Part 1 นะครับ https://th.readme.me/p/1845

Part ที่แล้วพาไปเที่ยวเมือง Kanazawa

หมู่บ้านมรดกโลกอย่างShirakawago, Suganuma และ Ainokura

ก่อนจะกลับมาเที่ยวที่ Kyoto


ส่วน Part นี้ ผมจะพาไปชมเมือง ชมวิว และใบไม้แดงสวยๆ ทั้งที่ Nara,Kobe,Kyoto

ก่อนจะปิดทริปด้วยเมือง Uji ที่เป็นเมืองขึ้นชื่อด้านการผลิตชาเขียว


จะเป็นยังไง สวยมากแค่ไหน ไปชมกันต่อเลยครับ


21/11/59

เช้านี้ต้องย้ายโรงแรม

เนื่องจากเป็นวันเสาร์อาทิตย์ ทำให้โรงแรม Park Inn ห้องพักเต็ม

ผมเลยจองไว้ที่ Hotel Kaga ทั้งหมด 2 คืน ก่อนจะย้ายกลับมาพักที่ Park Inn ต่ออีก 3 คืน

ยังดีที่โรงแรมทั้ง 2 อยู่ห่างกันไม่ไกล เดินแปปเดียวก็ถึง

Hotel Kaga ราคาคืนละประมาณ 500 บาท เป็นห้องพักเล็กๆ มีฟูกกับผ้าห่มเหมือนเช่นเคย

มีแอร์ ตู้เย็นให้ และมีห้องอาบน้ำอยู่ที่ชั้นล่าง เป็นห้องอาบเดี่ยว

ถือว่าเป็นโรงแรมที่คุ้มค่าคุ้มราคาอีกโรงแรมนึงเลยทีเดียว


วันนี้มีแพลนไปเที่ยวน้ำตก Minoh (Minoh Waterfall)

และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ ผมเลยซื้อ Osaka Subway 1 Day pass มาใช้

ราคาในวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะลดจาก 800 Yen เหลือเพียง 600 Yen

น่าจะคุ้มกว่าซื้อเป็นรายเที่ยว


นั่ง Subway ไปลง Umeda ก่อนจะต่อรถไฟสาย Hankyu ไปน้ำตก Minoh

จากสถานี Minoh เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเป็นทางเดินเข้าสู่หุบเขา



จากสถานี Minoh ถึงน้ำตก ระยะทางประมาณ 2.6 กิโลเมตร

สองข้างทางจะเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่

ถ้ามาช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ใบไม้ที่นี่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงาม

แต่วันที่ผมไป ยังไม่ค่อยแดงเท่าที่ควร


บางต้นใบไม้ก็ทยอยร่วงลงพื้นไปหมดแล้ว



น้ำตก Minoh แนะนำให้มาช่วงเช้าๆ เพราะคนยังไม่เยอะมาก

และอากาศดีสุดๆ



เดินเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณเกือบๆชั่วโมงก็มาถึงน้ำตก Minoh

