ทริปนี้เราเริ่มจากกทม. ช่วงสายๆของวันเสาร์ (ประมาณเก้าโมงเช้า)

เดิมแพลนจะแวะกันหลายที่ และจะออกแต่เช้า แต่ในความเป็นจริงก็ออกสาย (เหมือนเคย) และกลัวว่ารถจะติด คนอาจจะเยอะ และอาจจะไปได้แค่ไม่กี่ที่

แต่หลังจบทริปเราก็ค้นพบว่า เราได้แวะทุกที่ที่อยากแวะ กินทุกอย่างที่อยากกิน และกลับถึงเมืองกรุงอย่างปลอดภัยในเวลาที่ไม่ดึก (มาก) (ได้อย่างไรกัน!!)

ทริปนี้ไม่ใช่ทริปตามรอยละคร (แต่เราดันแพลนไปกันช่วงนี้เค้าฮิตกันพอดี) ไม่ใช่ทริปสายตะลุยกิน เป็นแค่ทริปของคนที่มีเวลาแค่หนึ่งวันแต่อยากไปทำ ไปดู หลายๆอย่างที่อยุธยา

เราไปกันด้วยรถยนต์ส่วนตัว ที่แรกที่เราจะแวะคือ "พระราชวังบางปะอิน" เราไปถึงในเวลาประมาณเก้าโมงครึ่ง ซึ่งเป็นฤกษ์งามยามดี เพราะคนและคณะทัวร์ทั้งไทยและนานาชาติ ยังมาไม่ถึงกันมากนัก สถานที่ภายในสวยงามยิ่งนัก และข้อดีอีกอย่างของการมาก่อนคณะทัวร์คือ สามารถเลือกมุมถ่ายรูปที่ต้องการโดยไม่ติดหมู่มหาชนเป็น background



สะพานตุ๊กตา



พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน

เราเดินตามแผ่นพับที่ได้มา ตอนแรกคิดว่าเส้นทางที่จะต้องเดินนั้นร่วมกิโลเป็นแน่แท้ อีกทั้งแดดเริ่มร้อน ทุกคนเลยเริ่มหันเหที่จะไปเช่ารถกอล์ฟ แต่ด้วยความงกจึงคิดว่ายังไงก็คงไหว การเดินจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แล้วก็พบว่าเราคิดไม่ผิดที่เลือกเดิน เพราะนอกจากจะประหยัดแล้ว เรายังสามารถเดินไปได้ในทุกเส้นทางที่เราอยากไป อาคาร พระที่นั่งต่างๆล้วนวิจิตรงดงาม เส้นทางไม่ได้ไกลอย่างที่คิด

จุดหมายต่อไปคือ "ตลาดโก้งโค้ง"

ตอนแรกนั้นเราคิดว่าจะแวะแบบผ่านๆ ถ้าไม่ค่อยมีอะไรก็จะเดินไม่นาน แต่พอได้ไปเดินไปจริงๆ ก็ถูกบรรดาของกินต่างๆมากมายมาล่อตาล่อใจ จนแทบจะแวะทุกร้านที่ผ่านเลยทีเดียว ความเก๋ของที่นี่คือ นอกจากพ่อค้าแม่ค้าจะพร้อมใจกันแต่งชุดไทย ให้ฟีลอนุรักษ์แล้ว ของที่ขายยังเป็นขนม ของกินแบบไทยๆ พร้อมคำกลอนติดหน้าร้าน บรรยายสรรพคุณชวนรับประทาน ชวนให้ซื้อหา หากใครมีโอกาสแวะไป นอกจากอุดหนุนสินค้าแล้ว อย่าลืมสังเกตบทกลอนของแต่ละร้าน การบรรยายความคิดที่มาของอาหาร ทำให้เรา(แอบ) รู้สึกว่ารสชาตอาหารอร่อยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เพราะความตั้งใจที่จะขายและอนุรักษ์ภูมิปัญญาของพ่อค้าแม่ขายในตลาดแห่งนี้



หลังจากอิ่มหนำสำราญจนแทบจะกินมื้อเที่ยงไม่ไหว (แต่เราก็ยังไปกินอยู่ดี โปรดติดตาม) ก็เดินทางต่อ แวะชมหมู่บ้านญี่ปุ่น และหมู่บ้านโปรตุเกส ทั้งสองหมู่บ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกันของแม่น้ำเจ้าพระยา เราเริ่มกันที่หมู่บ้านญี่ปุ่น ด้านในมีสองอาคาร จัดแสดงประวัติความเป็นมา ความสัมพันธ์ของไทย-ญี่ปุ่นตั้งแต่อยุธยาจนถึงปัจจุบัน มีทั้งนิทรรศการ วีดีทรรศน์ ส่วนอีกอาคารแสดงประวัติของคนญี่ปุ่นที่มีความสำคัญในยุคสมัยนั้น คือ ยามาดา นางามาสะ และท้าวทองกีบม้า ระหว่างการเยี่ยมชม เราก็พบเห็นผู้คนใส่ชุดไทยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ให้ความรู้สึกเข้ากับบรรยากาศไทยๆเป็นยิ่งนัก

แม้เราจะอิ่มกันมาประมาณหนึ่งจากตลาดโก้งโค้งแล้วก็ตาม เราก็ยังคงแพลนเดิม แวะกินข้าวเที่ยงกันที่ The Summer House หนึ่งในร้านอาหารยอดนิยมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนาดเรามาถึงกันเกือบบ่ายสอง แต่ผู้คนก็ยังแน่นขนัดเต็มร้าน รสชาติดีสมคำร่ำลือในอินเตอร์เนต อาหารหมดลงอย่างรวดเร็วจนถ่ายรูปไม่ทัน T_T

