:: หลังจากจองตั๋วเดินทางล่วงหน้ามาเกือบ 2 เดือน แต่ดันมาจองที่พักก่อนไป 1 เดือน นั่นคือหายนะโดยแท้ ด้วยความที่ไม่เคยเที่ยวช่วงเทศกาลมาก่อน ทำให้ที่พักที่ปางอุ๋งๆเต็ม แม้แต่ที่กางเต้นท์ ส่วนที่เที่ยวที่คิดจะไปอย่างเช่น พระธาตุดอยกองมู ถ้ำปลา กระเหรี่ยงคอยาว สะพานซูตองเป้ เป็นอันจบสิ้น เพราะเสียเวลาไปกับการเดินทางและการรอเที่ยวรถ T T วันที่สองจึงได้แค่นั่งรถสามสี่ชั่วโมงไปนอนที่เมืองแม่ฮ่องสอนแล้วก็กลับ อนาถแท้..แม่เจ้า



:: แต่อย่างน้อยที่แม่ลาน้อย ผมก็ไม่ได้เที่ยวน้อยอย่างที่คิด ถือว่าได้เที่ยวอิ่มพอสมควร แต่จะลำบากหน่อยๆสำหรับคนไม่มีรถยนต์ส่วนตัว นั้นวันนี้ถือว่ามารีวิวที่เที่ยวที่ กาแฟห้วยห้อม ผ้าทอขนแกะ โฮมสเตย์ โดยไม่มีรถยนต์ส่วนตัวแล้วกัน



:: เริ่มแรกจองตั๋วกับทางสมบัติทัวร์ครับเพียงแค่โทร1215 จองเรียบร้อยก็จ่ายเงินที่เซเว่น และไปขึ้นตั๋วก่อนเดินทางหรือวันที่เดินทางเลยก็ได้ แต่ช่วงเทศกาลควรจองล่วงหน้าก่อน 3 เดือนอันนี้เจ้าหน้าที่เขาแนะนำมา ผมจองเที่ยวรถไปแม่ฮ่องสอนและลงที่แม่ลาน้อย ค่ารถอยู่ที่ 681 บาท นั่งยาวๆไปครับ 12-13 ชม. ถึงแล้วเจ้าหน้าที่เขาจะบอกหรือเราจะบอกเขาไว้เพื่อความสบายใจก็ได้ รถจะจอดที่ตลาดตรงข้ามเซเว่น ลงแล้วก็ทำตาปริบๆเดินหารถที่จะขึ้นไปแม่ลาน้อยครับ ถามเขาเอาว่าจะมีใครจะผ่านบ้านห้วยห้อมไหม ผมกับรุ่นน้องอีกคนก็ช่วยกันถาม จนมีพี่ผู้หญิงคนในพื้นที่เห็นใจเลยช่วยเราหารถให้และก็ได้รถของปลัดที่จะผ่านทางนั้นพอดี ส่วนใครที่จะเหมารถลงมารับไปกลับอยู่ที่ 1500 บาทอันนี้ติดต่อกับทางที่พักได้เลย [095-448-2350 แม่มะลิ] สำหรับมากันเยอะๆนะ ส่วนใครมาน้อยหรือมาคนเดียวก็ต้องอาศัยรถโบกนี่แหละครับ ประหยัด แถมยังได้มิตรภาพด้วย ไม่ต้องห่วงครับคนแถวนั้นใจดี หรือใครที่มาช่วงจันทร์ พุธ ศุกร์ จะมีคนในหมู่บ้านลงมาส่งกาแฟครับก็โทรสอบถามทางที่พักได้เลย(เบอร์ที่พักย้อนขึ้นไปอีก 2 บรรทัด) เขาส่งกาแฟเสร็จก็ติดรถขึ้นไปกับคนในหมู่บ้านได้เลย



