ย่างเข้าสู่ วันที่สาม ของการเดินทางใน เวียดนาม กันแล้ว

ตอนก่อนหน้านี้เป็น Vietnam Trip : Ha Noi - Sapa ตอน 1 และ Vietnam Trip : Ha Noi - Sapa ตอน 2 คลิกอ่าน จะได้ไม่ขาดตอนเนอะ :)


เรายังอยู่ที่ ซาปา เมืองที่ถูกห่มด้วยหมอก ถูกกอดด้วยเขา จนทำให้เราถูกห่มหุ้มด้วยผืนหมอกตามไปด้วย หนึ่งวันของ เมื่อวาน สร้างสุขแบบง่ายๆ ไปแล้ว หนึ่งวันของ วันนี้ เราหวังว่าสุขจากการเดินทางจะอิ่มเอมยิ่งกว่า

เอาล่ะ มาร่วมเดินทางไปกับตอนจบของทริป ซาปา เมืองที่ทำให้เรารัก 'เขา' ด้วยกันเถอะ

ถ้ามีใครถามว่ารู้สึกอย่างไร กับการดั้นด้นมาไกล...ถึงที่นี่? ถึงจะมีแค่ภูเขา เงาหมอกจางๆ กับความหนาวระดับฟินนิดๆ แต่ก็พูดได้ว่าเป็นความพอใจระดับเกินคาดหวัง

การเดินทางที่เกิดจากการติดตาม แรงบันดาลใจ ครั้งนี้ มิใช่แค่ได้ทำตามที่เคยหวัง จนได้มาเห็นภาพตามนิตยสารท่องเที่ยวฉบับเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น แต่เป็นการพาเรามายืนอยู่ที่ ซาปา เมืองที่ยังอวลไปด้วยเสน่ห์ และทำให้รู้ว่า..ภาพที่เคยเห็นไม่ได้สักส่วนเสี้ยวของการมาเห็นด้วยตาตัวเอง ถ้าเคยชื่นชอบ ซาปา จากภาพในวันนั้น วันนี้เราก็คง หลงรัก 'เขา' มากขึ้นไปอีก


:: Vietnam Trip 10-14 Sep 2015 ::

Day 1 Ha Noi Ha Noi, (GA Ha Noi to Ga Lao Cai)

Day 2 Sapa Lao Cai to Sapa, Sapa

Day 3 Sapa Sapa, (Ga Lao Cai to Ga Ha Noi)

Day 4 Ha Noi Ha Noi

Day 5 Ha Noi Back to Bangkok


:: 12 Sep 2015

ณ เวลา 05:39 น. เป็นเช้าที่ตื่นเช้ามาก หลับสบายอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็กระเด้งตัวจากเตียงคิงไซส์หนานุ่ม คิดขึ้นมาได้ว่าจะนอนอุตุไปไย ขยี้ตาคว้านาฬิกามาส่อง ดูอีกทีให้แน่ใจเพราะตอนนี้นอกหน้าต่าง ฝั่งที่หันเข้าหาเทือกเขา Muong Hoa Vally สว่างแล้ว สำหรับที่นี่คงเรียกว่าเช้าแล้วล่ะ

บรรยากาศข้างนอกนั่น เป็นหมอกสีขาวฟุ้งกระจายไปทั่ว มันเคลื่อนตัวอยู่แทบจะตลอดเวลา พัดพาไปบดบังต้นไม้กับทิวเขาสูง จนภาพเหล่านั้นกลายเป็นสีขาวโพลน


Sapa, Eden in the Mist

...เพียงแค่ยามเช้ามาเยือน ที่นี่ก็กลายเป็น สวรรค์ในสายหมอก ไปแล้ว

จากห้องพัก มองเห็นทิวทัศน์ของ Muong Hoa Vally เยื้องมาทางซ้ายจากมุมของห้องอาหารเล็กน้อย เป็นอีกมุมหนึ่งที่ชอบ เรากระโดดแผล็วไปเกาะริมหน้าต่าง ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีนวลๆ ของสีฟ้าอมเทา หมอกเบาบางของเมื่อวาน กลับกลายเป็นความหนาแน่น วิ่งวนๆ ไปมา บดบังทุกสิ่งอย่าง ภาพนอกหน้าต่างชวนให้หนาวนิดๆ ทั้งที่ผิวกายยังไม่ได้สัมผัสกับมัน บรรยากาศที่ว่า...ชวนให้เรานั่งมองอยู่ได้นานเป็น...นาที

ตอนนั้น...เราคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง ตอนที่นั่งถ่ายรูปอยู่ในมุมเดิมของเมื่อวาน ก็หน้าต่างบานเดิมนั่นล่ะ แต่ได้ภาพไม่เหมือนกับที่กำลังถ่ายในวันนี้ สำหรับเรามันเป็นเรื่องของการ [มองต่างมุม] ต่างสายตา ต่างทรรศนะกัน หากจับคนหลายคนมายืนในมุมเดียวกัน มองต่างกัน ภาพที่ต่างคนต่างเห็นก็ต่างกันออกไป

ถ้ามีใครสักคนแสดงทรรศนะ แล้วบอกคุณว่าสถานที่ที่คุณอยากไป ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก, จงเดินทางไปให้เห็นกับตาของคุณเสียเถอะ เพราะมุมมองของเขาต่างจากเรา ไม่สวยของเขา อาจเป็น ความชอบที่สุด ของเราก็เป็นได้


:: ภาพ ณ เวลา 05:39 น.

:: ภาพ ณ เวลา 05:48 น.

:: ภาพ ณ เวลา 05:50 น.

:: ภาพ ณ เวลา 06:18 น.

:: ภาพ ณ เวลา 06:22 น.

