.. ‘น่าน’ เป็นหนึ่งจังหวัดทางภาคเหนือที่มาแรงในช่วงหน้าฝน
แต่ทริปนี้เราจะพาทุกคนมาชม ‘น่าน’ ในช่วงหน้าหนาวกัน ..

น่าน’ เป็นจังหวัดที่มากด้วยอุทยานแห่งชาติจังหวัดจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย เป็นจังหวัดที่เที่ยวง่าย ผู้คนน่ารัก ทรัพยากรทางธรรมชาติก็สวยงาม ไม่แปลกเลยที่ใครๆจะหลงรักและเลือกเดินทางมายังจังหวัดนี้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหลงเสน่ห์เมืองน่านกันแบบชิลล์ๆ เวลาแค่ 3 วัน จะท่องเที่ยวทั่วน่านได้ขนาดไหนกัน ? เรามาลองพิสูจน์กัน ..

Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปน่าน 3 วัน 2 คืน

Day 1 : ออกเดินทางจากกรุงเทพ > ตัวเมืองน่าน

Day 2 : ตัวเมืองน่าน > อำเภอบ่อเกลือ > อำเภอปัว > ดอยเสมอดาว

Day 3 : ดอยเสมอดาว > ตัวเมืองน่าน > เดินทางกลับ


วันแรกของการเดินทาง : 6 พฤศจิกายน 2560

เราเริ่มเดินทางกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แต่ดูเหมือนเราจะกะเวลาออกผิดไปเยอะเลย เรามาถึงสนามบินดอนเมืองราวๆตี 5 เห็นจะได้ .. นั่งจิบกาแฟที่ Gate ไปพลางๆ ปาไป 2 ชั่วโมง จะรีบตื่นมาทำไมเนี่ย ~

ครั้งนี้ ขาไปเราโดยสารเครื่องบินสายการบิน Air Asia บินตรงสู่สนามบินน่านนครเลยค่ะ .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 7.30 น. ไปถึงสนามบินน่านนครเวลา 8.40 น. ค่ะ .. ส่วนนี่ ขออวดวิวจากตำแหน่งที่นั่ง 22F กันสักหน่อย

ในที่สุดเราก็เดินทางมาสู่สนามบินน่านนครเป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ (ปรบมือ) .. พอลงเครื่องปุ๊บผิวหนังก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่มาปะทะร่างกายแต่ยังไม่ถึงกับหนาวสักเท่าไหร่ พอรับไหวๆ ^__^

จากสนามบินน่านนครจะเข้าสู่ตัวเมืองมีหลายวิธีค่ะ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเช่ารถขับมากกว่าเพราะมันสะดวกดี ที่น่านมีหลายบริษัท อย่างที่สนามบินก็มีให้เช่านะ แต่เราเลือกเช่าของคนในพื้นที่ซึ่งเราจองรถไว้ในช่วงบ่าย เราจึงเข้าเมืองด้วยรถแท็กซี่แทน หรือใครจะนั่งรถสองแถวก็ได้นะ มีให้บริการเช่นกัน .. แท๊กซี่ที่นี่จะเป็นราคาเหมา เหมาออกจากสนามบินเข้าเมือง จะราคา 100 บาท มาหลายคนก็คุ้มอยู่นะ ลองพิจารณากันดูจ้า ~ เริ่มแรกเราจะต้องเอาของไปเก็บที่ที่พักกันเสียก่อน เป้าหมายที่พักของเราอยู่ที่ โรงแรมเดอน่าน(De nan Hotel)

โรงแรมเดอน่าน (De nan Hotel) หรือคนในพื้นที่จะรู้จักกันในนามโรงแรมใจผาสุก แต่เนื่องจากเปลี่ยนเจ้าของจึงกลายมาเป็นโรงแรมเดอน่านในปัจจุบัน .. การตกแต่งเป็นสไตล์มินิมอลและลอฟต์ มีทั้งหมด 12 ห้อง พร้อมด้วย wifi, ทีวี, ตู้เย็น, เครื่องทำน้ำอุ่น, ที่จอดรถ และอาหารเช้า (ขนมปัง ชา กาแฟ) อยู่ห่างจากสนามบิน 2 กม. และห่างจากตัวเมือง 3.4 กม.

ห้องเราเป็นห้องดีลักซ์เตียงใหญ่ (28 ตร.ม.) ราคาห้องพัก 690 บาท/คืน (ราคาเดือนพฤศจิกายน)

หลังจากที่เราเก็บของเรียบร้อย เราออกไปตะลุยตัวเมืองน่านกันดีกว่าค่ะ .. เราเดินออกมาขึ้นรถสองแถวหน้า รพ.น่าน ราคาคนละ 15 บาท .. จุดหมายที่เราจะไปตั้งต้นกันก็คือ .. ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ..