น้ำตกนี้เป็นน้ำตกขนาดเล็ก กินกับข้าวเหนียวน่าจะอร่อย เอ้ยไม่ใช่

น้ำตกนี้มีขนาดสูง 33 เมตร ผู้คนนิยมซื้ออาหาร มานั่งทาน นั่งเล่นกันบริเวณน้ำตก

ยิ่งในช่วงวันหยุด ฤดูใบไม้ร่วง ตอนสายๆเที่ยงๆคนจะเยอะมากเป็นพิเศษ



ก่อนถึงน้ำตก จะมีทางแยกขึ้นไปยังลานจอดรถ

ผมเดินเล่นขึ้นมาด้านบนเรื่อยๆ ผ่านลานจอดรถ



เดินมาจนถึงเส้นทางเดินป่า



เดินตามเส้นทางไปเรื่อยๆ มันจะพาไปไหนก็ไม่รู้



มาโผล่ด้านบน ซึ่งเป็นเขื่อนกั้นน้ำ



มองไปอีกฝั่ง เห็นต้นเมเปิ้ลที่มีใบไม้แดงตั้งเรียงรายกันอยู่



เปิดแผนที่ดู พบว่าเส้นทางเดินเป็นวงกลม เลยเดินต่อไปเรื่อยๆ

ผ่านป่าที่ใบไม้เขียวชะอุ่ม



ออกจากป่า มาโผล่ไหนก็ไม่รู้



มีทางให้เดิน ก็เดินต่อไป



เดินจนเจอทางวนกลับไปยังที่ที่มีต้นเมเปิ้ลตั้งเรียงรายกันอยู่



ในที่สุดก็เดินมาถึง ฝั่งตรงข้ามนั่นคือเขื่อนกั้นน้ำที่เราเดินผ่านทีแรกนั่นเอง



คนญี่ปุ่นซื้อกล่องอาหารเบนโตะมานั่งทานกันหลายคนเลย



ขากลับเดินวนไปอีกทาง ใกล้กว่าขามาเยอะเลย



เดินกลับมาที่น้ำตกก็ต้องตกใจ

คนมาจากไหนกันเยอะแยะ แน่นไปหมดเลยย



คนกำลังมาเที่ยวกัน งั้นเรากลับกันดีกว่า



ช่วงบ่ายๆเย็นหลังจากกลับมาเช็คอินที่พัก ก็ไม่ได้ไปไหนอีกเลย

ปล่อยให้เวลาผ่านไป จนหมดไปอีกหนึ่งวันวันนี้ผมเปิดใช้ Kansai Thru Pass เป็นวันที่สอง เลยนั่งรถไฟมาเที่ยว Himeji

หลับแล้วหลับอีกใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ก็มาถึง Himeji

จากสถานีรถไฟ ต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที



เข้ามาด้านในก็จะพบกับปราสาทหลังใหญ่โต



ปราสาทแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เป็นปราสาทที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น

ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ทั้งสงครามโลก แผ่นดินไหว ไฟไหม้ แต่ก็ยังคงโครงสร้าง

เดิมของตัวปราสาทไว้ได้อย่างสมบูรณ์



แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด ทำให้นักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ

ผมเลยตัดสินใจ ไม่เข้าไปชมด้านในตัวปราสาท แต่มาเดินเล่นบริเวณรอบๆปราสาทแทน



ใกล้ๆกับปราสาท มีสวนสัตว์อยู่ และค่าเข้าชมไม่แพง เลยเข้ามาเดินชมซะหน่อย



เจ้าตัวแรก ใช่จิงโจ้รึเปล่าา...



ส่วนตัวนี้น่าจะเป็นแมวน้ำ



มันขึ้นมาขู่ด้วยย แฮ่ 5555



ตัวนี้น่ารัก เป็ดน้อยก้าบๆ



ตัวนี้เค้าเรียกอะไรน้าา ใช่แร็คคูนรึเปล่า



ส่วนเจ้านี่หลับตลอดเวลาา แบะ แอะ แอะ...



ฮิป ฮิป โป โอ้โหตัวมันใหญ่



หมีขั้วโลกก ทำไมมาอยู่ที่ญี่ปุ่นน้าา



หลังจากเดินเล่นสวนสัตว์จบครบ ก็ค่อยๆเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ

ไปเที่ยวโกเบกันต่อดีกว่าา



มาโกเบ ก็ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน จำได้ว่าปีที่แล้วเคยไปเดินเล่นที่หมู่บ้าน Kitano

งั้นวันนี้ลองไปเดินเล่นอีกรอบแล้วกัน



ที่ Kitano ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเรือนแบบชาวตะวันตก โดยจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชม

โดยเสียค่าเข้าประมาณ 300-1000 เยน

วันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยวมากมาย แถวมีนักดนตรีมาเล่นเปียโนให้ฟัง

