"ฮอกไกโดหน้าหนาว 2018" :D

A: “ถามเรื่องฮอกไกโดที่ไปมาหน่อยดิ ตั๋วเท่าไหร่อ่ะ”

คำทักทายจากเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนานแรมปี เจอกันทีแค่ตามโซเชียลต่างๆ

B: “ได้ตั๋วถูกมากอ่ะ หลักพันเท่านั้น แต่อย่างอื่นแพงหมดเพราะจองใกล้เดินทาง 55+”

สิ่งที่ฉันจดจำได้จากฮอกไกโดครั้งแรกเมื่อปี 2017 คือการถามเพื่อนผู้ทำงานสายการบินเล่นๆว่ามีตั๋วราคาเพื่อนพนักงานไหม คำตอบคือมี ก็ลั่นปุปปับจองตั๋วกัน ทั้งที่ไม่เคยหาข้อมูลของเกาะนี้เลยซักครั้ง ความทรงจำคือมันเป็นเกาะที่แพงมาก เลยยังไม่มีแพลนจะไปในเร็ววัน แต่โชคชะตาก็พาให้ไปกลับมาด้วยความหลงรักขั้นสุด

A: “นี่เราวางแผนจะไปอย่างจริงจัง มีการเก็บเงินสำหรับที่นี่ไว้ด้วย”

เพื่อนยังคงแชร์ความนึกคิดถึงสถานที่แห่งนี้อยู่

B: “เออ เราชอบมาก ตั้งใจว่าจะไปอีกแน่นอน” เราตอบกลับไป

A: “ไปด้วยดิ เมื่อไหร่ดี”

ไม่รู้ใครป้ายยาใคร สุดท้ายจบที่การให้เพื่อนจองตั๋วให้แบบงงๆ

ถ้าคิดอยากไปเที่ยวที่ไหน ให้จองตั๋วไว้ เดี๋ยวอย่างอื่นก็ตามมาเอง แต่เด๋วนะ ถึงฉันตั้งใจว่าอยากกลับไปใหม่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับไปเร็วแบบนี้ ทริปเดิมยังไม่ครบปีเลยเด้อ

วันที่ 1: เริ่มต้นที่ Niseko เมืองสกีระดับโลก ใครๆก็มาเล่นที่นี่เพราะหิมะนุ่ม เขาเคลมว่าล้มแล้วไม่เจ็บ (เขานี่ใคร? ล้มยังไงก็เจ็บอยู่ดี 55) ที่นี่สวยจริงสวยจัง ขาวโพลนไปหมด นี่เป็นคนไม่ชอบสีขาว แต่พอเห็นทั้งเมืองขาวละก็แบบ เออ สวย!! ชอบก็ได้!! พักที่นี่คืนนึงเพราะตั้งใจมาเล่นสกี มาถึงนี่แล้วก็งงนะว่ามาญี่ปุ่นจริงรึเปล่า ฝรั่งล้วนเด้อ ไม่ว่าจะนักท่องเที่ยว นักสกี/สโนว์บอร์ด หรือกระทั่งพนักงานตามโรงแรมและร้านรวงต่างๆ รู้สึกอินเตอร์มากเวอร์

วันที่ 2: ตอนแรกนู้นตั้งแต่ที่จองตั๋ว ตั้งใจจะมาเรียนสโนวบอร์ด เพราะครั้งก่อนลองเล่นด้วยตัวเองแล้วเฟล เบรคไม่ได้ ได้แต่สกี แล้วก็ตั้งใจว่าจะมาเล่นอย่างน้อยสองวัน แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเพื่อนที่มาด้วยจะอินกับความเอ็กซ์ตรีมนี้ไหม นี่ก็เกรงใจไง อ่ะ ไม่เรียนก็ได้ สกีละกัน เซฟๆ ยังไงก็เล่นพอเป็นมาบ้างจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทิ้งเพื่อนไว้กับความงง ตอนแรกคิดไว้ว่ามาถึงนิเซโกะปุ๊ป จะฟิตไปรับอุปกรณ์ที่เช่าไว้แล้วเล่นเลย แต่ด้วยความพังจากการนั่งเครื่องบินวนเล่นก็พบว่าอย่าเลยดีกว่า เล่นอีกวันเถอะ ไม่งั้นแววจะพังตั้งแต่เริ่มต้นทริป