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจะอยู่ใกล้ๆกับร้าน Cafe Amezon .. เราสามารถขอคำแนะนำหรือแผนที่เที่ยวของเมืองน่านได้ตรงจุดนี้ และทางศูนย์ฯก็มีบริการรถรางพาชมตัวเมือง รอบและเวลา ตามนี้เลยจ้า ..

เริ่มต้นดีท้องต้องอิ่มก่อน มื้อแรกของที่นี่ เราตามรีวิวมาที่ ร้านข้าวซอยต้นน้ำ ร้านตั้งอยู่ใกล้กับวัดมิ่งเมือง (ศาลหลักเมืองน่าน) ดูจากชื่อร้านก็บอกแล้วว่าอาหารจานเด็ดคือ ข้าวซอย มีทั้งไก่และเนื้อ หรือใครจะกินแบบไก่+เนื้อ ก็จัดให้ได้ เสิร์ฟมากับเครื่องเคียง ผักกาดดอง หอมแดง และมะนาว .. เอกลักษณ์ของทางร้านอยู่ที่ ‘น้ำแกง’ น้ำแกงจะใส ใส่กระทิไม่มาก รสชาติกลางๆ กลมกล่อม อร่อยค่ะ ไม่เลี่ยนและกลิ่นเครื่องเทศไม่แรงจนเกินไป นอกจากข้าวซอยแล้ว ยังมีก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น เกาเหลาน้ำเงี้ยว ข้าวหมูแดง ฯลฯ ให้เลือกทานด้วยนะคะ

จุด checkpoint แรกของเรา ถ้าใครมาเที่ยวน่านแล้วไม่ได้มาที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึงเลยนะคะ นั่นคือ วัดภูมินทร์ .. วัดนี้เดิมชื่อ ‘วัดพรหมมินทร์’ เป็นวัดหลวง ทางกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวิหารวัดภูมินทร์เป็นโบราณสถานแห่งชาติ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 องค์หันพระพักตร์ออกด้านประตูทั้ง 4 ทิศ และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังปู่ม่าย่าม่านที่ขึ้นชื่อ ‘กระซิบรักบรรลือโลก’ แปลคำกระซิบได้ว่า “ความรักของพี่นี้จะฝากไว้ในน้ำก็กลัวน้องจะหนาว หากจะฝากน้องไว้บนอากาศกลางหาวก็กลัวเมฆหมอกจะบังความรักของพี่เสีย หากจะฝากน้องไว้ในคุ้มในข่วงก็กลัวเจ้าเมืองมาเจอจะแย่งน้องของพี่ไป จึงฝากไว้ในอกในใจของชายพี่นี้ให้มันร่ำร้องรำพี้รำพันให้มันอาลัยหา ยามหลับแลสะดุ้งตื่นก็ไม่หายคลายคิดถึง” ..

วัดนี้พระอุโบสถกับพระวิหารจะรวมอยู่ด้วยกันซึ่งแตกต่างจากวัดทางเหนืออื่นๆ และเทินอยู่บนพญานาคทั้ง 2 ตัว หัวจะอยู่ทิศเหนือหางจะอยู่ทิศใต้ พญานาควัดนี้จะแปลกกว่าวัดอื่น คือ มีตัวผู้กับตัวเมีย สังเกตได้ที่เครา ถ้าเครายาวคือตัวผู้ และวัดภูมินทร์เป็นวัดต่างจังหวัดเพียงวัดเดียวที่ได้ลงธนบัตร 1 บาท ร.8 .. ถ้ามาในช่วงสุดสัปดาห์บริเวณหน้าวัดภูมินทร์จะมีถนนคนเดิน และลานขันโตกด้วยค่ะ

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์อยู่อีกฟากของหัวมุมถนนนี้เอง .. วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร .. วัดนี้เดิมชื่อ วัดหลวงกลางเวียง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี สูง 145 ซม. ประดิษฐานอยู่ที่หอพระไตรปิฎกใหญ่ที่สุดในประเทศ

เรามีนัดรับรถกันที่นี่ด้วยคะ เราจองรถของ หจก.ชัย เร้นท์อะคาร์ เช่า Toyota All New Vios วันละ 1,000 บาท มีมัดจำการจอง 500 บาท ส่วนที่เหลือจ่ายวันรับรถค่ะ มีบริการรับ-ส่งรถที่สนามบิน บขส. ที่ต่างๆในตัวเมืองน่านฟรี ใช้เอกสารแค่บัตรประชาชนและใบขับขี่รถยนต์ .. การคิดวงรอบการเช่า 24 ชม. คิดเป็น 1 วัน หากเกิน 3 ชม.แรกจะแถมให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม หลังจากนั้นจะคิดชม.ละ 100 บาท หากเกิน 3 ชม.อีกคิดเป็นอีก 1 วัน หากสนใจสามารถติดต่อได้ที่ line : Khaeg-ty , www.chairentacar.com , Tel. 088-268-6495(แขก) หรือ 085-694-8720(ชัย)

