สวัสดีอีกครั้งค่าทุกคนนนนนนน

กลับมาอีกแล้วกับบันทึกท่องเที่ยวจากฉัน “ผู้หญิงขี้เที่ยว”

ตามชื่อกระทู้เลยนะคะ ไม่รู้เหตุผลอะไรที่ทำให้ฉันตัดสินใจแพลนไปเที่ยวคนเดียวในครั้งนี้ ถามว่ากลัวไหม ก็กลัวนะ แล้วไม่ชวนใครไปด้วยหรอ? เฮ้ยยยยยแกร๊ เราชวนแล้วเว้ย เสนอขั้นว่าออกค่าที่พักให้เลยฟรีๆ ก็ยังไม่มีใครไปกับเรา 555555

หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เมืองสามหมอก คืออะไร?

เมืองสามหมอกก็คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอนนั่นเองค่ะ

แม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดสุดยอดเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่นด้วยสภาพภูมิประเทศในหุบเขาสูงสลับซับซ้อน และมีหมอกปลกคลุมเกือบทั้งปีจนได้รับฉายาว่า “เมืองสามหมอก” จากเมฆหมอกที่มีครบทั้ง 3 ฤดู อากาศบริสุทธิ์เย็น และยังมีความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมจากชนเผ่ากลุ่มน้อยและชาวพื้นเมืองอีกด้วย วันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองสามหมอกนี้กันค่ะ ไปชมกันเล้ยยยยยยยยยยย

เริ่มทริปจากตรงนี้เลยค่ะ

รถไฟฟรี 555555555 ด้วยงบที่จำกัด เราเลือกที่จะนั่งรถไฟฟรีทั้งขาไปและขากลับ

ต้นทาง สถานีรถไฟรังสิต ปลายทางสถานีรถไฟเชียงใหม่ รถไฟมาถึงรังสิตประมาณบ่ายสามกว่าๆ

เวลา 04.20เราก็มาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่

ก่อนจะเดินทางต่อ เราแวะทานข้าวเช้าและอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนเดินทางต่อ ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่จะมีร้านขายของและร้านอาหารให้เราเลือกทานอยู่นะคะ เปิดตั้งแต่เช้าๆเลยค่ะ มีห้องน้ำ ห้องสุขาไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย (ห้องอาบน้ำ 15 บาทค่ะ ห้องน้ำสะอาด ปลอดภัยดีนะคะ)

ข้าวมื้อแรกที่เชียงใหม่ (ก๋วยเตี๋ยวรถไฟ ราคา 40 บาท) อร่อยและได้เยอะมาก อิอิ

รูปนี้ถ่ายโดย ลุงคนขับรถแดงค่ะ แฮร่

และจากสถานีรถไฟ เราขึ้นรถแดงไปที่สถานีขนส่งอาเขต หรือที่ชาวเชียงใหม่เรียกสั้นๆว่า อาเขต ค่าโดยสารคนละ 30 บาทค่ะ (ถ้าคันไหนเอาเกินนี้ไม่ต้องไปนะคะ)

เมื่อมาถึงอาเขตเดินไปหาจุดขายตั๋วเชียงใหม่-ปาย รถที่จะไป ปาย มี 2 แบบค่ะ มีทั้งรถตู้(ราคาตั๋ว 150 บาท) และรถสองแถว(ราคาตั๋ว 80 บาท)

และแน่นอนค่ะ เราเลือกรถสองแถว 555555 เรากลัวว่าถ้าขึ้นรถตู้ไปเราจะอ้วกน่ะสิค่ะ (หรอ ใช่หรอ เพราะมันถูกหรือเปล่า? 55555) และนี่คือหน้าตารถที่เราขึ้นไปค่ะ

ระหว่างทางค่ะ นี่เพิ่งเริ่มต้นนะ หมอกก็มาแล้ววว และตอนนี้เวลาก็เกือบจะเก้าโมงเช้าแล้วด้วย หมอกยังสวยอยู่เลย

