กิ่วแม่ปาน แม่ช่างสวยเหลือเกินและ คืนที่ดาวเต็มฟ้า ณ ดอยหลวงเชียงดาว

ถึงเวลา เก็บกระเป๋า ออกเดินทางขึ้นเหนืออีกครั้ง เพื่อเอาหน้าไปยื่นรับ ลม หนาว ตามประสาน คนชอบท่องเที่ยว อยู่เฉยไม่ได้ เลย นะ เสียแม่ แหววๆ มา ใกล้ๆ เราจะมักไม่ได้เที่ยวช่วงวันหยุดเทศกาลยาวๆ เพราะคนเยอะ แย่งกัน กิน แย่งกันถ่ายรูป เราเลย วางแผนไปช่วงปลายเดือน มกราคม ให้นักท่องเที่ยว ซาๆ ลงไป บ้าง และเป้าหมายของเรา เคือ กิ่วแม่ปาน เส้นทางเดินแห่งรัก ที่วัดความ อึด และอดทน ของคู่รัก ฉลองครบรอบ 2 ปี ชีวิตแต่งงานของเรา และ ค่ำคืนที่ดาวจะเต็มฟ้าที่ ดอยหลวงเชียงดาว

ป่ะ ออกเดินทางได้ล่ะ เหมือนเดิมคะ เราเลือกที่จะเดินทางโดยสนับสนุนกระทรวงคมนาคม ทริปนี้เปลี่ยนบรรยากาศไปรถไฟไทย ใจจริงอยากไปรถไฟไทย โฉมใหม่ แต่เสียดายจองไม่ทัน เต็มซะก่อน เลยได้ไปรถไฟไทยรุ่น คลาสิกแทนเอาน่า ยังไงก็รถไฟอยู่ดี ตีตั๋วยาวนอน จาก หัวลำโพง ไปถึง เชียงใหม่กันเจ้า

เราตื่นกันมาตอน ตีห้า กว่า พลิกตัวไปมา นอนไม่หลับเลย ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนที่คนอื่นจะมากัน และแล้วช่วงเวลา 6 โมงเช้า พระอาทิตย์ขึ้น ทำให้เราได้เห็น ไอหมอกมา เกาะที่ขอบหน้าต่าง โอ้ว! นี่คือจุดไคลแมคของการเดินทางบนรถไฟเลย เพราะเหมือนเรากำลังเดินทางผ่านหมอกตลอดเส้นทางช่วงเช้า ทำให้เราเพลินจนลืมเวลาที่ดีเลย์ของรถไฟไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ( ความงามที่แท้จริง จะไม่เรียกร้องความสนใจ **จุดที่ 1** ) เคยมีสุภาษิต 1 กล่าวไว้ (ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าจากที่ไหน) เคยอ่านผ่านมาและเราชอบประโยคนี้ ดูจริงใจ ไม่เสแสร้ง

เมื่อถึงเชียงใหม่ เรามีเจ้าบ้านที่น่ารักมารอต้อนรับ คือเพื่อนสาว (โย) สมัยเรียน ม.ต้น ถ้าพูดถึงมิตรภาพอันยาวนั้น ก็ประมาณ 20 กว่าปี 555 ไม่ต้องเดาอายุกันเลยทีเดียว

วันที่ 2 เราตั้งเป้าไปสัมผัสลมหนาวที่ กิ่ว แม่ปาน ดอยอินนทนนท์ โดยมีเพื่อนสาวและครอบครัวของเขา (พี่แมน สามีของโย และ พร้อมด้วยลูกสาวที่น่ารัก น้องแก้ม) เป็นไกด์ นำทางไปด้วยกัน จริงๆ โย เคยมาที่นี้แล้ว แต่ก็อยากที่จะมาอีก เพราะทุกครั้งของการเดินทางถึงแม้ได้ไปที่เดิม แต่ทุกครั้งมักจะมีความทรงจำและประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เราแอบยิ้ม และ แอบขอบคุณ โย ที่มีทัศนคติดีๆ ในการใช้ชีวิตตลอด และ ขอบคุณที่ได้พาเรามาเที่ยวด้วยกัน 😊

เมื่อถึงเส้นทางเดินเข้าสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน เราได้รับการต้อนรับจาก ลมเย็นๆ และไอหนาวมาปะทะ ให้เรา หน้าชา ซึ่งส่งผลให้การก้าวเดินของเราช้าลงไปด้วย (หาเหตุผลไปเรื่อย) เราเพลินกับ 2 ข้างทาง

