สำหรับรีวิวนี้อาจจะพิเศษกว่ารีวิวที่ผ่านมาของเรานะ เพราะกว่าที่เราจะได้มาเขียนรีวิวนี้ก็มีเหตุให้เราได้ไปเที่ยวไต้หวันรอบที่สองแล้ว(ไปเที่ยวมาครั้งแรกยังรีวิวไม่หมดเลย) และวัดหลงซานเป็นสถานที่หนึ่งที่เราไปเป็นครั้งที่สอง เนื่องจากมิตรสหายที่ไปด้วยยังไม่เคยไป ส่วนเราก็ยังไม่เคยไปในช่วงเช้า รีวิวนี้เราเลยเอาบรรยากาศช่วงเช้าที่เราไปคราวนี้มาฝากและก็บรรยากาศยามค่ำที่สวยงามไปอีกแบบ เมื่อครั้งที่เราไปมาคราวที่แล้ว(พ.ค.60) ซึ่งครั้งนี้พอไปถึงไม่นานก็เจอฝนโปรย ภาพที่ถ่ายมาเลยอาจไม่ชัดเท่าไหร่นะ สำหรับการเดินทางมาที่นี่ง่ายมากๆ โดยนั่งรถไฟฟ้า MRT มาลงที่สถานี Longshan Temple ทางออก 4,5 จะใกล้วัดที่สุด แต่ถ้าหาป้ายทางออก 4 หรือ 5 จากสถานี MRT จะไม่เจอทางออกนะ อันที่จริงเราต้องมองหาป้ายทางออกที่ 1 อ่ะ พอออกจากประตูของสถานีรถไฟฟ้ามาแล้วจะมีป้ายทางออก 1 ให้ขึ้นบันไดเลื่อนทางซ้ายมือ แต่ทางนี้จะเดินอ้อม(ครั้งแรกเราเดินอ้อมไปแล้ว 555 ครั้งนี้เลยรู้ทางแระ) เอาเป็นว่าเราจะอธิบายตามรูปข้างล่างนี้นะ

จากรูปคือถ้าเราเดินออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าตามป้ายที่บอกทางออก 1 มา จะเจอป้ายบอกให้ออกทางออก 1 ตรงบันไดเลื่อนที่อยู่ทางซ้ายมือของภาพนี้ แต่เราไม่อยากให้เพื่อนๆต้องเดินอ้อม ให้เพื่อนๆเดินไปตามทางขวามือเข้าไปในโซนห้างร้านขายของนี่เลยนะ(ถ้ามาตอนเย็นแบบที่เรามาครั้งแรกจะไม่ทันได้สังเกตเพราะเห็นเป็นโซนขายของและหาทางออก 5 ไม่เจอเพราะในสถานีไม่ได้มีบอกไว้ จะได้เห็นก็ตรงทางออกด้านบนหน้าวัดนี่ละว่ามีทางออก 4 , 5) พอเดินเข้าไปในโซนห้างก็จะมีป้ายบอกทางเรื่อยๆ ภ้าไปตอนเช้าจะดีหน่อยตรงที่ห้างยังไม่เปิดจะดูโล่งๆ เดินไปเรื่อยๆก็จะถึงทางออกที่ 4 ก่อน พอออกมาแล้วก็จะมองเห็นวัดอยู่ทางซ้ายมือเลย แต่ถ้าใครเดินเลยไปออกอีกทางที่ทางออก 5 ก็จะเห็นวัดอยู่ทางขวามือ ถ้าถามว่าทางออกไหนใกล้กว่ากันเราว่าแทบไม่ต่างกันนะ พอเดินออกมาจะเจอหน้าประตูวัด(ตามรูป) โดยให้เดินเข้าทางประตูฝั่งขวามือนะ