:: ด้วยความที่อยากถ่ายรูปเลยขอนั่งกระบะหลังแต่ยิ่งสูงยิ่งหนาวครับปากเปิกสั่น โชคดีที่ซื้อถุงมือร้านชำแถวๆนั้นติดมา ระหว่างทางขึ้นนี่หมอกมีอยู่ทุกที่เลยครับ บางทีก็แยกไม่ออกว่าหมอกหรือเมฆ มองไปทางไหนก็หมอก เมฆ อากาศก็โคตรเย็นราวๆ16-17 องศา



:: และแล้วก็ถึงใช้เวลาราวๆชั่วโมง ไปถึงก็ติดต่อขอกุญแจเข้าที่พักตรงที่เขาขายกาแฟเลยครับ ผมจ่ายล่วงหน้ามาแล้ว 150/คน มอไซด์ก็ติดต่อที่ร้านกาแฟที่เดิมเลยครับ เป็นรถของพี่ต๋าวลูกชายของแม่มะลิเจ้าของโฮมสเตย์ ค่าเช่า200/วัน ผมเดินถ่ายรูปรอบๆที่พัก นั่งจิ๊บกาแฟ กินบรรยากาศอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนควบเวฟไปโครงการหลวงแม่ลาน้อย



:: บ้านห้วยห้อมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ในอำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สงบ และเต็มไปด้วยธรรมชาติหมอกควันที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ บ้านห้วยห้อมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับทางธรรมชาติ ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าเขา ที่นี่จะหนาวเย็นตลอดทั้งปี มีการเลี้ยงแกะ ทำให้เกิดอาชีพเสริมคือการทอผ้าจากขนแกะ และฝ้ายธรรมชาติ ชาวบ้านในหมู่บ้านไม่ค่อยออกไปทำงานที่อื่นเพราะคนในหมู่บ้านมีอาชีพที่สามารถสร้างรายได้จึงมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย(อ่านมาจากเว็ปๆหนึ่งย่อสรุปให้)



:: ระหว่างทางก็แวะถามชาวบ้านว่า “ ป้าจ๊ะๆ เติมน้ำมันตรงไหน ” ปั้มหลอดจะหายากนิดนึงต้องถามชาวบ้าน ผมจำชื่อหมู่บ้านไม่ได้แต่ออกมาจากหมู่บ้านห้วยห้อมนิดเดียว อยู่ทางไปโครงการหลวงแม่ลาน้อย ก่อนออกมาจากปั้มหลอดก็เดินเล่นถ่ายรูปในหมู่บ้าน ยิ้มทักทายกับคุณลุงที่กำลังสับฟืนอย่างกระฉับกระเฉง คุณลุงหันมามองนิดนึงพร้อมกับกำขวานแน่นและสับเข้าไปที่ฝืนอย่างแรง ผมหันไปยิ้มให้เป็ดแทน มองดูแม่เป็ดที่อยู่กับลูกๆที่กำลังนั่งหนาว หมอกก็ลอยอยู่เหนือหัวเคลื่อนตัวไปตามลมและตามทางที่เรากำลังจะไป



:: ออกมาจากหมู่บ้านชื่ออะไรก็ไม่รู้ ก็มุ่งหน้าไปโครงการหลวง แต่ก็ยังไม่ถึงซักทีเพราะเจอจุดชมวิวซึ่งอยู่ระหว่างทางมีเพียบ นี่คงเป็นความสุขของนักเดินทางกระมัง ความสุขที่ซึมซับบรรยากาศต่างๆรอบๆตัว ความสุขที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆสายตาของเรา เอามาปั่นรวมกันและนั่นคงเป็นความรู้สึก และตกตะกอนเป็นความทรงจำ (ไว้ยามนึกถึง..)