มาๆๆ ต่อๆๆ

เมื่อเรามาถึงปายแล้วก็เดินหาที่เช่ารถค่ะ ร้านเช่ารถมีเยอะมาก ราคาก็จะเท่าๆกัน ส่วนเราเลือกเช่ารถร้านเดือน-เด่นเช่ารถ (เพราะไปดูรีวิวมา เขาว่าร้านนี้โอเค ก็เลยเชื่อค่ะ อิอิ) เรายอมรับว่าร้านนี้โอเคจริงๆค่ะ เราเลือกเช่ารถ 3 วัน วันละ 200 บาท(อยู่ที่รุ่น) เราเลือกรถ ซูเมอร์เอ็ก(แนะนำรุ่นนี้เลยค่ะเพราะว่าประหยัดน้ำมันมากกกกกก ในความคิดเรานะ) ถ้านำรถมาคืนช้าจะคิดชม.ละ 30 บาท และแน่นอนค่ะ เราเอารถมาคืนช้าเป็นเวลา 2 ชม. กับอีก 10 นาที เจ้าของร้านไม่คิดค่ารถเราเพิ่มอ่ะแกรรรรร๊ โคตรจะปลื้ม ร้านนี้ บริการดีจริงๆค่ะ แนะนำ(ร้านอื่นก็อาจจะบริการดีเหมือนกันนะคะ แต่แค่เราประทับใจร้านนี้เลยแนะนำ)

จากร้านเช่ารถ เปิด GPS ขับรถเที่ยวๆรอบเมืองปายก่อน สถานที่แรก Coffee in love ร้านกาแฟขึ้นชื่อของเมืองปาย ยอมรับว่าบรรยากาศที่นี่งามแต๊ๆจ้าววว

ต่อไป เราจะไปสะพานบุญโขกู้โส่ค่ะ (ก่อนจะถึงก็จะมีสถานที่งามๆให้เราได้แวะชมอยู่นะคะ อย่าลืมแวะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกนะคะ)

อันนี้เป็นปากฎการณ์แผ่นดินแยกตัวเอง(ไม่เสียค่าเข้าชม แต่เราสามารถร่วมบริจาคได้ค่ะ) ทางขึ้นไปดูก็ประมาณ 100 เมตร แต่ทางชันและเหนื่อยมากค่ะ 555555

จากตรงนี้ขับไปไม่ไกลก็จะเจอน้ำตกแพมบก แวะถ่ายรูปแหน่จักหน่อยเนาะ

ขับออกมาจากน้ำตกไม่ไกลมาก ก็ถึงสะพานบุญโขกู้โส่ค่ะ

จากตรงนี้ ขับรถย้อนกลับไป เพราะคืนนี้เราจะไปพักที่ จุดชมวิวหยุนไหลค่ะ แต่ก่อนจะไปที่พักก็ไปเลาะๆรอนแรมกันก่อนจักหน่อยเด้ออ

ที่แรกเลย วัดน้ำฮู วัดเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของปายและอยู่คู่เมืองปายมายาวนาน โดยมีพระอุ่นเมือง พระพุทธรูปที่อยู่คู่มากับวัดนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองปายและนักท่องเที่ยวทุกคนต้องแวะกราบสักการะ อย่างไรก็ตาม ความเป็นมาของวัดน้ำฮูนั้น ไม่ปรากฏบันทึกการสร้างชัดเจน แต่เชื่อกันว่าน่าจะสร้างโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา ซึ่งได้เสด็จไปเป็นตัวประกันที่พม่าแทนพระองค์ แต่ต่อมาได้ถูกปลงพระชนม์ที่พม่านั่นเอง และบรรจุเส้นพระเกศาไว้ในพระเจดีย์สีทองที่อยู่หลังวิหารของวัดน้ำฮูแห่งนี้

ขับมาเรื่อยๆจะเจอทางแยกเข้าหมู่บ้านสันติชล ให้เราขับตรงขึ้นไปก่อนนะคะ ไปเล่นน้ำตกกันก่อนนนนน

ที่นี่น้ำตกหมอแปง น้ำตกที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของอำเภอปาย ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้น้ำตกสายอื่นในแม่ฮ่องสอน โดยที่นี่จัดเป็นน้ำตกขนาดกลางที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี สามารถลงเล่นน้ำได้ด้วยนะเจ้า