หลังจากผ่านประตูหน้าวัดมาแล้วจะเป็นลานกว้างๆ มีสวนและน้ำตกอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง(ซ้าย-ขวา) ถ้าจะเข้าไปภายในตัววัดก็ต้องเดินเข้าประตูชั้นในทางขวามือไปอีกชั้นนึง พอเข้าไปแล้วจะเห็นเคาน์เตอร์ทางขวามือ จะมีเจ้าหน้าที่คอยหยิบธูปให้เรา สำหรับธูปจะบริการฟรี ส่วนถ้าใครต้องการเทียนด้วยก็สามารถซื้อได้จากตรงนี้ สำหรับจำนวนธูปที่เจ้าหน้าที่แจกให้เราจะขึ้นอยู่กับกระถางธูปที่ให้ใช้งานในขณะนั้น คืออ่านรีวิวมาบอกว่าจะมีธูปให้ 7 ดอกสำหรับกระถางธูป 7 กระถาง เราไปครั้งแรกเค้าให้มา 3 ดอก เราก็พูดกับเขาประมาณว่าไม่ใช่ 7 หรอ เค้าก็บอกว่า 3 แล้วพอเข้าไปไหว้ก็มีกระถางธูปเหลือแค่ 3 กระถางเอง นี่ก็ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าทำไม ถ้าจะเอาไปบูรณะใหม่ก็ไม่น่าจะหายไปทีเดียวหลายกระถาง หรือจะเป็นปัญหาเรื่องควันธูปก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่ามีเหลือแค่ 3 กระถาง คือกระถางตรงด้านหน้า 2 กระถาง และบริเวณด้านหลัง 1 กระถาง แต่ที่แปลกใจกว่าเดิมคือตอนที่ไปครั้งที่ 2 นี่ล่ะ เค้าให้ธูปมาแค่ดอกเดียว กระถางยังมีอยู่ 3 กระถางแต่ปิดฝา และตั้งป้ายงดใช้งานไว้(หรือว่าเพราะช่วงนั้นฝนตกทุกวันนะเหลือเพียงแค่กระถางใหญ่ตรงลานด้านหน้า อาจจะเล่าเรื่องธูปนี่เยอะไปหน่อยนะแต่เพื่อนๆจะได้ไม่งงถ้าเกิดว่าไปวัดหลงซานแล้วได้ธูปมาในจำนวนที่แตกต่างกันไป ครั้งล่าสุดที่เราไปเป็นเช้าวันอาทิตย์พอเข้าไปด้านในเค้ากำลังสวดมนต์กันอยู่ แต่ไม่นานก็สวดเสร็จพอดี


ภายในวัดหลงซานมีเทพเจ้าให้บูชามากมายหลายองค์ ซึ่งก็จะมีความเชื่อว่าแต่ละองค์จะให้พรในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโชคลาภ การงาน ความรัก เป็นต้น สำหรับเรานี่นอกจากเจ้าแม่กวนอิม ก็รู้จักแต่ท่านเทพเฒ่าจันทรา(เยวี่ยเหล่า)นี่ล่ะ เพราะท่านให้พรในด้านความรัก และที่วัดนี้ก็โด่งดังในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งถ้าใครอยากจะขอพรเรื่องความรักและขอด้ายแดงไปบูชาแล้วล่ะก็ให้เดินไปทางด้านหลัง ท่านเทพจันทราจะอยู่ตรงสุดทางซ้ายมือ(อาจสังเกตได้ว่าคนจะเยอะกว่าจุดอื่น) ถ้าไม่แน่ใจก็ดูตามรูปข้างล่างนะ จะเห็นซุ้มชองท่านอยู่ตรงกลางรูปเลย ถ้าใครจะโยนไม้ปวยเสี่ยงทายก็หาเอาตามโต๊ะที่เขาวางของบูชาบริเวณนั้นนะ


ถ้าใครอยากเห็นวัดหลงซานตอนแสงกำลังสวยๆ ก็ให้ไปตอนช่วงประมาณ 1 ทุ่มนะ(วัดเปิดถึง 3 ทุ่ม)


พอไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดครบแล้ว ตรงทางออกจะมีร้านขายของที่ระลึกและเครื่องรางของทางวัดอยู่ ใครอยากจะซื้อเก็บไว้หรือซื้อเป็นของฝากก็ได้นะ อยากบอกว่าส่วนใหญ่ที่ซื้อกันเยอะนี่คนไทยเลยล่ะ คือที่นี่จะมีเครื่องรางนำโชคในด้านต่างๆ พี่ไทยเราก็ชอบของฝากแบบนี้เห็นคนไทยแต่ละคนนี่ตั้งใจมาก รวมทั้งเราในครั้งแรก ก็ซื้อฝากเค้าอ่ะเนอะต้องเลือกให้เหมาะกับคนว่าจะเอาอะไรแบบไหนให้ใครดี พอไปครั้งที่ 2 รู้แล้วว่าชิ้นไหนน่าสนใจบ้างเลยเลือกไม่นาน ถ้าใครสนใจดูตารางตามรูปที่เราเอามาให้ก่อนก็ได้นะ ไปครั้งแรกตารางที่ร้านเค้าทำมาให้ดูเป็นลายมือเขียน พอ 6 เดือนผ่านไป มาคราวนี้พัฒนามาเป็นตัวพิมพ์สวยงามเป็นระเบียบเลย โดยให้เราดูว่าเราต้องการเครื่องรางในด้านไหนแล้วเอาตัวเลขในตารางไปดูเครื่องรางของจริงที่จะแขวนอยู่ว่าเราชอบแบบไหน(จะเห็นว่าแต่ละด้านมีให้เลือกหลายแบบ บางแบบราคาก็จะต่างกัน) ถ้าเราเลือกได้แล้วก็จดใส่กระดาษให้คนขายว่าจะเอาเลขไหนบ้างแล้วอย่างละกี่ชิ้น เค้าก็จะจัดใส่ถุงแล้วคิดราคามาให้เรา

ไปครั้งแรกยังเป็นลายมือเขียนอยู่เลย

อย่างที่บอกว่ามีคนไทยมาซื้อเยอะจริงๆ เห็นไหมว่ามีภาษาไทยด้วย




ตัวเลขในวงกลม คือ เลขที่เอาไว้เทียบกับตาราง ส่วนเลขที่อยู่มุมซ้ายของเครื่องรางแต่ละอัน คือ ราคา


หลังจากไปวัดหลงซานแล้ว ถ้าใครมาตอนเย็นๆค่ำๆบริเวณใกล้ๆวัดก็มีตลาดกลางคืนให้เดินเล่น ชื่อว่า Mengjia Night Market หรือใครที่มาตอนกลางวันก็มีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกที่หนึ่งก็คือ ย่านตึกเก่า Bopiliao Historical Block


Mengjia Night Market

ตลาดกลางคืนที่อยู่ไม่ไกลจากวัดหลงซาน เพียงแค่ออกจากประตูวัดแล้วเดินเลี้ยวมาทางขวามือ เดินตามแนวกำแพงวัดมาเรื่อยๆจนถึงหัวมุมกำแพงตามรูป จากนั้นให้เดินข้ามทางม้าลายไปยังฝั่งตรงข้ามก็จะเจอกับตลาด Mengjia Night Market



เดินข้ามทางม้าลายไปก็จะเจอกับตลาดเลย


ไส้กรอกหมูป่า เราว่ารสชาติคล้ายกุนเชียงอ่ะ แต่ด้วยวันนั้นเหนื่อยและหิวมากมากินอันนี้เป็นอย่างแรก เลยรู้สึกว่ามันจะหวานเลี่ยนๆหน่อยอ่ะ คือเราเป็นคนที่ถ้าปล่อยให้เหนื่อยและหิวเยอะๆจะกินอะไรไม่ค่อยลงอ่ะ ถ้าใครอ่านตามรีวิวเก่าๆไส้กรอกแบบนี้จะขายอันละ 10 NT แต่เดี๋ยวนี้เขาทำขนาดใหญ่กว่าเดิมหน่อยขายไม้ละ 35 NT 3 ไม้ 100 NT แต่เราว่าแค่อันเดียวนี้ก็เยอะแล้ว ถ้าใครมากันหลายคนก็คงจะดี