:: ขับๆไปซักพักจอดอีกแล้วเพราะเริ่มงงเส้นทาง อย่าถามถึง GPS เพราะมันไม่มีสัญญาณมันมีเป็นช่วงๆซึ่งต่างกับหลินฮุ่ย (เล่นทำไม) “ ป้าจ๊ะๆ โครงการหลวงไปทางไหน ” “ !@#$%^&*() ” โอเคป้าชี้นิ้วที ^^ ด้วยความที่ไม่เข้าใจภาษาของป้าแต่ป้าก็พยายามชี้นิ้วไปทางๆหนึ่ง แต่ไหนๆก็จอดดับเครื่องแล้ว ผมก็เลยนั่งสูบยาเป็นเพื่อนป้า ซึ่งควันของเราก็สูสีกันน่าดู ป้าปล่อยควันที่ผมก็มองคุณป้า ผมปล่อยควันมั่งป้าก็จ้องผมประมาณว่าใครควันเยอะกว่าคนนั้นชนะและผมน่าจะเป็นฝ่ายแพ้ **คำเตือนบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ :: คุณป้าซึ่งผมไม่สามารถสื่อสารและถามชื่อได้คือคนที่ดูแลแปลงผักที่น่ารักเหล่านี้ / คุยไม่รู้เรื่องแล้วรู้ได้ไง / ก็ผมเห็นเขารดน้ำอยู่ :: ผมยิ้มหวานเท่าที่จะหวานได้ให้คุณป้าก่อนล่ำลา บ๊ายบายครับคุณป้า ป้าปล่อยควันชุดใหญ่ส่งท้ายอีกที



:: ขับต่อมาอีกนิดก็ถึงโครงการหลวงแม่ลาน้อย บรรยากาศมันอาจจะไม่เหมือนรีวิวที่เขามาช่วงหน้าฝนหรือช่วงที่ทุกอย่างมันเขียวขจีนะครับ แต่มันก็มีความพิเศษแตกต่างกัน ถึงไม่เขียวขจีแต่ก็น้ำตาลปี๋เลย อย่างน้อยอากาศมันก็โอนะ(ผมบ่นอย่างคนน้อยใจ) ผมเดินไปเรื่อยเปื่อยหิวก็หิวแต่วันนี้ครัวปิดเพราะเขามีงานเลี้ยง ผมเดินไปเรื่อยจนถึงด้านล่างแล้วก็เดินกลับขึ้นมาพร้อมกับชาวบ้านอีกคน เดินไปคุยกันไปเขาก็แนะนำว่าให้มาหน้าฝนหรือก่อนฤดูเก็บเกี่ยวหนึ่งเดือนมันจะสวย :: เดินมาถึงข้างบนก็ดูเจ้าหน้าที่กำลังจะเอาดอกไม้ลง คุ้นๆมากแต่จำไม่ได้ว่าดอกอะไร



:: ขากลับก็ยังจอดๆถ่ายๆเหมือนเดิมเพราะเราไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือป่าว หลายๆที่ที่ผมไปมาผมบอกตัวเองเสมอว่าจะกลับมาอีก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็แทบจะไม่กลับไปที่เดิมอีกเลย วันหนึ่งมันก็เป็นแค่ความทรงจำของภาพถ่าย ถ้าไม่เปิดรูปดูก็ไม่รู้ว่าเคยไปมา :: บางครั้งการเดินทางก็อาจเป็นตัวย้ำเตือนความทรงจำของเราอีกครั้ง ที่บางที่เห็นแล้วนึกถึงอีกทีหนึ่งซึ่งเคยไปมา บางครั้งเหมือนกับว่ามันเป็นที่เดียวกัน



:: กลับมาด้วยความเหนื่อยล้าและหิวโซ ตลอดทางผมพยายามมองหาร้านข้าวซึ่งไม่มีเลย สุดท้ายก็กลับมาตายรัง สี่โมงเย็นผมกับรุ่นน้องเรานั่งทานข้าวกันท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่รู้จะอธิบายความสวยรอบๆตัวเรายังไง แมวตรงหน้าก็หลับไปกับบรรยากาศสี่โมงเย็น พี่ต๋าวหยิบเอาเสื้อเก่าๆมาห่มให้มัน เจ้าแมวบิดขี้เกียจหนึ่งครั้ง และหลับต่อราวกับว่ามันไม่เคยหลับมาก่อน ผมนึกถึงท่อนๆหนึ่งในหนังสือ WALDEN