ได้กลับมาเล่นอีกครั้ง สนุกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือใช้เวลาใส่สกีนานกว่าเวลาไถลงจากสโลป มันจะใส่ยากไรเบอร์นั้น อ่อ คือฉันขูดหิมะออกจากรองเท้าไม่หมด มันเลยไม่ลงล็อคซะที อิบ้าาาา ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง อ๊องเวอร์ 55 วันที่เล่นดันเป็นวันหิมะตกหนัก ทัศนวิสัยงงไปหมด แว่นก็ไม่ใส่ หันกลับไปหาเพื่อนที่หลอกมาเล่นด้วยเพราะกลัวนางไม่อิน สรุปนางก็ไม่อินด้วยจริงๆ สะเทือนใจ

ลงจากสโลปมาไม่เจอเพื่อนละ หนีไปทำใจอยู่ที่โฮสเทล เล่นเกมฆ่าเวลา โดนทิ้งเฉ๊ยยยย “อยู่อย่างคนเหงาๆ อยู่กับความเดียวดายยยยยย” เดินแบกสกีกลับมาโฮสเทลพร้อมกับการที่เพลงนี้ลั่นอยู่ในหัวตลอดการเดิน งงละเสี่ยงจะหลงตลอดเวลาสไตล์คนอ๊องอย่างเรา ที่พักดีงาม ราคาไม่แพง ใกล้สโลป มีกิจกรรมเยอะ ทั้งเกม FR, Play โต๊ะพูล บาร์ อะไรตั่งต่าง

หมดเวลาสำหรับลานสกี ก็มุ่งหน้าเข้าซัปโปโร เมืองที่เดินไปทางไหนก็เจอคนไทย จนสับสนว่านี่เป็นอีกจังหวัดนึงของไทยรึเปล่า อบอุ่นใจแม้อยู่ห่างไกลบ้าน

วันที่ 3: เริ่มวันใหม่ด้วยความสดใสของท้องฟ้า ดีที่เช้านี้ออกเดินทางแล้วหิมะยังไม่ตกระหว่างเดิน

ไปขอพรที่ศาลเจ้า Fushimi Inari Sapporo อยากไปที่นี่เพราะเห็นรูปเสาสีแดงตัดกับหิมะสีขาวในกูเกิล เราว่ามันสวยดี อีกอย่างคือเขาว่าที่นี่ขอเรื่องความรักดีนะแก นี่ก็ไม่ได้งมงายเท่าไหร่หร๊อก 55+ แต่คือยังงะ บ่อน้ำที่เขาให้ล้างมือก่อนเข้าศาลก็แข็งเป็นน้ำแข็งไปละไง ในส่วนของที่ไหว้ก็ปิด คือก็งง ตกลงฉันขอพรได้ไหม?

กลับมาเที่ยวเล่นที่มหาวิทยาลัยฮอกไกโด อยากย้อนวัยกลายเป็นนักศึกษา แม้อายุจะเป็นป้าเขาได้แล้วก็ตาม ชอบตึกนี้ เห็นแล้วรู้สึกว่าอยากมา คือบางทีก็งงว่ามาทำไม มาเพียงเพื่อถ่ายตึก มาเพียงเพื่อมากินข้าวในโรงอาหารของมหาลัย แต่ก็นั่นแหละ ความรักบางครั้งก็ไม่ต้องการเหตุผล //เกี่ยวมะ?

วันที่ 4: วันนี้ว่าจะไปทะเล เห็นใน IG มา ทะเลที่ซัปโปโรก็สวยเหมือนกัน อยากไปเที่ยวที่มันไม่ค่อยแมสมากบ้าง ฟ้าดูสดใส

งงตั้งแต่การต่อรถไฟ เราจะไป Ranshima Beach คือมันต้องไปลงที่สถานีโอตารุ ใช้บัตร Suica ไปได้ แต่ต้องต่อสาย Local ไปลงสถานี Ranshima พบว่าบัตรมันใช้ไม่ได้ ต้องกดตั๋วแยกต่างหาก มาละ ความอ๊องเริ่มมา

สติแตกมาตั้งแต่การจ่ายค่ารถไฟ พอลงจากรถมาสติแตกกว่าเดิม ที่นี่ที่ไหน!? รู้สึกถึงความ In the middle of nowhere มาก ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ไหนทะเล?