เล่นน้ำตกสมใจละขับย้อนกลับมาค่ะ ย้อนกลับมา ที่หมู่บ้านสันติชลกันเลยยยย

หมู่บ้านสันติชล เป็นชุมชนท่องเที่ยวที่นำเสนอเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ของชาวจีนยูนนานอันเป็นรากฐานของ ชุมชนมาเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว และยังใช้กิจกรรมท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือของการพัฒนาชุมชนไปพร้อมกัน ทั้งด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมจีนยูนนาน การพัฒนาอาชีพ ที่ส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน

นอกจากลักษณะของการตกแต่ง สถานที่จะเป็นสไตล์จีนยูนานทั้งหมด สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นเมื่อก้าวย่างเข้าไปในเขตของศูนย์วัฒนธรรม คือ มังกรสีสดพันอยู่กับเสา ซี่งตั้งอยู่บนเนินหินสีเข้ม ด้านหน้าของเนินหินมีอักษรภาษาจีน เมื่อเดินเข้ามาจะพบกับ บ้านดินสีส้มพลาสเทลสดใสตัดกับสีท้องฟ้าใสตั้งเรียงรายอยู่ มีร้านของที่ระลึก เช่น รองเท้า เสื้อผ้า ชา ผลไม้ดองและอบแห้ง อาหารแปรรูปชนิดต่างๆฯจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว และมีร้านอาหารจีนยูนานให้บริการด้วย อาหารที่เลี่ยงชื่อ ขาหมู หมั่นโถว ที่รสชาติอร่อย

กิจกรรมที่น่าสนใจนอกจากการเดินเยี่ยมชมบรรยากาศ ยังมีการโล่ชิงช้าแบบชาวเขา ลักษณะเหมือนชิงช้าสวรค์ ให้นักท่องเที่ยวได้ สนุกสนานกัน ค่าบริการคนละ 25 บาท นั่งได้ 4 ท่าน และอีก 1กิจกรรม คือ การขี่ม้า รอบ ก้อนหินใหญ่ คิดราคา 3รอบ 50 บาท ขี่ม้าเข้าหมู่บ้าน สันติชล 1 ชั่วโมง 300 บาท และบริการใส่ ชุดชาวจีน ถ่ายรูปตามจุดต่างๆ

ประทับใจร้านเช่าชุดจีนมากค่ะ เพราะนอกจากจะมีชุดงามๆให้แล้ว ยังอาสาถ่ายรูปให้ฟรีด้วย น่ารักมากกกกก

ออกจากหมู่บ้านสันติชล ขับรถมุ่งไปหาของกิน!!! ร่อนเร่มาทั้งวัน หาให้ลงท้องหน่อยเร็วววว

แวะที่นี้เลยจ้า ก่อนถึงหยุนไหลนิดเดียวว นิดเดียวจริงๆ ชื่อร้านว่า ร้านเกาซัน เป็นร้านอาหารของชาวจีนยูนนาน อาหารอร่อยค่ะบอกเลย เมนูที่สั่งก็จะมี ลาบยูนนาน ข้าวสวย น้ำ แล้วก็หมั่นโถวทอด รวมค่าอาหารมื้อนี้ก็ 110 บาทพอดี

เมื่อกินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งหน้าไปเก็บสัมภาระ นั่งรอชมบรรยากาศสวยๆในยามเช้าที่หยุนไหลกันเลยจ้า

และนี่คือลานกางเต้นท์ของเราค่ะ (ที่นี่จะมีบ้านพักเป็นแบบบ้านดินให้นะคะ ภายในห้องพักจะมีห้องน้ำในตัว และเตียงนอนขนาด 5ฟุต อยู่ 2เตียงค่ะ สามารถเข้าพักได้สูงสุด 4คน ส่วนจะเสริมที่นอนอะไรยังไงก็คุยกับเจ้าของที่พักได้เลยค่ะ) ขอเล่าเรื่องที่ประทับใจกับหยุนไหลนิดนึงนะคะว่า วันที่เราจองที่พักคือ วันนั้นไม่มีใครมาพักกับเราเลยค่ะ ลุงเจ้าของที่เลยให้กุญแจบ้านดินกับเราเข้าไปอาบน้ำภายในบ้านดินได้ ลุงแกบอกว่าเราผู้หญิงคนเดียวให้ไปอาบน้ำอุ่นสบายๆดีกว่า เพราะอากาศมันเย็นละจะหนาว แถมจะได้ปลอดภัยด้วย ไม่พอค่ะ คืนวันนั้นฝนตกด้วยประมาณช่วงตีสาม ลุงเดินออกมาจากบ้านพักละบอกว่า หนูขนของเข้าไปนอนในบ้านดินเลยลูก ฝนกำลังจะตกหนัก (สรุปแล้ว เหมือนเราเช่าบ้านดินนอนในราคากางเต้นท์อ่ะ อิอิ) สนใจสอบถามข้อมูลกับเจ้าของที่พักได้ที่เบอร์นี้เลย 0810243982 ชื่อคุณบุญหล่อ ค่ะ