ที่ชุ่มช่ำไปด้วยต้นไม้เราเดินตามหลังน้องแก้ม และอดคิดไม่ได้ว่า เดินสู้เด็ก ไม่ได้เลย น้องแก้มทำให้เรากระปรี้กระเป่า ที่จะเดินไป เล่นไป สนุกและทำให้รู้สึกได้ความเป็นเด็กกลับมา นี่ล่ะมั่งที่ โย เคยบอก การเดินทางมักจะได้เจออะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ มันคือเสน่ห์ ที่ทำให้เราเดินทาง มาถึงที่นี้และทุกๆที่ ที่เราอยากไป และแล้ว เราก็มาถึงจุดชมวิว ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี้ สวยมาก หายเหนือยเป็นปลิดทิ้ง ที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะ เหมือนที่คิดไว้ ทำให้เราได้ใช้เวลาในการชื่นชม และถ่ายรูปได้ รัวๆ กันเต็มที่

และไกด์นำทางของเราบอกว่า ถ้าพร้อมแล้วเราจะไปต่อนะ เราถามกลับไปทันทีเช่นกันว่า ไปอีกหรอ แค่นี้ก็สวยมากมาย แต่ไกด์บอกเราว่า ถ้าจะมาที่นี้ต้องไปให้สุด ให้ครบทุกจุด จนสุดทางเราได้ยิน หลายๆ กลุ่มที่ อยู่บริเวณนั้น ถอดใจไม่เดินไปต่อ ขอย้อนกลับไปทางเดิม ซึ่งไกด์บอกว่า ระยะทางใกล้กว่า ที่เราจะเดินต่อแน่นอน แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ทุกคนลงความเห็นว่า ไป ลุยต่อได้เลย โดยเฉพาะน้องแก้ม ทำให้เรารู้สึกถึง พลังงานของสาวน้อยคนนี้ และส่งพลังให้เรา ฮึดที่จะเดินต่อ

ซึ่งเราเป็นกลุ่มดียวจาก 4 กลุ่ม ที่เลือกจะเดินทางต่อ เราไต่ระดับเขา เดินริมหน้าผา ที่คุณผู้ชายของเรากลัวความสูงต้อง เดินชิดติดริมเขากันเลยทีเดียว แต่ระหว่างทางไกด์แนะนำผลไม้ป่า ให้ชิม และชี้ให้ดูกุหลาบ

พันปี ที่หายาก อยู่ริมหน้าผา ออกดอกเพียงปีละครั้ง ซึ่งเป็นช่วงนี้พอดี เราได้ยลโฉม นางเอก คนสวย ได้เต็มๆ ** กิ่วแม่ปาน แม่ช่างสวยเหลือเกิน** นี่คือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจและอยากตะโกนดังๆ

ต้องขอบคุณพี่ไกด์ ที่ทำหน้าที่เกินไกด์ แต่ทำหน้าที่ด้วยใจรัก ที่จะให้พวกเราได้เห็นความสวยงาม และความอัศจรรย์ของธรรมชาติ ( ความงามที่แท้จริง จะไม่เรียกร้องความสนใจ **จุดที่ 2** ) ถ้าพี่เขาจะกลับไป เส้นทางเก่าซึ่งใกล้กว่า และเหนื่อยน้อยกว่าก็ทำได้ เราโชคดีที่เจอพี่เขา ขอบคุณอีกครั้งนะคะ 😊

ในวันที่ 3 เราโบกมือ บายๆ โย พี่แมน และ น้องแก้ม ขอบคุณครอบครัวที่น่ารักนี้ ที่ดูแลระดับ5ดาว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเพื่อนๆที่มาเชียงใหม่ถึงอยากเยี่ยมเยี่ยน เพราะคิดถึงมิตรภาพดีๆนี่เอง

ขอบคุณนะ ขึ้นรถบัส ไปต่อ ที่ อำเภอเชียงดาว เราจะนอนดูคืนที่ดาวจะเต็มฟ้าที่นั่น... พอถึง อ.เชียงดาว ตอนแรกเราคิดว่า เช่ารถมอเตอร์ไซด์ กันไหม เพราะเคยอ่านในรีวิว ว่าเช่าได้ ขี่ขึ้นดอย ช่วงที่เรายืนปรึกษากัน ก็มีพี่สาวใจดีคนหนึ่ง เดินมาถามว่าจะไปไหน เราบอกว่า จะไป บ้านดอยหมอก พี่เขาเลยบอกว่า ไปไหม คิดคนละ 50 บาท พอดี ลุกค้าที่พี่เขารอ ยังมาไม่ถึง เลื่อนเวลา อีก 2 ชม. พี่ยินดีไปส่งก่อน และถ้ารอคิวรถก็อาจจะต้องรอนานเป็น ชม. เราก็เลยตัดสินใจไปกับพี่เขา เส้นทางขึ้นเขานั้น คดเคี้ยว และค่อนข้างชัน เราดีใจกันมากที่ไม่เช่ารถมอเตอร์ไซด์ 555 ต้องขอบคุณพี่สาวใจดีคนนี้อีกเช่นกัน😊พอมาถึงที่พัก เราได้เต้นท์ด้านหน้า

