หนูเล็กชวนไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ด้วยการขับรถเที่ยวกันมาสองตอนแล้ว

ใครพลาดขึ้นรถไม่ทัน กระโดดขึ้นรถมาด้วยกันเลยค่ะ

https://th.readme.me/p/19033

https://th.readme.me/p/19073

ถ้าขึ้นรถกันทันแล้ว ออกเดินทางกันต่อได้เลยค่ะ

และแล้วเราก็มาถึง Luzern เมืองที่ในอดีตมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองแห่งสะพาน เพราะเป็นเมืองแรกของยุโรปที่มีสะพานถึง 4 แห่ง ดังนั้น เป้าหมายหลักของทุกคนที่มาเมืองนี้ คือเดินทางมาดู มาชม มาเซลฟี่ กับ'สะพาน' อย่างที่ใครๆ เขาทำกัน เมื่อมาถึงก็หาที่จอดรถที่เหมาะเหม็งกันกัน เรามาได้ที่ใกล้เลย อยู่ไม่ไกลจากสะพานมากนัก การจอดรถก่อนจะจากไป จ่ายค่าจอดกันก่อน ทำอย่างไรกันหนอ ไม่เป็นไร แอบสังเกตวิธีการใช้งานจากพ่อหนุ่มคนนี้กันก่อน

สังเกตไปก็เท่านั้น สุดท้าย ระหว่างเก้ๆ กังๆ พ่อหนุ่มเขาคงสังเกตเห็นว่าพวกเราเป็นมือใหม่ ก็เลยมาให้คำแนะนำอยู่เป็นนานว่าควรจะหยอดอย่างไร หรือเราจะจอดนานแค่ไหน ช่วยคำนวณให้ ใครว่าคนสวิสไม่เอาใคร ไม่เห็นจะจริงเลย

เมื่อจอดและจ่ายเป็นที่เรียบร้อย ทีนี้ก็ได้เวลาเดินเที่ยวกันล่ะ เช้าวันนี้ Luzern ประแป้งแต่งตัวรอการมาเยือนของพวกเรา ได้น่ารักน่าเชยชม เล่นเอาตกหลุมรักเสียตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่มรู้จัก ก็จะอะไรกันเล่า ตลาดนัดขายของรับเทศกาลคริสต์มาสที่ใกล้จะมาถึงน่ะสิ มันช่างคึกคัก คักคึก ทำให้ใจมันเต้นตั๊กตึ๊ก ไม่ว่าจะเดินไปทางใด เต็มไปด้วยสีสัน ทั้งของกินของใช้ เล่นเอาพวกเราแทบลืมไปว่าภารกิจคือมาดู...สะพาน

การมาที่ Luzern ใครๆ ก็อยากมาเห็น Kapellbrucke สะพานไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยปี สัญลักษณ์ของเมืองใช้ข้ามแม่น้ำ Reuss ระหว่างเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ เชื่อมต่อกับหอคอยเก่าแก่กลางน้ำซึ่งเดิมใช้ขังนักโทษ ปัจจุบันคือหอคอยเก็บน้ำ (Wasserturm)

จั่วของแต่ละช่องสะพานมีภาพวาดเรื่องราวประวัติประเทศ

สะพาน Spreuerbrucke สะพานไม้ที่มีอายุน้อยกว่าสะพานไม้ชื่อดัง Kapellbrucke ราว 75 ปี

การบริหารจัดการน้ำของ Luzern

Spreuerbrucke มีภาพวาดที่จั่วเหมือนกันรวมทั้งหมดราว 67 ภาพ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความตาย

อีกหนึ่งที่ไม่มาชมไม่ได้ ก็คือ สิงโตหินแห่ง Luzern (Lowendenkmal) สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ทหารสวิสที่เสียชีวิตในคราวร่วมรบสงครามปฏิวัติฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งมีสีหน้า แววตา เจ็บปวดเหลือเกิน ยิ่งหากคิดว่านี่เป็นหิน แกะสลักแสดงออกได้เจ็บปวดขนาดนี้นี่ฝีมือล้วนๆ

