เราเดินทางออกจากปารีสขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านเมือง Reims ในแคว้นช็องปาญาร์แดน เมืองนี้มีอะไรหลายอย่างน่าสนใจ (ครั้งหน้าจะมาเล่าความถึงเมืองแร็งส์) เราค้างที่นี่ 1 คืนก่อนเดินทางออกจากฝรั่งเศส มุ่งหน้าเข้าเบลเยี่ยม ระยะทางเกือบ 300 กิโลจากแร็งส์ สู่ Brugge แห่งราชอาณาจักรเบลเยี่ยม เมืองที่ถูกลืมเลือนบนหน้าประวัติศาสตร์กว่า 500 ปี เมืองที่ยังคงมีความสมบูรณ์แบบทางสถาปัตยกรรมดั่งเดิม แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมืองที่ได้รับเลือกจากองค์กร Unesco ให้เป็นเมืองมรดกโลก เราจะไปเที่ยวกันที่นี่…


ติดตามได้อีกช่องทางครับผม…https://youtu.be/kQurLN6iLoU





เกือบเที่ยงเราก็มายืนอยู่บนพื้นแผ่นดิน ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเบลเยี่ยม เงียบสงบดีแฮะ ผู้คนสัญจรไปมาด้วยจักรยาน เป็นส่วนใหญ่ (แต่ไม่มากมายเหมือนประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่จะกล่าวถึงในตอนหน้านะ) ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของที่นี่ อากาศค่อนข้างร้อนสำหรับคนยุโรป แต่สำหรับเราก็ร้อนเหมือนกันนะ แต่มันร้อนแดด ถ้าไม่โดนแดดจะรู้สึกเย็นๆ สบายๆ ช่วงนี้ชาวยุโรปเลยแต่งตัวกันน่ามองนิดนึง ก็อย่างว่า ปีนึงจะมีแดดสัก 2 เดือนที่เหลือก็ทั้งหนาวทั้งฝน…




ทางเดินเข้าเมืองร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ และน่ารักไปกับสวนดอกไม้เล็กๆ…


เมืองบรูซ หรือ บรูจจ์ หรือ บรูจส์ จะเรียกยังไงก็เอาเหอะนะ เป็นที่เข้าใจว่าคือที่เดียวกันแล้วกันเนอะ เป็นเมืองเก่าอายุมากกว่า 1200 ปี สมัยกาลนานเทอญ เคยเป็นเมืองท่าสำคัญของยุโรปตอนเหนือ เนื่องจากเป็นเมือชายฝั่งทะเล มีการติดต่อค้าขาย สร้างความคึกคักและมั่งคั่ง เมื่อเวลาผ่านไปไม่มีสิ่งใดคงอยู่ได้ตลอดกาล หลังจากการถือกำเนิดของแอนท์แวิร์ป และ อัมสเตอร์ดัม เมืองบรูจส์ ก็ถูกลืมเลือนหลับไหลไปจากแผนที่โลก กลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน 300 ปีแห่งความรุ่งโรจน์ กับอีก 500 ปี ที่ถูกลืมเลือน…


จัตุรัสกลางเมือง…


ปี 2000 Unesco ได้เล็งเห็นถึงความสวยงามทางสถาปัตยกรรมที่ยังคงดั้งเดิม จากความรุ่งเรืองเมื่อกว่า 500 ปีที่ผ่านมา เมืองบรูจส์ถูกปลุกจากการหลับไหลไปอย่างยาวนาน การบูรณะเมืองขึ้นมาใหม่โดยความร่วมมือของสหภาพยุโรป เนรมิตรเมืองบรูจส์ ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เป็น Venice of the North ดึงดูดนักเดินทางทั่วโลกให้มาสัมผัสปีละหลายสิบล้านคน…








เพลิดเพลินทุกมุมมอง…


มนต์เสน่ห์ของบรูจส์ นอกจากสภาพบ้านเรือน ถนนหนทาง คูคลองที่สวยงาม เป็นศิปะร่วม บาร็อก เฟลมมิช และเรเนซองส์แล้ว ที่มีชื่อเสียงมากมายของที่นี่คือ ช็อคโกแล็ตและเบียร์…มีร้านจำหน่ายช็อคโกแล็ตมากกว่าร้อยร้าน เบียร์เกินกว่า 500 ชนิด ถ้าดื่มทั้งเบียร์กินช็อกโกแลตไปด้วย น่าจะเดินเป๋ออกจากเมืองเลยทีเดียว…




ร้าขายช๊อคโกแลตมีเยอะมากมาย…



ขี้ม้าชมเมืองก็มีนะ…


การเที่ยวชมบรรยากาศภายในเมืองบรูจส์ สามารถทำได้หลายวิธี เดินเล่นไปเรื่อยๆ ตามตรอกซอกซอย มีวิวให้ถ่ายภาพเยอะแยะมากมาย นั่งรถม้าชมเมืองเป็นอีกทางเลือกที่ดูเท่ห์ดี หรือไม่ก็ล่องเรือไปตามลำคลองก็สามรถชมได้ทั้งเมืองเช่นกัน…



ล่องเรือชมเมืองก็ได้เห็นอีกมุมมอง…


ทั้งหลายทั้งปวงเป็นข้อมูลที่สามารถค้นหาได้ตามสื่อโดยทั่วไป เราจะมาพูดถึงความรู้สึกของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย เดินทางข้ามโลกเพื่อไปรู้จักสถานที่แห่งนี้…








ได้หมดทุกมุมจริงๆ…


เอาแบบสั้นๆต้องบอกว่า ประทับใจและหลงใหลมาก ถ้าให้ยาวหน่อย คือ…ประทับใจและหลงใหลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก…



เป็นร้าน Mc ที่น่านั่งมากๆ…


เอาจริงๆ…เรามีเวลาอยู่ที่บรูจส์ประมาณ 3 ชั่วโมง บอกเลยว่าน้อยมากสำหรับการที่จะสัมผัสความสวยงามของเมืองมรดกโลกแห่งนี้ แต่เราก็ตักตวงมันให้เต็มที่ เท่าที่จะทำได้ เราใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เดินไปแทบจะทุกตรองซอกซอย ซึมซับความเป็นศิลปะยุโรปแบบ เออ…...เรเนซองส์ เฟลมมิช หรืออะไรก็แล้วแต่ จริงๆไม่เข้าใจหรอก คือ คิดว่ามันสวยอ่ะ มันมีระเบียบ เมืองหลายร้อยปีก่อนเค้าสร้างบ้านสร้างเมืองกันมายังไง ดูน่ารัก ลงตัว อลังการงานสร้างบ้านเมือง…








เก็บให้หมดทุกตรอกซอกซอย…


สุดท้ายก็ได้เวลาร่ำลาจากกัน ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกสักครั้งมั้ยเนอะ เพราะกว่าจะเดินทางมาได้ก็มากมายไปด้วยการใช้จ่าย แต่หวังว่าวันหนึ่งในภายภาคหน้า ถ้าจังหวะลีลามันได้ จะกลับมาเยือนอีกแน่นอน…เพราะคิดว่า ตกหลุมรักบรูจส์แล้วล่ะ


บ๊าย บาย…บรูซ


ครั้งหน้าพบกับเรื่องราวของ Reime เมืองเล็กๆแต่น่ารักของฝรั่งเศส…



คน ฟ้า ป่า น้ำ

 วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 16.14 น.

ความคิดเห็น