“ จงรักชีวิตของคุณ แม้ยากเข็ญอย่างที่มันเป็นอยู่
บางทีคุณอาจจะมีโมงยามที่รื่นรมย์ ซาบซ่าน และรุ่งโรจน์ แม้แต่ในบ้านซอมซ่อ ”



:: หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็ติดต่อจ้างไกด์พาเที่ยวรอบๆ ในราคา200บาท/ต่อเที่ยว ไกด์ชื่อพี่แมะ พี่แมะจะอธิบายตลอดระหว่างทาง เริ่มจากต้นหมากเมื่อก่อนจะใช้คนปีนขึ้นไปเก็บแต่เดี๋ยวนี้ใช้เครื่อง ผมแหงนมองดูมันสูงกว่าต้นมะพร้าวอีกนะ เมื่อก่อนที่ปีนขึ้นไปเก็บคงลำบากน่าดู และส่วนใหญ่ที่ผมเห็นชาวบ้านเขาชอบเคี้ยวหมากกันไม่ว่าวัยรุ่นหรือวัยเก๋าปากแดงทุกคน เคยลองครั้งนึงเคี้ยวได้สามสี่ทีก็บ้วนทิ้งมันเผ็ดแสบปากไปหมด :: ส่วนบ่อน้ำที่เห็นมันเป็นน้ำที่ไหลมาจากบนเขาเอาไว้รดต้นหมาก พี่แมะบอกว่านายหลวงเป็นคนให้ขุดบ่อไว้ ซึ่งระหว่างทางมีอีกหลายบ่อและน้ำไหลลงมาตลอด :: เดินมาจนถึงจุดที่ปลูกกาแฟเห็นไกลๆเหมือนลูกตะขบ(เด็กยุค 90s น่าจะเข้าใจ) เมล็ดกาแฟลูกแดงเรื่อที่กำลังเกาะติดต้นของมันเพื่อรอวันเก็บเกี่ยว ใครเล่าจะรู้ว่าเจ้าไปอยู่ที่ Amazon และ STARBUCKS และอื่นๆอีกมากมาย (ขอบคุณความรู้จากพี่แมะมากๆครับ)



:: เดินมาซักพักไม่รู้เหนื่อยหรือหนักก้มมองที่เท้าของเราก็เห็นคำตอบ :: พี่แมะยังคงพาเราเดินและอธิบายสิ่งต่างๆที่เราสงสัยและไม่ได้สงสัยพี่แมะดูมีความสุขกับการเล่าเรื่องและเดินเรื่อง(เพราะเดินไกลมาก) เดินลงเขาจนมาถึงหมู่บ้าน และถึงกลุ่มทำกาแฟชองชาวบ้านซึ่งเขากำลังใช้เครื่องสกัดเปลือกออก เปลือกออกไป ไปไหน ไปเป็นปุ๋ย ไก่ก็ตาแป๋วไม่รู้ไปคุ้ยกินเนื้อกาแฟที่ติดมากับเปลือกหรือป่าว หลังจากเอาเปลือกออกเขาก็ล้างด้วยมือและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วันถ้าผมจำไม่ผิดนะ ก่อนเอาไปตาก



:: เราเดินเรื่องกันจนมาถึงจุดที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปกับแกะ พี่แมะก็เดินไปหยิบใบอะไรซักอย่างมาให้แกะ เขย่าๆแล้วก็พูดอะไรซักอย่างแกะก็ร้องกันระงมวิ่งมารุมทึ้งอย่างกับซอมบี้ที่พึ่งกินยาบ้ามา ช่วงเวลาที่เหลือผมก็อยู่กับที่ นั่งนิ่งๆเงียบๆ อยู่ตรงนั้นมองดูฝูงแกะและเหล่านักแสดงอื่นๆ บนท้องฟ้า



‘ ฉันไม่ปรารถนาจะใช้ชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิต ’