อีกหนึ่งสถานที่อยู่ไม่ไกลอีกเช่นกัน นั่นคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ที่แห่งนี้เรียกได้ว่า เป็น Signature อีก 1 จุดของจังหวัดน่านที่เมื่อมาถึงแล้วต้องมาถ่ายภาพกับซุ้มต้นดอกลีลาวดี ที่ขึ้นเป็นแถวเรียงรายแผ่ขยายกิ่งก้านโค้งโน้มเอียงเข้าหากันกลายเป็นอุโมงค์ต้นไม้ยิ่งใหญ่สวยงาม

บริเวณพิพิธภัณฑ์ฯ ยังเป็นที่ตั้งของโบราณสถานวัดน้อย วัดที่ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย

เสร็จจากจุดนี้ เราไปกันต่อที่ วัดหัวข่วง เป็นวัดสำคัญอีกวัดหนึ่งในเมืองน่าน ได้ถูกประกาศเป็นโบราณสถานของชาติโดยกรมศิลปากรเมื่อปี พ.ศ. 2533 .. เป็นวัดที่องค์พระประธานเบี่ยงมาทางซ้าย เพราะว่า พระประธานวัดภูมินทร์และพระประธานวัดหัวข่วงหันหน้าประชันกันอยู่ ทำให้ชาวบ้านมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันในอดีต วัดหัวข่วงจึงยอมขยับพระประธานมาทางซ้าย ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านก็อยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เราขยับออกมาบ้าง เราพามาชมความงดงามของ วัดศรีพันต้น เป็นวัดที่มีวิหารที่สวยงาม ตั้งเด่นเป็นสง่ามีสีทองระยิบระยับ เป็นอีกวัดหนึ่งในจังหวัดน่านที่มีจิตรกรรมปูนปั้นที่สวยงามโดยเฉพาะพญานาคเจ็ดเศียรเฝ้าบันได

วัดพญาภู เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธปฏิมา พระประธานองค์ใหญ่ที่สุดของจังหวัดน่าน นอกจากนี้ยังมีภาพไม้จำหลักทวารบาลรูปยักษ์ที่บานประตูวิหารหลวงอีกด้วย

พระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวน่าน เป็นพระธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ คนเกิดปีเถาะอย่าลืมมานมัสการกันให้ได้น๊าาาา ~

วัดพญาวัด เป็นวัดที่จะถึงก่อนวัดพระธาตุเขาน้อย ถ้าจะไปวัดพระธาตุเขาน้อย แนะนำให้มาไหว้พระที่วัดพญาวัดก่อนเลย .. ในพระอุโบสถประดิษฐาน ‘พระเจ้าฝนแสนห่า’ และ ‘พระเจ้าในโขง’ เป็นพระประธานในอุโบสถ และมีพระธาตุจามเทวี เป็นทรงซุ้มสี่เหลี่ยมซ้อนกัน 5 ชั้น ก่อสร้างด้วยศิลาแลง เป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ และสำคัญแห่งหนี่งของจังหวัดน่าน

ที่ต่อไปเราต้องทำเวลากันสักหน่อย เพราะ ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เราจะต้องไปให้ทันพระอาทิตย์ตกดินให้ได้! .. วัดพระธาตุเขาน้อย .. แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ Timelapse พระอาทิตย์ตกค่ะ เพราะอะไรรู้ไหม? ด้วยความที่เรารีบจัดกลัวไม่ทัน เรารีบตรงดิ่งไปที่จุดชมวิวของพระธาตุเขาน้อย จนลืมเช็คว่าตรงที่เราไปตั้งกล้องนั้นเป็นทิศตะวันออก แป่ว~ จะรีบเพื่อ!!