นี่สินะ ที่พักหลักร้อย วิวหลักล้าน

บรรยากาศช่วงเย็นของหยุนไหลค่ะ

เจ้าถิ่น พาเช็คอิน 55555

และต่อจากนี้ไปคือ บรรยากาศหลังจากตื่นนอนจ้า เราตื่นสายนิดหน่อย ตื่นปุ๊ปดูนาฬิกาเวลา 06.30 รีบวิ่งออกมาดูว่ายังมีทะเลหมอกอยู่ไหม เฮ้ยแกรรรรร๊ ยังมีว่ะ สวยด้วย จัดๆๆๆๆๆๆ

เย้ยฟ้าท้าหมอก 555555 หนาวอยู่เด้อ อย่าว่าบ่หนาว

อ๊ะๆๆ รูปที่นี้เยอะพอสมควร ได้เวลาล่ำลากันแล้ววว

มาวันนี้ วันที่ 2 ของทริปแล้วจ้า

เริ่มสถานที่แรกในวันที่สอง โป่งน้ำพุร้อนไทรงาม เป็นบ่อน้ำผุดที่มีอุณหภูมิอุ่นซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ในเขตอนุรักษ์ป่าไทรงาม รายล้อมด้วยต้นไม้ที่เขียวขจี และน้ำใสมากกกกกกกกกก ใสแบบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (โอมมม จงเชื่อ จงเชื่อ 555555) ไม่ค่อยเอาความรู้มาเท่าไหร่ ไปดูรูปกันเอาเองเด้อ ที่นี่มีร้านขายของเล็กๆน้อยๆอยู่นะจ๊ะ ใครหิวก็อุดหนุนได้ ขอบอกก่อนเน้อ ใครที่หวังจะมาเช็คอินที่นี่ แนะนำให้เช็คอินไว้ก่อนถึงนะจ๊ะ เพราะหลังจากที่เราเข้ามาแล้ว สัญญาณจะหายไปโดยอัตโนมือ เอ้ย อัตโนมัติ แฮร่ เล่นอะไร ฮ่าๆๆๆๆๆ

เราอยู่ที่นี่ไม่นานเท่าไหร่ เพราะเราจะต้องเดินทางไกล ไปอีกอำเภอเลยมีเวลาจำกัดค่ะ

มาๆๆๆ เดินทางต่อ จุดหมายของการไปนอนในวันนี้ของเราคือ “บ้านจ่าโบ่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน” แต่ๆๆๆ ก่อนจะถึงเราก็จะแวะนั่นแวะนี่ไปเรื่อยๆ เริ่มจากแวะตรงนี้ละกัน

ออกจากดอยกิ่วลม ก็หาทางแวะอีกแล้วค้า 5555555 ขับรถมาก็จะเจอถ้ำลอด เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญ ปัจจุบันอยู่ ในความดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มแม่น้ำปาย ถ้ำลอด มีลำห้วยชื่อ น้ำลางไหล ลอดภูเขาไปทะลุออกอีกด้านหนึ่ง ทำให้เกิดเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม จากการพบเครื่องมือเครื่องใช้ โบราณในถ้ำสันนิษฐานได้ว่ามีอายุประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว (แต่น่าเสียดาย เราไม่ได้เข้าไปภายในถ้ำ แค่ขับรถเข้าไปถ่ายรูปหน้าถ้ำมาเท่านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังเสียดายไม่หาย แต่ไม่เป็นไร ยังมีโอกาสได้ไปอีก อิอิ) ดูแค่หน้าถ้ำไปก่อนละกันเนาะ

