เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอ มาคอยขอโภชนากระยาหาร

คนทั้งหลายชายหญิงทิ้งให้ทาน ต่างลนลานล้วงได้เอาไพล่พลิ้ว

เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อย กระจ้อยร่อยกระจิริดจิดจีดจิ๋ว

บ้างเกาะแม่แลโลดกระโดดปลิว ดูหอบหิ้วมิให้ถูกตัวลูกเลย

โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร เพราะแสนสุดเสน่หานิจจาเอ๋ย

ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู"

(นิราศเมืองเพชร : สุนทรภู่)


'คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^

Intro นำมาด้วย "นิราศเมืองเพชร" ซะขนาดนี้ Blog นี้ยังไงก็พาเที่ยวเพชรบุรีแน่ๆ จ้า


แต่เดี๋ยวก่อน!!

คะน้าไม่ได้จะมาเที่ยวธรรมดาๆ นะ จริงๆ เพชรบุรีคะน้าเคยพาเที่ยวมา 2 รอบแล้ว

แต่รอบนี้ Come back ทั้งที ต้องจัด Really Unseen กันไปเลย 6 วันเต็ม!!

ตอนจัดกระเป๋านี่ แม่น้ำตาไหลเลยจ่ะ นึกว่าลูกจะหนีออกจากบ้าน 55555 // แซวเก่งงง

จริงๆ ที่ทริปนี้พิเศษมากๆ เพราะว่าคะน้ามี Guest บินตรงมาจากยุโรปเลยทีเดียว

ทีมเหย้าอย่างคะน้า ก็ต้องต้อนรับทีมเยือนให้เต็มเหนี่ยวไปเลยพี่ เต็มที่ไปเลยเธอ~

พาเที่ยวให้สนุก ไม่สะดุดให้เสียชื่อคะน้า อ่ะ! เก็บกระเป๋าตามคะน้ามาเลยค่าาา



วันที่ 1



ยิ้มสยามนำมาเลยจ่ะ นี่คือ "คุณเคท (Kateryna)" ทีมเยือนจากประเทศยูเครนค่ะ

ทริปนี้คุณเคทจะไปเที่ยวเป็นเพื่อนคะน้าแหละ ตื่นเต้นนนน~

ส่วนคนขวามือ ถ้าหน้าตาสวยๆ ยังงี้ทีมเหย้าแน่นอนจ่ะ นี่คะน้าเองงง 55555



เราสองคนเริ่มออกเดินทางจาก กรุงเทพฯ ประมาณเที่ยงครึ่งค่ะ โชคดีมาก รถไม่ติด

แพลนวันนี้คะน้าจะมีเวลาเที่ยวแค่ครึ่งวัน ถือซะว่าเดินทางไปตั้งหลักแล้วกันเนอะ

แต่ทว่า...ระหว่างทางฝนตกหนักไปอีกจ้ะแม่! 55555

คะน้ากลัวคุณเคทจะก่อย เลยออกตัวไปว่า "ตอนนี้ฤดูฝนของประเทศไทยพอดีนะคะ"

คุณเคทยิ้มหวานตอบกลับมาเลย "ฉันรู้ และฝนตกมันสวยมาก" ขุ่นพระ!! สวยไปอี๊กกก~

ทีนี้เราก็เลยชวนกันแวะที่แถวๆ เขาย้อย เพื่อทานอาหารกันก่อน // เผื่อฝนจะหยุด



มื้อหลบฝน คะน้ากับคุณเคทเลือกทานข้าวราดแกงกันค่ะ คุณเคทบอกว่าชอบกินข้าวแกง

คุณเคทมาเมืองไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 และเธอก็ชอบอาหารไทยติดลิสต์ต้นๆ ของอาหารเอเชีย

ส่วนในรูป คะน้าชอบทานห่อหมกปลากราย คะน้าแนะนำให้คุณเคททานด้วยกัน

คุณเคทเอ่ยชมว่า ห่อหมกนี่ Top 3 เลยทีเดียว 55555 ภูมิใจอ่ะ เพราะนี่ของโปรดคะน้าไง

ส่วนขนมถ้วย คุณเคทแปลกใจนิดหน่อย เพราะมี 2 ชั้น คือชั้นล่างเป็นแป้งรสใบเตยหวานๆ

On top ด้วยน้ำกะทิออกรสเค็มนิดๆ ดูแล้วไม่น่าไปด้วยกันได้ แต่พอได้ทานมีรึจะไม่ติดใจ!



เอ้าาาา! ทานกันมาจุกๆ นับแคลแล้วเกินแน่ๆ วันนี้ ต้องออกกำลังกายกันหน่อย 55555

กลองยาว ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง มา เทิงกลองยาว* ให้พวกเราได้ร่วมเล่นร่วมรำด้วยกันค่ะ

ซึ่งคุณลุง คุณป้า และพี่ๆ ทราบว่าเราจะมา เลยมารอต้อนรับ เซอร์ไพรส์มากกกก!!

ขออนุญาตขอบพระคุณการต้อนรับอย่างอบอุ่นและน่ารักมากๆ ในวันนี้ด้วยนะคะ

และจริงๆ คะน้าเป็นนางรำกลองยาวมาก่อนนะ จะบอกให้!

เก่งมาก...รำเก่งเหรอ เปล่า...รำผิดอะเก่งมาก ครูบาอาจารย์นั่งร้องไห้แล้ว สอนไม่จำ!! 5555

( * "เทิงกลองยาว" หรือ "เถิดเทิง" เป็นชื่อเรียกการละเล่นกลองยาวค่ะ )



สำหรับวันแรกที่เราเพิ่งเดินทางมาถึง ทริป Unseen Thailand ทั้งทีอะเนอะ

ต้องวิถีไทยที่แท้ เลี้ยวเข้าวัดก่อนเลยจ้า คะน้าขอพาคุณเคทมาไหว้พระเสริมสิริมงคลก่อน

ที่นี่ชื่อ "วัดถ้ำรงค์" ค่ะ เป็นวัดเก่าแก่อายุนับพันปี นับตั้งแต่สมัยทวารวดีตอนปลาย

เป็นวัดสำคัญและศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวชุมชนถ้ำรงค์ค่ะ



วัดถ้ำรงค์ เป็นวัดถ้ำแท้ๆ เลยค่ะ ภายนอกเป็นภูเขา ด้านล่างเป็นถ้ำ เมื่อถูกพบในภายหลัง

ภายในถ้ำรงค์มีพระพุทธรูปปางห้ามญาติ เป็นพระประธานองค์ใหญ่ ชื่อ "หลวงพ่อดำ"

ที่เรียกว่าหลวงพ่อดำ หากจะหมายถึงสีขององค์พระค่อนไปทางสีดำก็คงจะใช่

แต่แท้จริงแล้ว หลวงพ่อดำ เดิมทีตั้งแต่ช่วงพระบาทขึ้นไปถึงช่วงเอว ถูกสร้างขึ้น

โดยการแกะสลักขึ้นรูปจากผนังถ้ำ และจากเอวขึ้นไปถึงพระเศียร เป็นการแกะจากหินทราย

ตามวิธีของคนโบราณในสมัยนั้น เพื่อรักษาผิวของหลวงพ่อดำให้คงสภาพสมบูรณ์

จึงใช้น้ำหมากแดงเคี่ยวตามกรรมวิธีเฉพาะ และทาองค์พระไว้ จนกาลเวลาผ่านไป

จากสีแดงก็เริ่มกลายเป็นสีดำ ซึ่งยังคงเห็นร่องรอยสีขาวของหินเดิมอยู่บ้าง

นี่จึงเป็นที่มาของสีดำ และชื่อหลวงพ่อดำค่ะ

ตอนที่ฟังประวัติของที่นี่ คะน้าก็ Amazing ตรงน้ำหมากนี่แหละ คนสมัยก่อนเก่งจริงๆ ค่ะ



ถัดจากหลวงพ่อดำมาทางด้านซ้ายมือ และทางขวามือก็มีเช่นกัน

มีรูปสลักพระปางห้ามญาติแบบเดียวกัน แต่องค์เล็กกว่าค่ะ เล็กกว่ามาก

และคิดว่าใช้วิธีการทาน้ำหมากไว้เหมือนกันด้วยค่ะ จากองค์นี้ทำให้คิดได้ว่า

ก่อนหน้านี้ หลวงพ่อดำ ก็เคยมีผิวสีแดงมาก่อน น่าจะแดงประมาณนี้นี่เอง



ยืนตรงที่เดิมยังไม่ได้ขยับไปไหน คะน้าแค่เพียงหมุนและมองไปรอบๆ ถ้ำเท่านั้น

จะเห็นว่ามีพระพุทธรูปปางต่างๆ มากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกนำมาประดิษฐานไว้

ภายหลังการบูรณะเมื่อหลายสิบปีก่อนค่ะ เป็นการบูรณะและพัฒนา เพื่ออนุรักษ์ให้วัดถ้ำ

อยู่คู่ชุมชนถ้ำรงค์ และสำคัญที่สุดคือเพื่อความสะดวกในการมากราบไหว้สักการะนั่นเองค่ะ



เมื่อหันไปรอบๆ แล้ว คราวนี้เงยหน้าบ้าง ภายในถ้ำ มีเพดานถ้ำที่สูงมากๆ เป็นลักษณะช่องหิน

มีรู มีช่อง และในช่องก็มีค้างคาว ค้างคาวเป็นตัวๆ เลยจ้ะแม่จ๋า บินผ่านคะน้าไปฟิ้วๆๆ งี้เลย

// จากในรูป จงวงกลมหาตัวค้างคาวให้ครบ สรุปนั่งวงเป็นเตาขนมครกเลยค่ะ เยอะจัด 55555



"ปู่อิน" ประทับท่านั่งถือยาสูบอยู่ด้านล่างหลวงพ่อดำ

ปู่อิน เป็นปู่ที่เชื่อว่าคอยอยู่ดูแลเฝ้าถ้ำแห่งนี้ค่ะ แต่ท่านเคยมีตัวตนจริงหรือไม่ ไม่ทราบได้ค่ะ

ณ ตอนนี้เป็นเพียงตำนานศักดิ์สิทธิ์ ที่เล่าขานต่อกันมาเท่านั้น



ถัดจากปู่อินมาเล็กน้อย จะมีช่องเข้าถ้ำไปด้านใน ไม่ลึกมากค่ะ ราวๆ สิบก้าวเดิน

ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่เช่นกันค่ะ



มาค่ะ พอคะน้าพาคุณเคทเดินดูจนรอบแล้ว เรามากราบไหว้พระกันเถอะ

ที่นี่มีดอกไม้ ธูปเทียน แผ่นทองคำเปลว ไว้บริการค่ะ ทำบุญหยอดตู้ตามศรัทธาได้เลย



คะน้าไม่แน่ใจว่าคุณเคทเคยไหว้พระไทยมาบ้างหรือเปล่าก่อนหน้านี้

แต่การเป็นเจ้าบ้านที่ดี คะน้าเลยสอนคุณเคทไหว้พระแบบไทยๆ ให้เลย ประดุจตั้งโปรแกรมอัตโนมัติ

เริ่มจากบอกให้คุณเคทเก็บแผ่นทองคำเปลวเข้ากระเป๋าไว้ก่อน เดี๋ยวปลิว~ 5555

เมื่อจุดธูป จุดเทียนเรียบร้อย คะน้าบอกคุณเคท "คุณขอพรในสิ่งที่คุณปรารถนาได้เลยนะคะ"

คุณเคทได้ยินอย่างนั้น ก็ยิ้มแก้มปริ และตั้งใจอธิษฐานอยู่ครู่นึงเลยทีเดียว



คะน้าขอพรให้ทริปนี้ท่องเที่ยวอย่างเริงร่า ถึงหนีงานมาเที่ยวเราก็จะไม่หวั่น

ขอให้ลูกค้าไม่ตามงานสักสิบวัน แต่เงินเข้ากระเป๋าเราเท่าเดิม กราบบบบ สาธุ~



ขอพรกันแล้ว ปักธูป...

How to ปักธูปยังไงให้ดูเผลอ นี่เผลอแบบไม่รู้ตัวเลยนะว่ามีกล้อง 55555 // เชื่อฉันสิ ^^



หลังจากปักธูป วางดอกไม้ คะน้าก็หยิบทองคำเปลว ที่ได้มา 3 แผ่น

คะน้าแปะให้คุณเคทดูเป็นตัวอย่างก่อน แผ่นแรกคะน้าแปะที่หัวใจของพระองค์หนึ่ง

แผ่นที่สอง คะน้าแปะที่มือ ของพระอีกองค์หนึ่ง

และแผ่นสุดท้าย คะน้าแปะที่พระเศียรของพระอีกองค์หนึ่ง

คะน้าอธิบายด้วยความศรัทธาของตัวเองว่า "แปะที่หัวใจ จะได้มีชีวิตที่ดี มีความสุขใจ

แปะที่มือ เราจะได้มีแรงทำสิ่งที่เรารัก แปะที่เท้า เราจะได้มีพลังก้าวเดิน หรืออาจจะหมายถึง

Successfull ก็ได้ และแปะที่พระเศียร เพื่อที่จะได้มีพลังในการคิดอย่างสร้างสรรค์

มีสติในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิต คุณเลือกแปะกับองค์ที่คุณชอบได้เลย องค์ไหนก็ได้"

คุณเคทฟังคะน้าอย่างสนใจ และเธอก็เลือกองค์พระที่เธอชอบ ต่างกันออกไป

แล้วแปะตามคะน้าค่ะ คุณเคทดู Enjoy มากๆ คะน้าก็ปลื้มเธอมากเลย รู้สึกสนุกที่ได้มาด้วยกัน



มุมด้านในฝั่งขวามือ มีที่เซียมซีทำนายโชคชะตาด้วยนะคะ แต่วันนี้คะน้าไม่ได้ทำค่ะ



ไหว้พระขอพรจากด้านในเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเดินออกมา หันไปทางซ้ายมือ

เราจะเห็นภาพนี้เลยค่ะ นี่เรายืนอยู่ตีนเขาลูกใหญ่ขนาดนี้เลยนะ สวยมากกกก!!



ยังไม่ทันเดินไปไหนต่อ คุณลุงคุณป้าที่อยู่ด้วยกัน ก็ส่งน้ำตาลสด พันธุ์ไม้ขึ้นชื่อมาให้คะน้าดื่ม

การันตีว่าแก้วนี้คือน้ำตาลสดแท้ คะน้าดื่มแล้วฟินมากกกก! ทั้งหวาน ทั้งหอม แถมน้ำใสปิ๊ง

สีเหมือนน้ำมะพร้าว หวานกำลังดีตามธรรมชาติ กลิ่นหอมตาลคลุ้งมาก ละมุนและสดชื่นสุดๆ

คะน้าร้องหาอยากดื่มอีก คุณลุงคุณป้าเลยแกล้งบอกว่า "ไปเฉาะเอาเอง" หักมุมไปอี๊กกก! 5555



จากภาพด้านบน หากเดินตรงมาตามทาง เราจะเจอศาลาที่ประตูเหล็กดัดลวดลายแบบนี้อยู่ค่ะ

ที่นี่เป็นศาลาประดิษฐานของ "หลวงพ่อขาว" ค่ะ

ชาวบ้านบางที เพื่อให้ชัดเจน ก็จะเรียกที่นี่กันอีกชื่อว่า..."วัดหลวงพ่อดำ หลวงพ่อขาว"



เปิดประตูเข้ามาด้าน จะพบหลวงพ่อขาว ซึ่งเดิมทีหลวงพ่อขาว ได้ประดิษฐาน

อยู่ในถ้ำเหมือนหลวงพ่อดำค่ะ แต่คนละถ้ำ ต่อมาถ้ำของหลวงพ่อขาวเกิดพังทลายลงมา

ชาวบ้านจึงช่วยกันอัญเชิญออกมาประทับด้านนอกจนถึงปัจจุบัน และมีการบูรณะซ่อมแซม

จากเดิมหลวงพ่อขาวมีสีขาว แต่ภายหลังบูรณะได้มีการเปลี่ยนสีไป คะน้าถามแม่ชีว่า...

ทำไมถึงไม่ทาสีขาวเหมือนเดิม แม่ชีว่าเพราะมือท่านหัก คะน้าเลยคิดเอาเองว่าการทาสีใหม่

อาจจะเพื่อปกปิดรอยซ่อมแซมให้สนิทยิ่งขึ้นกระมัง



สำหรับทริปนี้คะน้าตั้งใจจะมาตามรอยนิราศเมืองเพชร และนี่คือภาพประกอบตัวเป็นๆ

ของหนึ่งในวรรคทองจากบทนิราศค่ะ เป็นวรรคที่เล่าถึงพี่ลิงได้เห็นภาพสุดๆ

ที่นี่พี่ลิงเยอะม๊ากกกก! อิริยาบทไม่ต่างไปจากบทนิราศที่คะน้าได้เกริ่นไว้ในตอนต้นเลยสักนิด

แต่คุณเคทกลัวลิงค่ะ คุณเคทบอกว่าเคยโดยลิงกัด เพราะงั้นลิงก็คงไม่ชอบเธอเหมือนกัน

โถถถถ~ น่าเอ็นดู คะน้าก็เลยถ่ายรูปลิงมาซะเยอะ ถ่ายเผื่อให้คุณเคทเก็บไว้ดูลิงไทยเป็นที่ระลึก



ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามจากถ้ำของหลวงพ่อดำ จะเป็นที่ตั้งของโบสถ์วัดถ้ำรงค์ค่ะ

อาณาบริเวณกว้างขวาง ที่นี่ถูกใช้เป็นลานกิจกรรม งานวัด งานมงคลต่างๆ นั่นเองค่ะ

ถ้ามีงานวัดสักนิด คะน้าคงฟิน คะน้าชอบเดินงานวัด หนอนทอดกับยิงปืน คะน้ายืนหนึ่งนะจ้ะ

คือยืนอยู่คนเดียว ไม่มีคนเล่นด้วย แงงง้!!



โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์เก่า บูรณะเมื่อหลายสิบปีก่อน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะราวๆ พ.ศ.2509 ปีมะเมีย

ตัวโบสถ์ก่อสร้างผสมระหว่าง ดิน ปูนเปลือกหอย* และไม้ค่ะ

( * ปูนเปลือกหอย จากบันทึกที่สืบทอดต่อกันสอนกันมาแต่สมัยโบราณ นักโบราณคดีสันนิฐานว่า

ปูนที่ใช้ในสมัยก่อน ที่ยังไม่มีปูนซีเมนต์เหมือนปัจจุบัน ปูนนั้นจะมีส่วนประกอบจาก ดิน น้ำ

หินศิลาแลงนำมาบด น้ำอ้อยเพื่อให้เหนียวข้น เปลือกหอยกาบเผา เป็นต้นค่ะ )



ศิลปะรอบๆ วัดของจริงสวยงามมากนะคะ

เป็นความเก่าที่สวยงาม ดูคลาสสิคราวกับภาพวาด

มีสีเหลืองเด่น ตัดขอบกับสีขาวของปูน และสีน้ำเงิน ถึงจะดูซีดไปบ้าง แต่ยังดูออกอยู่

การแกะสลักประณีต และแปลกตา ที่นี่แปลกตาจริงๆ ค่ะ

คะน้าไม่เคยวัดที่มีศิลปะแนวๆ นี้มาก่อน



เมื่อมองย้อนกลับไป เบื้องหลังของศิลปะอันทรงคุณค่านี้ คือภูเขาของถ้ำรงค์ค่ะ

ภูเขาแห่งนี้ไม่เพียงแค่ยิ่งใหญ่ หากแต่ยังอุดมสมบูรณ์มากๆ พี่ลิงก็อยู่ในป่าบนเขานี้แหละ



ไปวัดไหน คะน้าต้องเงยหน้าดูภาพจิตรกรรมบนหน้าบรรณทุกครั้ง

และโบสถ์แห่งนี้ก็ทำเอาคะน้าร้องฮะ! นั่นลูกน้อยหน่า และด้านขวาก็มีมะม่วงด้วย

คะน้าไม่เคยเห็นวัดไหนมีหน้าบรรณลวดลายแบบนี้มาก่อน คะน้าลองถามพี่น้อย

พี่ที่พาคะน้ามาชมวัด พี่น้อยอธิบายว่า รูปสลักนี้คือ "ป่าหิมพานต์" ค่ะ

ซึ่งมีตำนานเล่าว่า ป่าหิมพานต์คือภูเขาหิมพานต์ อยู่ทางตอนเหนือของชมพูทวีป

มีพระนาลกะ ไปบำเพ็ญสมณธรรมเป็นหนึ่งในพระมหาสาวก รอการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่นี่

หน้าบรรณแห่งนี้จึงหยิบยกเรื่องราวของป่าหิมพานต์มาเล่าเป็นภาพสลักนั่นเองค่ะ



ประตูทางเข้าโบสถ์ เป็นไม้ตะเคียนเต็มแผ่น

แกะสลักสวยงามและประณีตมากเลยค่ะ



ไม่มีอะไรจ่ะ อันนี้ถ่ายรูปเล่นเฉยๆ 5555



ข้างโบสถ์มีโรงเรียน และมีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่มาก

มีนักบอลไซส์มินิมอลวิ่งเล่นกันอยู่ 3 ตัวค่ะ หน้าตาช่างคุ้นๆ นัก



เมื่อออกมาจากวัด เราก็ขึ้นรถนำเที่ยวของชุมชนถ้ำรงค์ เพื่อพาเราเข้าไปด้านในชุมชนค่ะ

ระหว่างทางจะเห็นบ้านเรือนของพี่ป้าน้าอาชาวชุมชนถ้ำรงค์ตลอดสองข้างทาง

สะดุดตาตรงรั้วบ้านค่ะ ทุกบ้านมีรั้วที่สร้างขึ้นจากต้นไม้ เช่น ชาฮกเกี้ยน กระถิน มะขาม เป็นต้น

เรียกว่าเป็น "รั้วกินได้" คะน้าชอบมาก เขียวไปทั้งชุมชนเลยค่ะ ร่มรื่นสบายตา แถมเย็นสบาย

เป็นแนวคิดที่เด็ดมาก คือน่าเด็ดมากินมาก ยอดอ่อนมะขามจิ้มน้ำพริกงี้นะ แอร๊ยยย~



ไม่ถึง 5 นาที ใกล้เหมือนแค่เอื้อม รถก็พาเรามาส่งที่นี่ค่ะ "บ้านไร่สะท้อน"

เป็นที่ตั้งของ Home Stay ที่พักของเราในทริปนี้ค่ะ



เราเดินเท้าเข้ามาราวๆ 20 เมตร ก็เจอกับบ้านทรงไทยขนาดใหญ่ ชื่อ "ชมภูทอง โฮมสเตย์"

ด้านล่างตรงทางเข้ามีป้ายบอกว่าบ้านนี้เป็น "เชฟชุมชน" โอโห! ฟังแล้วเท่ป่ะ คุณเคทนี่ร้องว้าวเลย

คือไม่ใช่เชฟแค่ในร้านอาหารไง นี่เชฟของชุมชนเลยนะ ต้องพิถีพิถันขนาดไหนกัน



เนี่ย! มีป้ายการันตีแบบนี้ด้วย Local Chef Thailand

เจ้าของบ้านนี้ชื่อ "ป้าสาย" ค่ะ

และแน่นอนว่า ป้าสายก็คือเชฟคนเก่ง เจ้าของป้ายเท่ๆ นี่เองค่ะ



คะน้าอยากรู้ว่าเชฟชุมชนนี่เขาวัดและให้ตำแหน่งนี้มาด้วยกติกาอะไร

พี่น้อย ผู้ดูแลทริปนี้ให้คะน้าอธิบายให้ฟังว่า... นอกจากจะทำอาหารพื้นเมืองอร่อยแล้ว

ต้องใช้วัตถุดิบภายในท้องถิ่นตัวเอง

และครีเอทเมนูใหม่ออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อเป็นตัววัดความสามารถของเชฟ

และที่สำคัญ...คือต้องใช้วัตถุดิบปลอดสารพิษด้วย เป็นไงเล่าาา~ สุดยอดไปเลย!



คะน้ากับคุณเคทพากันยกสัมภาระขึ้นมาเก็บที่ห้องนอนชั้นสองของบ้าน

เตียงและมุ้งถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย คุณเคทเห็นมุ้งเท่านั้นแหละ ยิ้มและร้องว้าววว!!

คุณเคทบอกว่า "เหมือนห้องนอนของเจ้าหญิงเลย คืนนี้จะนอนหลับแบบเจ้าหญิง"

คะน้าก็หัวเราะ เพราะคะน้าไม่ได้คิดไกลขนาดนั้นอ่ะ คิดแค่ว่า...นี่เอาไว้กันยุง 555555

// แต่จริงๆ คือ ยุงไม่มีเลยสักกะตัว แต่ก็กางมุ้งอยู่ดีนะ กางเป็นเพื่อนคุณเคทไง ^^



ลงมาด้านล่าง มีมุมน้ำชา กาแฟ ไว้คอยบริการด้วยค่ะ



มีมุมนั่งเล่น มี WiFi และมีลมพัดอ่อนๆ สบ๊ายยย~

จริงๆ โฮมสเตย์ที่นี่พัฒนามาจากบ้านของชาวบ้านในชุมชนนี่แหละค่ะ

บ้านใครเนื้อที่เยอะ มีห้องนอนที่ปล่อยว่าง ก็ Renovate และพัฒนาเป็นโฮมสเตย์ไป

ตอนนี้ในชุมชนมีทั้งหมด 8 หลังค่ะ สายแบคแพคต้องมานะ คะน้าเชื่อว่าทุกคนจะสนุก

พี่ป้าน้าอาที่นี่น่ารัก อารมณ์ขัน คุยสนุก ใจดี และยิ้มเก่งกันทุกคนเลย อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ^^



เพราะฝนยังตกอยู่ปรอยๆ เลยไม่คิดจะออกไปไหนแล้วค่ะ ระหว่างที่นั่งเล่นอยู่นี้

ป้าสายอยู่ในครัว ทำกับข้าวกลิ่นเครื่องแกงคลุ้งไปหมด ตอนแรกก็ไม่หิว พอได้กลิ่นก็หิวเลย



มาแล้วววว First Dinner มื้อนี้ป้าสาย Local Chef ของเรานำมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะเลยจ้า

ผักต่างๆ ปลูกเองหลังบ้าน เครื่องแกงตำเองโขกเอง และอร่อยมากๆ ถึงเครื่องจริงๆ

คุณเคทกับคะน้าทานข้าวเบิ้ลกันเลยนะ จบท้ายด้วยขนมหม้อแกง ขนมบ้าบิ่น และผลฝรั่ง

ฝรั่งปลูกเองในสวนเหมือนกัน คะน้ากินฝรั่งจนจุก ส่วนคุณเคทชอบขนมบ้าบิ่น นั่งกันไม่ลุกเลย



พออิ่มกันแล้ว คุณเคทวิ่งขึ้นไปข้างบน ไม่นานนักก็ลงมาพร้อมของที่ระลึกจากประเทศยูเครน

คุณเคทแจกให้ทุกคนเลยค่ะ ทั้งยังเอาโปสการ์ดสถานที่สำคัญต่างๆ ในยูเครนมาไกด์ให้เราฟังด้วย

ตื่นตาตื่นใจมาก โปสการ์ดสวย สถานที่ก็สวย คุณเคทเล่าสนุกมากด้วย เรานั่งฟังกันเพลินเชียว

และหลังจากนั่งคุยกันจนล่วงเวลาเกือบสามทุ่ม เราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนค่ะ

เพราะวันพรุ่งนี้ตารางเที่ยวของเราสองคนแน่นสุดๆ ตอนนี้คะน้าขอมุดมุ้งก่อนไม่รอแล้วจ้า

คืนนี้...ฝันดีนะคะ zzZ



วันที่ 2


"พอแดดร่มลมชายสบายจิต เที่ยวชมทิศทุ่งทางกลางวิถี

ทั่วประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล

ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์ มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร

พะองยาวก้าวตีนปีนทะยาน กระบอกตาลแขวนกันคนละพวง"

(นิราศเมืองเพชร : สุนทรภู่)



รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนเช้า พร้อมกลิ่นอาหารลอยมาจากชั้นล่างของบ้าน

เพราะเจ้าของโฮมสเตย์เป็นถึงเชฟชุมชนนี่เนอะ บรรยากาศก็จะชวนหิวแบบนี้ตลอดเลย

คะน้าอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย พอลงมาสำรับมื้อเช้าก็ถูกจัดวางไว้ซะชุดใหญ่

นี่ไม่ได้หวังให้คะน้าทานมื้อเช้าอิ่มถึงมื้อเที่ยงพรุ่งนี้ใช่มั้ยคะ 55555 เยอะไป๊!



เราใช้เวลาไม่นานนักในการทานมื้อเช้า หลังจากนั้นก็ออกมาเดินถ่ายรูปเล่น

และสำรวจบรรยากาศรอบๆ โฮมสเตย์ ซึ่งก็คือภายในชุมชมถ้ำรงค์นั่นเองค่ะ

วันนี้ลุงป้าน้าอา ออกมาคุยเล่นกับเราหลายคนเลย



โดยเฉพาะคนนี้ "ป้าเทียบ" ป้าเทียบขาย "สบู่ตาล" เป็นสบู่ล้างหน้า ผลผลิตในชุมชนถ้ำรงค์

ป้าเทียบขี้เล่นมากกก~ คนรู้จักกันทั้งชุมชน คะน้าเลยแซวว่าเป็นแอมบาสเดอร์ถ้ำรงค์

ป้าเทียบอยู่ดูแลคะน้ากับคุณเคทมาตั้งแต่วันแรก ด้วยความเฟรนด์ลี่ของเราทั้งคู่

พอชวนคุยไปๆ มาๆ ป้าเทียบก็เล่าว่า "ป้าชอบดูซี่รี่ส์เกาหลี" จากนั้นป้าเทียบก็เล่าว่า

ได้ดูเรื่องอะไรมาบ้าง ไม่เท่านั้นนะ ป้าเทียบยังจำได้ว่าพระเอก นางเอกแต่ละเรื่อง ชื่ออะไรด้วย

คะน้านี่ช๊อคไปเลยจ่ะ เพราะคะน้าเคยดูทุกเรื่องที่คุณป้าดู แต่จำอะไรไม่ได้เลย 5555555

และเพราะความน่ารัก ความตลกแบบใสๆ และชื่อเสียงของคุณป้า คะน้าเลยอดไม่ได้ที่จะแซว

ตอนแรกคะน้าก็แกล้งเรียกว่า "อารยา" สักพักเรียก "พัชราภา" แห่งถ้ำรงค์

แต่ป้าเทียบบอกว่า "ป้าหน้าเด็ก เพราะใช้สบู่ตาล" (แล้วทำหน้าตึงให้ดู) คะน้าเลยบอกว่า...

"ป้าเทียบ อีกหน่อยใครถามชื่อ ให้บอกว่าชื่อ ลิซ่า นะ" (เพราะชื่อดังและหน้าเด็ก แถมชอบเกาหลี)

ทุกคนเลยพากันหัวเราะ และก็เรียก "ลิซ่า ลิซ่า ลิซ่า" กันทั้งวัน 555555



ส่วนคนนี้ "ลุงทอม" ค่ะ ตัวจริงลุงเท่มากกกก!! แถมพูดเพราะสุดๆ

สุขุมและสมาร์ทอย่างกับพระเอกหนังแน่ะ ลุงทอมกินพี่ติ๊กเจษเข้าไปใช่มั้ย คายออกม๊าาา!!

ลุงทอมเปิดร้านขายชา กาแฟโบราณ อยู่ปากซอยโฮมสเตย์ของเราค่ะ

มีไข่ลวก น้ำชาอัญชัน และสารพัดน้ำ สั่งมาเถอะ ลุงทอมเอาอยู่!



ระหว่างนั่งเล่น Relax กันอยู่ เราก็เห็นกลุ่มชาวบ้านออกมาตัดหญ้า ตัดแต่งต้นไม้ และกวาดถนน

ซึ่งพวกเขาไม่ได้ถูกจ้างมา แต่คือคนในชุมชนออกมาช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ

ไ่ม่เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่บ้าน ที่ถือเครื่องตัดหญ้าเดินนำมาก่อนใคร

จนช่วงที่ทุกคนนั่งพัก เลยมีโอกาสได้คุยกัน และทราบว่ากำลังช่วยกันทำความสะอาด

เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคมนี้นี่เองค่ะ

สมแล้วที่เป็นชุมชนดีเด่นอันดับ 1 ประจำปี เพราะสามัคคีกันมากขนาดนี้เอง ทุกคนเจ๋งมากๆ



จนได้เวลาที่จะออกเดินทาง วันนี้พี่น้อย จะพาคะน้ากับคุณเคทไปดูสวนตาลค่ะ

พี่น้อยเอารถมารับเราที่โฮมสเตย์ ระหว่างทางผ่านริมคลองชลประทาน

พี่น้อยพาแวะที่ข้างทาง ซึ่งมีต้นไม้ขนาดใหญ่มากกกก พี่น้อยอธิบายให้เราฟังว่า

"นี่คือต้นยางนา เป็นต้นไม้เก่าแก่ของเพชรบุรี เลยตั้งใจพาเรามาดู"



พี่น้อยอธิบายต่อว่า ต้นยางนา สมัยก่อนนิยมนำยางของต้นมาทำ 'ขี้ใต้' โดยการเจาะโพรงที่ลำต้น

และจุดไฟรนทีละน้อย จากนั้นหมั่นเติมใบไม้เป็นเชื้อเพลิง จะได้ขี้ไต้ที่มาจากน้ำยาง นำไปใช้จุดไฟ

เช่น คบเพลิง หรือตะเกียง และยังสามารถนำไปอุดรอยรั่วของเรือได้ด้วย แต่ต้องผ่านกรรมวิธี

อีกแบบหนึ่ง โดยมีขี้ใต้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งจะเรียกว่า 'ขี้ชัน' (น้ำยางอุดรอยรั่วเรือ)

และเมื่อเราได้น้ำยางเต็มลิมิตของแต่ละต้นแล้ว ต้นยางจะสามารถรักษาแผลตัวเองได้

แต่จะทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นตามภาพค่ะ คือจะเป็นโพรงที่มีรอยไหม้ไฟแบบนี้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้นยางนาก็เป็นพืชคุ้มครองนะคะ ห้ามตัด ห้ามโค่น เพราะงั้นที่ชุมชนถ้ำรงค์

คะน้าเลยมีโอกาสได้เห็นต้นยางนาเต็มไปหมด และแต่ละต้นก็สูงใหญ่อลังการ น่าทึ่งมาก!