ถ้าจะจับเวลาแบบนาทีต่อนาที ภาพที่บันทึกได้ยิ่งทำให้เห็นการเดินทางของหมอก ที่ยักย้ายไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง บางนาทีเหมือนจะค่อยคลายความหนาแน่นให้พอมองเห็นตัวอาคารทรงโดม หลังคาสีส้มอิฐที่มองเห็นอยู่ลิบๆ สายตา ไม่รู้จะพูดว่าฟ้าใสขึ้นได้หรือเปล่า เพราะเดี๋ยวเดียวก็หม่นเทา มองเห็นภาพเดิมแค่รำไรที่หลังเงาหมอกอีกครั้ง

ในเมื่อสายหมอกดูจะไม่รีบเร่งไปไหน เราก็เลยอ้อยอิ่งกับมันพักหนึ่งก่อนจะลุกไปกินมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม ที่ชั้น 4 ห้องเดิม ชุดอาหารถูกสลับสับเปลี่ยนเพื่อลิ้มลองชุดอื่นที่เมื่อวานไม่ได้สั่งบ้าง ส่วนกาแฟร้อนยังถูกเลือกเหมือนเดิม วันนี้มีนักเดินทางชุดใหม่มาถึงโรงแรมตั้งแต่เช้า (เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด) คงเหมือนวันที่เราเดินทางมาถึงวันแรก พวกเขาขึ้นมากินอาหารเช้าระหว่างรอห้องพัก วันนี้ห้องอาหารก็เลยเต็มทุกโต๊ะ

อาหารดูจะได้รับความสนใจน้อยลงไป เมื่อภาพจากระเบียงเต็มไปด้วยหมอก หากชอบวิวของวันแรกที่ทำความรู้จักกับ Muong Hoa Vally แล้ว จะชอบวันนี้เมื่อทิวเขาปกคลุมไปด้วยหมอก...มากกว่า ระหว่างมื้อเช้า เราหาจุดตั้งกล้อง Go Pro เก็บภาพหมอกยามเช้าแบบ Timelaps หนึ่งชั่วโมง (Video Output ครึ่งชั่วโมง) ก็เลยได้หมอก 'บ้านเขา' กลับไปดู 'บ้านเรา' แบบนี้

คลิกดูวิดีโอ Eden in the Mist ที่นี่ค่ะ


:: ภาพ ณ เวลา 06:24 น.

:: ภาพ ณ เวลา 06:37 น.

ฟ้าที่คิดว่าจะโปร่งหลังจากหมอกขาวๆ คลายตัวจากยอดเขา หรือแม้แต่ชายหลังคาบ้านเรือนที่อยู่เหนือ Sapa Eden Hotel ขึ้นไป ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะตอนเกือบจะเจ็ดโมงเช้า หมอกก็ลอยฟุ้งมาอยู่ตรงหน้า พันม้วน ตลบกลบกลืนทุกอย่างจนหายวับไปกับตา

เป็นอย่างที่เขาเล่าไว้กระมัง ว่าไม่อาจเอาแน่เอานอนกับอากาศที่นี่ ประเดี๋ยวร้อน ประเดี๋ยวหนาว แล้วหมอกก็มาเยือนให้รู้สึกขนลุก คิดดูสิ ว่าเราเจอทุกฤดูของเขาแล้วหรือยัง? คำตอบที่ได้ก็คือ...ยัง เรายังไม่ได้สัมผัส 'ฝน' ที่ ซาปา สักเม็ด


ภูมิอากาศของ ประเทศเวียดนาม ในเขตทางภาคเหนือมี 4 ฤดู : ฤดูใบไม้ผลิ (เดือน มี.ค.- เม.ย.), ฤดูร้อน (เดือน พ.ค.- ส.ค.), ฤดูใบไม้ร่วง (เดือน ก.ย.- พ.ย.) และฤดูหนาว (เดือน ธ.ค.- ก.พ.) เดือนที่เราเดินทางมาเยือนซาปาครั้งนี้ เป็นฤดูที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด ด้วยอากาศที่กำลังเย็นสบาย สลับกับมีฝน และเป็นโอกาสได้เห็นทุ่งข้าวเขียวๆ กับผลผลิตของชาวบ้าน


:: ภาพ ณ เวลา 06:53 น.

ย้อนไปเล่าเรื่องเมื่อคืนนิดหนึ่ง หลังจากกลับจากจตุรัสแล้วก็เตรียมเก็บกระเป๋าส่วนหนึ่ง พรุ่งนี้ต้องเช็คเอาท์ตอน 11.00 น. แผนเดิมก็คือ เช็คเอาท์และฝากกระเป๋าไว้ที่เคาท์เตอร์ Sapa Eden Hotel แล้วไปเดินเที่ยว นัดรถมารับไปส่งสถานีลาวไก ตอนเย็นประมาณ 19.00 น. ซึ่งนับกันจริงๆ ก็หลายชั่วโมง

นักเดินทางส่วนใหญ่จึงจองโรงแรมแค่คืนเดียว สำหรับเวลา 2 วันในซาปา แต่คณะเรามีผู้สูงวัยไปด้วยคงเดินดุ่มๆ ทั้งวันไม่ไหว เลยคิดเรื่องเปิดห้องพักต่อจนถึงเย็นพรุ่งนี้ คืนนั้นลงไปเช็คกับทางโรงแรม แต่ห้องพักเต็มแล้วทุกห้องเพราะเป็นช่วงท่องเที่ยวอย่างที่เกริ่นไปข้างต้น