เลยนั่งฟังเพลง ชิวๆ สบายๆ



ช่วงเย็น เลยเดินไป Venus Bridge ซึ่งจะเป็นจุดชมวิวเมืองโกเบที่สวยงามมากๆ



สามารถมองเห็นเมืองโกเบทั้งเมืองจากที่แห่งนี้



ทางขึ้นมา Venus Bridge ให้ค้นหาใน google map ว่า suwayama park ครับ

ซึ่งจะเป็นสวนสาธารณะ จะมีทางเดินขึ้นมาเรื่อยๆครับ



ตอนกลางคืน เมืองทั้งเมืองเปิดไฟสวยมากก อากาศก็ดีสุดๆ



ผมอยู่ชมวิวจนมืด ก่อนจะค่อยๆเดินลงข้างล่าง



เดินมาเรื่อยๆ ตั้งใจจะเดินไป Kobe Harborland

เดินผ่านย่าน China Town ที่นี่จะมีร้านอาหารจีนเยอะมากๆ



และแล้วก็เดินมาถึง Kobe Harborland

ที่นี่เป็นพื้นที่ช้อปปิ้ง และแหล่งบันเทิงริมน้ำของบริเวณท่าเรือโกเบ มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้า และสวนสนุก

ช่วงเย็นมาเดินเล่น ชมวิว ก็ชิวดีเหมือนกันครับ

มองไปอีกฝั่งจะเป็นห้าง Mosaic มีชิงช้าสวรรค์เปิดไฟสวยงาม



เดินผ่านโรงแรม ซึ่งกำลังมีการแสดงโชว์น้ำพุด้านหน้า



เดินมาจนถึงห้าง Mosaic แล้วลองมองย้อนกลับไปอีกฝั่งก็จะเห็น Kobe Port Tower

ผมเดินเล่นจนเมื่อย ก่อนจะค่อยๆเดินไปยังสถานีรถไฟ เพื่อกลับที่พัก



23/11/58



เช้าวันใหม่ นั่งรถไฟมาเที่ยว Nara

ผมมาตั้งแต่เช้า นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเยอะเท่าไร บรรยากาศดีมากๆ

จากสถานีรถไฟ เราสามารถค่อยๆเดินไปเที่ยวเรื่อยๆ หรือจะซื้อพาสสำหรับนั่งรถบัสก็ได้

แน่นอนว่าผมเลือกที่จะเดินชมวิวไปเรื่อยๆ

*รถบัสที่นี่ไม่สามารถใช้ KTP ได้นะครับ



เริ่มกันด้วยวัดTodaiji ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด

ในอดีต เป็นศูนย์กลางของวัดทั้งหมดในประเทศ และมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก



อาคารหลักของวัดเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก



ภายในเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโตหรือ ไดบุตสึเดน ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น



นักท่องเที่ยวต่างมากราบไหว้บูชา



สายๆหน่อย นักท่องเที่ยวก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ



รอบๆบริเวณวัด มีเจ้ากวางอยู่เต็มไปหมด

สามารถไปซื้อขนมเซมเบ้ ที่มีขายอยู่มากมาย ป้อนเป็นอาหารให้มันได้

ราคามัดละ 100 เยน



ตัวนี้สงสัยจะหิวจัด กัดโซ่ซะเลยย แง่มม



เดินเล่นมาจนถึงบริเวณ Nara Park ซึ่งใบไม้กำลังแดง สวยสด งดงามเลยทีเดียว



สวน Nara ค่อนข้างกว้าง ขนาดเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวยังค่อนข้างเยอะ



เดินเล่นจนมาโผล่ที่ Kasuga Taisha



ที่นี่เป็นศาลเจ้า อยู่ท่ามกลางป่าไม้ บรรยากาศร่มรื่น

ผู้คนนิยมเดินมากราบไหว้บูชา



เดินจนทั่วสวน Nara Park ก็ค่อยๆเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ

ผ่านวัด Kofuku-ji ซึ่งถูกสร้างขึ้นประมาณปี 710 ในช่วงเดียวกับที่นาราเป็นเมืองหลวง