มาสาระกันบ้างดีฟ่า ~ วัดพระธาตุเขาน้อย สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่านเลยค่ะ ตรงจุดชมวิวเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร สร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลที่รัชกาลที่ 9 พระชนมพรรษาครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 .. สามารถนำรถขับขึ้นมาได้ (ขับรถไม่แข็งไม่แนะนำนะ ทางค่อนข้างลาดชัน เพราะ วัดตั้งอยู่บนยอดเขา) แต่ถ้าใครใคร่จะทดสอบกำลังขา หน้าวัดก็มีบันไดนาคให้ขึ้นจำนวน 303 ขั้นได้นะ อิอิ

หนึ่งวันของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ค่ะ เราต้องแวะไปเติมพลังกันสักหน่อย เราเปิด wongnai เพื่อหาร้านอาหาร เราปักหมุดไปที่ ครัวกาสะลอง ด้วยความที่อยากได้อารมณ์กินมื้อค่ำริมแม่น้ำน่าน อาหารราคาไม่แพง เสพบรรยากาศได้ ครัวกาสะลองตอบโจทย์ในสิ่งที่เราต้องการ .. มื้อนี้เราโดนค่าเสียหายไปทั้งหมด 410 บาท

กินคาวไม่กินหวานสันดารไพร่ .. เรามาตบท้ายของหวานขึ้นชื่อที่เมืองน่านกันสักหน่อย อีกหนึ่งร้านเด็ดที่ควรมาลิ้มลองความอร่อย ร้านของหวานป้านิ่ม .. เดิมอยู่ตรงข้ามวัดศรีพันต้น แต่ตอนนี้ย้ายร้านแล้วนะคะ ใครไปไม่ถูก Google Map ได้เลยค่ะ พิมพ์ว่า ‘ร้านป้านิ่มสาขาใหม่’

ร้านของหวานป้านิ่มเปิดเวลา 11.00 น. - 22.30 น. หยุดทุกวันพุธ แต่ถ้าใครอยากมาทานบัวลอยต้องมาหลัง 6 โมงเย็นเน้อ !

ป้านิ่มเล่าให้ฟังถึงสาเหตุที่ย้ายร้าน เพราะว่า ป้านิ่มไม่อยากเสียค่าเช่า ร้านใหม่เป็นพื้นที่บ้านของป้านิ่มเอง เลยตัดสินใจย้ายร้าน

ไอติมบัวลอย .. เราชอบมากๆเลย ไม่คิดว่าบัวลอยจะเข้ากับไอติมได้อย่างลงตัวมากๆ

บัวลอยไข่หวาน .. ใครไม่ทานไอติม ก็มีขนมหวานอื่นๆให้ทานนะ ลองมาทานกันดูค่ะ

สำหรับการเดินทางของเราในวันนี้ก็สิ้นสุดลง .. พรุ่งนี้ เราจะมาลุยกันต่อ รับรองเลยว่า สุดๆของที่สุดเลย น่านเหนือสู่น่านใต้ เราจะไปไหนมาติดตามต่อในวันที่สองนะคะ จุ๊บๆ


วันที่สองของการเดินทาง : 7 พฤศจิกายน 2560

เช้านี้เราเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง กำหนดการของวันนี้ คือ checkout จากโรงแรมมุ่งหน้าสู่อำเภอบ่อเกลือ-ปัว จากนั้นตีรถลงมาเป้าหมายสุดท้ายเราจะไปนอนเต็นท์กันที่ดอยเสมอดาว ดูจากแผนที่แล้ววันนี้เราขับรถมาราธอนมากค่ะ .. เริ่มต้นด้วยเราใช้เส้นทาง อ.สันติสุข-อ.บ่อเกลือ ค่ะ จากการสอบถามมาขาขึ้นใช้เส้นทางนี้ดีกว่า ถ้าเราใช้อีกเส้นนึงขับขึ้นจะอันตรายกว่า แต่ไม่ว่าจะใช้เส้นทางไหนควรขับรถระมัดระวัง และนอนให้พอ ดีที่สุดค่ะ ..

เรามาถึงอำเภอบ่อเกลือประมาณ 7 โมงเช้า (เช้าไปไหม - -?) .. จุดหมายแรกของวันนี้ เราเริ่มที่ บ่อเกลือสินเธาว์ เราดั้นด้นจะมาที่นี่ให้ได้เพียงเพราะอยากเห็นบ่อน้ำเกลือที่หมู่บ้านที่ใช้ผลิต “เกลือสินเธาว์” เกลือภูเขาที่มีเพียงแห่งเดียวในโลกที่มีอายุมากว่า 100 ปี .. ตอนเราไปเราเจอคุณลุงกำลังทำงานอยู่คนเดียว คุณลุงบอกว่า เช้าๆคนอื่นๆจะไปทำนากันก่อน จะเข้ามาต้มเกลือตอนสายๆหน่อย (นี่เรามาเช้าไปรึเนี่ย ฮ่าๆ) .. ชาวบ้านที่นี่ยังคงใช้วิธีการต้มเกลือแบบดั้งเดิม และการต้มเกลือมีให้ชมกันตลอดทั้งปี ยกเว้นช่วงเข้าพรรษา .. ใครแวะไปเที่ยวก็อย่าลืมซื้อเกลือกลับสักถุงสองถุงเป็นของฝากกันนะ นอกจากนี้ยังได้มีการนำแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เกลือสปาขัดผิว เกลือแช่เท้า ให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อหากลับบ้านกันด้วย