สองทุ่มเห็นจะได้ก็เลยต้องเป็นผู้กล้า ท้าลมหนาวออกไปตามหาโรงแรม เป็นโอกาสให้เข้าๆ ออกๆ อยู่หลายที่ ส่วนใหญ่เต็มหมดแล้วเหมือนกัน รู้มาอีกอย่างว่าส่วนใหญ่แล้วห้องพักจะมีราคาถูกกว่า Sapa Eden Hotel บางที่ไม่ถึง 1,000 บ. แต่สภาพกับความสะอาดสู้กันไม่ได้นะ

หลายๆ โรงแรมที่เหมือนกัน คือ...สูงแค่ไหนก็ไม่มีลิฟต์ และใช้แอร์ธรรมชาติ ห้องพักระดับกลางไปจนถึงราคาสูงหน่อยจึงจะมีแอร์ อีกทั้งมีวิวเป็นตัวเรียกแขก อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบเลย เดินกันพอเหนื่อย เราก็ได้ห้องพักที่ Cosiana Hotel Sapa อยู่ห่างจาก Sapa Eden Hotel สักสองสามร้อยเมตรได้

ปล. Sapa Eden Hotel ห้องแบบ Family Suit ราคา 2,194 บ. พักได้ 3 ท่าน (เสริม 1 ท่าน เพิ่ม 337 บ.) ถ้าคราวหน้ามาเยือนซาปาอีก ที่นี่ก็ยังเป็นตัวเลือกของเรานะ

ปล. Cosiana Hotel Sapa ห้องแบบ Family Suit ราคา 1,600 บ. พักได้ 4 ท่าน (สุดคุ้ม) จุดเด่น...วิวหน้าต่างที่สวยไม่แพ้ใคร จุดด้อย...พอดีได้ห้องที่น้ำไม่ไหลน่ะ

ปล. สำหรับบางท่าน การเปิดห้องพักอีกหนึ่งวันอาจไม่คุ้มเพราะได้ใช้ห้องไม่กี่ชั่วโมง สำหรับเราเปิดให้ผู้ใหญ่ได้พักผ่อนและอาบน้ำก่อนไปขึ้นรถไฟ ก็ถือว่าโอเคนะ

และไหนๆ ก็ออกมาเผชิญลมหนาว เดินจนขาแข็งแล้ว ก็เลยแวะนั่งจิบอะไรอุ่นๆ ที่ร้านหน้าโรงแรมนั่นเอง ทำความรู้จักกับเบียร์เวียดนาม สายพันธุ์ Ha Noi กับ Lao Cai และลิ้มรสเฟรนฟรายด์ที่คล้ายมันฝรั่งหวานๆ ชิ้นใหญ่ๆ เอาไปทอดจนอมน้ำมัน กินโยเกิร์ตฟรุ๊ตสลัดใส่น้ำแข็ง ท่ามกลางลมเย็นพัดแรงกับอุณหภูมิต่ำๆ คือ นั่งไปก็สั่นไปนะ


:: Check Out จาก Sapa Eden Hotel ตอน 10.00 น. นิดๆ ปรากฏว่าได้ทำความรู้จักกับ 'ฝน' แบบสนิทชิดเชื้อก็ตอนนี้

ล็อบบี้ขนัดแน่นไปด้วยแขกที่เช็คเอาท์ แต่ออกไปไหนไม่ได้ กับแขกชุดใหม่ที่รอเช็คอินแล้วยังเสริมมาด้วยพวก Trekking ที่เดินฝ่าสายฝนมารอกลุ่มกับไกด์ของตนที่นี่ ก็ไม่คิดเหมือนกันนะว่าฝนจะตกลงมาเรื่อยๆ จนเข้าชั่วโมงที่สอง

สิบห้านาทีแรก ถามพนักงานโรงแรมว่าฝนจะตกนานไหม? เธอยิ้มเก๋ๆ แล้วบอก...เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ ฝนตกๆ หยุดๆ คาดว่าแป๊บเดียวก็หยุด

เอิ่ม...แต่เสียงฝนจั้กๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จากพรำเป็นหนาตา ก็เลยออกไปไหนไม่ได้ แถวนั้นกลายเป็นที่นั่งๆ นอนๆ วางกระเป๋าเดินทางระเกะระกะ ส่วนมากก็นั่งเล่นมือถือรอ หลับแล้วหลับอีกหลายงีบ ก็ยังไม่มีวี่แววว่า 'ฝน' จะโบกมือลากันง่ายๆ พอมีจังหวะฝนซาลงตอนเที่ยง ก็เลยยืมร่มโรงแรมแล้วฝ่าฝนไปโรงแรม Cosiana

สำหรับนักเดินทางอาจพูดได้ว่า...ไม่ค่อยถูกกับฝนนัก ทำให้เสียเวลาแล้วยังเสี่ยงต่อกล้องชื้น ขึ้นราอีก ภาพที่ถ่ายก็ไม่ค่อยสวย โอย...สารพัดของความไม่ชอบเชียวล่ะ

แต่กับที่นี่ ฝนน่าจะเป็น เพื่อนสนิท คนคุ้นเคยที่ไปๆ มาๆ เข้านอกออกในเมืองซาปาจนไม่นึกเบื่อ อาจเพราะหลังฝนหยุดตก ฟ้าก็โปร่ง ทิ้งความชุ่มชื้นของหยดฝนที่เกาะอยู่ตามดอกใบ นาขั้นบันไดสีเขียวสด ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ที่เห็นว่าสวย สีสันจัดๆ ดึงดูดสายตาก็คงด้วย...เพื่อนสนิทคนนี้นี่แหละ