เจดีย์ 5 ชั้นนั้นสูงเป็นอันดับสองของเจดีย์ในญี่ปุ่น



จู่ๆฝนก็ตกลงมา ยังดีที่ตกไม่แรงมาก



ขากลับเดินผ่านถนน sanjo dori ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งของเมืองนารา

สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมาย

ก่อนจะนั่งรถไฟกลับ Osaka



ช่วงเย็นฝนก็ยังไม่หยุดตก ทำให้ไม่สามารถออกไปไหนได้เลย24/11/58



วันนี้มีแพลนไป Arashiyama อีกครั้ง เพราะวันก่อนยังเดินเที่ยวไม่ครบ

เช้านี้อากาศดีมากก ผมรีบมาตั้งแต่เช้า เพราะนักท่องท่องจะได้ยังไม่เยอะมาก



เดินเล่นชมวิวไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนไปไหน

ที่นี่เป็นสถานที่โปรดผมเลย บรรยากาศก็ดี วิวทิศทัศน์ก็สวย และยังมีความเป็นธรรมชาติอีก

มากี่ทีก็ไม่เบื่อเลยครับ



ผมซื้อข้าวกล่อง มานั่งกิน ตากลม ชมวิว

ปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ



ช่วงสายๆ เลยเดินไปเที่ยววัด Tenryu-ji

นักท่องเที่ยวต่างมารอต่อคิวเพื่อเข้าชมวัดกันมากมาย

ค่าเข้าชม 500 เยน ซึ่งจะชมได้แค่สวนบริเวณโดยรอบอาคารของวัด

หากต้องการเข้าชมในตัวอาคาร ต้องเสียเพิ่มอีก 100 เยน



วัดนี้สวยเป็นอันดับต้นๆของวัดในเมืองเกียวโต เป็นวัดในนิกายเซน

และยังเป็นอีกหนึ่งมรดกโลกอีกด้วย



บริเวณด้านหลังของวัด มีสวนให้เดินชม ซึ่งเป็นไฮไลท์ของวัดนี้

บรรยากาศร่มรื่น ใบของต้นเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนสีอย่างสวยงาม



ด้านหลังของตัวอาคารวัด จะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่

ในสระเต็มไปด้วยปลาคาร์ฟมากมาย



ส่วนบริเวณด้วยท้ายของสวน จะเป็นทางออกไปสู่ป่าไผ่

ซึ่งหากไม่ต้องการออกทางนี้ สามารถเดินย้อนกลับไปออกทางหน้าวัดก็ได้



ผมเดินออกมาบริเวณหน้าวัดเหมือนเดิม คนเยอะมากกก

และบริเวณหน้าวัด ใบไม้แดงก็สวยมากเช่นกัน



ใบไม้แดงเรียงเป็นแถบๆ นักท่องเที่ยวต่างหามุมถ่ายรูปให้ออกมาสวยที่สุด



ผมเดินวนมาจนถึงป่าไผ่ ที่นี่คนก็เยอะมากเช่นกัน

จำได้ว่าปีที่แล้วมาตอนปลายตุลา แทบไม่มีคนเลย



ยืนมองลุงคนนี้วาดรูป ก่อนจะเดินต่อ



จากป่าไผ่ เดินมาเรื่อยๆ



เดินขึ้นเขามานิดนึง ก็จะเจอกับจุดชมวิว



และจากจุดชมวิว เดินลงจากเขามาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับแม่น้ำด้านล่าง



นักท่องเที่ยวนั่งเรือชมวิว โรแมนติกสุดๆ

ผมนี่อยากจะลองไปนั่งบ้าง แต่ว่าตังไม่มี



ที่ Arashiyama แค่มาเดินเล่นสูดอากาศ ก็คุ้มแล้วครับ



ผมเดินเล่นจนทั่วทุกแห่ง ก็ค่อยๆเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ



แม้แต่ตอนกลางวัน สถานีรถไฟ Arashiyama ก็ยังเปิดไฟสวยงาม



ผมนั่งรถไฟไปยังเมืองเกียวโต ก่อนจะนั่งรถบัสต่อมายังวัด Eikando

ที่นี่คนเยอะมากๆ และใบไม้แดงก็สวยสุดๆ

แต่ค่าเข้าค่อนข้างแพง เลยตัดสินใจไปเดินเล่นบริเวณวัด Nanzen-ji ก่อน



บริเวณวัด Nanzen-ji จะมีสวนชื่อว่า Tenjuan เสียค่าเข้าชม 500 เยน



ภายในสวนบรรยากาศร่มรื่น

เป็นสวนเล็กๆ ใบไม้ส่วนหนึ่งกำลังเปลี่ยนสี และส่วนหนึ่งก็ร่วงหล่นไปหมดแล้ว



ในช่วงค่ำ สวนแห่งนี้จะมีการแสดง Light Up ซึ่งจะต้องเสียค่าเข้าชมอีกรอบ



เดินเล่นประมาณ 15 นาทีก็ครบรอบสวนแล้วครับ



บริเวณสวนมีศาลาให้ นั่งเล่น ชมวิว ถ่ายรูปได้ตามสบาย



กว่าจะออกมาจากสวน Tenjuan ก็ค่ำแล้ว

เดินย้อนกลับมาที่วัด Eikando ก็ต้องตกใจกับผู้คน

ต่อแถวกันยาวมากๆๆ เลยตัดใจไม่เข้าชม

ไปดู Light up ที่อื่นดีกว่า



ระหว่างนั่งรถบัสกลับ Kyoto นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เข้าชมวัดน้ำใส (kiyomizu-dera) งั้นไปวัดน้ำใสละกัน



ถึงแล้วว วัดน้ำใส ตอนกลางคืนสวยสุดๆ

ผมมาตอนประมาณสองทุ่ม ทำให้นักท่องเที่ยวเบาบางลงแล้ว

ช่วงกลางคืนจะมีการยิงแสงเลเซอร์สวยงาม

ในช่วงกลางคืน ต้องเสียค่าเข้าชม 400 เยน นะครับ



เดินชมไปเรื่อยๆ



เดินมาจนถึงอาคารหลักของวัดนี้

มองไปฝั่งตรงข้ามก็เห็นนักท่องเที่ยวมากมาย

เอ๊ เค้าไปยืนทำอะไรกันตรงนั้นน๊าา

ลองเดินไปดูบ้างดีกว่า



และจุดเด่นของวัดนี้ก็คือมุมนี้นั่นเอง

มุมที่ใครๆก็ต่างมาแย่งกันถ่ายรูป



เดินต่อไปเรื่อยๆก็จะเป็นทางออกอยู่ด้านล่าง



กว่าจะออกมาจากวัดก็เกือบๆ 3 ทุ่ม เป็นเวลาวัดปิดพอดี

และกว่าจะนั่งรถบัส รถไฟ กลับถึงที่พักก็เกือบๆเที่ยงคืน



25/11/58



วันนี้ก็ยังคงมาเที่ยวเมือง Kyoto เหมือนเช่นเคย

เพราะเมืองนี้มีวัดเยอะมากก ซึ่งเป็นสถานที่ชมใบไม้แดงยอดฮิต

ทำให้ต้องใช้เวลาหลายวัน กว่าจะเที่ยวครบทุกแห่ง



ผมนั่งรถบัสสาย 207 มายังวัด Tofukuji

ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นสุดยอดสถานที่ชมใบไม้แดงเลยทีเดียว



ขนาดผมมาแต่เช้า นักท่องเที่ยวยังเยอะสุดๆ

ที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชม 400 เยน สำหรับเข้าชมสวนครับ