แวะดูต้นยางนาแค่เพียงไม่นาน พี่น้อยก็พาเรามาถึง "สวนตาลลุงถนอม" ค่ะ

สวนตาลชื่อดังแห่งจังหวัดเพชรบุรี เป็นสถานที่ขึ้นชื่อในชุมชนถ้ำรงค์

เมื่อคะน้ากับคุณเคทมาถึง เราก็มองบรรยากาศไปรอบๆ

โอโหหหห! มีแต่ต้นตาล ไม่ต่างไปจากบทนิราศที่คะน้าอ่านมาเลย



คะน้าพาคุณเคทเดินเล่นมาด้านในสวน เห็นว่ากำลังมีคนปีนขึ้นต้นตาลอยู่พอดี

ป้าลิซ่าแนะนำให้รู้จัก พี่คนนี้ชื่อ "พี่แจ่ม" เป็นลูกชายของคุณลุงถนอม เจ้าของสวนนั่นเองค่ะ



"...ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์ มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร

พะองยาวก้าวตีนปีนทะยาน กระบอกตาลแขวนกันคนละพวง..."


ราวกับภาพประกอบของบทนิราศเมืองเพชร พี่แจ่มไม่ผิดไปจากบทนิราศเลยแม้แต่น้อย

ท่าทางเคร่งขรึม แข็งแรง พร้อมอุปกรณ์การทำงานตามวิถี

ที่ยังคงสืบทอดวิธีการดั้งเดิมเมื่อครั้งสมัยก่อน คะน้าตื่นเต้นมากที่ได้มาเจอเอง

น่าตื่นเต้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ในใจลึกๆ ก็ภูมิใจ ปลื้มใจบอกไม่ถูก พี่แจ่มสุดยอดมากจริงๆ



พี่แจ่มมีภารกิจแต่ละต้นไม่เหมือนกัน บางต้นก็ปีนเพื่อขึ้นไป นวดงวงตาล*

บางต้นก็ปีนไปตัดทลายตาล บางต้นก็ปีนไปเก็บกระบอกน้ำตาล

( * "นวดงวงตาล" เดี๋ยวคะน้าจะอธิบายอีกที ตอนที่พี่แจ่มสอนงานนะคะ)



ไม่นานนัก พี่แจ่มก็ลงมาทักทายพวกเราอยู่สักพัก แต่เพราะงานยังไม่เสร็จ

พี่แจ่มเลยให้พวกเราเดินเล่นไปก่อน เดี๋ยวจะลงมาสอนงานสวนตาลอีกที



และเมื่อพี่แจ่มอนุญาตให้เราเดินเล่น...

ก็เล่นกันอยู่สองคน ไม่มีคนเล่นด้วย 55555



และเมื่อคุณเคทเห็นต้นไมยราบ เอานิ้วไปแตะๆ แล้วใบหุบ สงสัยที่ยูเครนจะไม่มี

นั่งเล่นอยู่พักนึงอ่ะ แถมเดินไปทางไหน ถ้าเจอก็จะนั่งลงไปเล่นอีก แม่คุณเอ้ย~

เอาไปปลูกที่บ้านมั้ยลู๊กกก นี่เรามาเยือนสวนตาลนะ ต้นตาลร้องไห้แล้ว 555555



เดินถ่ายรูปเล่นอยู่สักพัก พี่แจ่มก็เปลี่ยนต้นปีนไปเรื่อยๆ พอมาถึงต้นนี้

คะน้าเห็นพี่แจ่มผูกเชือกเข้าที่เอว คะน้าก็เข้าใจว่านี่คือชุดเซฟตี้ระหว่างปีนต้นตาล

แต่ทว่าพอขึ้นไปถึงยอด พี่แจ่มก็แกะเชือกออกซะอย่างนั้น แล้วเอาผูกเข้ากับทลายตาลแทน

และค่อยๆ หย่อนลงมาเหมือนชักรอก เลยได้รู้ว่าพี่แจ่มปีนต้นตาลด้วยตัวเปล่าและเท้าเปล่า

ตอนนั้นเงยหน้าดูพี่แจ่มทำงานตาค้างไปเลยจ่ะแม่จ๋า ทั้งสูง ทั้งเสียว ตอนคะน้าปีนเล่น

คะน้าขึ้นไปแค่ 3 ใน 4 ของความสูง ขายังสั่นๆ เลย แงงง้ T_T



เอาล่ะ งานพี่แจ่มเสร็จเรียบร้อย คะน้ากับคุณเคทเลยขอลองแบกทลายตาลเดินกลับ

แงงง้! หนักมากแม่!! แต่เหมือนคุณเคทจะชอบและสนุก ถ้าไม่บอกให้วางก็ไม่ยอมวางอ่ะ 5555

คุณเคทบอกว่า "ฉันออกกำลังกายอยู่" อารมณ์ไหนเนี่ย!!



ต่อมาเราเดินออกจากโซนสวน มาที่โรงเรือนค่ะ // จริงๆ คะน้าก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกที่นี่ว่าอะไรดี

ภายในโรงเรือนจะมีโต๊ะวางจำหน่ายสินค้าจากผลผลิตตาล เช่น จาวตาลสด ชางวงตาล

น้ำตาลสด ขนมตาล ทั้งยังมีผลฝรั่ง และกระท้อนสด จากสวนที่ปลูกเองอีกด้วย



ตรงนี้ คะน้ากับคุณเคทมีโอกาสได้เจอกับ "คุณลุงถนอม" ตัวจริงเสียงจริงด้วยค่ะ

ซึ่งคุณลุงถนอม นอกจากจะเป็นเจ้าของสวนตาล และเป็นซุปเปอร์คุณพ่อของพี่แจ่ม

คุณลุงถนอมยังได้ชื่อว่าเป็น "ปราชญ์แห่งต้นตาล" อีกด้วยนะคะ เท่มากเลยใช่มั้ยล่ะ!!

// คุณลุงถนอมบอกว่า ตัวจริงเสียงจริงต้องไม่ใส่เสื้อ 55555



วันนี้มีนักท่องเที่ยวแวะมาพอดี คุณลุงเลยไม่ว่างคุยกับเราเท่าไหร่

แต่คะน้าชื่นใจแทนคุณลุงมาก เพราะว่าลูกค้าไม่เพียงแค่มาแวะดู หรือซื้อของ

ทุกคนยังสนใจถามเกี่ยวกับกรรมวิธีการทำต่างๆ คะน้าว่าคุณลุงเองก็ชื่นใจไม่แพ้กัน

ที่ทุกคนสนใจในสิ่งที่คุณลุงตั้งใจทำออกมาตลอดหลายสิบปี



ถัดเข้ามาด้านใน จะมีคุณป้าสองสามคน กำลังง่วนอยู่กับการต้มน้ำตาลสด

และการแกะจาวตาล คะน้าลองจับมีดทำเอง ไม่รอดจ้ะ 555555 โคตรแข็งเลย

นอกจากมีดต้องคมมากๆ แล้ว คุณป้าต้องมีข้อมือที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย ปรบมือ!!



เรานั่งเล่นอยู่ในโรงเรือนอยู่สักพัก พี่แจ่มที่เสร็จจากภารกิจปีนต้นตาลก็เดินมาหา

พี่แจ่มขอเวลานั่งพักเหนื่อยไม่นาน จากนั้นชวนพวกเรา รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่สนใจ

มาฟังวิธีการ นวดงวงตาล* การเก็บน้ำตาล ให้พวกเราฟังกันค่ะ



ในภาพคือ งวงตาลสด ที่พี่แจ่มตัดออกมาสาธิตวิธีการทำงานให้เราได้ดูกัน



พี่แจ่มยิ้มแย้มทักทายผู้มาเยือน ก่อนจะเริ่มต้นอธิบายและสาธิตการทำงานให้เราดูกัน

พี่แจ่มเล่าว่า เมื่อต้นตาลมีอายุงวงตาลที่สมบูรณ์ ก็จะปีนขึ้นไปนวดงวงตาลบนต้น

โดยมีไม้คาบ ทำจากไม้เนื้อแข็งเป็นอุปกรณ์ พี่แจ่มจะปีนขึ้นไปบนยอดตาล

เอาด้ามข้างหนึ่งเหน็บเข้าเอวโดยมีผ้าขาวม้าคาดเอวช่วยรัดไม้เอาไว้

อีกด้ามหนึ่งใช้มือจับ และลงมือใช้ไม้คาบงวงตาล โดยออกแรงบีบไม้เข้ากับเอว



วันแรกที่ขึ้นไปบีบ งวงตาลจะอยู่เป็นช่อ แต่ละช่อให้ตัดงวงข้างทิ้ง เหลือไว้แค่งวงกลาง

จากนั้นงวงตาลใหม่ยังคงแข็งอยู่ ให้คาบงวงตาลตำแหน่งกลางไม้คาบ

บีบแรงพอประมาณ เป็นการเตือนว่า "ฉันจะมาบีบแกแล้วนะ ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ!!"

บีบจนทั่วทั้งงวง แค่ 1 รอบ...วันที่สองก็ทำเหมือนเดิม คือขึ้นไปนวดงวงตาลซ้ำๆ



พี่แจ่มต้องขึ้นๆ ลงๆ ติดต่อกันถึงสิบวัน ท่อน้ำเลี้ยงที่อยู่แกนกลางของงวงตาล

จะเริ่มๆ ช้ำจากการบีบ ซึ่งการบีบไม่เพียงหมายถึงไม้คาบของพี่แจ่มเท่านั้น

แต่หมายถึงกระบวนการทางธรรมชาติของงวงตาลเองด้วย

พี่แจ่มอธิบายว่า เมื่อเรานวดงวงตาลอยู่ทุกวัน เปลือกงวงตาลจะดื้อไม้ ทำผิวหนาตัวขึ้น

และแข็งขึ้น เพื่อสู้กับแรงบีบ โดยการขยายตัวจะไม่ได้ขยายงวงให้อ้วนขึ้น

แต่ขยายลงไปภายในตัวมันเอง โดยไปกินพื้นที่ช่องว่างของท่อน้ำเลี้ยงภายใน

การที่ผิวงวงตาลเบียดท่อน้ำเลี้ยงไปเรื่อยๆ นานถึงสิบวัน ทำให้ท่อน้ำเลี้ยงช้ำได้นั่นเองค่ะ

ช้ำจนสามารถคายน้ำตาลออกมาได้ จากนั้นให้มัดรวบงวงตาลเข้าด้วยกัน ปาดปากงวงทิ้ง

มัดรวมกันและยัดใส่กระบอกไม้ไผ่เอาไว้ เพื่อรองน้ำตาลที่จะไหลออกจากงวงตาล



พี่แจ่มอธิบายเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลาสิบวัน นอกจากจะขึ้นไปนวดแล้ว

ยังต้องคอยรูดดอกตาลออกจากงวงตาลอีกด้วย เพราะไม่อย่างนั้น

เมื่องวงตาลดูดน้ำจากลำต้นออกมาแล้ว จะไม่ยอมคายน้ำออกมา เพราะจะเก็บน้ำเอาไว้

เพื่อเลี้ยงดอกตาลนั่นเอง ซึ่งแต่ละงวง พี่แจ่มเคยลองสังเกตด้วยตัวเอง

แล้วประมาณการได้ว่า งวงหนึ่ง จะสามารถออกดอกได้มากถึงห้าร้อยดอกเลยทีเดียว

// สมแล้วที่เป็นทายาทลุงถนอม ปราชญ์ไม่แพ้คุณพ่อเลยจริงๆ สุดยอดไปเลย!




ส่วนการใส่กระบอกน้ำตาลบนยอดตาล พี่แจ่มต้องขึ้นไปใส่กระบอกในตอนเช้า และเก็บลงในตอนเย็น

ซึ่งภายในจะมีผึ้งอยู่ด้วยทุกครั้ง เพราะเป็นน้ำหวาน แต่ละช่อของงวงตาลจะสามารถให้น้ำตาล

ได้มากถึงห้าลิตรต่อวัน แต่ถ้าโชคร้าย หลังจากต้องปีนขึ้นไปนวดงวงนานถึงสิบวันแล้ว

ในวันที่ 10 ต้องตัดปลายตาลเพื่อเปิดปากท่อน้ำ หากพลาดตัดเสีย เท่ากับว่านวดฟรี เสียแรงฟรี

พี่แจ่มบอกว่า เคยตัดพลาด ตอนนั้นไม่เสียใจหรอก แต่โมโหมากกว่า แค่ฟังเหนื่อยแทนจริงๆ ค่ะ

หลังจากได้ฟังพี่แจ่มเล่าเรื่องนี้แล้ว รวมถึงได้เห็นความเหนื่อยในการปีนแต่ละต้นๆ

สาบานว่าชาตินี้ทั้งชาติ...

ถ้าอยากกินผลิตผลจากต้นตาล จะไม่ต่อราคาแม่ค้าพ่อค้าอีกแล้ว กว่าจะได้มา ลำบากแทบขาดใจ



ก่อนกลับพวกเราขอถ่ายภาพรวมเป็นที่ระลึก คะน้าซื้อน้ำตาลสดกลับมาดื่มต่อที่โฮมสเตย์ด้วย

คะน้าซื้อให้คุณเคทหนึ่งขวด แต่ตอนนี้จะแย่งคุณเคทดื่มแล้ว เพราะคะน้าชอบมาก 5555555



พี่น้อยพาเรากลับจากสวนตาลได้ราวๆ สิบนาที

ก็พาเรามาต่อที่บ้านประดิษฐ์ของเล่นจากตาลค่ะ

ตอนเดินเข้ามาคะน้ายังไม่ว้าวเท่าไหร่นัก เพราะว่าส่วนตัวเคยเห็นมาบ้างแล้ว



แต่พอป้าลิซ่าแนะนำให้รู้จักกับ "คุณตาผุด กับ คุณยายใบ" สองสามีภรรยาอายุกว่าแปดสิบปี

คะน้าก็เริ่มจะว้าวแล้ว เพราะคุณตาไม่มีท่าทีว่าจะทำของเล่นไหว นึกออกป่ะ แงงง้~

แต่พอคุณตาหยิบอุปกรณ์ทำของเล่นออกมา และเจาะรูเปลือกตาลแข็งๆ ด้วยมือเปล่า

มือหนาที่มีริ้วรอยบ่งบอกอายุที่มาก กลับแสดงความแข็งแกร่งทำของเล่นได้อย่างสบายมือ

คือถ้าเป็นคะน้าหรือใครๆ คะน้าคงเลือกใช้สว่านเจาะไปแล้วแหละ



ระหว่างนั่งรอคุณตาทำของเล่น คะน้าก็เดินถ่ายรูปเล่นไปพลางๆ

จนมาเจอ "น้องสะพรึง" ตุ๊กตาเซเลบริตี้ จากละครชื่อดังเรื่อง "ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง"

จนได้รู้ว่า...ที่แท้แล้วเจ้าของผลงานชิ้นนี้คือคุณตาผุดคนนี้นี่เองค่ะ

กรี๊ดดดดดด!! FC ค่ะคุณตาาาา



ตาผุดวางมือเพื่อมานั่งคุยกับพวกเราก่อน คุณตาใจดีมากๆ และยังหยิบอุปกรณ์

ในการประดิษฐ์ตุ๊กตาเต่ามาให้คะน้ากับคุณเคทได้ลองทำเอง ฮืออออ~ น่ารักเกินไปแล้วค่าาา

คุณตามานั่งสอนเราทำอย่างใจเย็น ถึงคะน้าจะหน้ามึนๆ แต่ก็ทำออกมาได้นะ 55555



แต่ที่สนุกที่สุดดูท่าจะเป็นคนนี้แหละ

เพราะนอกจากจะต้องนั่งทำของตัวเองแล้ว ยังหันมาสอนคะน้าทำอีกต่างหาก แม่คู๊ณณณ!

นี่คะน้าเป็นคนพาเที่ยวนะ ไหงคุณเคทมาสอนคะน้าแทนเล่าาาา แงงง้~

หลังจากเราทำน้องเต่าเสร็จแล้ว คุณตาบอกว่า เดี๋ยวทิ้งเอาไว้ที่นี่ก่อน เพราะคุณตา

จะต้องเอาน้องเต่าไปขัดกระดาษทราย และทาเคลือบให้ก่อน โอ้ยยย~ ซึ้งงง~

คุณตาบอกว่า ก่อนกลับกรุงเทพฯ ค่อยมาเอานะ จะทำไว้ให้ก่อนกลับ // จะร้องไห้แล้ววว!!



และนี่คือนานาผลงานประดิษฐ์ของคุณตาค่ะ ดูเอาแล้วกัน แข็งแกร่งขนาดไหน

ทุกชิ้นทำด้วยมือเปล่า กาวร้อน และขี้เลื่อย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าอุปกรณ์ใดๆ

ก็คือความรัก และความคิดสร้างสรรค์ของคุณตาวัยแปดสิบสามปีนี่แหละคะ Amazing!!