ซึ่งเห็นวิวที่ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาใหญ่ ตั้งตระหง่า สวยงาม และพิเศษที่เต้นของเรามีห้องน้ำส่วนตัวให้ด้วย ซึ่งเราไม่ได้ขอไว้ เพราะเราเข้าใจว่า นอนเต้นท์ ต้องห้องน้ำรวมอยู่แล้ว นี่คือสิ่งที่เจ้าของบอกว่า อยากให้กับลูกค้าที่จองคนแรกของวันนี้ ซึ่งวันนี้เต้นท์ก็มีคนเข้าพักเต็มนะ เกินความคาดหวัง ของเราจริงๆ ประทับใจมาก ขอบคุณนะคะ😊

เก็บของเสร็จก็ไปเดินเล่น ไปเดินเซ็นเตอร์พ้อย (ร้านขายของเล็กๆในหมู่บ้านนั่นเอง) หาอะไรกินรองท้องก่อนมื้อเย็นที่ต้องกลับไปกินที่ ที่พัก ซึ่งที่พักบ้านดอยหมอก รวมอาหารให้ 2 มื้อ เย็น


และเช้าของวันรุ่งขึ้น

และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ระหว่างที่เราเดินดูโน้น ดูนี่ไปเรื่อย ข้อเท้าเกิดพลิก ตกไหล่ทาง เราเจ็บมาก น้ำตาไหลเลย เราเดินไม่ได้ คุณผู้ชาย ต้องให้เราขี่คอมานั่งพัก ตรง กระต๊อบ ของชาวบ้าน และเอาน้ำแข็งที่อยู่ในแก้ว ออกมาประคบเย็นทันที ดีนะ ที่ซื้อน้ำติดมือมาด้วย ข้อเท้าเราบวมปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดในทันทีเช่นกัน และมีพี่ผู้หญิง 2 คน ที่เพิ่งจอดรถ ลงมาใกล้ๆ กับเรา ถามว่า เป็นอะไร และได้ให้ยาแก้ปวดมาทาน ไว้ 3 มื้อ เพราะ 1 ในพี่ 2 คน เป็นหมอพอดี นี่โชคดีของเราจริงๆ เจอคนดีๆ มีน้ำใจ ช่วยวิกฤติข้อเท้าเราได้ ขอบคุณจริงๆ เลยนะคะ 😊 เมื่อเรากะเผลก มาถึงที่พักด้วยความทุละทุเล ก็ถึงเวลามื้อเย็นพอดี เราเห็นเมนูอาหารที่มาเสริฟ์

หน้าเต้นท์ ก็หายปวดข้อเท้าขึ้นมาทันที มื้อหลักร้อย แต่บรรยากาศหลักล้าน วันเวลาเก็บความสวยงามทุกๆอย่าง เพลง นี่ผุดขึ้นมาในหัวเลย ณ ตอนนั้น

และค่ำคืนที่ดาวเต็มฟ้าก็มาปรากฎตรงหน้าให้ได้เห็น ความงามที่แท้จริง จะไม่เรียกร้องความสนใจ **จุดที่ 3** ) ไม่มี wifi ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีทีวี เราได้นั่งคุยกัน เรื่องนั้น เรื่องนี้ นั่งมองดูดาวจริงจัง จะมีสักกี่วันที่เราได้ทำแบบนี้ ถ้ากลับไป ความเป็นจริง เราคงนั่งหันหลังชนกันและก้มดู มือถือ ของแต่ละคนแน่ๆ 555 เรานอนในเต้นท์ไม่ดิ้น นอนนิ่งๆ เพราะปวดข้อเท้า และอากาศที่หนาว แต่เรากลับรู้สึกอบอุ่น เพราะมีคนดูแลเราอยู่ใกล้ๆ อย่างดี ขอบคุณนะ คุณผู้ชาย😊

เช้ามาเรายังปวดข้อเท้าอยู่ แต่โชคดีที่ได้ยา ของพี่เขามาบรรเทา เพราะคิดไม่ออกจริงๆ เลยว่า ถ้าไม่มียา คงทรมาน แน่ๆ เริ่มมีแดดอ่อนๆ เหมือนมาบอกว่าเป็นสัญญาณถึงเวลาต้องกลับแล้วสินะ

เชียงดาว ขอบคุณนะที่ทำให้เราได้เห็นดาวเต็มฟ้า เต็มสองตาที่ไม่อาจถ่ายรูปมาให้เห็นได้....มันคือความทรงจำที่ต้องมาสัมผัสเองเท่านั้น

การเดินทางทำให้เราได้เรียนรู้กันและกัน มิตรภาพของทริปนี้ ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ เราจำไม่ได้ว่า กล่าวคำว่า ขอบคุณ ไปกี่ครั้ง กับใครบ้าง เพราะเยอะมาก สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ขอบคุณอย่างเดียวคงไม่พอจริงๆ

ความงามที่แท้จริง จะไม่เรียกร้องความสนใจ เราจึงออกเดินทางตามหา

เจอกันทริปหน้า ขอบคุณ 😊

Notty Journey

 วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 14.13 น.

ความคิดเห็น