เราออกเดิน ไม่สิ! เรียกว่าวิ่งฝ่าฝนซะมากกว่า ไปโรงแรม Cosiana Hotel Sapa

เมื่อคืนมัดจำไปแล้วครึ่งหนึ่งด้วยเงิน dong (VND) ก่อนจ่ายลองคำนวนดูว่าระหว่าง USD กับ VND อย่างไหนถูกกว่า เนื่องจากแต่ละที่เรทไม่เท่ากัน พนักงานโรงแรมที่นี่พูดภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน ต้องต่อโทรศัพท์ให้คุยกับอีกคนหนึ่งจึงรู้เรื่อง และเพื่อหลีกเลี่ยงการสื่อสารผิดพลาดให้ขอรับใบเสร็จทั้งตอนมัดจำกับจ่ายครบแล้วไว้ด้วย


:: Cosiana Hotel Sapa คาดว่าเป็นโรงแรมระดับใกล้เคียงกับ Sapa Eden Hotel มีห้องพักเยอะกว่า ภายในห้องเครื่องเรือนครบ ทั้งทีวี ตู้ เตียงขนาดคิงส์ไซส์ 2 หลัง ชุดเก้าอี้นั่งกินกาแฟเล็กๆ ที่ปลายเตียง ชุดชากาแฟซองสำหรับ 4 คน มีเครื่องปรับอากาศด้วย (แต่แอร์ไม่เย็นนะ) ห้องน้ำแบบไม่แยกส่วนเปียก ส่วนแห้ง รวมๆ สภาพใช้ได้เลยล่ะ แต่พอออกมาชมวิวระเบียงเขานี่สิ ต้องบอกว่าที่นี่มีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้

โรงแรมตั้งอยู่บนถนนสายเล็กๆ ที่มีระเบียงติดกับวิวเขาอีกฝั่งหนึ่ง ใกล้ไปทางตัวเมืองซาปา ทำให้มองเห็นบ้านเรือนกับโรงแรมตั้งลดหลั่นในกรอบสายตา มุมที่ยืนเปิดกว้างให้เห็นเทือกเขาสูงที่เพิ่งบอกลาเม็ดฝน สีเขียวสดตัดกับสีสันของตึกรามขึ้นหนาแน่น และที่เห็นเป็นริ้วๆ เหนือยอดเขาเป็นหมอกที่กระจายตัวขึ้นสูง แต่ก็ยังไม่ได้หนีหายไปไหนไกล เดาว่าเพราะความกดอากาศหลังฝนตก ทำให้มีหมอกลอยเอื่อยๆ ตลอดทั้งวัน

...มองไปทุกทิศทุกทาง ซาปา ไม่แห้งแล้ง บ้านเรือน โรงแรมต่างแขวนห้อยกระถางดอกไม้จนดูชุ่มชื่นสายตา ดอกไม้ต้นไม้งอกงาม มีสีสดใส เติบโตได้แม้กระทั่งนอนตัวอยู่ตามพื้นดิน เกาะกำแพงอิฐ หรือแม้แต่ผนังบ้านที่ผู้คนอยู่อาศัย

เราผ่านมื้อเช้าไปแบบเร็วๆ เพราะมัวแต่สนใจหมอกซะมากกว่า หลังจากเก็บของที่ Cosiana Hotel Sapa ถ่ายรูปในมุมใหม่ครู่ใหญ่ ความหิวก็มาเยือน!!!

บ่ายสองโมงก็ออกไปหาอะไรกิน มันเป็นร้านอาหารที่อยู่ในแพลน ตามรีวีวบอกเล่าเรื่องรสชาติกับวิวเยี่ยมจนต้องไปลองสักครั้ง


:: Nature View Restaurant อยู่ห่างจาก Cosiana Hotel Sapa ไม่กี่บล็อคตึก เดินขึ้นตามทางลาดเป็นเนินไปนิดเดียว ร้านอยู่ขวามือฝั่งเดียวกับโรงแรม ตัวร้านมีสองชั้น ตกแต่งไว้ต่างกัน สังเกตว่าแขกส่วนใหญ่จะนั่งข้างล่างติดหน้าต่างทำให้มุมดีๆ ถูกจองไว้นั่งจิบเบียร์ของหนุ่มสาวชาวต่างชาติหมดแล้วก็เลยลองขึ้นไปนั่งชั้นบน

ที่นี่มีรายการอาหารให้เลือกเยอะเชียว เราสั่งพิซซ่าแบบแป้งหนานุ่ม เป็ดเชอรี่กระทะร้อน เนื้อกระทะร้อน ข้าวผัดกุ้ง (กินกุ้งเป็นมื้อแรก) และขาดไม่ได้ก็คือ ปอเปี๊ยะทอด (Spring Rolls) พวกกระทะร้อน ทานกับข้าวสวยร้อนๆ นี่สุดยอดนะ ก็ต้องสนับสนุนอย่างรีวิวของคนอื่นที่ว่า...มาถึง ซาปา ก็มาชิมสักครั้งเถอะ

ปล. เมนูที่สั่งมาได้รับการแนะนำจากพนักงานอีกที อร่อยทุกเมนู พนักงานพูดภาษาอังกฤษคล่อง ยิ้มแย้ม ส่วนราคาไม่แพงอย่างที่คิด หากวัดจากรสชาติกับวิวสวยๆ จนเจริญอาหาร ถือว่าคุ้มแล้วล่ะ

...อิ่มแล้ว!!!