ทำของเล่นเสร็จ ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี เรากลับมาทานกันโฮมสเตย์

วันนี้ป้าสายจัดอาหารหรูหรามาก ยิ่งอยู่ เมนูยิ่งอลังการ สมแล้วที่พักบ้านเชฟอ่ะ

ควรมีป้ายหน้าบ้านว่า..."บ้านนี้อยู่แล้วอิ่ม" 55555555



ช่วงบ่าย พี่น้อยพาเราไปทำของเล่นอีกอย่างหนึ่งที่เลอค่ามากๆ นั่นก็คือ "ว่าวไทย" ค่ะ

ออกจากโฮมสเตย์มาได้ราวๆ ห้านาที ก็ถึงบ้านของ "พี่โอ" เจ้าของผลงานว่าวไทย

ชื่อดังที่สุดของชุมชนถ้ำรงค์ พอลงจากรถ คะน้ากับคุณเคทก็ไม่คุยกันเลยจ่ะ

พอเห็นป้าย "ศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์ว่าวไทย" และถัดไปด้านหลังมีว่าวจุฬาตัวเท่าบ้าน

คะน้ากับคุณเคทก็สตั๊นท์กันไปเลย ยืนมองตาค้างกันไปสิทีนี้ 555555 จะใหญ่ไปไหนอ่ะ



ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งดูพี่โอทำว่าวในบ้าน คะน้าสะดุดตากับต้นบอนไซมะพร้าวกระถางนี้มาก

แอร๊ยยย~ สวยจังเลยค่าาา อยากจะอุ้มกลับบ้าน เหมือนมดเลยเนอะ



พอเข้ามาด้านใน เจอว่าวที่ใหญ่ไม่แพ้กับว่าวจุฬา พี่โอแนะนำให้รู้จักชื่อ "ว่าวดุ๊ยดุ่ย" ค่ะ

ที่มาของชื่อคือเวลาที่ว่าวอยู่บนฟ้า จะมีเสียงดังดุ๊ยดุ่ยๆๆ เป็นทำนองเพลง~



จากนั้นพี่โอก็สอนให้คะน้ากับคุณเคทรู้จักว่าว และนั่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับ

การแข่งขันเล่นว่าวไทยให้เราฟัง พี่โอเล่นว่าวมาตั้งแต่เด็กๆ โตมาก็ยังชอบอยู่

ตอนที่ฟังพี่โอเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับว่าว น้ำเสียง ท่าทาง และแววตาของพี่โอ

ดูมีความสุขมากๆ คล้ายเวลาที่เราฟังเด็กๆ เล่าเรื่องน่าตื่นเต้นด้วยสีหน้ามีความสุข

และเพราะอินเนอร์ที่เรียลมากๆ ของพี่โอ ทำให้พวกเราตื่นเต้นตามไปด้วยเลย

เราสนุกและเห็นภาพ การเล่าเรื่องของพี่โอเหมือนนั่งฟังทอล์คโชว์ดีๆ นี่เอง

พี่โอหยิบว่าวที่วางโชว์อยู่ มาแนะนำให้รู้จักทีละตัว ตัวในกรอบรูปไม้ตาลนี้คือ ว่าวจุฬา

ลักษณะขาอรชร เอวบาง ขาเรียว เรียกทรง "พระลักษณ์ พระราม"

เพราะเอวบาง ดูสง่างาม จึงได้เป็นพระเอก อีกทั้งเวลาว่าวลักษณะนี้ลอยอยู่บนฟ้า

จะเคลื่อนไหวพลิ้วตามลมไปช้าๆ สไตล์ลาลาลอย ไม่ฉวัดเฉวียน



ต่อมา เป็นว่าวจุฬาเหมือนกัน แต่ลักษณะขาไม่เหมือนกัน คือค่อนข้างโก่ง

เรียกว่าวลักษณะนี้ว่า "ทศกัณฑ์" เพราะขาโก่งคล้ายยักษ์ (นึกถึงตัวละครโขนที่เป็นยักษ์)

จะดูน่าเกรงขาม และไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ที่ดูน่าเกรงขามเหมือนยักษ์เท่านั้น

เวลาว่าวลักษณะนี้ลอยอยู่บนฟ้า จะเคลื่อนไหวรวดเร็ว คล้ายมีอารมณ์ร้ายเหมือนยักษ์อีกด้วย



ส่วนตัวนี้พี่โอบอกว่าร้ายสุด ชื่อ "หนุมาน" เวลาลอยอยู่บนฟ้าก็จะเคลื่อนไหวเหมือนลิงจริงๆ

คือจะโฉบเฉี่ยวว่องไว ไวจนมองไม่ออกว่าลักษณะว่าวจริงๆ เป็นยังไง

คะน้าฟังไป ก็แปล Eng ให้คุณเคทฟังไปด้วย

คุณเคทเลยเรียกว่า "The Flash" เรียกซะเห็นภาพเลย 55555



และข้างๆ กัน มีพี่ผู้หญิงกำลังนั่งแปะกระดาษสีๆ เป็นลายดอกไม้

คะน้านั่งดูพี่เขาทำ แปะทีละชิ้นๆ เลยถามว่าว่าวหนึ่งตัวกว่าจะแปะเสร็จประมาณกี่วัน

พี่เขาบอกว่า "ถ้าตัวเล็กแบบนี้ก็สามวัน แต่ถ้าตัวใหญ่เท่าบ้าน ก็มีเป็นเดือนๆ" ขุ่นพระ!!



นั่งคุย นั่งถามกันอยู่สักพัก พี่โอก็นึกสนุก ชวนพวกเราลองแกว่งไม้ที่ใช้ติดกับว่าวดุ๊ยดุ่ย

เพราะไม่มีว่าวจริงให้เราลองเล่นได้ เลยให้เราแกว่งเอาเอง เป็นการสาธิตให้ลองฟังเสียงดู



รอไม่นานนักให้พี่โอเตรียมอุปกรณ์ จากนั้นก็ออกมาตรงสนามหญ้า

เพื่อเล่นให้เราดูค่ะ พี่โอแกว่งไม้หมุนไปรอบๆ เสียงก็ดังขึ้นมา

~ ดุ๊ยดุ่ย~ ~ดุ๊ยดุ่ย~ ~ดุ๊ยดุ่ย~ ~ดุ๊ยดุ่ย~ ~ดุ๊ยดุ่ย~

งานนี้ทำเอาคุณเคทยืนมองตาแป๋วเป็นเด็กๆ เลย คุณเคทชอบมากๆ เอ่ยชมไม่หยุด



ว่าแล้วคุณเคทก็ขอลองเล่นดูบ้าง และคุณเคทก็เก่งมาก สอนง่ายจำเก่ง

พี่โอทำให้ดูแค่ครั้งเดียว คุณเคทก็แกว่งจนเสียงดัง ~ดุ๊ยดุ่ย~ ไปทั้งสนาม



ในที่สุดก็มาถึงคิวคะน้า คะน้านี่แหละตัวจริงบอกเลย!!

จับปุ๊บ งงปั๊บ!! 5555555 มันต้องจับยังไง แกว่งยังไง หนูงง!

คุณเคทกับพี่โอต้องมาช่วยสอน และ 80% คือคุณเคทสอนคะน้าไปอี๊กกก! โคตรหักมุม 5555



และนี่คือผลงานการแสดงของคะน้าค่ะ แทนทาดาแดนแถ่นแทนนนน~

......................................

......กริบ......

ท่ามกลางสายตาประณามของทุกคนรอบข้าง

แค่ไม่มีเสียงไม่พอ มีแกว่งมาฟาดหัวตัวเองไปอีก 5555555 กลับบ้านมั้ยลู๊กกกก!!



พี่โอเห็นท่าคะน้าจะจมดินเสียให้ได้ในตอนนั้น ก็เลยช่วยชีวิตคะน้าด้วยการแนะนำ

ของเล่นอีกหนึ่งชิ้นให้พวกเราได้ดูกันค่ะ นั่นก็คือ "กังหันลม"

คะน้าที่ยังคงแปล Eng ให้คุณเคทฟัง ก็ไม่รู้จะแปลยังไงเลยบอกไปว่า

"คอปเตอร์ไม้ไผ่ของโดราเอมอน" คุณเคทได้ยินก็ร้องอ้อทันที

พี่ๆ ที่อยู่ด้วยก็ขำกับทักษะด้านภาษาของคะน้า บอกว่าเข้าใจแปลดีเหลือเกิน

ประเด็นคือคุณเคทก็ยังอุตส่าห์เข้าใจ โถ~ แม่คุณ ทูลหัวของบ่าว 555555



กังหันลมของพี่โอ ทำขึ้นจากไม้ตะแบก (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) มีหลายขนาด

ตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และล่าสุดคือใหญ่มาก ยาวถึง 5 เมตร

กังหันลมนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านค่ะ ทำขึ้นเพื่อวัดกระแสลม หากมีลมแรง

กังหันจะหมุนและเกิดเสียงดังอันเป็นเอกลักษณ์ // ถ้าได้ฟังแล้วจะรู้ทันทีว่านี่คือเสียงกังหันลม

เนื่องจากชาวบ้านที่นี่มีอาชีพทำสวนตาล ต้องปีนขึ้นต้นตาลสูงลิบลิ่ว

หากเมื่อลมมาแรงๆ จะเป็นอันตราย จำเป็นต้องใช้กังหันลมคอยดักลมเพื่อเตือนนั่นเองค่ะ

ซึ่งกังหันลมถูกออกแบบให้พัดได้ในระดับแรงลมราวๆ 30 กม./ชม.

พี่โอเล่าว่าไม่มีคู่มือในการผลิต ต้องใช้ประสบการณ์ล้วนๆ เพื่อให้กังหันออกมาใช้งานได้จริง

และพี่โอกลัวเราจะนึกไม่ออกว่าเสียงของกังหันลมเป็นยังไง ดังมากแค่ไหน

พี่โอก็เลยลงทุนขี่มอเตอรืไซค์เพื่อให้ลมพัด และถือกังหันลมแสดงให้เราดูค่ะ

ปรากฏว่า...

พี่เขาขับไปถึงปากซอย เสียงดังป้าบใหญ่ๆ หนักแน่น จากใบพัดที่หมุนตามแรงลม

ดังมากกกกก ดังจากปากซอยจนถึงที่บ้าน คะน้าไม่คิดเลยว่าจะมีของแบบนี้อยู่บนโลก!!

พี่โอเล่าติดตลกให้ฟังว่า วันก่อนติดกังหันลมไว้รอบบ้าน พอลมมาเสียงดังลั่นไปทั้งตำบล

ต้องรีบวิ่งไปเอาลง ชาวบ้านไม่ด่าจ้ะ แต่ภรรยาด่าเอา 55555555



พี่โอพาเราลองเล่นของเล่นจนหมดบ้าน ก็เลยชวนเราทำว่าวด้วยตัวเองค่ะ

คะน้ากับคุณเคทได้ลองทำว่าวปักเป้า ซึ่งเป็นว่าวไทยอีกชนิดหนึ่งของไทย

พี่โอขึ้นโครงไม้ไผ่ไว้ให้แล้ว คะน้ากับคุณเคทเพียงแปะกระดาษสีที่ชอบเท่านั้น

คะน้าเลือกสีแดง คุณเคทเลือกสีเขียว แต่ใครจะไปรู้ แค่งานแปะกระดาษ

คะน้าก็เงอะๆ งะๆ อยู่นานสองนาน พี่โอมาช่วยนั่งกำกับให้ ค่อยรอดตายหน่อย โว้ว~



พอทำเสร็จ คุณเคทกระซิบคะน้า อยากจะเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาไทยบนตัวว่าว

คะน้าเลยเขียนคำว่า "เคท" ให้ดูเป็นตัวอย่าง และคุณเคทก็เขียนตาม

คะน้าเลยขอให้คุณเคทเขียนชื่อจริงของคะน้าเป็นภาษายูเครนให้บ้าง

คุณเคทก็จัดให้เลย และก็ออกมาเป็นแบบนี้แหละ ต่างคนต่างเขียนไม่คุ้นมือ 555555

"Канаkaянис"



ระหว่างที่นั่งทำว่าว คะน้าก็โดนแซวตลอดเลยว่า ว่าวของคะน้าลอยไม่ขึ้นแน่ๆ

เพราะคะน้าทำไปงงไป 5555 พอทำเสร็จ พี่โอก็ใจดีมาก พามาลองขึ้นว่าวให้รู้ๆ กันไป

เรามากันที่สนามหญ้าโรงเรียนวัดถ้ำรงค์ (ที่มาเมื่อวานนี้) วันนี้ไม่มีลมเอาซะเลย

แถมมีทีท่าว่าฝนจะตกอีก แต่พี่โอไม่ยอมให้เราเก้อ สอนเราขึ้นว่าวอยู่นาน

และในที่สุด!! ว่าวของคะน้าก็ลบคำสบประมาท เพราะลอยขึ้นไปลิ่วๆ เป็นตัวแรกเลย วะฮะฮ่า!!



ระหว่างที่เราเล่นกันอยู่นั้น เด็กๆ กลุ่มนี้ก็เดินมาดูด้วย คะน้ารักเด็กอยู่แล้ว (หืมมม)

ก็เลยชวนน้องๆ มาวิ่งเล่นด้วยกันซะเลย จะได้สนุกๆ หลายๆ คนไม่เหงาดี



ปรากฏว่า...

แทนที่จะเล่นว่าวให้เด็กมันดู กลายเป็น "น้องๆ สอนพี่หน่อยค่ะ" 555555

และน้องๆ คือเก่งกาจมากอ่ะ แค่กระตุกหน่อยเดียว ว่าวลอยปิ้วววว~ คืออะไรอ่ะ งง!

คะน้าวิ่งจนจะกลิ้งหลุนๆ มันยังไม่ลอยเลยนะ แงงง้~



เราวิ่งเล่นกันอยู่นานจนฝนเริ่มจะตกพรำๆ น้องๆ พากันแยกย้ายกลับบ้าน

แต่ยังเหลืออยู่ 3 คน คุณเคทเอ็นดูเด็กๆ เลยบอกให้คะน้ายกว่าวให้เด็กๆ ไปคนละตัว

เรามี 3 ตัวพอดี ของคุณเคท ของพี่โอ และของคะน้า เด็กๆ ดีใจ ยิ้มอย่างน่ารัก

แล้วก็พากันไปวิ่งเล่น คะน้ากับคุณเคทตอนนั้นคือบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอะไรกันแน่

คุณเคทบอกคะน้าว่า "พวกเด็กๆ น่ารักมาก" แล้วก็ย้ำวนๆ อยู่แค่คำนี้

ก่อนกลับ...เด็กๆ เดินมาหาแล้วถามคะน้าว่า "พี่คะน้าจะกลับมาที่นี่อีกมั้ยคะ"

เฮ้ย! คำถามโคตรธรรมดา แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันโคตรพิเศษ!!

คะน้าตอบน้องๆ ไปอย่างไม่ลังเลสักนิด "เดี๋ยวพี่จะกลับมา พร้อมพาเพื่อนๆ พี่มาด้วยค่ะ"

และ Reaction ของน้องๆ คือ "Yeahhhh!!" ร้องออกมาแบบนี้เลย โอโห! ซีนนี้น้ำตาจะไหลอ่ะ



ภาพนี้ยกให้เป็น Photo of the day ก็แล้วกัน รอพี่นะน้อง พี่จะกลับมาใหม่ ^^



พอกลับมาถึง ป้าสายก็ทำมื้อเย็นไว้รอเรา ดูสิ! แล้วคะน้าจะผอมได้ยังไง

ในเมื่อต้องพักอยู่ที่บ้านของเชฟมือหนึ่งของชุมชนแบบนี้นะ



หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่งคุยเล่นกับคุณเคทต่อ

ป้าลิซ่ายังคงไม่กลับบ้าน เพราะต้องอยู่ช่วยป้าสายเย็บกระทงเตรียมทำขนมตาล

คะน้าเลยชวนคุณเคทไปหัดทำกระทงด้วยกัน

ถ้าดูในรูปเหมือนคะน้ากำลังทำให้คุณเคทดูเป็นตัวอย่าง

แต่ความจริงนั้น..."เคท ทำไมตูดกระทงฉันไม่เท่ากันล่ะ" หักมุมป่ะ

จนจะหมดวัน คุณเคทก็เป็นผู้ชนะทุกแคมเปญค่ะ // คะน้าจะร้องไห้แล้วนะ 555555

จนราวๆ สามทุ่มกว่า...

กายหยาบเริ่มประท้วงเล็กๆ ว่าคะน้าควรนอน

คะน้าบอกคุณเคทว่า "Good night" แล้วก็หลับสนิทตลอดคืน zzzZ



วันที่ 3


"ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ รุกขชาติช่อดอกออกไสว

บ้างหล่นร่วงพวงผกาสุมาลัย ต่างเด็ดได้เดินดมบ้างชมดวง

ภุมรินบินว่อนเที่ยวร่อนร้อง เหมือนเสียงฆ้องหึ่งหึ่งล้วนผึ้งหลวง

เวียนประเวศเกษราบุปผาพวง ได้เชยดวงดอกไม้เหมือนใจจงฯ"

(นิราศเมืองเพชร : สุนทรภู่)



เช้าวันนี้พี่น้อยมารับขนมตาลที่บ้านป้าสายแต่เช้าตรู่ เพราะจะต้องเดินทาง

เข้ากรุงเทพฯ คะน้ากับคุณเคทเลยมีโอกาสได้ร่วมทำขนมตาลไปด้วย



เมื่อคืนไม่เข็ด พับเบี้ยวจนสงสารใบตอง เช้านี้ป้าสายเลยมานั่งกำกับคะน้าซะเอง

และเช้านี้คะน้าก็ทำได้ เย็บออกมาได้สวยเหมือนหน้าตา ค่อยกล้าคุยหน่อย 55555



คุณเคทช่วยหยอดขนมตาล และยกขึ้นเตานึ่ง...

ตอนหยอดนี่เทแม่นเหมือนหยอดมาตั้งแต่เกิด คืออยากบอกคุณเคทว่า

บางทีก็ไม่ต้องทำเป็นไปซะทุกอย่างก็ได้นะ เกรงใจเจ้าบ้านบ้าง 5555555

// คะน้าก็นั่งหงอยๆ ไม่กล้าหยิบจับอะไร กลัวจะพังมากกว่าช่วยเขาอ่ะ อ๋อยยยย~



รออยู่พักใหญ่ๆ ขนมตาลของป้าสายก็สุกได้ที่ จังหวะเปิดฝา คะน้าก็มายืนดู

พอเปิดฝาออกมา โอโหหห! ควันพุ่งใส่เต็มหน้าเลยจ่ะตอนนั้น 555555

// แล้วคนดีๆ ที่ไหนยื่นหน้าไปใส่เตากันเล่าาาา ปัดโธ่!