ยิ่งเดินไปยิ่งรู้สึกถึงความไร้แต้มบุญ หิมะตกหนักระหว่างเดิน แต่ซักพักก็ได้ยินเสียงคลื่น ใกล้แล้วสินะ!

แต่....ไหนคือภาพหิมะสีขาวตัดกับทะเลสีฟ้าสวยๆ? มองไปแทบไม่เห็นน้ำ T^T อารมณ์เหมือนมาทะเลตอนฝนตก แค่เปลี่ยนจากเม็ดฝน เป็นเกล็ดหิมะแทน ถ้าฟ้าเปิด มันคงสวยกว่านี้ นี่แต้มบุญหมดอะไรเบอร์นี้อ่ะ แล้วก็หิมะสูงมาก กว่าจะไปได้ใกล้ทะเลเบอร์นี้(ซึ่งก็ยังไกลอยู่ดี) คือต้องลุยหิมะสูงถึงเข่ามา ก็ไม่แน่ใจว่าหิมะสูงหรือขาฉันเองที่สั้น สภาพเหมือนเอาตัวลงไปขลุกกับหิมะมา คุ้มละกับการมา Hokkaido Snow land

กลับมาย้อมใจที่พิพิธภัณฑ์เบียร์ Sapporo Beer Museum ยังมีควันหลงคริสมาสต์อยู่ โรแมนติกไปอีก


วันที่ 5: เช่ารถขับ เลือกวันจากในพยากรณ์อากาศที่ดูแล้วฟ้าเปิดสุด เพื่อไป Marukoma Onsen โรงแรมเก่าแก่ที่มีออนเซนวิวทะเลสาบชิโกทสึ มีรถสาธารณะไปถึงทะเลสาบ แต่ไม่มีไปถึงโรงแรม วิเคราะห์แล้วน่าจะคุ้มกว่านั่ง Taxi ก็จัดโลด

Lake Shikotsu ทะเลสาบที่จะไม่กลายเป็นน้ำแข็งในหน้าหนาว คือวิวหิมะว่าสวยแล้ว พอเจอน้ำตัดกับภูเขาแล้วอะไรก็ดีไปหมด สวยสตันซ์ ชิวมาก แต่ก็หนาวมากเช่นกัน

ที่ทะเลสาบมีจัดงานเทศกาลน้ำแข็ง สวยและมีกิจกรรมให้เล่น เช่นขี่ม้า สไลเดอร์น้ำแข็ง

วันที่ 6: Free day วันที่ไม่มีแพลนเป็นชิ้นเป็นอัน เอาเป็นว่าเดินเล่นอยู่ในเมือง เพราะจะกลับพรุ่งนี้แล้ว ไม่อยากฮาร์ดคอร์มาก ละลายทรัพย์วนไป

นี่ขนาดไม่อยากฮาร์ดคอร์ แต่คือตีสามยังมาเดินอยู่ตรอกทานุกิ Tanukikoji เหตุเพราะกระเป๋าเต็ม ไม่สามารถยัดของไปได้หมด ต้องมาซื้อกระเป๋าใหม่ ขอบคุณดองกี้ เพื่อนซี้ยี่สิบสี่ชั่วโมง (ใช่เรื่องไหม? -*-)

วันที่ 7: เดินทางไปสนามบินตั้งแต่ยังไม่สว่างเพราะบินไฟลท์เช้า

กลับถึงไทยโดยสวัสดิภาพ หลงรักฮอกไกโดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกระเป๋างอกมาหนึ่งใบ หวังไว้ว่าคงได้ไปใหม่ในอีกไม่นาน <3

dRacCoHoliC

 วันพฤหัสที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 19.46 น.

ความคิดเห็น