:: ผมนั่งผ่อนคลายอยู่ด้านล่างก่อนขึ้นมานอนในห้องและหลับไปโดยไม่รู้ตัว ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่นนอกจากเสียงหายใจของตัวเอง จนห้าโมงเย็นพี่แมะมาเคาะประตูรู้สึกเหมือนมีใครมาตัดลมหายใจออกเป็นสองส่วน ผมสะดุ้งตื่นทันทีเพราะพี่แมะกับพี่ต๋าวจะขับรถพาเราไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก ผมล้างหน้าแบบรีบๆและออกไปพร้อมกับขี้ตาหนึ่งข้างและรุ่นน้องหนึ่งคน



:: จุดชมวิวแรกอยู่ไม่ไกล แต่เราไม่ได้มากัน 2 คน มีอีกครอบครัวที่น่ารักมากับเราด้วย ทำให้รูปแรกที่ถ่ายไม่ใช่วิวแต่เป็นครอบครัวที่น่ารักนี้ :: ห้าโมงเย็นพระอาทิตย์ในหน้าหนาวก็หายหน้าไปแล้ว ความมืดเริ่มจะห่มคลุมทั่วป่า



:: จุดชมวิวที่สองก็ไม่ต่างจากจุดแรกเท่าไหร่คนในภาพหรือวิวในภาพก็ยังสวยเหมือนเดิม แต่ตัวผมเองเริ่มไม่ไหวแล้ว ยิ่งเย็นอากาศยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ คิดถึงที่สุดตอนนี้ไม่ใช่ใครแต่เป็นเสื้อกันหนาวและถุงมือ



:: จุดชมวิวสุดท้ายไม่มีพระอาทิตย์แล้ว นอกจากหมอกที่อยู่รอบๆตัวเรา หมอกสวยๆที่เห็นตามเนินเขาตอนนี้มันอยู่ใกล้เราที่สุดพัดผ่านแต่ละทีเย็นไปถึงกระดูก แต่มันสวยงามในแบบของมัน แม้มันจะบดวทัศน์ก็ตาม ผมเดินตามเสียงเรียกของพี่แมะและพี่ต๋าว และพี่ต๋าวก็ตามเสียงของกระดิ่งวัวอีกที ผมไม่ได้ถามอายุของพี่ต๋าวแต่แกวิ่งกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง ทำให้ผมนึกถึงฉากหนังเรื่อง into the wild ที่คริสวิ่งกับฝูงม้าอย่างมีความสุข มันเป็นภาพเดียวกันกับตรงหน้าผม ณ ตอนนี้ :: ด้านบนไม่มีอะไรเลยนอกจากหมอก ผมเดินขึ้นมาจนสุดยอดเขาลูกไม่เล็กไม่ใหญ่ เสียงกระดิ่งของวัวหายเข้าไปในหมอกพร้อมกับฝูงของมัน เสียงลมเริ่มเข้ามาแทนที่ ความสวยงามคือหมอกที่อยู่ตรงหน้าและชีวิตของผมที่กำลังยินดีให้กับชีวิต และทันใดทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ราวกับโลกนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อไป..



:: ผมและเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆถึงที่พักกันหกโมงเย็น ผมนั่งรอกับข้าวที่สั่งกับทางที่พักไว้ เมนูง่ายๆของวันนี้คือ ต้มจืดลูกฟักแม้ว และไข่เจียวตามด้วยขนมข้าวแข่คั่ว(อร่อยกรุบกรับ)ตบท้ายก่อนไปอาบน้ำ(ที่พักมีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยนะ)



“ ฟังเสียงลม ดูดาว แล้วจึงเข้านอน ”



:: วันรุ่งขึ้นผมตื่นมาแต่เช้าเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆที่พักอีกนิดหน่อยก่อนรอรถขาลงไปด้านล่างเพื่อเดินทางไปในเมืองแม่ฮ่องสอนต่อ และขอจบทริป แม่

. ลา . น้อย ไว้เพียงเท่านี้



“ ผมโอบกอดภาพทุกอย่างที่เห็นไว้ด้วยสายตาและความรู้สึก ”



ROAD MOVIE

 วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.49 น.

ความคิดเห็น