เรามาแวะทานมื้อเช้าตรงปากทางเข้าหมู่บ้านเป็นเพิงธรรมดาๆ ราคาชาวบ้าน แต่อร่อยใช่ได้เลยค่ะ .. ต่อจากนั้นเรามุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติขุนน่าน .. มาทั้งทีถ่ายกะป้ายซะหน่อย เดี๋ยวจะว่าๆมาไม่ถึง อิอิ

สำหรับเราการที่มาเที่ยวน่านครั้งนี้ เรามี Target ด้วยค่ะ คือ การล่าตราประทับ อช. การได้มาซึ่งตราประทับ อช. ในแต่ละแห่งของประเทศไทยนั้น มันมีคุณค่าทางจิตใจจริงๆนะ (เป็นความภูมิใจเล็กๆ) แล้วน่านก็เป็นจังหวัดที่มี อช. เยอะมาก เราจะพลาดไปได้อย่างไร ~ ปล. รูปตราประทับโฟกัสไม่จับ แหะๆ

การเดินทางเราต้องเดินต่อไป ~ ตอนนี้เราขับรถจะตัดเข้า อ.ปัว ระหว่างทางก็จะพลาดไม่ได้อีกเช่นกันกับ จุดชมวิว 1715 อุทยานแห่งชาติดอยภูคา นอกจากจะมีจุดชมวิวที่คนนิยมมาถ่ายภาพแล้ว ยังมีจุดเด่นของ อช.ดอยภูคา คือ การได้มาชมต้นชมพูภูคา พันธุ์ไม้ที่ได้ชื่อว่าหายากที่สุดในโลก ซึ่งหลงเหลืออยู่ในโลกเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ประเทศไทย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาชมต้นชมพูภูคาต้องมาชมเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้นค่ะ ต้นชมพูภูคาจะออกดอกสีชมพูสวยงามทั้งต้นเลย

และอีกหนึ่งไฮไลต์เด็ดของที่นี่ นั่นก็คือ ถนนลอยฟ้า นั่นเอง ลอยฟ้ายังไงดูจากรูปได้เล้ย ~ ภาพนี้ถ่ายตรงถนนลอยฟ้า เส้นทาง 1081.. เราตามหาถนนสายนี้มาตั้งแต่เช้า mission completed เย้ !

จากนั้นเราเดินทางด้วยทางหลวงหมายเลข 1256 สู่อำเภอปัว ก่อนถึงตัวอำเภอเล็กน้อยมีทาง แยกซ้ายเข้าสู่ วัดปรางค์ สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้ คือ ‘ต้นดิกเดียม’ ต้นไม้มหัศจรรย์ ใบไม้จะไหวสั่นทุกครั้ง ที่ถูกคนลูบหรือเกาที่บริเวณลำต้น จนได้รับแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน UNSEEN THAILAND .. แต่ในปัจจุบัน ต้นดิกเดียมค่อนข้างชราภาพแล้ว การสั่นจึงมีให้เห็นน้อยลง ไม่รู้สั่นเพราะเราเกาหรือลมพัดแยกไม่ออกเลย ทางวัดจึงมีการขยายพันธุ์ต้นดิกเดียมเพิ่มเติมซึ่งติดมาแค่ต้นเดียว ซึ่งทางวัดปลูกไว้และยังไม่ให้คนจับต้อง .. เราถามเจ้าอาวาสว่า ต้นใหม่นี้อีกนานเท่าไหร่ถึงจะลูบได้ คำตอบ คือ อีก 10 ปี o.O ~ อีก 10 ปี เราค่อยมาชมกันอีกทีนะ ฮ่าๆ

มาถึงอำเภอปัวทั้งที ก็ต้องแวะมาจิบเครื่องดื่ม จิบบรรยากาศสไตล์ไทลื้อพื้นบ้าน พร้อมถ่ายภาพเช็คอินเก๋ๆ ยังกระท่อมปลายนาที่ ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร้านลำดวนผ้าทอ ร้านขายของที่ระลึกและผ้าทอไทลื้อ ผ้าทอลายน้ำไหล ผ้าทอลายโบราณ ชื่อดังแห่งปัว .. ช่วงที่เราไปนั้นเป็นช่วงที่เค้าเก็บเกี่ยวข้าวกันไปแล้ว ถ้ามาในช่วงหน้าฝนจะได้บรรยากาศสีเขียว จิบกาแฟริมนาอย่างแท้จริงเลยค่ะ