สีหน้าดูเจ็บปวดจริงๆ

ดูเหมือนเราจะมาผิดที่ ผิดเวลา เพราะเดินกันอย่างเพลินเพลินทั้งกับร้านรวงตามตลาดนัด ที่มีสินค้ามากมาย แม้ไม่ซื้อก็น่าชมน่ามอง และร้านค้าที่ขายของที่ระลึกต่างๆ สมาชิกหมดเวลาไปกับการช้อปของที่ระลึกเพื่อเอาไปฝากคนทางบ้านกันหลายชิ้นเมื่อพบข้าวของถูกใจ หรือพูดกันแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือเดินกันจนลืมเวลานั่นละ มานึกขึ้นได้ว่า ใกล้จะหมดเวลาที่เราหยอดเงินค่าจอดรถไว้แล้ว ก็เมื่ออีกสิบนาทีจะมาถึง เล่นเอาพี่ใหญ่และหนูเล็กพากันวิ่งกระเจิดกระเจิงกลับมาที่รถ ซึ่งก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เลย ด้วยความที่เดินกันไปเสียไกลลิบ ที่วิ่งกลับมาก็เพื่อจะมาหยอดเหรียญ "ต่อเวลาทีซิ" เพิ่มอีกเพื่อรอสมาชิกช้อปกันให้เสร็จ

แต่สุดท้าย ก็ยังไม่ทันอยู่ดี ดูสิ ขนาดพวกเราศึกษาเทคนิคการจอดรถจากพ่อหนุ่มใจดีคนนั้นเสียดิบดี ก็ยังพลาดจอดเกินเวลาจนได้ใบสั่งติดกระจกรถจนได้สิน่ะ ให้ตายสิ ทีนี้ก็ต้องพกใบสั่งใบนี้ไปก่อน ส่วนจะจัดการอย่างไร ค่อยคิดกันอีกที นับเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเราที่ได้เกียรติบัตรใบนี้มาเชยชม หลังจากไปตะลอนขับเที่ยวมาหลายแห่งหลายประเทศ ดังนั้น ความทรงจำที่มีต่อ Luzern ของพวกเราจึงไม่เหมือนใคร และคงจดจำเมืองนี้ได้มากกว่า "สะพานไม้" อย่างแน่นอน

กระดาษแผ่นเล็กที่เรียกว่า 'ใบสั่ง' มีผลต่อการเดินทางจาก Luzern สู่ที่หมายถัดไปนิดๆ ใช่เลย แค่นิดเดียวจริงๆ นะ เพราะก็แค่วิตกกังวลกันเพียงก่อนออกจาก Luzern เท่านั้น ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรด้วยไม่มีประสบการณ์ แต่พอรถพ้นเขตเมืองออกไป ได้เจอทิวทัศน์แปลกตา หมอกหนา ต้นไม้สูง ก็ตื่นเต้นคึกคัก ความสุข สดชื่น ฟื้นกลับมาเหมือนเคย เก็บใบสั่งนั้นไว้ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ดังนั้น เมื่อพบจุดพักรถดีๆ ที่มาพร้อมๆ กับอาการท้องร้องจ๊อกๆ ที่มาตามเวลา พวกเราจึงไม่รีรอที่จะจอดพักเติมพลังงานกัน กับอาหารกลางวันราคาไม่ถึงหลักร้อยต่อคน ท่ามกลางบรรยากาศพันล้านเช่นนี้ อย่าหวังเลยที่จะเอาอะไรมาแลก ไม่มียอมง่ายๆ เราแต่ละคนจึงใช้เวลาละเมียดละไมกับความสุขตรงหน้าแบบไม่มีใครแบ่งใคร