แผนเที่ยวของวันนี้ ไม่ว่าจะไปไหนคือการเดินเท่านั้น ก็เลยเดินตามๆ กลุ่ม Trekking ที่ออกเดินโดยมีสาวม้งเกาะหนึบเป็นไกด์แบบตัวต่อตัว กับเวลาที่เหลืออยู่เราเลือกไป Cat Cat Village (อ่านว่า กั๊ตกั๊ต นะ) หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีอยู่ในรายการนำเที่ยวของทุก Agent ที่นี่น่าจะเป็นจุดหมายที่เหมาะกับเวลาที่มี

...ออกจากร้านอาหาร หาซื้อเสื้อกันฝนเผื่อไว้ ราคาตัวละ 40,000 VND คนละตัวทีนี้ก็พร้อมแล้ว ตอนนี้บ่ายสามโมงนิดๆ แล้วก็เริ่มเดินทาง เส้นทางไปหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตเป็นทางเดียวกับที่เดินย้อนไป Sapa Eden Hotel ก็เลยแวะคืนร่มแล้วไปต่อ ผ่านร้านเมื่อคืนที่นั่งจิบเบียร์นุ่มๆ ไม่รู้ทางหรอก เดินไปเรื่อยๆ เพราะเป็นถนนเดี่ยวๆ ไม่มีแยกให้หลงไปไหน

ระหว่างทางที่เดิน ผ่านบ้านพัก สวนผักเล็กๆ ที่ชาวบ้านปลูกไว้ริมไหล่เขา ห่างจากถนนไม่กี่เซนติเมตร มีโรงแรม โฮสเทลเล็กๆ ที่เปิดให้บริการอยู่รายทาง กับที่กำลังปลูกสร้างก็หลายหลัง ทางขวามือเป็นแนวกำแพงสูง เหนือขึ้นไปเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่ถูกรีวีวถึงบ่อยครั้ง อย่าง Sapa Summit Hotel มีชื่อเรื่องทำเลที่ตั้งกับวิวเขาสวยๆ


:: Cat Cat Village เดินมาพอเหนื่อยนิดๆ แต่ไม่ถึงกับหอบ อาจเพราะระหว่างทางที่ผ่าน มีวิวข้างทาง ทิวเขา เวิ้งนาขั้นบันไดกับฟ้าใสๆ ที่สร่างจากหมอกเป็นเพื่อน ลมก็ยังใจดีพัดวูบๆ มาปะทะหน้าให้สดชื่นเป็นครั้งเป็นคราว เดินมาครึ่งทางเห็นจะได้เจอร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึกตั้งประปรายตามไหล่เขา ใครเหนื่อยก็แว้บนั่งพักชมวิวได้เลย

เส้นทางไปยัง Cat Cat Village เป็นทางเดินลาดลงไปหาที่ราบเรื่อยๆ ปลายทางเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของคนในหมู่บ้าน ได้ยินว่ามีโรงแรมในหมู่บ้านด้วย ระหว่างที่เดินไปก็มีรถยนต์รับส่งนักท่องเที่ยวกันถึงโรงแรมในกั๊ตกั๊ต


จากระเบียงห้องอาหารของโรงแรม Sapa Eden มองเห็นอาคารหลังสีเหลืองไข่ไก่ หลังหนึ่ง อยู่ไกลๆ ยังไม่รู้หรอกว่าเป็นอาคารอะไรก็ได้แต่ตั้งคำถามว่าจะเดินไปถึงไหม? เมื่อเลือกเดินทางไปหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตก็พบว่า...อาคารหลังนั้น อยู่ในเส้นทางที่จะไป ก็เลยลองวางจุดหมายดูสักหน่อย ว่ามาคราวนี้จะเดินไปถึง 'ที่หมาย' หรือเปล่า?

ไป! ไปด้วยกัน :)

:: เกือบ 3 กิโลเมตร ทำให้รู้ว่าจุดหมายของเรา คือ Coffee View & Bar ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนเขา ท่ามกลางเวิ้งนาขั้นบันไดสุดลูกหูลูกตา ห่มหุ้มอยู่รอบๆ ด้วยทิวเขาสูงเสียดที่เมื่อวานเห็นอยู่แค่ไกลๆ นอกจากขุนเขาจะโอบรับหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตเอาไว้แล้ว ตอนนี้ 'เขา' ก็กำลังโอบกอดเราไว้ด้วย

จาก Coffee View & Bar เป็นถนนโค้งแบบหักศอกที่ลาดลงไปยังหมู่บ้าน ปักป้ายให้เห็นกันชัดเจนว่าข้างล่างนี่ล่ะ Cat Cat Village มีค่าเยี่ยมชมหมู่บ้านด้วยนะ

ปากทางเข้าสู่หมู่บ้าน เราเห็นบ้านเรือนหลังเล็กหลังน้อย นาขั้นบันได จัดสรรปันส่วนพื้นที่จนได้ภาพน่าจดจำ เวลาที่มีจำกัดทำให้กดภาพกันรัวและไม่ได้เข้าไปชมให้ถึงข้างใน ถ้ามีโอกาสมาเยือนครั้งหน้าจะไม่ใช่แค่ตรงนี้ แต่หวังจะเข้าถึงบรรยากาศในหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต และเลยไปถึงหมู่บ้านอื่นๆ ที่ต้อง Trekking จึงไปถึง

...บอกลากัน เมื่อเวลาเยี่ยมเข้าห้าโมงเย็น ขากลับไม่เหมือนขามา ทางที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ เปลี่ยนเป็นต้องเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ลมฝืดๆ เคลื่อนผ่านหน้า สดชื่นเหมือนเดิมแต่เหนื่อยกว่ากันเยอะ ตอนนี้ท้องเบาโหวง เอิ่ม...ไม่รู้ว่าพิซซ่า กับน้องเป็ดเชอรี่หายไปจากท้องตอนไหนหว่า

:: ขากลับ 3 กิโลเมตร เริ่มจากความเหนื่อยตามมาด้วยหิวโซ แวะร้านของชำ ขายเครื่องดื่มในตู้แช่กับขนมขบเคี้ยวคล้ายบ้านเรา ซื้อน้ำอัดลมกระป๋อง โยเกิร์ซกับขนมปังเอลเซ่ ตุนไว้กินบนรถไฟ


