หลังจากออกทริปวิ่งบนดอยบนเขามามากมาย...เรานี้เราจึงขับมารับลมชิลๆสบายๆที่ทะเลบ้าง
ทริปนี้ เรามากันที่ "เกาะเสม็ด" ชื่อที่คุ้นหู ดูระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพนัก
เหมาะแก่การไปพักผ่อนหย่อนใจ นอนฟังเสียงคลื่น รับลมทะเล มองฟ้าสวย แชะน้ำใส
ปล่อยใจลอยไปกับสายลม...

เราวิ่งรถไปยังท่าเทียบเรือเทศบาลตำบลบ้านเพ โดยมีค่าใช้จ่ายในการนำมินิไบค์ข้ามไปอยู่ที่คันละ 300 บาท
ถือว่าราคาโอเครอยู่ สำหรับคนที่ไปหลายวัน (มอไซค์ไปได้เฉพาะคันเล็กๆนะ คันใหญ่ยกไม่ไหวเน้อ)

ใช้เวลาเดินทางข้ามเกาะราวๆ 30 นาที เสียค่าเข้าเกาะ คนละ 20 บาท
ส่วนใหญ่คนที่มานี่ก็จะเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนมาก เท่าที่ดูก็เป็นฝรั่ง จีน เกาหลี แต่ละคนนี่ดูดีทั้งนั้น...

คืนนี้เรามาพักกันที่บ้านแฝด แมงกระพรุนไฟ อ่าวลุงดำ บรรยากาศหน้าที่พักอยู่ติดหาด
ด้านหน้ามีระเบียงให้นั่งชิลๆ
เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงทะเลแล้ว

ภายในห้อง มีแอร์ ทีวี ตู้เย็น น้ำอุ่น ครบ ตกคืนละ 1500 บาท


หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย เราก็ออกแว๊นชมเกาะกันหน่อย

เรามุ่งหน้าสู่อ่าวปะการัง เป็นที่แรก จุดนี้มีแลนด์มาร์คลับๆซ่อนอยู่ บริเวณหลังที่ทำการ
เราของอนุญาตเจ้าหน้าที่ เข็นรถมาใช้จุดนี้ถ่ายรูป แล้วใช้เวลานั่งชมอาทิตย์ตกดินจนลับตา

หลังจากนั่งรอชมอาทิตย์ตกดินเสร็จ ก็เริ่มหิว เราขับกลับไปหาดทรายแก้ว หาอะไรใส่ท้องกันดีกว่า


อาหารที่นี่ ราคาตกจานละ 70-150 บาท รสชาติก็พอประมาณ ไม่ได้เน้นอิ่มมากมาย
ทีแรกว่าจะไปหาร้านนั่งกินอะไรชิลๆหน่อยแต่ดูงบประมาณและด้วยอาการท้องเสียที่ยังเป็นอยู่
เลยตัดสินใจกลับที่พักไปนอนดีกว่า หวังว่าพรุ่งนี้ตื่นมาจะอาการดีขึ้น...

หากนับย้อนไป 10 ปีก่อน มาเที่ยวที่นี่ราวๆ 3-4 ครั้ง
สมัยนั้น ถนนหนทางยังเป็นดินลูกรัง เรียกว่าขับกันมันส์เลยล่ะ
แต่ตอนนี้ถนนหนทางถูกทำใหม่หมดแล้ว ก็ถือว่าเดินทางได้สะดวกดี

ถนนสองข้างทางที่เคยมืด ปัจจุบันก็มีไฟข้างทางช่วยส่องสว่างแล้ว
นอกจากถนนที่เปลี่ยนไป ที่พักหลายๆที่ก็มีการปรับปรุงไปเยอะเลยทีเดียว


ตื่นเช้ามา อากาศกำลังดี แถมอาการท้องเสียก็ดีขึ้น ช่วงเช้าน้ำขึ้นมาจนถึงบ้านพัก
เห็นแล้วเหมือนจะเชิญชวน เลยขอหลวมตัวกระโดดลงน้ำสักหน่อย

สะพานอ่าวลุงดำ ปัจจุบันสภาพทรุดโทรมและขาดครึ่ง คาดว่าน่าจะโดนมรสุมมา
จึงทำให้สภาพเป็นอย่างที่เห็น

แต่ถึงยังงั้น ก็ไม่ได้ทำให้ความงามลดน้อยไป วิวสวยๆยามเช้า มองฟ้าสวยๆ ลงเล่นน้ำใสๆ
ปล่อยใจไปกับท้องทะเลสีคราม ช่วยดามใจให้ใครหลายๆคน


เล่นน้ำกันพอสมควร ก็สั่งมื้อเช้ามากินเพิ่มพลังหน่อย ข้าวผัดแหนมสั่งพิเศษจานนี้ 100 บาท
อิ่มแล้วก็เก็บข้าวของ เตรียมตัวกลับซะที ใจจริงก็อยากอยู่นานกว่านี้
แต่เรายังมีอีกหลายภารกิจที่ต้องทำ ไว้คราวหน้าจะมาใหม่นะ!