หยิบใส่จานขึ้นมาพัก คะน้ากับคุณเคทลองชิม เอ้ย! อร่อยยย หอมนุ่มมากๆ เลยค่ะ

เนื้อแป้งแน่นฟูหนึบกำลังดี รสหวานนุ่มลิ้น แต่เพราะเราสองคนเพิ่งจะทานข้าวมันไก่มาอิ่มๆ

(ทานระหว่างรอนึ่งขนม แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย ตอนนั้นน่าจะติดคุยงานกับลูกค้าอยู่)

ขนมที่เราแกะชิมก็มีทีท่าว่าจะทานไม่หมดชิ้น ชิ้นไม่ใหญ่ค่ะ แต่เราอิ่มกันมากจริงๆ

คะน้าบอกคุณเคทว่า "ฉันอิ่มแล้ว ชิ้นนี้ต้องกินไม่หมดแน่ๆ เลย"

คุณเคทตอบกลับยิ้มๆ "ฉันก็เหมือนกัน" คะน้านึกแกล้ง แบ่งชิ้นขนมในมือตัวเอง

แล้วป้อนคุณเคท คุณเคททำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้า จะคายก็ฝืดคอ ตอนนั้นเอง

คะน้าก็ขำจนน้ำหูน้ำตาไหล คุณเคทว่า "ไม่แฟร์เลย อิ่มเหมือนกัน ทำไมให้ฉันกินอยู่คนเดียว"

แล้วเราก็นั่งขำกันเอง คุณเคทเลยคาดโทษไว้ว่า "อย่าป้อนฉันตอนอิ่มๆ อีกนะ" 555555



ช่วงสายของวัน ป้าลิซ่ากับตาล ลูกสาวของป้าน้อย พาคะน้ากับคุณเคทนั่งรถพ่วง

อาสาพาไปดูวิธีการทำเครื่องพริกแกง เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของชุมชนถ้ำรงค์

เพิ่งเคยนั่งรถพ่วงแบบนี้ครั้งแรก สนุกดี คุณเคทก็อัพ Story IG เล่นไปตลอดทาง



กลิ่นเครื่องพริกแกงลอยล่องมาแตะจมูกจนจาม พอเดินเข้ามาถึงโรงครัว

ลุงป้าน้าอาที่ช่วยกันทำครัวอยู่ก็หันมาทักทายเรา เราเดินดู ถ่ายรูปเล่นกันอยู่สักพัก

"ลุงผู้ใหญ่บุญยงค์" ก็ชวนมาลองตำพริกแกง คะน้าให้คุณเคทตำครก เพราะคิดว่าเธอคงไม่เคย

คะน้าสอนเอง ย้ำ! รอบนี้คะน้าสอนนะ 55555

ตำไปสักพักไม่แหลกสักที คะน้าเลยมาตำเองในตอนท้าย ด้วยสกิลการใช้ครก

ระดับเทพเซียน พริกก็ย่อมแหลกละเอียดเป็นธรรมดา คุณลุงชมเปราะว่าคะน้าเก่ง

// อยู่มาสามวัน ทำอะไรเพิ่งจะเข้าท่าก็วันเนี้ย ขออวยนิดนึงนะ 5555555



เราอยู่ที่นี่กันไม่นานนัก คุณเคท กับป้าลิซ่าพากันซื้อพริกแกงกลับไปคนละถุงสองถุง

จากนั้นเราก็พากันออกไปหาข้าวเที่ยงทาน



วันนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศ พาคุณเคทมานั่งร้านอาหารตามสั่งแบบไทยๆ ดูบ้าง

คะน้าบอกคุณเคทว่า "ที่นี่ต้องสั่งเอาเองนะคะ ว่าอยากทานอะไร"

คุณเคทชอบทานข้าวผัด เราเลยสั่งข้าวผัดทะเลมาให้ พอข้าวมาเสิร์ฟ

แม่คุณก็บีบมะนาวด้วยท่าทางที่คล่องมือมาก แล้วก็ทานจนเกลี้ยงเลย ^^

คะน้าถามว่า "อร่อยมั้ย" (เป็นภาษาไทย)

คุณเคทตอบกลับว่า "อาหร่อยมาก!" นับวันยิ่งพูดชัด สงสัยครูจะหน้าตาดี เอ้ย! สอนดี แฮร่!!



และเพราะวันนี้พี่น้อยไม่อยู่ ตาลเลยต้องเป็นคนพาคะน้ากับคุณเคทเที่ยวเล่นกันเอง

ตาลขับรถพ่วงเก่งมาก พาเราขับอ้อมภูเขา ไปดูลิง ไปชมวิวเล่นๆ อารมณ์ City tour มากอ่ะ



ระหว่างทางลิงเยอะถึงเยอะที่สุด ไปทางไหนก็มักเจอลิงเสมอๆ

ที่นี่ลิงชีวิตดี๊ดีมากนะคะ ชาวบ้านในชุมชนมีกิจกรรมขึ้นเขาไปปลูกป่าให้ลิง

โดยต้นไม้ที่นำไปปลูก จะออกผลที่ลิงกินเป็นอาหารได้ด้วย คะน้าอยากมีโอกาส

ได้อยู่ตอนช่วงที่เขาขึ้นไปปลูกป่าบ้าง คะน้าชอบเดินเขา ต้องสนุกมากแน่ๆ เลย

#ทีมภูเขา ต้องมาแล้วนะ



ระหว่างทางคะน้าอยากถ่ายรูปมุมไหน คะน้าก็ขอให้ตาลจอดรถให้ค่ะ

คะน้าชวนคุณเคทมาเก็บภาพสวยๆ ไว้เพียบเลย



สิ่งที่คะน้าชอบที่นี่ก็คือ การรักษาป่าไม้ของที่นี่ค่ะ มองไปทางไหน ไม่มีตรงไหนที่ไม่เขียว

เลยเป็นที่มาของหนึ่งในวรรค จากบทนิราศเมืองเพชรที่คะน้าเลือกเขียนนั่นเองค่ะ

เพราะที่นี่เดินไปทางไหนก็ไม่ร้อน เงาไม้ให้ร่มไปตลอดทาง

ต้นตาล ต้นยางนา ขึ้นระรายทางให้เห็นเป็นทิวสวย แถมผู้คนที่นี่ใจดี

เจอหน้านี่รอยยิ้มนำมาก่อนแล้ว เป็นความรู้สึกที่น่ารัก และประทับใจที่สุดของคะน้าเลย

คำพูดและน้ำเสียงไพเราะ ภาษาเพชรบุรีท้องถิ่นก็ฟังง่าย เข้าใจง่าย

คือยิ่งอยู่ ยิ่งหลงรัก คะน้าอยากให้ทุกคนมาที่นี่สักครั้ง อยากให้มามากๆ จริงๆ จากใจ

แล้วทุกคนจะรู้ว่า Storytelling ของคะน้า...คือความจริงที่สุดแล้ว!!



ตาลพาคะน้ากับคุณเคททัวร์จนรอบชุมชนอยู่นาน ก็กลับมาพักที่บ้าน

เพราะช่วงบ่าย คะน้ากับคุณเคทแพลนจะอยู่บ้าน เพื่อชาร์จพลังกลับมาสักหน่อย

ป้าสาย ที่อยู่บ้านกำลังเตรียมเครื่องครัวไว้สอนเราทำอาหารพื้นบ้านขึ้นชื่อของที่นี่

นั่นคือ "แกงหัวตาล" คงกลัวว่าเราอยู่บ้านแล้วจะหงอยสินะ น่ารักจริงๆ เลย



ใช้เวลาไม่นานนัก คะน้ากับคุณเคทก็ช่วยกันทำแกงหัวตาลเสร็จจนได้

แล้วป้าสายก็เฉลยว่า นี่คือมื้อเย็นของเรา // ตอนนั้นคิดในใจแล้วว่า จะกินได้มั้ยนะ 5555



ผ่ามมมมมมมมม!!!

และแล้วเวลาทานมื้อเย็นก็มาถึง ป้าสายทำน้ำพริกมะม่วงไว้ให้ และหนึ่งในนั้นคือ...

แกงหัวตาลของคะน้ากับคุณเคทค่ะ และก็มีผัดผักโขมกับต้มข่าไก่

พอคะน้าเห็นเมนูวันนี้แล้ว คิดในใจเลยจ่ะ "ถ้าแกงหัวตาลไม่รอด แต่เราก็รอดนะ"

หลังจากลุ้นอยู่นาน ในที่สุดคะน้ากับคุณเคทก็เป็นผู้ชนะในเคมเปญ "แกงหัวตาล" จนได้

และไม่ใช่แค่ทานได้เท่านั้น แต่มันอร่อยมากด้วย อุบ๊ะ! // จะขี้คุยอะไรขนาดนั้นอ่ะ 5555



ก่อนลาไปนอนพักชาร์จพลังในคืนนี้...อยากบอกว่า "ลอดช่องน้ำกะทิ" อร่อยมากนะจริงๆ



วันที่ 4



เช้าวันนี้อากาศเย็นสบายค่ะ เมื่อคืนนี้พี่น้อยบอกว่า วันนี้จะพาคะน้ากับคุณเคท

ไปปล่อยปูลงทะเลกัน เกิดมาเคยแค่ปล่อยปลา วันนี้จะได้ปล่อยปู ตื่นเต้นมากเลย

แต่ระหว่างทาง เราเห็นชาวบ้านกำลังทำนาเกลือกันอยู่ค่ะ

พี่น้อยเลยจอดรถแวะให้เราลงไปดูใกล้ๆ



พี่ๆ เขาชวนคุย ถามไถ่ทักทายกันตามประสา และได้คุยเกี่ยวกับการทำนาเกลือมาเล็กๆ น้อยๆ

พี่ๆ บอกว่า ลานนี้คือลานตากเกลือ ต้องตากสิบแดด ถึงจะขนย้ายเข้าโกดังแบบนี้ได้ค่ะ



พอเดินตามมาดูที่โกดัง โอโหหหห! เหมือนหิมะเลย ขาวโพลนไปหมด

คะน้าถ่ายรูปเล่นอยู่ไม่นานนัก เพราะไม่อยากรบกวนพี่ๆ เกินไป เราไปต่อกันเลยเนอะ



นั่งรถต่อมาอีกไม่ถึงสิบห้านาที เราก็มาถึง "แหลมผักเบี้ย" กันแล้ว

ที่นี่เป็น โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ค่ะ

ด้านหน้าทางเข้า มีร้านค้าของชาวบ้าน ของดี ของสด และราคาไม่แพงด้วยนะคะ



จากนั้นพี่น้อยก็พาคะน้ากับคุณเคทนั่งรถเพื่อเข้าไปด้านในค่ะ



วันนี้ป้าลิซ่ามานั่งรถเล่นไปกับเราด้วยค่ะ น่ารักตลอดเลยคนเนี้ย



ระหว่างที่รถพาเราชมวิวไปเรื่อยๆ นั้น ก็จะมีเปิดเสียงบรรยายให้ฟังไปด้วย

แต่เป็นบรรยายไทย คะน้าเลยต้องแปลเป็น Eng ให้คุณเคทฟังอีกที

ที่นี่หลักๆ คือพื้นที่ทำระบบบำบัดน้ำเสียค่ะ แต่เป็นการบำบัดขนาดใหญ่

โดยใช้กลไกธรรมชาติบำบัดตัวเอง โดยอาศัยแสงแดด สายลม และพืชค่ะ



ที่นี่แปลงทดลองปลูกหญ้าหลายชนิดมากๆ รวมถึงพันธุ์ข้าวต่าวๆ ด้วยค่ะ

อย่างหญ้าธูปฤาษีแปลงนี้ มีบทบาทในช่วยปล่อยออกซิเจนในรากลงไปในน้ำ

ทำให้น้ำเสียกลายเป็นน้ำดีได้ โดยเมื่อครบ 90 วัน จะทำการตัดต้นออกมา

โดยหลังจากตัดแล้ว จะนำส่งต่อให้กลุ่มแม่บ้านที่ทำเครื่องจักรสานต่อไปค่ะ

เป็นประโยชน์หลายต่อมากๆ เลย



และรถก็มาส่งเราที่สะพานไม้ เป็นทางเดินไปศึกษาเรื่องของระบบนิเวศป่าชายเลนค่ะ

ที่นี่มีระยะทางกว่า 850 เมตร ล้อมๆ จะโอบล้อมไปด้วยป่าโกงกาง ต้นแสม และรูปู

แดดไม่ร้อนแน่นอนค่ะ ร่มซะขนาดนี้ แต่เพราะเดินค่อนข้างยาวไกล

แดดไม่ร้อนแต่ลมก็ไม่มีเช่นกัน ระหว่างเดินควรพกน้ำดื่มติดไปด้วยค่ะ



ตลอดทางเดินคะน้าเห็นแต่ปู พอมาเจอปลาตีนตัวเป็นๆ คะน้าก็ตาวาวเลยค่ะ คะน้าหิว ผิด!! 555555

คะน้าไม่เคยเห็นต่างหากเล่า เคยได้ยินแต่ชื่อ ปลาอะไรไม่อยู่ในน้ำ แถมวิ่งได้ด้วย แงงงง้!!~



ป่าชายเลน ทำหน้าที่บำบัดน้ำเสียก่อนที่จะไหลลงสู่ทะเลค่ะ

จึงเป็นที่มาของโครงการป่าชายเลน ที่อยู่ริมทะเลแบบนี้เอง



ปูเยอะแยะไปหมดเลย เดินไป มองไปทางไหนก็เห็นค่ะ

ปูที่นี่มีหลายสายพันธุ์มากๆ แต่คะน้าจำไม่ได้ว่ามีพันธุ์อะไรบ้าง

ซึ่งระหว่างทางเดินทั้งสองข้าง จะมีป้ายปักบอกไปตลอดทาง

แนะนำว่าในป่าชายเลนแห่งนี้มีสัตว์อะไรอยู่บ้างค่ะ



และเมื่อเดินมาจนสุดทาง โอโหหหห!! นึกถึงตอนเรียนวิชาภาษาไทยตอน ป.1 เลยค่ะ

"นา มี รู งู นา มี รู ปู มานี พา โต หา ปู" เคยท่องกันมั้ยคะ 55555

ปูเยอะมากกกก เยอะแบบเยอะมากๆ ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี เยอะสุดลูกหูลูกตา

ในภาพที่เป็นจุดๆ นี่ปูล้วนเลยๆ ค่ะ ทึ่งไปเลย ไม่เคยเห็นปูมากองรวมกันขนาดนี้



เดินถ่ายรูปเล่นจนหนำใจ ระยะทางไกลขอนั่งพักแป็บนึง

นั่งพักต้องอมยิ้มนิดนึง เพราะรู้ว่ามีกล้อง แต่ต้องทำว่าไม่รู้ จะได้ไม่โป๊ะไง

เผลอเก่งงง เผลอไม่หยุด ไม่โป๊ะเลย // กรุณาอ่านด้วยเสียงพี่เอม ตามใจตุ๊ดค่ะ 5555



ออกจากป่าชายเลน แหลมผักเบี้ย พี่น้อยก็พามาต่อกันที่ไฮไลท์ของวันนี้ค่าาาา

คะน้ารอมาที่นี่อย่างใจจดใจจ่อ ที่นี่คือ "ธนาคารปู" นั่นเอง



ถังพลาสติกกว่า 80 ใบ ภายในมีแม่พันธุ์ปู ถังละ 1 ตัวค่ะ

ต้องใส่สายอ๊อกซิเจนด้วยนะคะ เพราะในถังไม่มีอากาศและแสงจากธรรมชาติ เหมือนในทะเลค่ะ



คุณป้าอัจฉรีย์ หรือที่พี่น้อยเรียกว่า "ผู้ใหญ่" เดินมาทักทายพวกเรา

และยังใจดีช่วยสอนวิธีการเลี้ยงปูกับเราด้วยค่ะ

คุณป้าเล่าว่า แม่ปูจากที่นี่คือ จะเป็นปูไข่นอกกระดอง ได้มาจากชาวประมงจับติดอวนขึ้นมา

ก็จะคัดแยกตัวที่มีไข่แบบนี้ มาให้ไว้ที่ธนาคารปู เพื่อดูแลเลี้ยงดูต่อไปค่ะ

ขนาดของแม่พันธุ์ปูมีทั้ง เล็ก กลาง และใหญ่ ค่ะ ซึ่งปริมาณการให้ไข่จะมากขึ้นตามลำดับ

โดยที่ตัวใหญ่สุดจะสามารถให้ไข่ลูกปูได้มากถึง 1 ล้านตัวเลยค่ะ ขุ่นพระ!!