ก่อนจะเดินทางอีกยาวไกล เรามาแวะเติมพลังกันที่ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ .. ที่นี่ให้บริการเป็นร้านอาหารและโฮมสเตย์ เมนูส่วนใหญ่เน้นไปทางเมนูเห็ด เนื่องจากที่นี่ คือ ฟาร์มเห็ดที่ผลิตเชื้อเห็ดที่ใหญ่ทันสมัยและครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งของอำเภอปัว ใครที่มาถึงปัวถึงแม้ไม่ได้มาพักค้างคืนก็ไม่ควรพลาดสารพัดเมนูเห็ดและพิซซ่าเห็ด พิซซ่าแป้งบางกรอบอร่อย โรยหน้าด้วยเห็ดหอม เห็ดเข็มทอง และชีส พิซซ่าแสนอร่อยนี้เป็นเมนูขึ่นชื่อของที่นี่ ใครมาต้องได้ลิ้มลอง .. เราสั่งพิซซ่าใส่กล่องค่ะ เผื่อเวลาหิวตอนที่ขับรถ เพราะต่อจากที่นี่เราจะขับรถกันยาวๆลงมาทางใต้ของจังหวัดน่าน ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมงได้ .. นอกจากนี้ ใกล้ๆกันยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง คือ วังศิลาแลง หรือ ‘แกรนด์แคนยอนเมืองปัว’ สำหรับรายละเอียดที่พักและเบอร์ติดต่อได้ที่เว็บไซต์นี้เลยค่ะ http://www.huanamhomestay.com

เราขับรถต่อลงมาทาง อ.ท่าวังผา เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองน่านอีกครั้งค่ะ ระหว่างทางเราแวะเข้าไปเยี่ยมชม หอศิลป์ริมน่าน .. หอศิลป์แห่งนี้ได้มีการรวบรวมงานศิลปะร่วมสมัยมาจัดแสดงไว้ ทั้งที่เป็นนิทรรศการหมุนเวียน และนิทรรศการถาวร ซึ่งตอนที่เราไปเป็นนิทรรศการหน้าต่างน่าน ซึ่งการเข้ามาเยี่ยมชมที่หอศิลป์ริมน่านนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้า ชมคนละ 20 บาท เปิดทำการวันพฤหัสบดี – วันอังคาร ตั้งแต่เวลา 9:00-17:00 น. และปิดให้บริการทุกวันพุธค่ะ .. บัตรเข้าสามารถแลกโปสการ์ดฟรีได้ 1 ใบด้วยจ้า

เราแวะเข้ามาในเมืองก่อนเผื่อหาที่เติมน้ำมันค่ะ เราจะยิงยาวไปทางอำเภอนาน้อยเพื่อมุ่งสู่ ดอยเสมอดาว .. ดอยเสมอดาว ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ค่าเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท รถยนต์ 30 บาท (สามารถใช้เข้าได้ 3 ที่ คือ ดอยเสมอดาว ผาชู้ และเสาดินนาน้อย) มีจุดกางเต็นท์ 2 จุด คือ บริเวณดอยเสมอดาวและผาชู้ เราจองเต็นท์ของอุทยานสำหรับ 3 คน ราคารวมอุปกรณ์เครื่องนอน ราคา 405 บาท และยังมีเต็นท์ของบริษัทเอกชนไว้ให้บริการเพิ่มเติมอีกด้วย .. เราเช่าตะเกียงเพิ่ม 100 บาทและเตา+ถ่าน 100 บาท ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมแยกชาย-หญิงค่ะ (รีบอาบน้ำนะ เพราะ น้ำเย็นมาก ยิ่งดึกยิ่งเย็น) .. ใกล้ๆกันจะเห็นหน้าผามีรูปร่างหมือนสิงโตหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีชื่อว่า ‘ผาหัวสิงห์’

สำหรับคืนนี้ เราสั่งหมูกะทะมาทานค่ะ ชุดละ 200 บาท ถามว่าอิ่มไหม ไม่อิ่มค่ะ ดีที่เรามีพิซซ่าที่เราซื้อมาช่วยชีวิตไว้ .. กลางคืนที่นี่จะมืดมาก มีเพียงไฟจากตะเกียง นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายดาวกันที่นี่ค่ะ ส่วนเราเลนส์ไม่ถึงดาวค่ะ ได้แต่นอนมองดาวไปก็พอ ฮ่าๆๆ .. คืนนี้ อุณหภูมิประมาณ 19 องศา อากาศกำลังดี ไม่หนาวมากไปค่ะ

สำหรับการเดินทางของวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ แต่พรุ่งนี้เรายังมีต่อ ไว้ตื่นมาเจอกันอีกทีกับวันสุดท้ายของการเดินทางนะคะ .. ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^