ต่อไปเราจะมุ่งไปบ้านจ่าโบ่แบบจริงๆจังๆละนะ (หลังจากที่เลาะๆมานาน) ขอบอกก่อนเลยว่าเราประทับใจที่นี่มากกกกกกกกกกกกกกก แบบสุดๆไปเลยอ่ะ เป็นสถานที่แรกที่เราไปเที่ยวแล้วตื่นมาได้เห็นทะเลหมอก แบบที่เป็นทะเลหมอกจริงๆอ่ะ อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัส ช่วงฤดูฝนเราว่าสวยกว่าฤดูหนาวนะ เพราะถ่ายรูปจะเห็นแต่ธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่เห็นแต่คน

มาถึงจ่าโบ่ก็ถ่ายรูปบรรยากาศช่วงบ่ายแก่ๆไว้ซะหน่อย (อีกที่พักหลักร้อย วิวหลักล้านของเรา) ที่พักของเราจะอยู่ตรงข้ามกับร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาเลยค่ะ แบบตื่นมาแล้วลงมากินเลยไรงี้ อิอิ เจ้าของที่พักกางเต้นท์ไว้รอเรียบร้อย ในส่วนของที่พัก เราสามารถเลือกพักแบบโฮมสเตย์ หรือเลือกพักเป็นลานกางเต้นท์ก็ได้ค่ะ

ถ้าพักแบบโฮมสเตย์ก็ติดต่อผู้ใหญ่บ้าน(ผู้ใหญ่อุทัย)ที่เบอร์นี้เลยค่ะ 099-8946196

ถ้าเป็นกางเต้นท์หรือว่านอนบ้านไม้ก็ติดต่อได้ที่คุณพีช 088-0250281, 064-0956202

เอาเป็นว่าเรื่องรายละเอียดที่พักถ้าสนใจแบบไหนก็โทรสอบถามเอาเลยเน้อออ อิหล่าคร้านเว้าหลาย(น้องขี้เกียจพูดเยอะ)

06.20 ตื่นมาแบบสาย(อีกแล้ว) ตอนแรกนึกว่าทะเลหมอกจะหายไปแล้ว แต่ไม่ใช่ครับโผมมมมม มันยังสวยและสวยมากๆด้วย

ขอถ่ายแบบน้ำไม่อาบซะหน่อย เพราะกลัวว่าถ้ากลับไปอาบน้ำมา หมอกจะหายไปไง

แต่เปล่าเลยค่า หมอกยังคงอยู่จนถึงเวลาเกือบสิบโมงแน๊ะ สบายละสิงานนี้ ขอถ่ายรัวๆรอร้านก๋วยเตี๋ยวเปิดละกัน(หมอกก็จะเริ่มฟุ้งๆแล้วละ แต่ก็ยังสวยอยู่เหมือนเดิม)

และแล้วร้านก๋วยเตี๋ยวก็เปิดแล้ววววว จัดสิครับรอไร?

หามุมนั่งดีดี แล้วตั้งกล้องถ่ายโลด เอาแบบชิคๆ

สั่งไปไม่นาน ก๋วยเตี๋ยวพร้อมเสิร์ฟแล้วจ้าวววว

มันคือก๋วยเตี๋ยวห้อยขาจริงๆ

และก่อนกิน

หลังจากกินได้ไม่นาน

ก็ไม่ค่อยจะหิวเท่าไหร่ (แทบจะสั่งมาอีกถ้วย) ราคาถ้วยละ 35 บาทค่ะ ของเราสั่งพิเศษถ้วยละ 40 บาท (เป็นคนกินไม่เยอะ)

บอกลาจ่าโบ่แล้ว วันนี้เราจะเดินทางไปพักที่อุ๋งอุ๋ง หรือปางอุ๋งนั่นเอง แต่ๆๆๆๆ แต่ เหมือนเดิม ก่อนจะเข้าไปที่อุ๋งอุ๋ง เราก็แวะ แวะ แวะ อีกตามเคย 555555 อะไรแวะได้ แวะหมดอ่ะนาทีนี้