ซึ่งไข่ของแม่ปูจะมีหลายสีค่ะ สีส้ม สีเทา และสีดำ แต่ละสีจะบอกสถานะที่พร้อมให้กำเนิดค่ะ

โดยไล่จาก เพิ่งตั้งไข่ ตั้งไข่มาสักพัก และไข่พร้อมให้กำเนิด ตามลำดับค่ะ



คุณป้าบอกว่า จุดๆ ในน้ำคือไข่ปูค่ะ มาจากไข่นอกกระดอง แล้วแม่ปูก็ปัดไข่ออกมาแบบนี้

ทุกเช้าจะมีเจ้าหน้าที่มาเดินดูในถัง ถังไหนแม่ปูปัดไข่แล้ว จะแยกแม่ปูออกจากถังทันที

เพราะแม่ปูจะคิดว่าไข่ตัวเองเป็นอาหารไปซะก่อนค่ะ เมื่อแยกแล้ว ก็จะนำน้ำที่มีไข่ปู

ไปปล่อยเทที่ทะเลค่ะ โอกาสรอดของไข่อยู่ที่ 10% ของปริมาณไข่ทั้งหมดเท่านั้นเอง



มาละจ้าาา!! ในถังคือไข่ปูค่ะ คุณป้าใจดีให้พวกเรามาปล่อยกันคนละถัง

การปล่อยก็ไม่ได้ยากค่ะ แค่เทน้ำให้ไหลลงไปในทะเลดื้อๆ เลย เดี๋ยวน้ำก็พัดลงไปเอง

และทะเลแห่งนี้คือ "หาดทรายเม็ดแรก" ค่ะ

ชื่อชายหาดน่ารักมาก ฟังดูเลอค่า พี่น้อยบอกว่า ที่ตั้งชื่อนี้เพราะที่นี่เป็นหาดทรายแรกอยู่

ต้นทาง ที่เป็นรอยต่อชายฝั่งระหว่างหาดโคลน จ.สมุทรสงคราม และหาดทราย จ.เพชรบุรี ค่ะ



เพี้ยงงง~~ ขอให้รอดทุกตัวนะน้องปู โตเป็นปูก้ามโตใหญ่ๆ เลยนะ สู้เขาลูก!!



ปล่อยปูเสร็จแล้ว พี่ๆ บอกว่า มาเพชรบุรีต้องกินปู เป็นอาหารทะเลขึ้นชื่อของที่นี่

คะน้านี่นั่งเลิ่กลั่กไปหมด คือเพิ่งปล่อยไข่ปูไปเมื่อกี้นี้ ทำใจไม่ได้จริงๆ จ่ะ 55555

มื้อเที่ยงริมทะเลของเรา เลยสั่งอะไรก็ได้ ที่ไม่มีปู ^^

คุณเคทปลอบใจว่า "เราปล่อยปูไปเป็นพันๆ ตัว เรากินแค่ไม่กี่ตัวเอง ไม่เป็นไรหรอก"

โถถถถ~ ทูลหัวของบ่าว คะน้าเห็นด้วยนะคะ แต่คะน้ายังทำใจไม่ได้อยู่ดี 55555



หลังจากอิ่มมื้อเที่ยงมาแล้ว พี่น้อยก็พาเรามาต่อกันที่ฟาร์มสาหร่ายพวงองุ่นค่ะ

คือพี่น้อยพาเที่ยวเก่งจริงๆ มาแต่ละที่ หาดูยากๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ



ฟาร์มสาหร่ายทะเล ใช้ที่นาเป็นบ่อน้ำค่ะจากนั้นก็ใส่นำทะเลเข้ามาในบ่อ

เพราะสาหร่ายพวงองุ่นต้องอยู่ในน้ำเค็มค่ะ ซึ่งความเค็มของน้ำที่จะปลูกสาหร่ายได้ดี

ต้องมีค่าความเค็มที่ละลายในน้ำประมาณ 20-30 ppt (part per thousand) ค่ะ

โดยใช้เครื่องวัดความเค็ม (Salinity Refractometer) คอยวัดค่ะ



คุณลุงเจ้าของฟาร์มใจดีสุดๆ ให้เราเดินชมได้ทั่วเลย

ทั้งยังสอนวิธีการเลี้ยงสาหร่ายให้เราด้วยค่ะ คุณลุงเล่าว่า สาหร่ายแก่จะมีสีแดง

ต้องตัดทิ้งออกจากพวง ใช้เป็นแม่พันธุ์ต่อไปค่ะ โดยวิธีเดียวกับการดำนา

คือปักลงไปในโคลนใต้น้ำเค็มค่ะ จากนั้นเขาก็จะขยายพันธุ์ไปได้เอง

ส่วนที่เห็นอยู่ในถังสีฟ้า คือเป็นสาหร่ายพร้อมขายค่ะ คือคัดไว้แล้ว

และที่ต้องเปิดอ๊อกซิเจน ก็เพื่อตีน้ำเป็นการชะล้างสาหร่ายไปในตัวค่ะ



คุณลุงแนะนำว่า เวลาซื้อไปทาน ห้ามแช่ตู้เย็น และถ้าจะทาน ต้องล้างน้ำเปล่าแค่ปริมาณที่ทาน

เพราะสาหร่ายจะไม่สามารถอยู่ได้ ถ้าโดนน้ำจืดค่ะ และถ้าในช่วงฤดูฝน หากฝนตก

ในบ่อเลี้ยงก็ต้องทำการถ่ายเปลี่ยนน้ำด้วยเช่นกัน ไม่ง่ายเลยนะคะเนี่ย



วันแห่งทะเลมากค่ะ ที่นี่คือ "หาดเจ้าสำราญ" คุณเคทอยากเล่นน้ำทะเล

เพราะเป็นคนชอบว่ายน้ำ และว่ายเก่งมาก เป็นถึงแชมป์เลยทีเดียว

วันนี้พอรู้ว่าจะได้มาเล่น ก็ร้องดีใจใหญ่เลยค่ะ ผิดกับคะน้ามาก

เพราะนอกจากจะลอยตัวเหมือนลูกหมาตกน้ำแล้ว ก็ไม่สามารถทำอะไรในน้ำได้อีกเลย 55555



พี่น้อยเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า ถึงที่มาของชื่อ "หาดเจ้าสำราญ" ว่า สมัยก่อนสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เคยเสด็จมาที่นี่กับสมเด็จพระเอกาทศรถ และทรงชื่นชอบความงดงามที่นี่มาก

จึงเรียกที่นี่ว่า "เจ้าสำราญ" นั่นเอง



ได้เล่นน้ำแล้ว ยิ้มแฉ่งเลยน้าาา



ตกเย็น พี่น้อยบอกว่า วันนี้มีงานวัดที่วัดใหญ่สุวรรณาราม

เป็นงานส่งเสริมวัฒนธรรม จึงพาคะน้ากับคุณเคทมาเดินงานวัดค่ะ

เอาเซ่! ธีมงานวัดก็มาาาา



คะน้าเดินถ่ายรูปอยู่ดีๆ คุณเคทก็เงียบหายไป

หันมาอีกทีโน่น! หนีมานวดหน้าพริ้มอยู่ที่ร้านขายเครื่องหอมนี่เอง

คุณเคทบอกว่า นวดแผนไทย คนไทยไม่ว้าว แต่ชาวต่างชาติแบบเธอ ชอบมากๆ เลยนะ

อ่ะ! เชื่อแล้วจ้าาา!



เอ๊ะใครหน้าคุ้นๆ พี่โอก็มาเปิดร้านที่งานด้วยเช่นกันค่ะ

มาโชว์ฝีมือการทำว่าวไทยให้ได้ชมกันสดๆ เลยค่ะ



มีเวทีการแสดงด้วยค่ะ เช่น ลำตัด รำไทยสี่ภาค เป็นต้นค่ะ



คะน้ากับคุณเคทเดินมาเรื่อยๆ จนได้เจอกับร้านขายดอกไม้สานจากใบตาลค่ะ

พี่น้อยแนะนำให้รู้จักกับ "พี่หนุ่ย" ประธานกลุ่มจักรสานค่ะ

ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดมาจากการที่จังหวัดเพชรบุรี มีสวนตาลเยอะมากๆ นั่นเองค่ะ



พี่น้อยนึกสนุก อยากให้คะน้าได้ลองทำดู เลยฝากฝังคะน้าให้กับพี่หนุ่ยช่วยสอนให้

และในรูปนี้คือยังไม่ได้ทันได้สอนเลย เราก็แหย่กันเล่นแล้ว 55555 คะน้าเจอมวยถูกคู่ซะแล้ว



ทำไมสายตากับมือไม่สัมพันธ์กัน อ่อ! พี่ช่างภาพเอาขนมมาวาง 5555555

คะน้าลูกกกก หนูต้องตั้งใจเรียนก๊อนนน!!



ในขณะที่คะน้านั่งสานปลาตะเพียนเบี้ยวไปเบี้ยวมาอยู่นั้น...

คุณเคทมาเหนือเลยค่ะ สานมงกุฏไปอีกกกก!!



ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย ผลงานของพี่หนุ่ยสวยๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ

คะน้าชอบพวงมาลัยมาก สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นเลย ขอบคุณพี่หนุ่ยมากๆ นะคะ

ที่ช่วยสอนคะน้ากับคุณเคททำของเล่นน่ารักๆ ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายค่ะ สนุกดี

วันหลังจะมาป่วนใหม่นะคะ 555555



เมื่อคะน้ากลับมาถึงบ้าน คะน้าเห็นกองส้มก็วิ่งปรี่เข้าไปดู

ป้าสายบอกว่านี่คือมะนาว ไม่ใช่ส้ม! โอโห! นี่ถ้าบีบใส่ต้มยำไปทั้งลูก มีจี๊ดจนขนลุกกันมั่งอ่ะ

นี่คือผลผลิตในสวนของป้าสายเองค่ะ เห็นลูกใหญ่ๆ แต่ไม่ใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ



ถัดจากกองมะนาว ป้าสายได้ทำชุดใส่บาตรเตรียมไว้ให้ด้วยค่ะ

พรุ่งนี้เช้าเราต้องตื่นไปใส่บาตรกันแต่เช้า คืนนี้คะน้าขอไปพักผ่อนนะคะ



วันที่ 5



เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวง ร.10 คะน้ากับคุณเคทเลยตื่นกันแต่เช้า

เพื่อขอตามป้าสายไปทำบุญใส่บาตรที่ อบต.ชุมชนถ้ำรงค์

ของใส่บาตร ป้าสายตระเตรียมไว้ให้ทุกคนตั้งแต่เมื่อคืน

ตอนเช้าก็มาเตรียมตั้งโต๊ะให้แต่เช้าตรู่ ชาวบ้านมากันเยอะแยะมากมาย

เช้าวันนี้ในชมชนถ้ำรงค์เลยเห็นภาพคึกคักที่สุดตั้งแต่อยู่มา



ในพิธีมีพระสงฆ์มานำสวดมนต์ คะน้าอธิบายขั้นตอนให้คุณเคทฟังคร่าวๆ

ในระหว่างที่พระสวดมนต์อยู่นั้น คุณเคทก็พนมมือตามคะน้าตลอดเลย

คะน้าบอกคุณเคทให้ขอพรที่ต้องการด้วย ตอนยกชุดใส่บาตรขึ้นจบอธิษฐาน



ด้านหน้า อบต. มีสมุดลงนามถวายพระพร คะน้าชวนคุณเคทมาเขียนด้วยกัน

เปิดสมุดมามีแต่ภาษาไทย คุณเคทก็น่าเอ็นดู ถามว่าเขาเขียนอะไรกัน

คะน้าชี้ให้ดู ช่องแรกเขียนชื่อจริง ช่องต่อมาเขียนที่อยู่ และช่องสุดท้ายคือลายเซ็น

ซึ่งตรงช่องที่อยู่ คะน้าให้คุณเคทเขียนแค่คำว่า "Ukraine"

เขียนเพื่อลงนามร่วม Happy Birthday to the our king.



จนราวๆ แปดโมง หลังจบพิธีสวดมนต์ พระสงฆ์กว่าสามสิบรูปได้เดินบิณฑบาตร

มาจากหน้าวัดถ้ำรงค์ ชาวบ้านไล่เรียงใส่บาตรเป็นภาพที่สวยงามตลอดทาง

ไม่นานนัก พระก็เดินมาถึงคะน้า คะน้าเห็นทีว่าชุดใส่บาตรที่ป้าสายเตรียมให้ไม่น่าจะพอ

เลยบอกคุณเคทให้จับมือคะน้าและใส่บาตรด้วยกันแทน ^^



เสร็จจากพิธีใส่บาตรเช้า เราก็กลับมาที่บ้าน เพื่อทานข้าวเช้ากันก่อน

วันนี้ป้าสายทำข้าวผัดกุนเชียงให้ทาน หน้าตาอาหารและรสชาติไม่สามัคคีกันเท่าไหร่นัก

เพราะหน้าตาดูดี แต่รสชาติดีกว่าหน้าตาไปมาก ทำไมต้องทำอะไรอร่อยทุกมื้อด้วยค่ะป้า

หนูจะกลิ้งกลับบ้านแล้วนะเนี่ย 555555



นี่คือชาดอกอัญชัน คะน้าเห็นว่าน้ำสีสวยดี เลยอดไม่ได้ต้องยกกล้องถ่ายเก็บมา

ดอกอัญชันจากรั้วหน้าบ้าน และน้ำร้อนจากกาของเพื่อนบ้าน ชีวิตดี๊ดีอะ 55555



กองทัพต้องเดินด้วยท้องอิ่ม และนี่คืออิ่มแล้ว ฮึกเหิมมากค่ะ

ป้าสายชวนมาหาป้าลิซ่าที่บ้านบ้าง เพราะทุกวันป้าลิซ่ามาหาคะน้ากับคุณเคทตลอด

คะน้าก็อยากไปเที่ยวเล่นบ้าง เลยไม่ปฏิเสธ ควงแขนคุณเคท บอกว่า...

"เราไปบ้านลิซ่ากันเถอะ" จนจะกลับแล้วคุณเคทจะรู้มั้ยนะ ว่าชื่อไทยป้าลิซ่า ชื่อป้าเทียบ 5555

พอมาถึง ป้าลิซ่าก็ยิ้มสวยให้เราเหมือนทุกวัน ก่อนจะชวนคะน้ามาเดินดูสวนในบ้าน

บ้านป้าลิซ่าพื้นที่กว้างขวางน่าวิ่งเล่นมาก ปลูกต้นไม้ไว้ซะเยอะไม่แพ้ใครในชุมชน

นี่คือต้นลูกเชอร์รี่ ผลดกและสีสวยไปทั้งต้นเลยค่ะ



แล้วป้าก็พาคะน้าเดินเข้ามุมอย่างกับ มุมนี้ถูกตีรั้วด้วยสังกะสี

ภายในมีกองแกลบชื้นๆ อยู่สูงราวๆ เมตรเศษๆ และมีหัวตาลกองอยู่เต็มไปหมด

มุมนี้คือมุมเพราะกล้าต้นตาลค่ะ ป้าลิซ่าเดินเข้ามาแล้วก็ดึงรากที่เลี้ยงไว้ขึ้นมาให้ดู

ลักษณะเหมือนถั่วงอกเลย คืองอกจากหัวตาล และแทงรากลงไป



ป้าลิซ่าดึงรากขึ้นมาให้ดูสามสี่หัว รากยาวมาก แต่ป้าบอกว่า ถ้ามันม้วนปลายๆ

ให้ทิ้งได้เลย เพราะมันเสี่ยงที่จะเพาะเป็นต้นใหญ่ไม่สมบูรณ์

ป้าลิซ่าอวดผลงานให้คะน้าดู โดยการหยิบรากที่ดึงขึ้นมาให้คะน้างงในตอนแรก

มาทำการตัดเปลือกรากออก เพื่อเห็นรากอ่อนที่อยู่ด้านในอีกที



ป้าบอกว่าที่ตัดให้รากสั้นลง เพื่อที่จะใส่ถุงเพาะกล้าได้ง่าย

รากไม่แทงก้นถุง ก่อนจะคว้าจอบมาพรวนดิน ป้าบอกว่าดินอะไรต้นตาลก็โตได้ทั้งนั้น

แล้วคือตอนดึงรากต้นตาลอ่อนขึ้นมาจากกองแกลบ คะน้าก็งงมาแล้ว

ยังแสดงอภินิหารย์ X-Men ยกจอบให้ดูอีก นี่ป้าไปเอาความแข็งแกร่งขนาดนี้มาจากไหนกัน



ออกมาจากบ้านป้าลิซ่า พี่น้อยก็พาเรามาดูการละเล่นวัวลานกันต่อ

การละเล่นวัวลาน เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวบ้านที่ทำนา เมื่อฤดูทำนาจะใช้วัวนวดข้าว

แต่หลังจากฤดูเก็บเกี่ยว ด้วยความที่ผืนนาว่างเหว่ว้า ชาวบ้านเลยชวนกันมาเล่นสนุกๆ

ซึ่งปกติการนวดข้าว จะมีเสาใหญ่เอาไว้คล้องเชือกวัว แล้วให้วัวเดินวนย่ำข้าว เรียกว่าการนวดข้าว

แต่เมื่อเป็นการแข่งขันวัวลาน จากวัวที่เดิน จะต้องวิ่งแข่งกันแทน



โดยกติกาคือ รวบรวมทีมวัว 19 ตัว เรียกว่า "พวง" พวงวัวคือทีมวัวนั่นแหละค่ะ

ใน 1 พวงจะมีวัว 19 ตัว มีตัวแรกที่ผูกติดคาน เรียกว่า "วัวคาน" และตัวปิดรอบวงนอก

จะเป็นตัววิ่ง วิธีการแข่งขันคือ พวงทีมเหย้า จะคล้องเชือกวัวเข้ากับเสา 18 ตัว

ตัวที่ 19 จะเป็นของวัวทีมเยือนที่มาท้าแข่ง วิธีการสู้กันคือ

ทีมเยือนจะต้องวิ่งให้วัวคานของทีมเหย้าหมดแรงก่อนให้ได้

การละเล่นนี้ปกติจะเล่นกันตอนกลางคืน เพราะวัวจะไม่ร้อน ทีมไหนชนะ จะมีรางวัลที่คุ้มค่าเสมอ

เช่นแลกวัวกัน หรือสมัยนี้ก็เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าค่ะ เช่น พัดลม ทีวี เป็นต้น



หลังจากการแข่งขัน หากมีวัวบาดเจ็บเป็นแผล จะรักษาโดยการพาไปลงทะเลค่ะ

น่ารักมากกกก ดูเจ้าวัวสิ ดูสนุกสนานเกินไปมาก สวนสยามแห่งวัวที่แท้ 55555



ถัดจากการละเล่นวัวลาน พี่น้อยพาขับรถมาต่ออีกไม่ไกลกันนัก

พาคะน้ากับคุณเคทมาที่บ้านไส้เดือนค่ะ คุณลุงคุณป้าเลี้ยงไส้เดือนเอาไว้เพียบเลย

เพื่อทำปุ๋ยมูลไส้เดือนนั่นเอง คะน้าไม่เคยเห็นไส้เดือนอยู่รวมกันเยอะๆ แบบนี้มาก่อน

ตื่นเต้นมาก นั่งเล่นอยู่นั่นแหละ 555555 ณ จุดนี้คือวงแตกนะคะ ไม่มีใครเข้าใกล้คะน้าเลย

แงงง้ หนูผิดอะไร๊!!