รถมินิแวนที่ติดต่อไว้กับทางโรงแรม Sapa Eden มารับหน้าที่พักตอน 19.00 น. เป็นรถเช่าแบบ Private เหมาคัน คันละ 30 USD คนขับสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ เขาพาเราออกจากย่านที่พัก ขับฝ่ารถที่ออกมาแล่นอยู่เต็มถนนแคบๆ กับนักท่องเที่ยวที่เดินถนนกันคึกคัก เห็นคนอื่นเขายังเดินดุ่มๆ ในเมืองซาปายิ่งทำให้ไม่นึกอยากกลับเลย ก็คงทำได้แค่...เฝ้ามองนักเดินทางคนอื่น ดื่มด่ำเสน่ห์ของค่ำคืนนี้แทนเรา

...เห็นทีต้องบอกลา ซาปา ตรงนี้แล้ว

:: เส้นทางซาปา - ลาวไก รถมินิแวนแล่นด้วยความเร็ว คล้ายๆ กับขามา น่าจะเป็นเพราะความชำนาญเส้นทางในการขับขึ้นเขา ต่างจากขามาตรงที่มองไม่เห็นภาพข้างทางแล้ว มีแต่เสียงบีบแตรสนั่นกับไฟหน้าที่เปิดจ้าเวลารถพ่วงสวนมา

หนึ่งชั่วโมงได้คนขับก็พามาถึง GA Lao Cai (สถานีลาวไก) เพียงแต่ไม่ได้จอดใกล้กับทางเข้าสถานีอย่างที่ควรต้องเป็น สงสัยอยู่นิดๆ ตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งมารอรับ เธอพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง แต่สอบถามเรื่องตั๋วรถไฟของเรา

เจ้าหน้าที่โรงแรม Prince II ในฮานอย จัดเตรียมตั๋วรถไฟให้แต่ให้เรามารับตั๋วขากลับได้ที่ Agent ฉะนั้นกระดาษที่อยู่ในซองเป็นแค่เอกสารที่ระบุเที่ยวเดินรถกับเบอร์โทรศัพท์ติดต่อซึ่งก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงที่เข้ามาทักจะใช่ Agent หรือเปล่า เธอคว้าเอกสารไปถือไว้บอกว่าจะจัดการให้แล้วพูดภาษาเวียดนามกับคนขับรถ เห็นว่าไม่น่าจะใช่ก็เลยดึงซองกลับมาแล้วเข้าไปในสถานี โทรไปตามเบอร์ที่มี แป๊บเดียว Agent เป็นผู้หญิงแต่งตัวสุภาพก็แสดงตัว แจ้งชื่อแล้วส่งตั๋วให้เรา

คิดอยู่ว่าถ้าให้ผู้หญิงคนแรกเอาไปจัดการ เธอก็คงโทรหา Agent แล้วเรียกเงินค่าจัดการ ก็ไม่ถึงกับโกงแต่ก็เป็นวิธีหาเงินของเขา อยู่ที่เราระวังและคิดให้ทันก็พอเนอะ


:: VN Train : Sapa - Lao Cai ตู้รถไฟหน้าตาเหมือนขบวนเดิมจอดรถอยู่ จะออกจากสถานีลาวไก มุ่งสู่สถานีฮานอย ตอนเวลา 21.10 น.

จากประสบการณ์ขึ้นรถไฟขามาทำให้เดินหารถไฟเองได้ไม่ยาก เดินไปตามชานชรายาวๆ เลยเห็นว่ามีรถไฟแบบอื่นๆ ที่เดินทางมา ซาปา ทั้งแบบที่ดีกว่า VN Train นิดหน่อยแต่ราคาก็คงแพงขึ้นด้วย เท่าที่เห็น...ขนาดตู้เท่ากัน แต่โคมไฟ สภาพตู้นอน หมอนผ้าห่มสะอาดสะอ้านกว่า กับแบบที่นั่งกันหลังขดหลังแข็ง เหมือนรถไฟบ้านเราซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม

คืนนี้ เราได้ตู้นอนที่สะอาดกว่าขามา แอร์เย็นกว่านิดหน่อย ทุกอย่างเป็นไปแบบเดิม เมื่อมีพ่อค้าแม่ค้ามาเคาะกระจกด้านนอกรถ คราวนี้อุดหนุนบะหมี่กึ่งสำเร็จบ้านเขา เลือกจากหน้าตา Packaging ก็แล้วกัน (กระป๋องละ 16,000 VND) จำไม่ได้ว่าเป็นรสไก่หรือเปล่านะ จากนั้นก็ใช้บริการน้ำร้อนบนรถไฟ มาม่าบ้านเขาไม่เข้มข้นนักผสมกับน้ำที่ยังไม่เดือดดี กลายเป็นมาม่าคัพกึ่งดิบ อร่อยไหม...อย่าถามเลยนะ

:: 13 Sep 2015

:: GA Ha Noi กลับมาเยือนสถานีรถไฟฮานอยอีกครั้ง ตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ฟ้าสว่างแล้ว เดินออกมาจะเจอแท็กซี่จอดเรียงกัน มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งคอยสอบถามว่าจะไปที่ไหน รถที่เรานั่งเป็นสีเขียว-ขาวอย่างที่ได้รับคำแนะนำเอาไว้ กางแผนที่ ชี้เส้นทางไปโรงแรมเลย เอาชัวร์ ตกลงค่าโดยสารที่ 4 USD ค่ะ

ปล. พนักงานขับรถแท็กซี่ แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย บางคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จะไปที่ไหนต้องเคลียร์กันให้ชัดเจนก่อนขึ้นรถ ใช้แผนที่ก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องไปวนหาเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็นเนาะ