มาตลาดนี้เจอร้านน้ำปั่นผลไม้หลายเจ้าเหมือนกัน


ทุเรียนก็มา มีป้ายเขียนด้วยว่า Durian from thailand. I come from thailand. I ก็ไม่ซื้อจ้า
ร้านปลาหมึกย่างเจออยู่ตลอดทางเลย อยากจะบอกว่ามีหลาย size หลายแบบ หลายราคาเลยล่ะ
ซอสปรุงรสก็มีหลายแบบ ถ้าเป็น spicy ของคนที่นี่ไม่น่ากลัวเลย(เรากินเผ็ดได้ปานกลาง) เราลองปลาหมึกตัวเล็กมาตัวนึง ตามที่เห็นอยู่บนเตาย่างเลยชิ้นนี้ราคา 10 NT ซอสที่ทารสอร่อยดีเข้ากับปลาหมึก

บะจ่างมีหลายแบบหลายใส้เสียดายไม่ได้ซื้อ ตอนนั้นไม่นึกอยากจะกิน แต่พอมารีวิวนี่มันอยากกินซะงั้น

สำหรับตลาด Mengjia Night market อาจจะเป็นตลาดที่ไม่ได้ใหญ่มากเมื่อเทียบกับ Night market อื่นๆที่ดังๆ แต่ของกินที่นี่ก็หลากหลายพอให้ฝากท้องไว้ได้ ถ้าช่วงต้นๆตลาดส่วนใหญ่จะเป็นร้านรถเข็นขายอาหารอยู่กลางซอย พอเข้าไปเจอแยกด้านในจะดูเป็นเหมือนเป็นร้านคล้ายๆอาหารตามสั่งที่นั่งทานซะส่วนใหญ่ คือรถเข็นหน้าร้านดูจะเป็นผักๆเยอะ ไม่รู้ว่ามันคือที่เค้าเรียกว่า ลู่เว่ย รึเปล่านะ อันนี้ไม่รู้จริงๆอ่ะ

Bopiliao Historical Block

Bopiliao Historical Block เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจหากใครได้มาเที่ยวที่วัดหลงซาน เพราะอยู่ไม่ไกลกัน แต่ถ้าใครไม่ชอบแนวตึกเก่าอาร์ตๆก็อาจไม่ชอบย่านนี้ก็ได้ ส่วนเราชอบเพราะรู้สึกว่ามันสวยดี ถ้าใครสนใจก็สามารถมาได้โดยเดินออกจากวัดหลงซานแล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงมาตามถนนเรื่อยๆจะเจอสี่แยกใหญ่(ตามรูป)ก็จะเห็นอาคารเก่าๆอยู่ฝั่งตรงกันข้าม คือรู้สึกได้เลยว่ามาถึงแล้วเจอแล้วอะไรแบบนี้

พอข้ามถนนมาแล้วจะเป็นแนวตึกเก่าแบบนี้ยาวไปเลย ถ้าเดินมาจากวัดหลงซานแล้วข้ามถนนมาตามรูปคือตรงเข้าไปในซอยที่เห็นมีรถจอดอยู่


ตามทางเดินใต้ตึกให้บรรยากาศเก่าๆดี นึกถึงละครperiodเลย



เสียดายเรามีเวลาไม่มากเลยมาไกลแค่ตรงนี้ ไม่ได้เดินต่อจนทั่ว เพราะมีตึกบางส่วนที่เค้าเปิดให้ชมด้านใน



ใครมาประเทศนี้จะเห็นว่ามีงานศิลปะอยู่ทุกที่จริงๆ

สรุปอีกทีนะ ถ้าใครมาเที่ยววัดหลงซานแล้วยังพอมีเวลาเหลือก็มาที่นี่ได้เลย Bopiliao Historical Block จากวัดเลี้ยวมาทางซ้าย ใครอยู่จนเย็นหน่อยรอเที่ยวตลาดกลางคืน Mengjia Night market เดินออกจากมาแล้วก็เลี้ยวไปทางขวามือ

ปล.พอพิมพ์ไปก็นึกถึงภาพยนตร์เรื่องนึงเมื่อนานมาแล้ว หลายคนอาจจะเคยได้ยินนะเรื่อง "ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา"(Turn left Turn right) เรื่องนี้เป็นผลงานเขียนของ Jimmy Liao ศิลปินคนดังของไต้หวัน เนื้อหาของเรื่องเท่าที่จำได้ก็พูดถึงชีวิตในกรุงไทเปด้วย ลองไปหาดูกันได้นะ

Mudan Peony

 วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 22.55 น.

ความคิดเห็น