แวะที่แรก ถ้ำปลา (ขับรถมาเส้นเดียวกันกับทางไปปางอุ๋งเลยค่ะ) อัตราค่าเข้าชม 20 บาท

เราจะแวะๆๆๆๆ ที่ต่อไปไปภูโคลนค่ะ

ภูโคลน หรือ ภูโคลน คันทรี คลับ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและการให้บริการด้าน สุขภาพ และความงามด้วยโคลนและน้ำแร่ธรรมชาติแก่นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบรรจุไว้ในโครงการ UNSEEN IN THAILAND และSPA IN PARADISE สุดยอด 1 ใน 50 สปาในแหล่ง

เป็นแหล่งน้ำแร่และโคลนธรรมชาติที่มาจากสายน้ำแร่ใต้พื้นดิน ที่มีความร้อนตั้งแต่ 60 - 140 องศาเซลเซียสเป็น โคลนเดือด บริสุทธิ์สีดำ ที่ขึ้นมาพร้อมกับน้ำแร่ธรรมชาติที่สะอาดและไม่มีกลิ่นของกำมะถัน ซึ่งอุดมไปด้วย แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์กับผิวหนังและระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์เรา (อัตราค่าบริการอันนี้เราไม่ได้ถามมา ถ้าใครสนใจเวลาไปก็ถามทางเจ้าหน้าที่เอาเลยนะคะ ราคาไม่แพงนะเท่าที่รู้)

เส้นทางไปภูโคลนก็ไม่ยากค่ะ ขับเข้ามาเส้นทางเดียวกันกับปางอุ๋ง-บ้านรักไทยเลย จะมีป้ายบอกตลอดทาง

ขับออกมาจากภูโคลนไม่ไกลนะจ้าววว ก่อนจะย้อนกลับไปปางอุ๋ง ไปเอาบุญกันเด้อพี่น้อง

สะพานบุญซูตองเป้ มีความกว้าง 2 เมตร ยาวประมาณ 500 เมตร เป็นสะพานไม้ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอีกแห่งหนึ่ง ซูตองเป้ เป็นภาษาไทใหญ่แปลว่า อธิษฐานสำเร็จ หรือบางคนก็บอกว่าแปลว่า ความสำเร็จ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า หากได้มายืนอยู่กลางสะพานแล้วอธิษฐานขอความ ความสำเร็จใดๆ ก็จะพบกับความสมหวัง นับว่าเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

แต่!!! (แต่อะไรอี๊กกกกก) ก่อนจะเข้าปางอุ๋ง ก็แวะค่ะ แวะๆๆ 5555 ก็มาถึงแล้วอ่ะเนาะ ไม่แวะก็กระไรอยู่

น้ำตกผาเสื่อ ชมความงดงามของสายน้ำสีขาวขุ่นที่มีต้นกำเนิดจากลำน้ำแม่สะงาในพม่า โดยน้ำตกผาเสื่อนั้นจัดเป็นน้ำตกขนาดกลาง ที่มีความสูงประมาณ 10 เมตร กว้าง 15 เมตร และมีน้ำให้นักท่องเที่ยวได้ชุ่มฉ่ำกันตลอดทั้งปี ช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำตกสายนี้ก็จะไหลเต็มหน้าผากว้างจนดูคล้ายเสื่อที่ปูลาดลงมา และกลายเป็นที่มาของชื่อน้ำตกผาเสื่อ ครั้นช่วงหน้าแล้งเมื่อน้ำลดน้อยลง ก้อนหินน้อยใหญ่ที่หลบซ่อนอยู่ใต้สายน้ำมานานก็จะเผยตัวออกมาอวด

ขับออกมาจากน้ำตกเรื่อยๆตามถนนเลยค่ะ ก็จะเจอป้ายบอกว่าไปปางอุ๋ง-บ้านรักไทย แต่ดูเวลาแล้วยังไม่เย็นมากเท่าไหร่ ขอขับรถไปชมความงามของหมู่บ้านรักไทยก่อนละกันนะ