ปล. จองโรงแรม Prince II ไว้ 1 คืนสำหรับวันนี้ในราคาประมาณ 600 บ. เราพักฮานอยหนึ่งคืนและเดินทางกลับไทยพรุ่งนี้เที่ยวบินเช้า

ปล. กรณีอยากกดเงินเพิ่ม เราลองใช้ตู้ ATM ของ HSBC อยู่ใกล้ๆ ที่พัก จำนวนเงินในบัญชีของเราจะขึ้นเป็นหน่วย dong (VND) อย่าไปคิดว่ามีมากขึ้นเป็นล้านๆ นะ ก่อนกดเงินให้คำนวนจากเงินบาทไทย ไปเป็นเงินเวียดนามแล้วกดตามจำนวนที่ต้องการ ตู้ของธนาคารอื่นก็อาจใช้ได้เหมือนกันนะ อันนี้ก็ต้องลองดู


ถึงโรงแรม Prince II ก่อนหกโมง โรงแรมยังไม่เปิดคนแถวนั้นช่วยเคาะเรียกเพราะมีพนักงานนอนเฝ้าอยู่ เขาลุกจากเตียงพับมาเปิดให้เลยขอฝากสัมภาระแล้วออกไปเดินสูดอากาศตอนเช้าของที่นี่ ในซอกซอยยังไม่จอแจนัก มีร้านค้ากับอาหารตั้งพร้อมขาย ผู้คนตื่นกันแต่เช้ายืนออกกำลังกายกันริมถนน บางคนก็ออกมาหาอะไรร้อนๆ รองท้อง 'เฝอ' ดูจะเป็นที่นิยมที่สุด ส่วนเราลองเข้าร้านแบบเวียดนาม สไตล์ Inter ดูบ้าง

:: King Cafe' Restaurant ขายพวก American Breakfast รสชาติอาหารกลางๆ แต่กาแฟนี่เข้มสุดยอด ลองสั่งแพนเค้กมะนาวมาชิม มันเป็นแผ่นแป้งบางๆ สีเหลืองสวย วิธีกินคือ...บีบมะนาวแล้วโรยน้ำตาลลงไปทั่วๆ อันนี้อร่อยดีนะ

บรรยากาศภายในร้านตกแต่งคงความเป็นเอกลักษณ์ ผสมกับลายเซ็นของนักเดินทางที่แวะเวียนมาใช้บริการ ก็ได้อารมณ์อินเตอร์อยู่นิดๆ

ร้านเล็กๆ อย่าง King Cafe' ทำให้เห็นว่าคนฮานอยก็คงต้องปรับเปลี่ยนทรรศนะ การดำรงชีพไปตามความเจริญที่วิ่งมาเคาะถึงหน้าประตู มองดีๆ แล้วด้านในก็คงเป็นที่นอน ด้านหลังเป็นครัว ที่พักที่ปรับมาเป็นร้านค้า ตอนเช้าขายอาหาร ตกบ่ายจนถึงค่ำกลายเป็นที่นั่งจิบเบียร์ชิวล์ๆ กันไป


:: Life in Vietnam วิถี...เวียดนาม

ความเปลี่ยนแปลงมาเยี่ยมเยือนในทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่บ้านเมืองเรา ไม่ว่าจะเป็นวิธีอยู่ วิธีกิน หรือวิธีการทำมาหาเลี้ยงชีพ ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยและอยู่ร่วมกันได้ เวียดนาม เองก็คงผ่านอะไรมามากมาย จากอดีตจนถึงทุกวันนี้ ความเจริญอาจกลบกลืนบางอย่างจนเลือนสิ้น หากบางวิถีก็ยังคงอยู่อย่างมีเสน่ห์ แบบไม่อาจลบเลือนได้เช่นกัน

เช้าๆ แบบนี้ เราได้เห็นผู้คนตื่นแต่เช้าออกมาทำมาหากิน บอกให้รู้ว่า 'ฮานอย' ตื่นแล้ว คนเฒ่าคนแก่กระจุกตัวตรงมุมถนน นั่งสนทนาอะไรบางอย่างด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ร้านรวงเปิดรับลูกค้า ทั้งที่แม่ค้ายังนั่งหั่นของสดอยู่หน้าร้าน ควันฉุยๆ ชวนน้ำลายสอแม้จะกินอาหารเช้ามาแล้ว จะว่าไปบางมุมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย บางเหลี่ยมมุมของสังคมกลับเคลื่อนไหวเรียบเรื่อย บางคนมีหน้าที่ก็ทำไป บางคนเดิน บางคนนั่ง ออกกำลังกาย บางคนนั่งจิบกาแฟหน้าร้าน คุยเรื่องสัพเพเหระแบบไม่เร่งร้อน

นี่หรือเปล่า ที่เขาเรียกว่า Slow Life in Vietnam


กว่าจะได้เช็คอินเข้าโรงแรมเป็นตอนสายๆ เลยถือโอกาสนี้เดินไปตามซอกซอยของ Hang Giay ดูวิถี...เวียดนาม ไปพลางๆ ผ่านหลายตรอกซอยเดินไม่เบื่อเพราะเป็นร้านค้าทั้งสิ้น เราค้นหา GPS เพื่อจะไป Dong Xuan Market หาซื้อของฝาก ระหว่างทางผ่านร้านขายกาแฟอยู่หลายร้าน น่าสนใจตรงที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้เล็กๆ สำหรับนั่งดื่มกันหน้าร้าน


:: Coffee Mission ถ้าไม่ได้ชิมกาแฟ ก็คงเหมือนมาไม่ถึง เวียดนาม ขากลับจาก Dong Xuan Market ก็เลยแวะกันตามประสงค์