วันสุดท้ายของการเดินทาง : 8 พฤศจิกายน 2560

วันนี้เรารีบตื่นมาจับจองพื้นที่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น เราจะพลาดอีกไม่ได้แล้ว วันนี้เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว .. มารอคุณพระอาทิตย์ตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ตามที่เราเช็คคุณพระอาทิตย์จะมาตอน 06.17 น. แต่วันนี้อากาศเย็นสบาย เมฆเยอะ จะได้เห็นหมอกไหมน๊า แต่รับรู้ได้ถึงความชื้นของอากาศ ^^

Mission Completed !!! เราได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเสมอดาวสำเร็จแล้ว ได้ทั้งภาพและวีดีโอ คุ้มค่าแก่การรอคอย แต่คุณพระอาทิตย์ขี้อายไปหน่อย หลบหลังเมฆซะงั้นเลย แต่ไม่เป็นไร พอแสงอ่อนๆเริ่มฉาย สายหมอกที่ขึ้นตามแนวริมแม่น้ำน้ำน่านก็ค่อยๆมลายหายไป แม้จะไม่ได้เจอแบบเป็นทะเลหมอก แต่ก็สวยไปอีกแบบนะ สดชื่นมากด้วย .. เดี๋ยวเราจะไปเก็บของที่เต็นท์ อาบน้ำแต่งตัว แล้วเราจะพาไปลุยกันต่อนะ เฮ้!

เรามาแวะทานอาหารเช้ากันที่ร้านที่เราสั่งหมูกะทะมาทานกันเมื่อวาน (เราต้องนำกระทะมาคืนที่ร้านด้วย เพื่อเอาเงินมัดจำคืน) เช้าๆแบบนี้เราขออะไรเบาๆทานกันก่อนล่ะกัน เลยได้เมนู ‘ไข่กระทะ’ กับ ‘โจ๊กหมูเห็ดหอม’ มาทาน ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 100 บาท

ต่อจากนั้น เราจะไปต่อกันที่ ผาชู้ .. เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใน อช.ศรีน่าน ซึ่งอยู่ห่างจากดอยเสมอดาวประมาณ 4 กิโลเมตร เรามาที่นี่เพื่อมาดูเสาธงที่ยาวที่สุด เค้าว่ากันว่า ยาวแบบที่ต้องร้องเพลงชาติ 12 รอบ จึงจะชักธงถึงยอดเสา .. ผาชู้เป็นสถานที่เกิดตำนานรักสามเส้าที่ตัดสินความรักด้วยความตาย เคยได้ยินไหม?

จบจากที่นี่ เราขับรถลงมากันเรื่อยๆ จนมาถึงทางแยกที่จะไปเสาดินนาน้อย หรือฮ่อมจ๊อม เป็นสถานที่ที่มีความน่าสนใจทางด้านธรณีวิทยา เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของจังหวัดน่าน มีลักษณะเป็นเสาดินขนาดใหญ่คล้าย “แพะเมืองผี”

ใกล้ๆกันนั้นมีอีกหนึ่งสถานที่ อยู่ห่างจากเสาดินนาน้อยมาประมาณ 800 เมตร ทางเข้าค่อนข้างลำบากเนื่องจากเป็นทางลูกรัง สถานที่แห่งนี้ก็คือ คอกเสือ ชื่อฟังดูเหมือนน่ากลัว แต่ที่นี่เป็นที่ที่อัศจรรย์มาก มีลักษณะเป็นแอ่งลึกจากเนินดินด้านบนลงไป ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะและพังทลายของดิน และที่คอกเสือนี้ก็มีเรื่องเล่าต่อๆกันว่า ในสมัยก่อนบริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่มาก และเสือเหล่านี้มักจะมาขโมยกัดกิน วัว ควาย และหมูของชาวบ้านเป็นอาหาร ทำความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก พวกชาวบ้านจึงรวมตัวกันวางอุบายไล่ต้อนเสือให้ตกลงไปในบ่อดิน แล้วใช้ไม้ปลายแหลม ก้อนหิน ขว้างปาใส่เสือจนตาย จึงเรียกพื้นที่ในบริเวณนี้ว่า “คอกเสือ”

หลังจากนั้น เราก็ตีรถกลับขึ้นมาในตัวเมืองน่านกันอีกครั้ง ซึ่งยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะบิน เราเลยมาหาอะไรใส่ท้องกับร้านที่ขึ้นชื่ออีกร้านนึงของเมืองน่าน เตี๋ยวไร้เทียมทาน เมนูที่ขึ้นชื่อว่าเด็ด คือ ก๋วยเตี๋ยวซุปกระดูกยำ จุดเด่นของร้าน คือ กระดูกหมูบิ๊กไซส์ชิ้นใหญ่ เสิร์ฟมาชิ้นเดียว แต่เต็มชาม ราคาชามละ 50 บาท ไม่แพงเลย ค่าเสียหายเราอยู่ที่ 170 บาท .. เวลาเปิด-ปิด : 09.00-21.00 น. หยุดทุกวันจันทร์