ระหว่างนั่งเล่น คุณลุงก็สอนไปด้วยนะคะ น่ารักมากเลย คุณลุงเล่าว่า...

เริ่มแรกเราต้องนำมูลวัวสด มาแช่น้ำไว้เจ็ดวันในบ่อปูน ปิดฝาบ่อด้วยสังกะสีแผ่น

จากนั้นเปิดฝาบ่อและตากแดดไว้อีกสามวัน เพื่อให้น้ำระเหยออกจากมูลวัว

จากนั้นเอามาใส่กะละมังใบละสามกิโลกรัม แล้วใส่ไส้เดือน 2.5 กิโลกรัมต่อกะละมัง

จากนั้นคือการเลี้ยงไส้เดือน ไส้เดือนจะทานมูลวัวในกะละมังเป็นอาหารค่ะ

นั่งฟังอยู่คนเดียว เพราะคุณเคทหนีไปอยู่ในเล้าไก่ อุ้มไก่เล่นค่ะ

ไก่น่ารักกว่าไส้เดือนตรงไหนกัน งง??



จากนั้นรอสิบห้าวันถึงหนึ่งเดือน เพื่อประมาณการว่าในกะละมังนั้นจะมีปริมาณของ

มูลไส้เดือนที่ขับถ่ายมาตลอดทั้งเดือนมากพอแล้ว ก็จะตักบรรจุใส่ถุงขายค่ะ

คุณลุงขายถูกมากนะคะ กรรมวิธีนานขนาดนี้ ขายถุงละ 20 บาทเท่านั้นเอง!!



ยกมือไหว้กล่าวลาคุณลุงคุณป้า และบ๊ายบายน้องไส้เดือน พี่น้อยก็พาคะน้ากับคุณเคท

ตะลอนมาอีกที่หนึ่งแล้วค่ะ 5555555 จะพาเที่ยวเก่งอะไรขนาดนี้นะ

นั่งรถมาไม่นาน เราก็มาถึง "สวนตาลลุงณรงค์" ค่ะ



ลุงณรงค์คือหลานของลุงถนอมนั่นเองงงง!!!

นี่คือภาคต่อของงานสวนตาลเลยจ่ะ ภาคแรกเราพาไปรู้จักวิธีการเก็บน้ำตาลสดกันมาแล้ว

หลังจากผ่านความยากลำบากนั้นมา น้ำตาลสดแต่ละกระบอกจะถูกส่งมาที่นี่ค่ะ



คุณลุงนำกระบอกน้ำตาลมาเทลงกระจาดกรองน้ำ พอเทออกมาเศษไม้เพียบเลย

คะน้ายืนเหวออยู่ ก่อนคุณลุงจะเฉลยว่านี่คือ "ไม้พะยอม" เป็นสารกันบูดในน้ำตาลสดค่ะ

คือเป็นการสารกันบูดจากธรรมชาติ ที่นี่จะไม่ใช้เคมีใดๆ ทั้งสิ้น คะน้าพูดมากไปหน่อย

คุณลุงคงรำคาณ เลยเอาเศษไม้พะยอมให้อมเล่นๆ ไปพลาง รสออกขมเฝื่อนๆ คล้ายรสยาจีน

เมื่อกรองเศษไม้ และตัวผึ้งออกมาหมดแล้ว เราจะเหลือน้ำตาลสดอยู่ในกะทะ หอมใสมากเลย



การตั้งเตา คือจุดไฟจากเศษก้านของต้นตาลแห้งค่ะ ติดไฟดีมาก ลุกพรึ่บจนตกใจ

จากนั้นก็กวนทิ้งไว้ตามเวลาค่ะ ถ้าต้องการน้ำตาลสด ที่เป็นเครื่องดื่ม ให้ต้มนาน 100 นาที

แต่ถ้าต้องการน้ำตาลปึก ให้เคี่ยวนาน 120 นาทีค่ะ



สองชั่วโมงผ่านไป น้ำตาลข้นๆ ก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า ยกลงมาจากกะทะสดๆ ร้อนๆ



จากนั้นใช้ไม้ตีน้ำตาลไปเรื่อยๆ เพื่อไล่ความร้อนให้ตัวน้ำตาลเย็นลง และเริ่มจับตัวเป็นก้อน



เมื่อน้ำตาลเริ่มเย็นลง ก็เปลี่ยนมาใช้ไม้กวนค่ะ กวนขอบๆ (ตามรูป) วนไปๆ นะคะ

จนกระทั้งเหนียวได้ที่ เป็นปึกๆ นั่นแหละค่ะ เราก็จะได้น้ำตาลโตนดไว้ทำครัวกันไปยาวๆ

อ่อ!! น้ำตาลหนึ่งกะทะ มีปริมาณ 4 กิโลเท่านั้นเองค่ะ ใช้เวลากวนร่วมๆ 3-4 ชั่วโมงกว่าจะได้น้ำตาลมา

ทำด้วยมือล้วนๆ และไม่ผสมสารเคมี เรียกว่าภาค 2 ก็โหดไม่แพ้ภาค 1 เลยนะคะ โฮฮฮฮฮ!!!



ความเป็นปึกแผ่นนี้ สีสวยคาราเมล กลิ่นหอมอุ่นๆ เพราะยังแอบร้อนอยู่พอสมควร

ขั้นตอนนี้คุณลุงใช้ไม้พายปาดอย่างประณีตระวัง เพราะน้ำตาลกว่าจะได้มาแต่ละกระบอกนั้น

ลำบากและยากเย็น พอผ่านกรรมวิธีมาเป็นน้ำตาล ยิ่งต้องเก็บให้คุ้มค่าที่สุด ให้สมกับที่กว่าจะได้มา

สำหรับกะทะนี้คุณลุงใจดี ตักใส่กล่องให้คะน้ากับคุณเคทนำกลับมาเป็นของฝากด้วยค่ะ

ไม่รู้ว่าจะถึงครัวคุณแม่คะน้าที่บ้านก่อนที่คะน้าจะแอบกินเล่นๆ ระหว่างทางหรือเปล่า

เพราะเอาตรงๆ นะ รูป รส กลิ่น สี เหมือนลูกอมคาราเมลมากกกกก 55555



พักเบรค...เมื่อร่างกายเรียกร้องหากาแฟ พี่น้อยเลยพาแวะมาที่นี่

คุณเคทสั่งคาปูชิโนใส่กะทิ และคะน้าสั่งคาปูชิโน่เย็น อร่อยเริ่ด! กาแฟรสชาติดีมาก

ร้านแต่งสวยน่านั่ง อุปกรณ์อะไรต่างๆ คะน้าเดินป่วนไปทั้งร้าน เพราะอยากถ่ายรูปทุกมุม

เป็นอีกหนึ่งร้านที่คะน้าแอบลิสต์ไว้ค่ะ มีโอกาสหน้าจะแวะไปอีกแน่นอน ถูกใจคอกาแฟ



กาแฟทำให้เราตื่นตา แต่คุณเคททำให้คะน้าตื่นเต้นมากนะบอกเลย

จู่ๆ แม่คุณก็ร้องอยากจะแต่งชุดไทยขึ้นมา คะน้านี่เลิ่กลั่กไปหมดแล้ว 555555

จะไปหามาที่ไหน คะน้าเลยไปปรึกษาพี่น้อย ฮีโร่แห่งถ้ำรงค์

พี่น้อยเลยพาเราไปยืมชุดใส่ถ่ายรูปที่ร้านของเพื่อนค่ะ



ร้านเช่าชุดอยู่ไม่ไกลจากวัดใหญ่สุรรณารามมากนัก

เราจึงเลือกใช้ที่นี่เป็นโลเกชั่นให้คุณเคทถ่ายรูปเล่นค่ะ

ฮะ! อะไรนะ! แล้วคะน้าอยู่ไหนเหรอ...เอ่อออ...



คะน้าอยู่นี่จ้าาาา 555555555

คะน้าผู้รู้จักตัวเองดีที่สุด ไปถึงที่ร้านบอกพี่เขาเลย "ขอโจงกระเบนค่ะพี่"

และก็อย่างที่เห็นค่ะ เป็นช่างภาพที่มีอินเนอร์ร่วมกับนางแบบมากๆ จริงๆ



เหมือนเจ้าหญิงเอลซ่ากับกล้วยหอมจอมซนป่ะคะ 55555555

คะน้าลู๊กกกก! หนูยืนเรียบร้อยแล้วเขาใจหายกันทั้งคณะเลยนะลูก



ช่วงเย็นๆ พี่น้อยพาแวะมาหาคนสำคัญอีกท่านหนึ่งแห่งชุมชนถ้ำรงค์ค่ะ

มาเยือนทั้งที ต้องเยี่ยมชม "สวนลุงน้อย" เจ้าของรางวัล "ปราชญ์แห่งแผ่นดิน"

ในวันพืชมงคลถึง 2 ปี คือปี 2559 และ 2562 กันสักนิดนึง

ในรูปลุงน้อยกำลังให้ดูที่กับดักแมลง คุณลุงบอกว่า "ในหลวงรัชกาลที่ 9 สอนมาว่า

ให้ทากาวดักแมลงบนแผ่นสีเหลือง แมลงจะชอบ"



เดินต่อมาอีกนิดหน่อย เข้าสู่ภายในสวนผสมผสาน คุณลุงก็ชี้ให้ดุต้นละมุด

คะน้าไม่เคยเห็นละมุดมีหางมาก่อน ลุงน้อยบอกว่า "ที่มีหางเพราะยังเด็ก

เดี๋ยวโตขึ้นหางเขาก็จะหายไปเอง" เพิ่งรู้ว่าเบบี้ละมุดจะน่ารักตะมุตะมิแบบนี้ แอร๊ยยย~



ลุงน้อยพามาดูการต่อกิ่งค่ะ ในรูปคือส้มโชกุน ที่ออกลูกบนต้นมะนาวค่ะ

ซึ่งต้นด้านล่างจะเป็นต้นมะนาว แล้วลุงน้อยก็เลือกกิ่งส้มมาทำการต่อกิ่ง

จากนั้นต้นมะนาวเดิม ก็จะออกลูกมาเป็นส้มแล้วค่ะ แบบนี้ก็ได้เหรอ O_O!



และนี่คือต้นทุเรียนค่ะ ลุงน้อยปลูกทุเรียน แต่เพราะทุเรียนชอบอากาศร่มรำไร และชื้นเล็กน้อย

ลุงน้อยจึงปลูกต้นกลัวยไว้รอบๆ เพื่อให้ร่มเงากับต้นทุเรียนค่ะ และต่อไปหากต้นทุเรียนโตขึ้น

ต้นกลัวยต้องถอนทิ้ง ก็เป็นการถอนทิ้งที่ง่าย กว่าการทำร่มให้ทุเรียนด้วยวิธีอื่น



และก่อนกลับ กล่าวสวัสดีคุณลุง คุณลุงก็สอนการใช้ถังนี้ค่ะ

คุณลุงผสมผงซักฟอกลงกับน้ำในถัง จากนั้นเปิดไฟส่องสว่าง

ตอนกลางคืนแมลงจะตกลงไปในน้ำผงซักฟอก ก็จะตายในที่สุด

คะน้าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาตั้งถังน้ำไว้ตรงนี้

ลุงน้อยบอกว่า ตั้งไว้หน้าสวน เพื่อล่อแมลงให้ออกมาจากสวนด้านในนั่นเองค่ะ



ตกเย็นก่อนกลับบ้าน พี่น้อยพาคะน้ากับคุณเคทมาแวะต่อที่ "ธนาคารปลา" ค่ะ

ที่นี่เป็นลักษณะคูน้ำที่ไม่ได้กว้างนัก เดิมที่นี่มีแต่ผักตบชวา ชาวชุมชนจึงช่วยกัน

ทำความสะอาดบ่อ และเลี้ยงปลาไว้ที่นี่ค่ะ เหตุผลที่เลือกที่บริเวณธนาคารเลี้ยงปลาตรงนี้

เพราะว่ามีประตูน้ำนั่นเองค่ะ วิธีการจัดการธนาคารปลาของที่นี่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน

เพียงแค่อนุรักษ์ปลา อนุบาลลูกปลา และเลี้ยงจนเติบโตแข็งแรง ก็จะทำการเปิดประตูน้ำ

เพื่อปล่อยปลาออกไปสู่คูคลองธรรมชาติ ชาวบ้านที่นี่นิยมตกปลากันอยู่มากค่ะ

หากใครต้องการจับปลาไปเป็นอาหาร ก็สามารถจับปลาได้ แต่บ่อนี้ห้ามเท่านั้นเองค่ะ

การทำธนาคารปลา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อให้ชุมชนแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์

สมกับคำว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ไงคะ ^^



คะน้ามัวแต่เล่นอะไรอยู่ไม่รู้ หันมาอีกทีคุณเคทก็ปอกกล้วยป้อนปลาอยู่ค่ะ

คะน้าพิมพ์ไม่ผิด และทุกคนไม่ได้อ่านผิดด้วย ปลากินกล้วยหอมจริงๆ นะคะ 5555

และคือกินเร็วมากอ่ะ คะน้าเลยได้แค่ Snapshot เพราะถ่ายไม่ทันนี่แหละ ไวเกิ๊นนนน!!



ปกติถ่ายหน้าเบลอหลังชัด รอบนี้เบลอทั้งรูป อย่าถือสาคะน้าเลย 555555

คุณพี่วันเพ็ญ คนนี้เองค่ะ เจ้าของคนคิดริเริ่มโครงการธนาคารเท่ๆ แห่งนี้

และในธนาคารปลานี้ก็มี ปลาตะเพียน ปลาคาร์ฟ ปลาช่อน ปลาดุก ฯลฯ

ซึ่งปลาที่นี่จะกินกล้วยเป็นของหวาน และกินอาหารเม็ดเป็น main course ค่ะ


วันที่ 6



เช้าวันนี้คะน้าจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้วค่ะ หนีงานมาหัวซุกหัวซุนมากแล้ว 55555

วันนี้ตอนเช้า ป้าสายทำข้าวต้มให้คะน้ากับคุณเคททาน ระหว่างนั้นป้าสายก็จัดการเตรียมของฝาก

ที่จะให้เรานำกลับกรุงเทพฯ ไปพลางๆ คะน้าก็ไม่รู้ว่าของฝากมีอะไรบ้าง เพราะรถตู้ที่นัดไว้มารับแล้ว

ก็เลยมัวแต่ห่วงยุ่งกับเก็บกระเป๋า และทานมื้อเช้า 5555 แล้วทำไมต้องจบที่ห่วงกินด้วยเล่า!!



"เสื้อครุย" ทีมงานเตรียมไว้ให้กะจะเซอร์ไพรส์

แต่คะน้ามาเหนือกว่านั้น เปิดไลน์อ่านแล้วเพื่อน

ถามว่าได้ชุดครุยหรือยัง? คะน้าก็งงเพราะไม่รู้เรื่อง

เลยถามทีมงานว่า เขาได้ชุดครุยอะไรกันเหรอ?

ทีมงานเลยไปหยิบออกมาให้ ทั้งๆ ที่แอบมาตั้งนาน

แต่พอหยิบออกมาคะน้าก็กรี๊ดเลย ชอบมาก มันเท่ดี

แล้วทางโครงการต้องให้มีพิธีมอบเสื้อ คะน้าก็ซนไง

ไปหยิบมาใส่เอง เพราะไม่รู้เรื่องพิธี พี่ๆ เขาเลยแบบ

ปล่อยเลยตามเลย 555555555555 คะน้าขอโทษ 🙏🏼



พอลุงป้าน้าอารู้ว่าเรากำลังจะกลับ ก็เลยพากันเดินมาหา ให้เราได้บอกลากันอยู่สักพัก

แล้วก็ชวนกันถ่ายรูปเล่น น่ารักใช่มั้ยล่ะ อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน

ถ้าใครมาเที่ยวที่นี่ไม่ต้องกังวลเลยนะคะ ว่าจะอยู่ร่มในชุมชนได้มั้ย คนเยอะๆ แบบนี้

คะน้าขอเอาหน้าสวยๆ เป็นประกันเลยนะคะคุณขา ชุมชนถ้ำรงค์น่ารักที่สุดแล้ว

ที่พักดี เพราะดูแลเหมือนคนในบ้าน อาหารดี เต็มอิ่มทุกมื้อ ถ้าไม่เชื่อให้วนกลับไปอ่านอีกรอบ

กิจกรรมน่าสนใจ และ Amazine Thailand สมชื่อทุกกิจกรรม เพราะที่ผ่านมา...