ปลายทางถัดไปของเราวันนี้อยู่ที่ Interlaken ซึ่งเส้นทางจาก Luzern สู่ Interlaken เป็นอีกเส้นทางที่สวย พาเลียบเลาะขุนเขา ฉวัดเฉวียน คดโค้ง ทำให้เราได้เฉียดสายหมอกระลอกไล่เป็นระยะๆ ความรู้สึกที่ว่าธรรมชาติโอบกอดเราไว้เป็นอย่างนี้นี่เอง

Interlaken จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ Interlaken Ost, Interlaken West และ Unterseen ซึ่งที่พักที่เราจองผ่าน Airbnb ไว้คือบริเวณ Unterseen นั่นคือออกนอกเมืองมาสักหน่อย เพื่อลดความวุ่นวายลง ว่ากันว่าเสน่ห์ของ Interlaken คือทะเลสาบที่พากันมาขนาบเมืองไว้ ทั้งทะเลสาบ Brienze (Brienzersee) และทะเลสาบ Thun (Thunersee) จึงเป็นที่มาของชื่อเมือง

ที่พักของเราที่จองผ่าน Airbnb รวม 3 คืนนับจากนี้ ห้องเราอยู่ชั้น 2 ค่ะ

ความงดงามของเมืองยังไม่เท่านั้น ยังมีฉากหลังของเมืองเป็นยอดเขา Jungfraujoch เพิ่มเสน่ห์ของเมืองให้สวยขาดบาดใจเข้าไปอีก Interlaken จึงไม่เคยว่างเว้นนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้ชอบพิชิตทั้งหลาย เพราะนอกจาก Top of Europe อย่าง Jungfraujoch แล้ว ยังมียอดเขา Eiger และ Monch ให้นักปีนเขาได้ขึ้นไปชื่นชมธรรมชาติได้อีก

เมื่อมาถึงคนดูแลที่จะต้องเอากุญแจห้องมาส่งมอบให้เราแจ้งว่าจะมาช้าหน่อย พวกเราก็เลยเข้าเมืองไปหาซื้อวัตถุดิบสำหรับการปรุงอาหารสำหรับวันนี้พรุ่งนี้เอาไว้เลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เชฟประจำทริปของเราก็อยากแสดงฝีมือเต็มแก่แล้ว และเมื่อได้ของมาครบครันทีนี้ก็เที่ยวได้สบายใจละ ถือโอกาสเที่ยวชมเมืองกันก่อนเข้าที่พักจริงๆ อีกทีก่อน ไหนๆ ก็มาถึงแต่วันแล้ว

สำหรับพวกเรา การมาที่นี่ไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อพิชิตอะไร นอกไปจากการพิชิตหัวใจตัวเอง คือการมาให้ถึง ให้ได้พาหัวใจมาสัมผัส เพราะหลงเสน่ห์เมืองเล็กๆ หลงรักน้ำสีเขียวสด แค่ได้ยืนมองนิ่งๆ ในขณะที่ทุกสิ่งรอบกายเคลื่อนไหว ก็ทำให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้น แม้วันที่เรามาถึง ฟ้าจะหม่นมัวไม่ใส แต่ก็ทำให้ Interlaken วันนี้ มีความงามบางอย่างแอบซ่อนอยู่ เป็นเสน่ห์ในแบบที่เราแต่ละคนต้องค้นหา ใช่แค่ปรายตาแล้วจะเห็น

และแล้วเราก็เข้าที่พัก คงได้เวลาสำหรับการพักผ่อนเสียที ที่พักของเราอยู่ที่ชั้นสอง มีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ห้องเตรียมอาหาร นับได้ว่ามีความสะดวกสบายพอควรทีเดียว และเราก็จะใช้ชีวิตที่นี่กันถึงสามคืน

คงได้เวลาพักผ่อนเสียที พรุ่งนี้เราจะไปไหนกันต่อ ขอนอนเอาแรงก่อนแล้วกันค่ะ พรุ่งนี้จะไปที่ใด รอติดตามการเดินทางของพวกเรากันต่อ


แวะไปทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/



Piyai&Noolek

 วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.08 น.

ความคิดเห็น