมา แต่ทางก็แอบชันนิดๆ..แถมยังขลุขละ มีบ่อมีหลุม ให้ได้หลบตลอดทาง รถมอ'ไซค์เราก็ไม่มีแรงส่ง ทำให้บางครั้งต้องลงเดินและช่วยกันเข็นบ้าง

อย่างที่บอกไว้แต่แรกแหละครับ

ถ้าจะเช่ามอ'ไซค์ หาคันดีๆหน่อย เราถือว่าซวยไป แต่มันก็สนุกดีครับ ไม่คิดมาก มองบวก..


ได้เวลาก็กลับเข้าที่พักไปอาบน้ำ ให้หายเหนื่อย...

และแล้ว Happy time ของเราก็มาถึง.นั้นคือการกินนั้นเอง

อากาศหนาวทำให้เราอยากกินจิ้มจุ่มร้อนๆ คลายหนาวซักหน่อย..

นี่แหละครับหน้าตาจิ้มจุ่มที่เราพูดถึงราคาชุดละ 199 บาท มีหมูหมักไข่ใส่งา ผัก วุ้นเส้น และน้ำจิ้ม

สำหรับสองคนถือว่าไม่แพงครับ รสชาติก็ปรกติ ไม่ถึงกับว้าว!!! แต่ด้วยอากาศที่หนาวแบบนี้

ทำให้จิ้มจุ่มหม้อนี้อร่อยขึ้น 10 เท่าเลย ซดไปโล่งคอ ตัวอุ่นเลย คลายหนาวเลยทีเดียว..

แต่จิ้มจุ่มหม้อเดียว ทำอะไรเราสองคนไม่ได้หรอกครับ เดินเลยมาอีกหน่อยมีร้านข้าวผัดส่งกลิ่นหอมเย้ายวน ชวนให้ต้องเข้าไปสัมผัส ซึ่งเจ้าของร้านนี้ก็คือ เจ้าของคนเดียวกันกับบ้านทานตะวัน ที่เราพักคืนแรกนั้นเอง..

เหมือนร้านกำลังจะปิดพอดี แต่พอเรามานั้งพี่เค้าก็เลยเปิดต่อ..

ข้าวผัดกุนเชียง หอม หวาน อร่อยครับ..

ข้าวผัดปลาเค็ม อร่อยมาก ยิ่งใส่พริกขี้หนูสดมาด้วย ของโปรดเลยครับ..

สองจาน 70 บาทครับ ถูกและอร่อยอีกหนึ่งร้าน...

กลับมานั้งย่อยหน้าห้อง ลมหนาวพัดแรงมาก แรงจนนั้งได้แปปเดียว...

แผนการดื่มชิวๆที่เราวางไว้ก็ล่มลง..ทนสภาพอากาศไม่ไหว ในตอนนั้นน่าจะราวๆ 16 องศา

คือนั้งแล้วมือชา ตัวชา....ไม่ไหวเข้าห้องนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นให้ทันรถสองแถวเที่ยวแรก...



ตื่นเช้ามาอย่างสดชื่น...เพราะเมื่อคืนนอนไวมาก..

ปรกติไปเที่ยวที่ไหน จะนอนดึกทุกที่เพราะจะนั้งจิบชิวๆ

แต่มาที่นี่หนาวเกินต้านทาน เป็นทริปที่ประหยัดเรื่องค่าเครื่องดื่มมากที่สุด..

นึกขึ้นได้ เอ้า!!! เรายังไม่ได้แขวนป้ายกันเลยนิ

เลยเดินมาที่สะพาน ถามว่าป้ายต้องทำไปเองจากบ้านไม๊...ไม่ต้องครับ

ชาวบ้านเค้ามีขาย มีหลากหลายแบบ ทั้งรูปวงรี วงกลม รูปหัวใจ สี่เหลี่ยม แล้วแต่คนจะชอบครับ..

แขวนป้ายเป็นพยานแห่งการเดินทางของเราครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อย...

บรรยากาศราวกับว่าอยู่ในหนังเกาหลี...ลมพัดเสียงป้ายไม้กระทบกัน ได้อารมณ์มากๆ


น่าจะเป็นวันที่หนาวสุดของปี 2017 เพราะหนาวมาก หนาวราวๆ 15 องศา ยอดดอยอยู่ที่ 11 องศา...

โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะ ที่ไปช่วงนี้..... ฮ่าๆ แต่ก็ฟินไปอีกแบบ...

อากาศแบบนี้ต้องหมูปิ้งสิครับ..ไม้ละ 10 บาท ราคาก็ปรกติ อร่อยครับ รสชาติเดียวกับในกรุงเทพ ฮ่าๆ

น่าจะเป็นเฟรนไชค์หมูปิ้งเจ้าเดียวกัน...

