Road trip ทริปมาเลเซีย 4 วัน 3 คืน

ทริปนี้เป็นทริปเที่ยวมาเลเซียครั้งแรกของเรา เนื่องจากเวลาที่จำกัด มีเวลาเที่ยวแค่ 4 วัน 3 คืน เราจึงยังเก็บสถานที่ต่างๆในมาเลเซียยังไม่ครบ เพราะทริปนี้เราขับรถเที่ยวกันเอง เลยจะใช้เวลาแวะแต่ละสถานที่ค่อนข้างนาน เน้นเดินเล่นชมวิวและบรรยากาศ กับถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนๆซะมากกว่า

การเดินทางทริปนี้เราบิน AirAsia ค่ะ เพราะเช็คโปรแล้ว ช่วงที่เราเดินทางไปเจ้านี้ถูกสุด ช่วยเซฟเงินไว้สำหรับกิน เที่ยวด้วย เพราะทริปนี้เราแลกเงินไทยไปประมาณ 7,000 บาท อัตราแลกเปลี่ยนช่วงที่เราไปประมาณ 8.2 บาท ต่อ 1 ริงกิต


การไปเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะขับรถเที่ยวเอง ที่ขาดไม่ได้เลย คือ สัญญาน อินเตอร์เน็ต ซึ่งต้องใช้ในการค้นหาสถานที่ และปัก Google map พอดีเรามีเบอร์ดีแทคเติมเงินอยู่แล้ว เราเลยสมัครใช้แพ็กใจดีข้ามแผ่นดิน สมัครทับแพ็กเก่าที่มีได้เลยนะคะ สมัครง่ายๆ แค่กด *104*559# ค่าแพ็กเกจ 100 บาท (ไม่รวม VAT) สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตต่อเนื่องได้ 4 ประเทศ ทั้ง ไทย มาเลเซีย กัมพูชา พม่า อย่างทริปนี้ไป 4-5 วัน ใช้เน็ตพอดีสบายๆ เลย 2 GB ถ้าเน็ตหมดก็ยังใช้ต่อได้ที่ความเร็ว 64 kbps หรือถ้าใครอยู่เกิน 7 วัน หรือใช้เน็ตเยอะอยากเติมแพ็กเน็ตเพิ่มแค่เติมเงินเผื่อไว้ในระบบ ก็สมัครแพ็กใช้งานต่อตอนอยู่ต่างประเทศได้เลยค่ะ ที่ดีงามกว่านั้นคือรับสายฟรี! เบอร์ที่โทรจากประเทศไทยได้ โทรกลับแค่นาทีละ 6.42 บาท ใครไปเที่ยวคนเดียวคนที่บ้านจะได้ไม่ต้องห่วง เพราะโทรติดต่อกันได้ตลอดเวลา แต่แนะนำว่าให้สมัครแพ็กเกจให้เรียบร้อยที่ไทย พอไปถึงประเทศนั้นก็แค่เปิดโรมมิ่งใช้งานได้ตามปกติ หากกลัวว่าจะเปิดโรมมิ่งยุ่งยาก ดูวิธีที่ลิ้งก์นี้ค่ะ [url]http://www.dtac.co.th/th_borderless/[/url]


วิธีการเปิดโรมมิ่งก็ไม่ยากเลย แต่ IOS กับ Android จะแตกต่างกันนะ พอไปถึงที่ต่างประเทศ การเปิด Roaming ใช้งานสำหรับระบบปฏิบัติการ IOS คือ เลือการตั้งค่า ----> เลือกเซลลูลาร์ ----> เลือก ตัวเลือกข้อมูลเซลลูลาร์ ----> เปิด Data Roaming ให้เป็นปุ่มใช้งานสีเขียว เริ่มใช้งาน internet ได้เลย

สำหรับระบบปฏิบัติการ Android คือ เลือการตั้งค่า ----> เลือกซิมคู่และข้อมูลเซลลูลาร์ ----> เลือก เปิดโรมมิ่งข้อมูล ----> เลือกเปิด เริ่มใช้งานอินเตอร์เน็ตได้เลย

ปกติพอไปถึงดีแทคจะจับสัญญาณให้อัตโนมัติทันทีตอนเปิดเครื่องที่ต่างประเทศ แต่ถ้าเครื่องเราไม่จับสัญญาณอย่าเพิ่งตกใจนะคะลองตั้งค่าตามข้างบน ถ้าขึ้นชื่อสัญญาณเป็น DiGi / DiGi 1800 / MYMT18