อันนี้เราไม่ได้ไปถ่ายรอบๆหมู่บ้านนะ กะจะไปชมความงามของลีไวน์รักไทยที่เขาว่าดังๆซะหน่อย จริงๆมันสวยนะ สวยมากๆด้วย เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการไปพักผ่อน แต่คงไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการไปดูดกลิ่นอายธรรมชาติอย่างเราซักเท่าไหร่ เพราะเราว่ามันเป็นที่พักที่สบายไป ไม่ค่อยลุยเท่าไหร่ และที่สำคัญค่าที่พักก็ค่อนข้างจะแพงเอาการเลย ถ้าไปเป็นหมู่เพื่อนๆหรือครอบครัวแบบนี้หน่ะได้อยู่เด้อ

ข้างหน้าลีไวน์รักไทยก็จะมีร้านอาหารเยอะแยะมากมาย วิวแบบสวยโคตรๆ

ลืมบอกว่าบ้านรักไทยจะต้องขับรถไปจากทางเข้าปางอุ๋งอีกประมาณ 6 กิโลเมตรนะคะ เส้นทางก็จะคดโค้งและค่อนข้างชันอยู่นิดนึง ถ้าไปช่วงเช้าๆอาจจะเห็นหมอกงามๆลอยเหนือผิวน้ำก็ได้ แต่เราอยากไปอยู่ปางอุ๋งนานๆเลยเลือกที่จะไปบ้านรักไทยวันนี้ก่อน

มาถึงจุดนี้ คืนสุดท้ายของฉันกับแม่ฮ่องสอน ปางอุ๋งงงงงงง

เรามาถึงปางอุ๋งประมาณ สี่โมงเย็น ปางอุ๋งเงียบและไร้ผู้คน มีแค่แสงแดดกับต้นไม้และสายน้ำ มาถึงเจ้าหน้าที่ก็เอาเต้นท์ออกมากางต้อนรับเราพร้อมเครื่องนอนที่พักอย่างดี

และนี่คือที่กางเต้นท์เรากับมอไซต์ที่เราใช้แว๊นมาค่ะ

เราเลือกพักแบบกางเต้นท์ราคา 250 บาทต่อคืนพร้อมเครื่องนอน (สามารถนำเต้นท์มากางเองได้นะคะ หลังละ 50 บาท และสามารถเช่าเครื่องนอนกับทางปางอุ๋งได้ค่ะ หรือใครที่สนใจนอนเป็นห้องพักก็มีนะ) เบอร์ติดต่อสอบถามเรื่องที่พักนะคะ 080-8478456, 087-6618594

มาดูบรรยากาศเช้าๆ(ที่ไม่เช้า)ของปางอุ๋งกันค่ะ

06.20 ตื่นสายอีกแล้ววววว โอ๊ยยยย เบื่อตัวเอง ตอนแรกตื่นมาแบบเฟลมากอ่ะ ทำไมอุ๋งอุ๋งของเค้าถึงไม่เป็นอย่างที่คนเขารีวิวเลย มันต้องมีไอน้ำลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำสิ แล้วก็ต้องมีหงส์ขาวคู่มาเล่นน้ำคู่กันสิ มันต้องมีสิ โอ๊ยยยย พี่บัวลอยยยย 5555555 เยอะ เยอะเกินไปละ ตอนแรกอ่ะยอมรับว่าอยากร้องไห้เลย แต่พอเราเดินไปเรื่อยๆ ขับรถไปดูเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นน้ำ โอ้โฮฮฮฮฮฮฮจ๊อสสสสสส มันยอดมากกกกกก มันสวยจริงๆนะยูววววว (ขออภัยเราถ่ายรูปมาสวยได้แค่นี้ แต่อยากจะบอกว่า วิวจริงๆมันงามแต๊ๆเจ้า)

วันนี้จะไม่เห็นหงส์ขาวคู่ออกมาข้างนอก เนื่องจากนางกำลังมีลูกน้อยจ้า ทางเจ้าหน้าที่เลยไม่ปล่อยนางออกมา กลัวนางไปกัดลูกนางตาย เลยเลี้ยงไว้ในกรอบอย่างน่าสงสาร อิอิ