หลังจากลองกาแฟของทุกร้านอาหารที่เดินเข้าไป ทั้งกาแฟซองโรงแรม กาแฟซองบนรถไฟ กาแฟชงของคุณลุง King Cafe' แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแวะร้านเมล็ดกาแฟแบบซื้อกลับ พิเศษตรงที่ถ้าสนใจซื้อกาแฟชนิดไหน เข้มน้อย เข้มมาก เขาก็จะชงให้ชิมกันเดี๋ยวนั้น ส่วนกาแฟขึ้นชื่อที่ถูกแนะนำเป็นกาแฟจากตัวเพียงพอน

ถูกแล้ว! เพียงพอน ไม่ใช่ พังพอน ก็คงน้องๆ กาแฟขี้ชะมดหรือขี้ช้างทำนองนั้น ได้ยินชื่อปุ๊บก็เสิร์ชหาหน้าตาเจ้าตัวเพียงพอนทันที ก็คล้ายๆ กับภาพกราฟิกที่ติดอยู่หน้าร้านนั่นแหละ

กาแฟที่ลองชิมแล้วถูกปากเป็นของ Highland ที่ชงร้อนๆ ใส่น้ำตาลนิดหน่อยก็กลมกล่อม วันนั้นชิมกันหลายแก้วยังไม่ทันตาแข็งก็สั่งเขาแพ็คห่อกลับไทย พร้อมกาแฟสำเร็จแบบซอง ยี่ห้อ G7 ที่เดี๋ยวนี้มีนำเข้ามาขายในไทยแล้ว

วิธีการแพ็คห่อน่าสนใจดี เลือกว่าจะเป็นแบบคั่วบดหรือเมล็ด ตักตามจำนวนกรัมใส่ซองแล้วรีดปิดผนึกเรียบร้อย ติดฉลากตบท้าย ก็ได้ของฝากกลับบ้านแล้วล่ะ

มีแรงเดินต่อเพราะกาแฟทีเดียว เดินไปเรื่อยๆ ผ่านวงเวียนโดยเลาะไปทาง Hoan Kiem Lake เข้าสู่ย่าน Phuong Hang Trong ซึ่งมีร้านค้า ร้านอาหารตลอดแนว ที่หมายของเราคือ ST.Joseph's Cathedral โบสถ์เก่าขึ้นชื่อของเมืองฮานอยค่ะ

และจุดสุดท้ายที่จะทำให้ Coffee Mission Completed ก็คือ จิบกาแฟที่ Highland Coffee Cafe' ซึ่งเป็นที่นิยมทั้งเรื่องรสชาติกับวิวที่มองลงมา ถูกใจเมนู Iced Caramel Machiato เข้มข้นและกลมกล่อม ราคาแก้วละ 59,000 VND ก็ใกล้เคียงบ้านเราอยู่นะ

:: Night Life in Ha Noi

นอกจากจะเคยแอบยกให้ 'ฮานอย เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมความวุ่นวาย...ล้านแปด' แล้ว วันนี้เรายกให้ฮานอย เป็นเมืองที่มีค่ำคืนสวยงามไม่แพ้เมืองอื่น

ในยามค่ำคืน 'ฮานอย' กลับมีชีวิตชีวา ก็เหมือนกับ 'เสน่ห์...ที่ไม่มีวันหลับใหลของเวียดนาม' อย่างไรอย่างนั้น


คืนสุดท้ายใน Ha Noi กับมื้อสุดท้ายที่นี่ ร้านอาหารที่เลือกตั้งอยู่ริม Hoan Kiem Lake จุดเด่นอยู่ที่บรรยากาศของการกินมื้อค่ำท่ามกลางแสงไฟยามราตรี และไฟที่สะท้อนระยิบระยับกับผิวน้ำ ประกอบกับอาหารหน้าตาน่ากิน รสชาติก็ใช้ได้ มองไปรอบข้างมีคนนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศ จิบเบียร์ไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็สุขดีเหมือนกันนะ

:: 14 Sep 2015

พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ นัดรถแท็กซี่ที่ติดต่อผ่านโรงแรมให้มารับก่อนตีห้า ไปส่งสนามบิน Noi Bai เดินทางกลับไทยด้วยสายการบินเดิม เที่ยวบิน 9.00 น. ก็คงต้องบอกลากันเสียตั้งแต่คืนนี้ ด้วยภาพที่มองเมื่อไหร่ ก็จะทำให้เห็น Ha Noi ได้ชัดเจนเสียทุกครั้งไป...


ช่วงเวลาสั้นๆ ใน เวียดนาม เพียง 5 วัน 4 คืน เป็นมากกว่าการเดินทางไปยังสถานที่สักแห่ง มากกว่าความสนุกจากการได้ท่องเที่ยว มากกว่าการเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนหน้าผู้คนที่เดินผ่านไปมา หรือแค่เปลี่ยนภาษาที่พูด ไม่ใช่แค่นั้นหรอก แต่เป็นการพบเจอ 'ปลายทาง' ที่รอสร้างภาพ 'ประสบการณ์' ที่เราจะไม่มีทางลืม

ขอบคุณ...ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันค่ะ :)


ย้อนอ่านบันทึกเดินทาง Vietnam Trip : Ha Noi - Sapa ตอน 2 ได้ที่นี่เล้ย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกระทู้ และฝากติดตามการเดินทางครั้งหน้า

:: หากเราเป็นคนชอบเที่ยวเหมือนๆ กัน แวะพูดคุย แบ่งปันและแชร์เรื่องเที่ยวด้วยกันได้ ที่เพจ MINDJourney ของเราเอง :)

แวะไปที่ https://www.facebook.com/MINDJourney-938862986136331/ ได้เลยค่า

GOOD BYE , VIETNAM

GO OUT THERE

 วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.17 น.

ความคิดเห็น