ใบไม้แดงที่นี่สวยมากๆ และก็เยอะมากๆ



เดินชมสวนไปเรื่อยๆ ชิวๆ



ที่นี่มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะมากมาย

คนเยอะไม่ใช่ปัญหาแน่นอนครับ



นักท่องเที่ยวล้นหลาม แต่ก็ไม่ได้แน่นจนเกินไป



จุดชมวิวนี้จะมองเห็นเกือบทั้งสวน ต้องเข้าคิวถ่ายรูปเลยทีเดียว



มองไปทางไหนก็เห็นแต่ใบไม้แดงสวยงาม



สวนแห่งนี้กว้างใหญ่ ค่าเข้าชม 400 เยน ถือว่าไม่แพงเลยครับ คุ้มค่าสุดๆ



ผมยกให้สวนแห่งนี้เป็นอันดับหนึ่งของสถานที่ชมใบไม้แดงเลย

แนะนำให้มาช่วงปลายๆเดือนพฤศจิกายน ที่นี่จะพีค สวยสุดๆไปเลย



ถ้ามาวันที่ท้องฟ้าเปิด แสงแดดจะส่องลงมากระทบใบไม้

เพิ่มความสวย และโรแมนติกขึ้นไปอีก



เดินออกมาจากสวน บริเวณวัดก็จะมีอาคารอื่นๆให้เดินชม



อันนี้เป็น ประตูซานม่อน(Sanmon) ความสูง 22 เมตร สร้างเป็นแบบเซนโบราณ



เดินจนทั่วบริเวณวัด ก่อนจะกลับไปยังสถานีรถไฟ Tofukuji

และนั่งรถไฟต่อ มาที่ Fushimi Inari เพราะยังไม่เคยเดินชมในตอนกลางวันเลย



ที่นี่ทักท่องเที่ยวก็เยอะเช่นกัน



เสาโทริอิเรียงกันอย่างสวยงาม



นักท่องเที่ยวกำลังถ่ายรูปกันอยู่ เลยแอบแชะมาเบาๆ



ผมเดินเล่นใน Fushimi Inari ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะนั่งรถไฟกลับมาที่ย่าน Gion



บริเวณ 3 แยก แถวๆ Gion จะมองเห็นศาลเจ้าอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ Yasaka Shrine



ศาลเจ้าแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงในเกียวโต ถูกสร้างขึ้นประมาณ 1350 ปีก่อน



ศาลามีโคมไฟหลายร้อยอันแขวนอยู่ ถ้าในช่วงเย็นๆจะมีการเปิดไฟที่โคมสวยงามมาก



บริเวณด้านหลังศาลเจ้า จะมีสวนให้เดินเล่น ชมวิว เพลินๆ



ตอนแรกจะเข้าชมวัด Kodaiji ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้า แต่ค่าเข้าค่อนข้างแพง

ตัดสินใจ นั่งรถไฟกลับที่พักไปนอนดีกว่า



26/11/58



วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้เที่ยว เพราะคืนนี้ต้องนั่งเครื่องบินกลับไทย

ผมรีบเก็บของ ลงไปเช็คเอาท์ ก่อนจะวางกระเป๋าสัมภาระไว้บริเวณล็อบบี้

เพราะว่าเจ้าของที่พักไม่อยู่ ไม่รู้จะไปฝากไว้ที่ไหน เลยไว้วาง ซึ่งไม่น่าจะหาย



เนื่องจากวันนี้ไม่รู้จะไปไหนแล้ว เลยเข้าพวกเพจเกี่ยวกับญี่ปุ่น ว่ามีที่ไหนน่าเที่ยว

ไปเจออยู่เมืองหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกล สามารถนั่งรถไฟไปได้ นั่นก็คือเมือง Uji