ต่อจากนั้น เราก็ไปแวะเยี่ยมเยียน โฮงเจ้าฟองคำ เป็นบ้านไม้สักยกใต้ถุนสูง มีอายุเกือบ 200 ปี ประกอบด้วยเรือน 4 หลัง แบ่งเป็นห้องต่างๆ ทั้งห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว

พื้นที่ชั้นล่างเป็นใต้ถุนโล่งสำหรับสาธิตการทอผ้า ตั้งกี่ทอผ้า และจำหน่ายผ้าพื้นเมือง เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา เวลา 09.00 – 17.00 น. หยุดทุกวัน จันทร์ และอังคาร ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท ..

เรามาแวะซื้อของฝากกันที่ ศูนย์โอทอปน่าน เราถามชาวบ้านเค้าว่า มาน่านควรซื้ออะไรเป็นของฝากดี? ชาวบ้านเค้าแนะนำเป็น ‘มะไฟจีน’ เราเลยซื้อกลับมาฝากที่บ้าน ซึ่งแอบชิมไปแล้วรู้สึกว่า เหมือนกินยาแก้ไออยู่เลย -0- .. ของอย่างอื่นที่น่าสนใจก็มีให้เลือกสรร เช่น ผ้าทอ ผ้าไหม ผ้ามัดย้อม ผลไม้แช่อิ่ม พวงกุญแจ กระเป๋าผ้า เป็นต้น เลือกได้ตามใจชอบเลยจ้า

และที่สุดท้ายที่เรามาทิ้งตัว นั่นก็คือ work boxes cafe เป็นคาเฟ่ที่ใครๆต่างมาเชคอิน ที่นี่ถือเป็นสถานที่สุดชิลล์ที่เราสามารถนั่งเอื่อยๆได้ หากเราไม่รู้จะไปที่ไหนต่อ เป็นร้านเล็กๆไม่ใหญ่มากนัก มีเมนูให้เลือกมากกว่า 10 เมนู เราสั่งเครปเค้ก ลิ้นจี่โซดา มันม่วงนมสด มาทาน ค่าเสียหาย อยู่ที่ 200 บาทพอดีเป๊ะ

เมื่อใกล้ถึงเวลา เรานำรถมาคืนที่สนามบิน (ต้องเติมน้ำมันมาให้เต็มด้วยนะ) .. ขากลับเราเลือกสายการบิน Nok air เราจองได้ช่วงโปรฯ พอดี Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 19.20 น. ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 20.40 น. ค่ะ ..

สุดท้าย ขออำลาด้วยภาพวิวจากตำแหน่งที่นั่ง 25D ยามค่ำคืนก่อนเครื่องลงจอดให้ชมกันค่ะ ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมาจนถึงจุดนี้นะคะ

ขอบคุณ SONY A6000 + Lens kit 16-50 / 50 F1.8 / 35 F1.8 และ Gopro HERO5
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr + Snapseed

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง กดไลท์ได้เลยค่ะ
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand


รับชมในรูปแบบวีดีโอเราก็มีนะจ๊ะ (อย่าลืมกด HDด้วยนะ)


.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..


สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 2 คน)

ค่าเครื่องบิน Air Asia 2,672.62 บาท

ค่าเครื่องบิน Nok Air 2,180 บาท

ค่าแท็กซี่มาดอนเมือง 180 บาท

ค่าแท็กซี่ที่น่านไปที่พัก 100 บาท

ค่าโรงแรมเดอน่าน 690 บาท

ค่าสองแถว 30 บาท

ค่าอาหารร้านข้าวซอยต้นน้ำ 85 บาท

ค่าเช่ารถยนต์ 2,100 บาท

ค่าอาหารร้านครัวกาสะลอง 410 บาท

ร้านของหวานป้านิ่ม 80 บาท

ค่าอาหารเช้าที่บ่อเกลือ 90 บาท

ค่าอาหารฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ 385 บาท

ค่าน้ำมันรถ 500 บาท

ค่าเข้าอุทยาน 70 บาท

ค่าหมูกระทะ 200 บาท

ค่าอุปการณ์ตั้งแคมป์ 405 บาท

เตา+ตะเกียง 200 บาท

ค่าก๋วยเตี๋ยวซุปกระดูกยำ 170 บาท

work boxes cafe’ 200 บาท

ค่าน้ำมันรถ 400 บาท

รวมทั้งสิ้น 10,779.62 บาท (เฉลี่ยคนละ 5,389.81 บาท)

In My Eye

 วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.02 น.

ความคิดเห็น