ร้านนี้...เป็นร้านอาหารพื้นเมืองพม่าครับ...บางอย่างก็รู้จัก บางอย่างก็ไม่รู้จัก

อยากลองชิมทุอย่าง แต่กลัวว่า...วันนี้กลับ กลัวท้องเสีย จะเป็นภาระรถตู้เค้า ฮ่าๆ

ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วก็ต้องชิมซักอย่างแหละครับ ยำหัวหมู แต่สูตรที่นี่จะไม่เหมือนที่สังขละนะครับ

ที่อีต่องจะสูตรพม่า รสชาติออกหวาน เค็ม เผ็ดนิดๆ

ส่วนสังขละจะเป็นสูตรมอญ รสชาติจะแซ่บนัว ถึงเครื่องกว่า..

ลืมไปเลยว่าที่พักก็มีอาหารเช้าให้ อิ่มก็อิ่ม...แต่จะไม่กินก็ไม่ได้ กลัวไม่คุ้มค่าที่พัก ฮ่าๆ

เอาก็เอา มีข้าวต้มหมูร้อนๆ อร่อยดีครับ เพราะผมปรุง ฮ่าๆ

อเมริกันกันบ้าง ก็โอเคร ไม่น้อยไม่มากเกินไป รวมกับข้าวต้มก็อิ่มพอดี...

ตบท้ายด้วยของหวานสุดฟิน แพนเค้กครีมวนิลา ทำกันสดๆ ร้อนๆ ซื้อมาจากตลาด

กล่องละ 40 บาท หอม หวาน อร่อยมากๆๆๆ

อิ่มแล้วก็เก็บกระเป๋า เตรียมตัวกลับบ้านเรา บักทึกความทรงจำไว้ ว่าครั้งนึงเราเคยพิชิต 399 โค้ง..

ระหว่างทางที่เดินไปขึ้นสองแถว...ก็ขอเก็บบรรยากาศอีกนิด...

ลาก่อนนะ....บ้านอีต่องจ้า...มีโอกาศจะกลับมาใหม่ เป็นอะไรที่เกินคาดจริงๆ ประทับใจมากๆ

ขากลับคนก็จะแน่นๆหน่อย เพราะว่า สองแถว โดนเหมาไปสองรอบครับ รอบนี้เป็นเที่ยวสุดท้าย 7 โมงครึ่ง ดีที่เรานึกไว้แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ดีที่แฟนผมยังได้นั้ง..ไม่งั้นนะ ยืนยาวๆเลยครับ..

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา การเดินทางย่อมมีวันหยุดพักเช่นกัน

กลับสู่โหมดของการทำงานอีกเช่นเคย.....กลับไปทำงานให้เหนื่อย แล้วหาเรื่องเที่ยวกันใหม่

สำหรับผม ถ้า 2 วัน 1 คืน ก็มาได้ครับถ้าเอารถมาเอง...

แต่ถ้ามารถประจำทาง แนะนำสามวันสองคืนครับ ไม่งั้นเหนื่อยแย่ แถมอาจจะเที่ยวไม่ครบ..


ถ้าถามว่า..มาอีต่อง มาทำอะไร ผมแค่อยากจะบอกว่า

"คุณไม่ต้องทำอะไรเลยครับ อีต่องจะทำให้คุณเอง"

ผมปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมัน จะไปไหนทำอะไร ทุกอย่างมันจะไปเรื่อยๆ ตามสเตป..

พอไปถึงหรือแม้กระทั้งก่อนไป ผมไม่ได้วางแผนว่าจะไปไหนบ้าง จะเที่ยวไหนบ้าง

แต่สถานที่มันพาเราไป และวางแผนให้เรา....

ที่นี่ไม่ต้องเร่งรีบ ที่นี่ไม่ต้องวุ่นวาย

ที่นี่สงบ อยู่กันง่ายๆ ง่ายจนเราหลงรักมันโดยไม่รู้ตัว

เสียงลมพัดผ่านยังดังกว่าเสียงคนคุยกัน ชาวบ้านยิ้มแย้มราวกับเราเป็นคนในหมู่บ้าน

ของราคาถูกที่ไม่เอาเปรียบ...อาหารก็อร่อย ธรรมชาติก็สวย

คือ "มันเหมือนว่าเราไม่ได้มาเที่ยว.....แต่เรามาสวมบทบาทเป็นชาวบ้านที่อีต่องมากกว่า.."


"บางทีก็ไม่ต้องหรูหราหรอกครับ...

ความเรียบง่ายเนี้ยแหละ...คือคำตอบของการเดินทาง"


ขอขอบคุณทุกท่านที่รับชม

แล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่....

-ฟรีแลนซ์อารมณ์ดี-





*ไม่ได้ค่ารีวิวหรือโฆษณานะครับ

ดีจนอยากบอกต่อจริงๆครับ(แต่ถ้าคราวหน้าไปอีก..ได้ส่วนลดก็ดี ฮ่าๆ)


  • บ้านทานตะวันโฮมสเตย์ 080-781-5729
  • ปิล็อกแคมป์ คอฟฟี่ ID LINE : @pilokcampcoffee
  • ลุงสองแถว&เช่ามอ'ไซค์ 092-549-7098 (โทรไปสอบถามรอบรถสองแถวได้เลยครับ)



ฟรีแลนซ์อารมณ์ดี

 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 14.43 น.

ความคิดเห็น