งั้นวันนี้ปิดท้ายด้วยเมือง Uji แล้วกันนน

จาก Osaka นั่งรถไฟของ Kaihan เพียง 2 ต่อ ก็มาถึงเมือง Uji



มาถึงเมือง Uji ฝนก็โปรยปรายลงมา ตอนแรกจะนั่งรถไฟกลับ Osaka

แต่ไหนๆก็มาแล้ว ลองเดินชมดูซะหน่อยแล้วกัน



ออกมาจากสถานีรถไฟ ก็เดินตากฝนตรงมาเรื่อยๆ



ถือว่ายังดี ที่ฝนไม่ได้ตกแรงมาก แต่บรรยากาศที่นี่ดีมากกกก



เดินมาจนเจอทางเข้าไปวัดอะไรซักอย่าง เดินเข้าไปดูหน่อยละกัน



เดินผ่านต้นไม้เขียวชะอุ่ม บรรยากาศร่มรื่นสุดๆ



วัดแห่งนี้ชื่อว่า Kosho-ji ซึ่งเป็นวัดในนิกายเซน



มีการจัดสวนตามแบบเซนอย่างสวยงาม



บริเวณหน้าวัด มีชาวญี่ปุ่นมานั่งวาดรูปกันอยู่หลายคน

ถึงแม้ว่าฝนจะตกปรอยๆ แต่ก็ยังกางร่ม นั่งกันอยู่อย่างนั้น ชิวดีจริงๆ



เดินชมวัดเพลินๆ ก่อนจะค่อยๆเดินกลับไปยังทางเดิม



เดินเลียบคลองกลับไปยังทางเดิม



เจอสะพานข้ามไปยังอีกฝั่ง



ข้ามมายังอีกฝั่ง ก็จะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของฝากมากมาย



Uji เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตชาเขียวที่มีคุณภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น

ที่ร้านขายของฝากมีขนมที่ทำจากชาเขียวมากมาย และยังมีชาอุจิ ที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้

ผมลองซื้อขนมมาทานอยู่อย่างนึง ราคาลูกละ 100 เยน



กัดเข้าไปก็ต้องตะลึง มันอร่อยมากก

ด้านในสอดไส้ถั่วแดง เข้ากันกับชาเขียวสุดๆ



ทานเสร็จก็ค่อยๆเดินเลียบลำคลอง กลับไปยังสถานีรถไฟ



ที่เมือง Uji แค่มาเดินเล่น ชมวิวภูเขาท่ามกลางสายหมอก ก็สวยมากแล้ว



บริเวณใกล้ๆสถานีรถไฟ Uji ของ JR จะมีร้านค้า ร้านขนมมากมาย

สามารถมาหาซื้อของฝากที่ทำจากชาเขียวได้จากที่นี่



เนื่องจากผมใช้ KTP เลยใช้ขึ้น JR ไม่ได้

เลยต้องเดินกลับมาขึ้นรถไฟของ Keihan เพื่อกลับ Osaka



รถไฟขบวนของ Keihan ขบวนนี้ เป็นขบวนที่ผมชอบมาก คือมันมีตู้ที่เป็น 2 ชั้น

เท่มากก ซึ่งรถไฟของ Keihan จะวิ่งระหว่าง Osaka และ Kyoto เป็นสายหลัก และมีสายย่อยอีกนิดหน่อย



เผลอหลับไปบนรถไฟ มารู้ตัวอีกทีก็ถึง Osaka แล้ว

ผมลงที่สถานี Temmabashi ก่อนจะค่อยๆเดินไปยังปราสาท Osaka



เนื่องจากไม่รู้จะไปไหนแล้ว เลยปิดท้ายทริปด้วยปราสาท Osaka แล้วกัน



บริเวณทางเดินเข้าปราสาท ก็มีใบไม้แดงให้ชมเช่นกัน

ถึงแม้จะไม่สวยเท่าที่เกียวโตก็ตาม



ถึงแล้วว ปราสาท Osaka

แต่ว่าผมไม่ได้เข้าไปชมด้านใน

แค่ซื้อข้าวมานั่งทาน พร้อมกับชมวิวตัวปราสาทไปด้วย ฮ่าๆๆ



มองออกไปรอบนอก จะเห็นตึกสูงอยู่ไกลๆ



ผมเดินมาเจอแขกคนนี้ อึ้งมากกกก

ในขณะที่ผมใส่เสื้อกันหนาว 2-3 ชั้น ยังรู้สึกหนาววเหน็บ

แต่แขกคนนี้ใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว ไม่รู้เค้าหนาวแต่แกล้งไม่หนาว