พวกเรารู้จักสิ่งต่างๆ เพียงผิวเผิน อยากดื่มน้ำตาลสดเพียงแค่ไป 7-11 ก็เท่านั้น

แต่พอมาที่นี่ ได้มาเรียนรู้ตั้งแต่เพาะกล้าต้นตาล โดยป้าลิซ่า เก็บน้ำตาล โดยพี่แจ่ม

กวนน้ำตาล โดยลุงณรงค์ หรือทำของเล่นด้วยมือเปล่าจากต้นตาล โดยตาผุด

หรือแม้กระทั่งที่คุ้นเคยกันตอนเด็กๆ อย่างว่าวไทย แค่คิดว่ามันแค่ลอยฟ้าได้ก็คือจบ!

แต่เปล่าเลย ทุกสิ่งอย่างกว่าจะได้มา ต้องอาศัยทั้งแรงกาย แรงใจ และความอดทน

ร่วมกับทักษะ และความรักในสิ่งๆ นั้นด้วย มาที่นี่ทุกคนเป็นกำลังให้กันและกันวนไปวนมา

อะไรที่ว่ายาก ที่นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า "ยากแต่ก็ทำได้" และก็ทำได้ดีด้วยค่ะ ปลื้มใจจัง ^^



ยกมือไหว้ดุจนางสาวไทยอำลาทุกคน และเคลื่อนรถออกมาได้สักพัก...

เอ๊ะ! ทำไมหน้าคุ้นๆ กันจัง รถตู้จอดเทียบข้างทาง ให้คะน้าได้ลงไปทักทาย

กลุ่มของลุงทอมอีกครั้ง (เพิ่งลากันเมื่อกี้นี้เอง 55555)

วันนี้กลุ่มลุงทอมกับเพื่อนๆ กำลังนัดกันขึ้นเขาไปปลูกป่าให้ลิงกันค่ะ (ที่คะน้าเคยพูดถึง)

แต่คะน้าอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ เพราะมีเคลียร์งานต่อที่กรุงเทพฯ อดเลย

เอาไว้โอกาสหน้า คะน้าจะไปร่วมทีมด้วยนะคะ เจอกันแน่นอน!! #ทีมภูเขา

// คราวนี้บ๊ายบายกันจริงๆ แล้วนะ 5555



ระหว่างทางกลับกรุงเทพฯ คะน้ากับคุณเคทได้ขอแวะร้านกาแฟ เพราะคุณเคทอยากดื่มกาแฟค่ะ

เราเลยเลือก "ร้านนาตาชม" ร้านชื่อดังสุดๆ แถมวิวดีงามในตอนนี้

คุณเคทมา Amazing Thailand ทั้งที ต้องเอาให้สุด!!



ร้านนี้มีทั้งที่นั่ง Indoor และ Outdoor นะคะ แต่เราไม่ได้นั่งกันเลยค่ะ

เพราะวิวสวยเกินไป 5555555 คุณเคทเลยไปสั่งกาแฟ คะน้าเดินถ่ายรูปเล่นรอไปพลางๆ

คะน้าชี้หุ่นฟางควายให้คุณเคทดูแล้วบอกว่า "ยูนิคอร์น" คุณเคทมองหน้าคะน้าแบบ...

"ไหวมั้ยคะน้า" 5555555 คะน้าขอโทษนะ มุกไม่ฮาเหรอ นี่ว่าฮานะ โธ่เอ้ย~~



ตอนนี้กำลังเข้าสู่ฤดูดำนาค่ะ เลยไม่ได้เห็นทุ่งเขียวๆ เท่าไหร่นัก

แต่ก็เป็นอีกวิวที่สวยดี สวยแบบธรรมชาติ สวยตามฤดูกันไป และหาดูไม่ได้ในเมือง

คะน้าเดินเล่นกับคุณเคทอยู่ที่นี่พักใหญ่ๆ เลยค่ะ เพราะทุ่งกว้างๆ อยากถ่ายรูปเล่นทุกมุมเลย



คุณเคทชอบดื่มกาแฟที่ผสมกะทิ (อร่อยมากนะ คะน้าลองแล้ว) แต่ที่นี่ไม่มีขาย

คุณเคทไม่สมใจเท่าไหร่ แต่ก็ชมว่ากาแฟรสชาติโอเคดี และวิวสวย เธอแฮปปี้ม๊ากมาก!



หลังเติมพลังกันแล้ว เราจะมาใช้พลังกันที่นี่ต่อค่ะ "ถ้ำเขาหลวง"



"มีพระไสยาสน์พระบาทเหยียด คนมันเบียดเบียนขุดสุดสงสาร

พระทรวงพังทั้งพระเพลาก็ร้าวราน โอ้ชาวบ้านช่างไม่สร้างขึ้นบ้างเลย

ทั้งผนังพังทับอยู่กับถ้ำ โอ้นึกน้ำตาตกเจียวอกเอ๋ย

ดูว้างเวิ้งเชิงพนมน่าชมเชย ต่างแหงนเงยชมชะง่อนก้อนศิลา

เป็นลดหลั่นชั้นช่องมีห้องหับ แลสลับเลื่อมคล้ายลายเลขา

กลางคิรินหินห้อยย้อยระย้า ดาษดาดูดูดังพู่พวง

ฉะเช่นนี้มีฤทธิ์จะคิดช้อน เอาสิงขรเข้าไปตั้งริมวังหลวง

เห็นหนุ่มสาวชาวบุรินสิ้นทั้งปวง จะแหนหวงห้องหับถึงจับกุม

เขาตั้งอ่างกลางถ้ำมีน้ำย้อย ดูผ็อยผ็อยเผาะลงที่ตรงหลุม

เป็นไคลคล้ำน้ำแท่งกลับแข็งคุม เป็นหินหุ้มอ่างอิฐสนิทดี ฯ

แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อม บ้างงอกเงื้อมเงาระยับสลับสี

เป็นห้องน้อยรอยหนังสือลายมือมี คิดถึงปีเมื่อเป็นบ้าเคยมานอน

ชมลูกจันกลั่นกลิ่นระรินรื่น จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน

เห็นห้องหินศิลาน่าอาวรณ์ เคยกล่าวกลอนกล่อมช้าโอ้ชาตรี"

(นิราศเมืองเพชร : สุนทรภู่)

ถ้ำเขาหลวงมีเรื่องเล่าว่า สุนทรภู่เคยมาพักแรมที่นี่ และแต่งกลอนเกี่ยวกับบรรยากาศ

ภายในถ้ำไว้ในนิราศเมืองเพชรค่ะ และเมื่อคะน้าเข้าไปในถ้ำ ภาพที่เห็นตรงหน้า

ถ้าเอ่ยถึงความสวยงามแล้ว คะน้าว่าที่คะน้าได้ไปเห็นนั้นสวยกว่าตอนที่สุนทรภู่มาเห็นแน่นอน

เพราะสมัยนั้นถ้ำนี้ยังไม่ได้รับการดูแลนั่นเองค่ะ จึงจะเห็นได้ว่าสุนทรภู่ได้กล่าวแบบตัดพ้อไว้



ไม่รู้ว่าต้องเดินลงบันไดคอนกรีตกี่ขั้นถึงจะเข้ามาถึงภายในถ้ำเขาหลวง

แต่คะน้าใช้เวลาเดินไม่นานนักค่ะ ภายในถ้ำเป็นหินงอกหินย้อย ห้องโถงสูงโปร่ง

อากาศถ่ายเทดี และมีแสงแดดส่องถึง ตามผนังถ้ำจะเป็นที่ประดิษฐ์สถานของพระพุทธรูป

และในปัจจุบันที่นี่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในถ้ำรวม 170 องค์ และเจดีย์ในถ้ำ 6 องค์

ซึ่งมีพระพุทธรูปองค์สำคัญคือ พระพุทธรูปฉลองพระองค์

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้สร้างถวาย

แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 นั่นเองค่ะ



เมื่อมาถึงที่นี่ จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลบริเวณลานจอดรถค่ะ หากใครนำรถกะบะมา

ก็จะต้องเก็บสัมภาระท้ายรถเข้าไปในรถ เพราะลิงที่นี่ซุกซน ชอบหยิบของจากรถไปค่ะ

และเวลาเราเดิน ห้ามถืออะไรล่อตาลิงนะคะ โดยคว้าไปจากมือไม่รู้ด้วยนะ ^^

// ว่าแต่เราจะมาพูดถึงลิง ในรูปเท่ๆ ของคะน้าได้ยังไงกัน

นี่คะน้ายืนแหงนจนตะคริวจะกินคอเลยนะ กว่าจะได้รูปนี้มามันไม่ใช่ง่ายๆ 555555



ออกมาจากถ้ำหลวงด้วยอาการหอบ และแข้งขาสั่นจากการขึ้นลงบันได

// พอบอกหอบนี่เดาอายุกันเลยสิท่า 5555

เราก็มาเดินกันต่อที่นี่ค่ะ "ตลาดเก่าริมน้ำเพชรบุรี"

ที่นี่เป็นชุมชนวินเทจ เหมาะกับคนคูลๆ จริงๆ คะน้าไม่ควรมาที่นี่นะคะ

เพราะคะน้าไม่คูล คะน้าเป็นสาวฮอต 55555 // แซวเก่งงงง~



เดินเล่นถ่ายรูปกันมากับคุณเคทเรื่อยๆ เมื่อเข้ามาทางด้านในซอยหัวถนน

ก็พบกับคุณตาท่านนี้ค่ะ ชื่อคุณตาศฤคาคาร เจ้าของบ้านไทยโบราณหลังนี้ค่ะ



พี่น้อย แนะนำให้คะน้ารู้จัก และขออนุญาตเดินเข้ามาชมบ้านของคุณตา

คุณตาเล่าว่า บ้านหลังนี้สร้างในราคาสามหมื่นบ้านในสมัยรัชกาลที่ 5 และเพิ่งซ่อมแซมไป

ในปัจจุบัน มูลค่าห้าแสนบ้าน โดยรายได้ที่คุณลุงได้รับ มาจากการขายหนังสือค่ะ

อยากทราบประวัติบ้านไทยโบราณของคุณตาสุดหล่อท่านนี้หรือยังคะ เลื่อนเลยจ้า~



อ่านจบยังคะ...จะได้ไปกันต่อ // ฉีกกฏทุกการเขียนรีวิวค่ะ

ถ่ายรูปมาให้อ่านกันเองแบบนี้ก็ได้เหรอ 55555555



ในกรอบรูปคือคุณพ่อของคุณตาค่ะ ตอนคะน้าเห็น คะน้าก็ไม่พูดคำอื่นอีกเลย

นอกจากคำว่า "หล่อมากกก" ซึ่งพอมองคุณตาในตอนนี้ ก็มีเค้าคุณพ่ออยู่มากๆ เลยนะคะ



นี่คือหนึ่งในร้อยรางวัลที่คุณตามี คุณตาเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักแต่งกลอน

และนักแต่งเพลงค่ะ ถ้าคุณตายังเป็นหนุ่มในสมัยนี้ ณเดชน์ก็ณเดชน์เถอะจ้ะ 5555555



เดินต่อมาภายในตลาดเก่าริมน้ำ คะน้าอยากมาเห็นภาพสตรีทอาร์ตของที่นี่

ก็เลยเดินหาดู เดินแบบงงๆ ด้วยอ่ะ เดินไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะเจออะไร หรืออาจจะไม่เจอ

ที่นี่คนไม่เยอะค่ะ อาจจะเป็นเพราะที่นี่ไม่มีที่จอดรถ เพราะเป็นชุมชนเก่า

ไม่สามารถขยายถนน และไม่มีที่ว่างได้อีก จึงเป็นข้อจำกัดที่สำคัญของตลาดแห่งนี้ค่ะ



เดินมาเรื่อยๆ ในที่สุดคะน้าก็เจอ ผนังที่ถูกระบายสีไว้ได้อย่างน่ารัก

ทำให้ชุมชนเมืองเก่า มีลูกเล่นมากขึ้น น่าสนใจมากขึ้น แต่เดินมาคนเดียวไง

คุณเคทกับพี่ๆ ทานข้าวกันอยู่ คะน้าไม่หิวเลยไม่ได้ทานด้วย

พอมาคนเดียว ขาตั้งกล้องก็ไม่พก เลยได้แต่ถ่ายกับผนังเปล่า อดไปยืนเท่ๆ ด้วยเลย



ตรงนี้คะน้าว่าสร้างสรรค์ดี จังหวะที่คะน้าจะถ่ายรูป ตอนนั้นยังไม่เปิดไฟ แต่มีคุณป้าท่านหนึ่ง

เดินมาสะกิดคะน้า ให้คะน้าเปิดไฟก่อนค่อยถ่าย จะได้สวย 5555555

// แต่คะน้าถ่ายภาพไม่เก่ง สวยได้เท่านี้แหละค่ะ คุณป้าให้อภัยคะน้าด้วย



และคุณป้าคนนั้น ก็คือ คุณป้าคนนี้นั่นเองค่ะ งงมั้ย 55555

แหย่เล่นเด้อ คุณป้าท่านนี้ชื่อ "คุณป้าอนงค์" ค่ะ เป็นคนเก่าคนแก่ที่นี่



คุณป้าขายของจิปาถะในบ้าน ตั้งแต่ สีผึ้ง ทุเรียนกวน กระทงขนมเข่ง

กระบวยกะลามะพร้าว ตะกร้าจักรสาน ตะกร้าหวาย ยันเครื่องเบญจรงค์

เป็นร้านค้าที่แอปสแตคสูงมากนะคะ เพราะยังหาความลิงค์กันของสินค้าไม่เจอเลยจนป่านนี้

// 555555 หนูแซวเล่นน้าาาา



คุณป้าเล่าให้ฟังว่า เมื่อปี 2549 ที่นี่ยังเป็นชุมชนเก่า หลังคามุงจาก และผนังสังกะสี

ไม่ได้สวยงามเหมือนสมัยนี้ แต่ตอนนั้นเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ ภายหลังชาวบ้านที่นี่ก็ร่วมใจกัน

สร้างชุมชนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ค่ะ และคงอยู่ถึงปัจจุบัน และคุณป้าก็เล่าเสริมมาว่า

เมื่อห้าปีก่อน ที่นี่ยังมีผู้คนเดินเที่ยวเล่น ซื้อของกันเยอะอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ผู้คนหายไปหมด

ตลาดเงียบเหงามาก จึงมีการพัฒนาด้านต่างๆ รวมไปถึงงานสตรีทอาร์ตด้วย

คุณป้าบอกว่าให้คะน้าชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยว ไปลองเดินเล่นกันเยอะๆ

ที่นี่อาหารอร่อย ขนมไทยโบราณอร่อย และผู้คนใจดี ไปถ่ายรูปเล่นก็สวยค่ะ

อย่าลืมลิสต์ที่นี่กันนะคะ



คะน้าเดินผ่านตลาดสด เข้ามาดูริมแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามมีจะเป็น "วัดเกาะ" ค่ะ

วัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณ ที่หาดูยากมากๆ ค่ะ

แต่วันนี้คะน้าไม่ได้ไป เสียดายมากเลย เพราะเวลาน้อยไปหน่อย

ไว้โอกาสหน้า คะน้าจะมาใหม่นะ ตอนนี้ขอแปะไว้ก่อนเนอะ 55555



และแล้วในที่สุด คะน้าก็หมดเวลาเที่ยวต่อแล้วนะคะ

สำหรับทริปทัวร์ชุมชนถ้ำรงค์ ตลอดทั้ง 6 วันนี้ คะน้าก็ได้เล่าให้ฟังจนหมดแล้ว

จริงๆ ฟีดแบคที่คะน้าได้รับจากเพื่อนๆ คือ มีแต่คนอยากมาลองเที่ยวแบบคะน้ากันเยอะเลย

คะน้าดีใจมากๆ ที่ได้เป็นตัวแทนในการบอกเล่าเรื่องราวน่ารักๆ และมีคุณค่าของที่นี่นะคะ

ทริปนี้สนุกมาก...และคะน้าจะกลับมาใหม่อีกแน่นอน


"ไว้เจอกันใหม่นะ ถ้ำรงค์"


"Kана"

"Канаkaянис Уриттави"


END CREDIT :



เมื่อเช้าไม่รู้ว่าหลังรถขนอะไรมาเป็นของฝากบ้าง

พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วคนขับรถเอาของลงให้

ช๊อคสิช๊อคคคค!! 55555555 กล้วยมาทั้งเครือ มะนาวมาทั้งสวน

น้ำตาลสด น้ำตาลปึก มาทุกสปีชี่ส์น้ำตาลกันไปเลยจ่ะ 55555

มีเต่าจากคุณตาผุด และเหรียญที่ระลึกจากพี่น้อยด้วย

ตุ๊กตาใบตาลสายจากพี่หนุ่ย ปลาตะเพียนดินเผาจากลุงทอม

เยอะแยะไปหมด เยอะจนตกใจ ขออนุญาตกล่าวขอบคุณตรงนี้นะคะ

ขอบคุณที่เอ็นดูคะน้า และต้อนรับคะน้าอย่างอบอุ่น ดูแลอย่างดีตลอด 6 วันค่ะ

// พี่น้อยบอกว่า ถ้ารอบหน้าขับรถไปเอง ของฝากจะเยอะกว่านี้

รอบหน้าคะน้าจะขับรถไปเองค่ะ คะน้าสัญญา 555555555

https://www.thailandvillageacademy.com/…/tham-rong-communi…/

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนติดตามมหากาพย์ถ้ำรงค์ของคะน้านะคะ

แล้วติดตามคะน้าไปเที่ยวกันอีกหลายๆ ทริปเลยนะคะ บ๊ายบายยยย~


Love you all


คะน้าน้อย

 วันพฤหัสที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 03.40 น.

ความคิดเห็น