หลังจากแวะสถานที่ท่องเที่ยวนอกตัวเมืองกันมาพอประมาณ เราก็ขับรถมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา โดยมีจุดหมายอยู่ที่ "วัดมหาธาตุ"

ยามบ่ายคล้อย แต่แสงแดดยังคงร้อนแรง ผู้คนยังมากมาย ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ ส่วนหนึ่งแต่งกายชุดไทย เข้ากับบรรยากาศโบราณสถานที่เป็นภาพฉากหลังเป็นยิ่งนัก

เราแวะถ่ายภาพตามมุมต่างๆ แต่ก็ต้องหยุดพักใต้ร่มไม้เป็นระยะๆเนื่องจากแสงแดดของเดือนมีนาคมที่ยังคงร้อนระอุ แต่ภาพที่ได้ก็ออกมาดูดีทีเดียว ตัดกันกับฉากหลังท้องฟ้าสีฟ้าใส



บรรยากาศภายในวัด




แล้วก็มาถึง hightlight เศียรพระพุทธรูปในรากไม้ เราแอบสังเกตว่ามีป้ายเขียนบอกไว้ให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายภาพร่วมกับเศียรพระพุทธรูป แสดงความเคารพโดยการนั่งถ่ายภาพ ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติก็ดูจะให้ความร่วมมือดีทีเดียว

หลังจากฝ่าฟันแดดร้อนระอุของเมืองไทยร่วมชั่วโมง เราก็หาที่นั่งแวะพักจิบกาแฟ เพื่อพักขา พักกาย และตากแอร์ ขับรถวนไปเวียนมาตาม GPS ท้ายที่สุดจึงมาลงเอยที่ร้านนี้ Silp-pa Cafe (สิปปะ คาเฟ่) ร้านที่มีกลิ่นอายทั้งความ modern บวกกับความเป็นไทยได้อย่างลงตัว ตัวร้านอยู่ในซอยหลบจากถนนใหญ่ ตัวอาคารเป็นแบบสมัยใหม่ ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย มีทั้งโซนติดแอร์และแอร์ธรรมชาติ (ซึ่งแน่นอนโซนติดแอร์เป็นคำตอบที่เราต้องการ) ขนมนมเนยน่าตาน่าทาน มีทั้งขนมไทยที่ประยุกต์ให้ดูอินเทรนด์ และเครื่องดื่มที่มีทั้งแบบตะวันตกและไทยๆ

(และเราก็จัดการอาหารทุกอย่างบนโต๊ะกันอย่างรวดเร็วจนลืมถ่ายรูปอีกตามเคย ไว้คราวหน้าแล้วกัน!)

หลังจากทุกคนอิ่มมาก เราก็หาที่ไปแวะต่อ จนรถมาติดอยู่หน้าทางเข้าวังช้างอยุธยา แลเพนียด และเราก็ตัดสินใจกันเดี๋ยวนั้นว่า "แวะกัน ไปลองขี่ช้างดู" แล้วเราก็ได้ชมวิวจากมุมสูงบนหลังช้างกันสมใจ แม้ว่าจะมีความโคลงเคลงไปมา(มาก) ก็ตาม :)

(ตอนท้าย เราแอบเห็นmoment พี่ช้างกับควาญช้างเลิกงาน เดินเกี่ยวก้อยกันกลับบ้าน ให้ความรู้สึกพนักงาน office ตอนเลิกงานยังไงยังงั้นเลย)


เป้าหมายสุดท้ายของเราอยู่ที่กุ้งเผา แต่ระหว่างทางเราก็โดนดึงดูดด้วยป้าย "ตลาดกรุงศรี" ที่ประดับตกแต่งด้วย ไฟ และสุ่มไก่ ซึ่งดูเก๋แปลกตายิ่งนัก พวกเราตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่า "แวะ" โดยพร้อมเพรียง โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปหาซื้อสายไหมไปฝากคนที่บ้าน แต่หลังจากนั้นถึงแม้เราจะเจอสายไหมแล้ว แต่เราก็แวะซื้อโน่นนี่จนเต็มสองมือ และเดินไปกินไปตลอดทาง


เด็กน้อยสามคน แต่งกายนักรบ ยืนเต๊ะท่าให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป ดูท่าจะได้รับความนิยมไม่น้อย



เป็นเวลาทุ่มครึ่งที่เรามาถึงร้านกุ้งเพื่อนแพรว แม้ทุกคนจะอิ่มกันมาก แต่คิดว่ายังไหว เพราะถ้าพลาด อาจจะถูกครหาได้ว่ามาไม่ถึงอยุธยา เพราะยังไม่มีกุ้งเผาตกถึงท้อง ใช้เวลาไม่นาน กุ้งทุกตัวถูกจัดการเรียบ กุ้งอร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ

ออกจากกรุงเทพ-อยุธยา-กรุงเทพ นับได้ 12 ชม.พอดิบพอดี เป็นเวลาไม่นานนัก แต่ก็คิดว่าทริปนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี บรรลุวัตถุประสงค์ของผู้ร่วมทริปทุกประการ ได้แวะในที่ๆอยากแวะ (แต่ไม่ใช่ทัวร์ชะโงก) ได้กินในสิ่งที่อยากกิน

มีโอกาสเราจะแวะมาหาใหม่นะ อยุธยา :))




Every Littlepieces

 วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 16.14 น.

ความคิดเห็น