หลังจากเล่าเรื่องราวการเดินทางไปแล้ว
เราก็มาเล่าถึงตัวรถกันบ้าง สำหรับเจ้า GPX 150GR คันนี้

ว่าด้วยรูปทรงหน้าตาของเจ้ามินิไบค์ตัวนี้ บ่งบอกได้ถึงความเป็นสปอร์ต ดูโฉบเฉี่ยว
มาพร้อมกับไฟหน้า Daytime Runing Light แบบ LED

ถังน้ำมัน ความจุ 8 ลิตร สำรอง 1.5 ลิตร ฝาถังยึดติดกับตัวรถตามภาพ

เรือนไมล์แบบ Digital เลือกได้ 3 สี ส้ม แดง น้ำเงิน มีบอกตำแหน่งเกียร์ และช่องชาจน์ USB ในตัว

ประกับ สวิตช์ซ้ายสังเกตว่ามีคันโยกด้านบนคือ โช๊ค มาให้ด้วย ใช้กรณีเครื่องเย็นให้ดึงโช๊คตอนสตาร์ท
พอรอบเครื่องเริ่มเข้าที่ เครื่องเริ่มร้อนค่อยปิ


ส่วนด้านขวาปกติ


ยาง Pirelli Diablo Scooter (สำหรับ 2,000 คันแรก) มาพร้อมกับแม็กทอง ดิสก์เบรค
ด้านหน้า 120/70 - 14" ด้านหลัง 140/70 - 14"

ท่อไอเสียทรงสั้น ตำแหน่งใต้ท้องกลางตัวรถ


ตัวเบาะคนขับ ถือว่ากระชับรับสรีระได้พอดี แต่เบาะท้ายแคบไปนิด อาจซ้อนลำบากนิดนึง


สำหรับท่านั่งการขับขี่ ตัวเบาะความสูงอยู่ที่ 780 mm. รับกับสรีระการขับได้แบบพอดี
แต่สำหรับท่านที่สูงเกิน 170 cm ขึ้นไป อาจลำบากบ้างในการหมอบ
ต้องถอยก้นร่นไปข้างหลังให้สุด เพื่อความสะดวก

มากับเครื่องยนต์ 1 สูบ ปริมาตรกระบอกสูบ 150cc 4 จังหวะ จาก CR5 และ 150GN

อัตราเร่งในช่วงต้นดูจะเบาไปนิด แต่จะเริ่มเร่งได้ดีขึ้นในช่วงกลาง
ด้วยเกียร์ 6 Speed ทำให้อัตราเร่งดีกว่าตัว 150GN อย่างเห็นได้ชัดความเร็ว
Top Speed จากน้ำหนักคนขับ 75 kg + สัมภาระอีกราวๆ 5 kg รวมแล้วราวๆ 80 kg
ทำให้ได้ความเร็วอยู่ที่ 134 km/hr (หมอบ) แต่ถ้าช่วงที่มีลมตีสวนมา ก็ได้อยู่ที่ราวๆ 125km/hr

ในส่วนของเกียร์ พบว่า คันเกียร์ค่อนข้างแข็ง ต้องออกแรงงัดหนักหน่อย
จังหวะเพิ่ม/ลดเกียร์ ทำได้ดี ไม่กระชากมากนัก อาจต้องลองปรับจูนดูให้เหมาะสมกับแต่ละคน
ส่วนตัว คิดว่าช่วงต่อระหว่างเกียร์ 1-2 รอบต่ำไปนิด ทำให้การวิ่งขึ้นเขาหรือเนินต้องระมัดระวัง
ปัญหาอีกอย่างก็คงเป็นการหาตำแหน่งเกียร์ N ยากในเวลาหยุดจอด
จะง่ายกว่า ถ้าเข้าเกียร์ระหว่างชะลอรถเตรียมหยุด

การคอนโทรลรถ ด้วยยาง Pirelli Diablo Scooter ที่ให้มา ในทางตรงยางยึดเกาะถนนได้อย่างดี
การเข้าโค้งทางเรียบทำได้ง่าย แต่ในทางฝุ่น ถ้ากดเบรคเต็มๆ มีอาการท้ายปัดบ้าง
สิ่งที่พบอีกอย่างคือ การสะเทือนของเครื่องยนต์ที่ส่งผลมายังแฟริ่งค่อนข้างเยอะ
ทำให้เกิดการสะท้านขณะขับขี่ ต้องถอยร่นมาด้านหลัง เพื่อไม่ให้ตัวแนบชิดกับตัวถังเกินไป

อัตราการกินน้ำมัน จากระยะทางที่ขับจาก กทม.-ท่าเรือบ้านเพ ราวๆ 143 km
คำนวนแล้วตกราวๆ 23 km/ลิตร ความเร็วยืนพื้นอยู่ที่ 110-120 km/hr


สรุปสั้นๆสำหรับเจ้า 150GR คันนี้

ถือว่าเป็นมินิไบค์ ทรงสปอร์ต ขนาด 150cc ที่ดูดีในรูปลักษณ์ ชวนมอง
อัตราเร่งถือว่าไปได้เรีื่อยๆ มีเอื่อยบ้างในช่วงต้น แต่ช่วงปลายไหลมาอย่างต่อเนื่อง

ในเรื่องของเกียร์ ที่ดูจะแข็งไปเสียหน่อย อาจต้องการปรับจูนเพิ่ม เพื่อให้ลงตัวอีกนิด
และการสั่นสะท้านของเครื่องยนต์ที่ส่งผลมายังแฟริ่งอย่างชัดเจน

ช่วงโช๊คที่เซ็ตอัพปรับมาให้เหมาะสมกับสไตล์สปอร์ต ซับแรงได้พอประมาณ
อาจต้องผ่อนคันเร่งบ้างในจังหวะเจอหลุมเนิน

เท่าที่ดูในหลายๆส่วนอาจยังต้องปรับปรุงอีกเยอะสำหรับรุ่นนี้
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและความชอบส่วนบุคคลละฮะ




Freeman Rider

 วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 17.27 น.

ความคิดเห็น