แต่ถึงจะไม่มีหงส์ขาวคู่ แต่ก็ยังมีหงส์ดำคู่นี้ออกมาให้เราได้ชมกันอยู่นะจ๊ะ แต่นางจะขี้อายหน่อยนิดนึง เพราะนางสองตัวไม่ยอมออกไปตรงที่มีนักท่องเที่ยวเลย เราเลยได้เดินมาหานางเอง แอบบอกให้นางสองตัวจูจุ๊บกันด้วย 55555555

ก่อนลาจากปางอุ๋ง ขอถ่ายรูปกับมุมสุดฮิตกับที่นี่ซะหน่อย

รูปชุดสุดท้ายก่อนจากปางอุ๋งจริงๆ

ทิ้งท้ายเลยนะคะ พี่ๆในรูปนี้คือเรามีโอกาสได้ไปเจอกันที่บ้านจ่าโบ่ค่ะ และบังเอิญอีกที่ว่า วันต่อมาพี่ๆเขาก็จะไปนอนปางอุ๋งเหมือนกันกับเรา เราเลยได้ถ่ายรูปเก็บความทรงจำนี้ไว้ ขอบคุณมิตรภาพใหม่ ขอบคุณจ่าโบ่ที่ทำให้เรารู้จักกันค่ะ เป็นทริปคนเดียวที่ไม่เหงาของเรา ^^

และนี่ก็เป็นอีกมิตรภาพของเราในทริปนี้ค่ะ

หมดจากปางอุ๋งแล้วเราก็ไม่ได้ไปแวะไหนต่อเลย เพราะต้องรีบกลับเอารถไปคืนที่ปาย ต้องขับรถจากปางอุ๋งไปปายประมาณ 120 กิโลเมตร อีกอย่างออกจากปางอุ๋งสายด้วยแหล่ะค่ะ เลยต้องรีบนิดนึง

มาสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งมวลของเรานะคะ ต้องขอบอกก่อนว่าเรากินไม่เยอะ ไม่ยาก อะไรก็ได้ในทริปนี้ (ส่วนมากก็กินแต่มาม่า เพราะมันประหยัด 55555)

ค่าวิน+รถตู้ จากบ้านถึงสถานีรถไฟ ไป-กลับ 115 บาท

ค่าโดยสารจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ไปสถานีขนส่งอาเขต 30 บาท

ค่ารถโดยสารไป-กลับ เชียงใหม่-ปาย 160 บาท

ค่าเข้าห้องน้ำทุกที่ 47 บาท

ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์ 3 วัน + น้ำมัน 855 บาท

ค่าที่พัก 3 ที่ - หยุนไหล 200 บาท

- จ่าโบ่ 300 บาท

- ปางอุ๋ง 250 บาท

รวม 750 บาท

ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆกับค่าเช่าชุดที่หมู่บ้านสันติชล 180 บาท

ค่ากินทั้งหมด ไม่ว่าจะกินเล็กกินน้อย กินใหญ่ กินอะไรก็ตาม 980 บาท

รวมทุกค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดทริป 4 วัน 4 คืน(รวมคืนที่นอนบนรถไฟ ตั้งแต่วันที่ 27-30 กันยายน 2560) คือ 3,117 บาท

โอเค เกินมา 117 บาท 55555555555555 ถือว่ายังได้อยู่ หรือเปล่า?

อ๊ะๆๆ บทส่งท้ายแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและอ่านจนจบนะคะ รูปและข้อความอาจจะเยอะไปหน่อย ต้องขออภัย

เราไม่ขอเรียกกระทู้นี้ว่า กระทู้รีวิว แต่เราขอเรียกมันว่า “บันทึกจากฉัน นัก(ชอบ)เดินทาง”

ขอให้ทุกคนโชคดีกับการเดินทางท่องเที่ยวในทุกๆที่ และอย่าลืมแวะมาแชร์ประสบการณ์กับเราด้วยนะ บายยย

ปล.ขออภัยในความปรับแสงไม่เป็นของเรา

ปล.รูปทั้งหมดไม่ได้ผ่านการแต่งโดยโปรแกรมใดๆ อาจทำให้ภาพบางภาพมัว ดำ หรือไม่ชัด ขอโทษด้วยเด้อออ อิหล่าแต่งรูปบ่เป็น อิอิ

หนูนา จะไปไหน?

 วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 01.08 น.

ความคิดเห็น