หรือว่าไม่หนาวจริงก็ไม่รู้ ไอดอลเลยอะ 55555555



จากตัวปราสาท ผมเดินไปยังทางออกอีกทางหนึ่ง



เดินมาเจอกับต้นแปะก๊วยตั้งอยู่เรียงรายย สวยมากก

ผมนั่งเล่น กินขนม อยู่บริเวณนี้เป็นชั่วโมง

ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ



ใกล้มืดแล้วว ได้เวลาเตรียมตัวกลับบ้าน



ผมนั่งรถไฟแวะไปซื้อของ ก่อนจะกลับที่พัก



ถึงที่พักก็เข้าไปอาบน้ำ นั่งทางข้าวอยู่บริเวณล็อบบี้

เพราะเช็คเอาท์ไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

หลังจากเก็บของเรียบร้อย นั่งรอเวลาจนถึง 2 ทุ่ม

ก็บอกลาเจ้าของที่พัก ก่อนจะนั่งรถไฟของ Nankai ไปยังสนามบิน

ซึ่งสามารถใช้ KTP นั่งได้ฟรี



ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง ก็กลับมาถึงบางกอกบ้านเรา

ผมนั่งรถเมล์กลับบ้านเหมือนเช่นเคย เพราะว่าประหยัดสุดๆ

กลับถึงบ้านปลอดภัยย เป็นอันจบทริปป เย้!


ทริปนี้เป็นทริปที่ถูกใจพอสมควร ได้เห็นใบไม้แดงสมใจอยาก

ได้ไปเที่ยว Shirakawago เมืองมรดกโลก ที่แต่ก่อนเคยเห็นรูปแต่ในอินเทอร์เน็ต


ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เที่ยวง่ายมากก

ไปคนเดียวก็สนุก ไปหลายคนก็เฮฮา ใครๆก็สามารถไปเที่ยวได้

ใครไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ผมแนะนำประเทศนี้เลย มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมากก


และเดี๋ยวนี้ตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้แพงเลยครับ ไม่เกินหมื่นก็ได้ตั๋วมาครอบครองแล้ว

ผมเคยเจอถูกสุด ตั๋วไป-กลับ ราคาแค่ 3000 กว่าบาท

แต่ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน เลยไม่ได้จองไป


แต่ค่าครองชีพของญี่ปุ่นค่อนข้างแพงพอสมควร

ทริปนี้ขนาดผมประหยัดสุดๆ ยังใช้ตั้งเกือบ 30,000 บาท

เป็นทริปแรกที่ใช้เงินเกิน 20,000 บาท เสียดายเงินมากก

แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะไปตั้ง 14 วัน

ผมแทบไม่ได้เข้าร้านที่ขายข้าวเลย ส่วนมากจะซื้ออาหารจากมินิมาร์ทมาทานมากกว่า

แต่ก็กินอิ่มทุกมื้อ นอนหลับสบายทุกคืน ได้เที่ยวครบทุกวัน


สุดท้ายย

ผมอยากให้ทุกคนออกไปท่องเที่ยว ออกไปท่องโลก

ไม่จำเป็นต้องไปญี่ปุ่น ไม่จำเป็นต้องไปต่างประเทศ

แค่ออกจากสถานที่เดิมๆ ไปสู่สถานที่ใหม่ๆ

ออกไปใช้ชีวิต ออกไปหาประสบการณ์

ออกไปหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ

รับรองว่า มันจะให้อะไรแก่เรามากมาย



ขอบคุณทุกคนที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบนะครับ

วันนี้ขอตัวลาไปก่อน เจอกันใหม่กระทู้หน้า



สวัสดีครับบ


ใครสงสัยอะไรตรงไหน สอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ

https://www.facebook.com/hoyberryz



hoyberry

 วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.58 น.

ความคิดเห็น