เจออันไหนก็สามารถเลือกใช้ได้เหมือนกันค่า

ส่วนใครไม่ได้เป็นลูกค้าดีแทค ก็ใช้ได้นะ แค่ซื้อซิมดีแทคเติมเงินราคาไม่กี่สิบบาท แล้วเปิดสมัครใช้งานได้เหมือนกัน

วันแรกที่ไปถึงสนามบิน หลังจากรับกระเป๋าแล้ว เราก็เปิดอินเตอร์เน็ตก่อนเลยอันดับแรก เพราะเรานัดกับเพื่อนที่นี่ไว้ให้มารอรับ จะได้ไม่พลาดการติดต่อ จากนั้นก็เช็คสัญญาน โทร line หาเพื่อนได้ทันที หลังจากเจอเพื่อนแล้ว เราก็ขับรถไปหาอาหารทานกันค่ะ มื้อแรกในมาเลเซีย ก็ทานร้านแถวๆใกล้คอนโดเพื่อนค่ะ

ระหว่างรออาหารมาเสริฟ เพื่อนเห็นว่าเน็ตแรง เลยขอยืมไปเปิดดู Youtube ให้ลูกดูการ์ตูนค่ะ


ร้านนี้ชื่อว่า sabah chilli pan mee https://goo.gl/maps/7UCQyt97Rx92


อาหารมื้อแรกของเราที่มาเลเซียหน้าตาประมาณนี้


หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ คืนนี้เราก็นอนพักผ่อนเก็บแรงเตรียมไปลุยเที่ยวใน มาเลเซีย ในวันรุ่งขึ้นค่ะ ที่นอนคืนแรกของเราคือ คอนโดของเพื่อน ที่อยู่ใน กัวลาลัมเปอร์ ค่ะ

ตื่นเช้ามา วิวหน้าระเบียงห้องก็ประมาณนี้เลย มองเห็นตึกแฝด เปโตรนาส ( Petronas Twin Towers ) อยู่ไกลๆ


มื้อเช้าจากคอนโดเพื่อนขับรถไปไม่ไกลมาก จะเจอร้านติ่มซำร้านดัง เจ้าโปรดของเพื่อนเราในย่าน Damansara ชื่อว่าร้าน Jin Xuan Holdings Sdn Bhd หน้าตาของเมนูติ่มซำ ก็จะคล้ายๆที่มีขายในไทย แตกต่างกันตรงซอสที่ใช้จิ้มจะรสชาติออกหวานมากกว่า สำหรับคนที่มาเที่ยวมาเลเซีย แล้วอยากลองชิมติ่มซำอร่อยๆ พิกัดตามนี้เลยค่ะhttps://goo.gl/maps/ZfkLkjr1KiS2




สถานที่แรกที่เราไปเที่ยวกัน คือ เก็นติ้งไฮแลนด์ (Genting Highland )https://goo.gl/maps/ZHBzVVfq9L82 ซึ่งตั้งอยู่บนเขามีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร และมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี สำหรับการขึ้นไปด้านบน จะต้องนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปค่ะ ค่าขึ้นกระเช้า 4 คน ไป-กลับ 56 ริงกิต





ช่วงหน้าหนาว จะมีหมอกปกคลุม และอากาศหนาวเย็นมากๆ เสียดายช่วงที่เราไป ไม่เจอหมอกสวยๆ กับเค้า แต่พอขึ้นมาด้านบนอากาศก็ค่อนข้างหนาวเย็นอยู่ค่ะ








เก็นติ้งเป็นเหมือนเมืองนึงที่มีทั้ง ที่พัก ที่กิน แหล่งช็อปปิ้ง บ่อนคาสิโน และสวนสนุกรวมอยู่บนขุนเขา แต่ช่วงนี้สวนสนุกเดิมที่เคยมีอยู่เค้ากำลังปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสร้างใหม่ทั้งหมด ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการอีกทีช่วงไหน





ตั๋วที่ซื้อมาจะเป็นราคา รวมไป-กลับ ขากลับเราแวะตรงจุดชมวิว วัด พระจีน ชื่อวัดชิน สวี ( Chin Swee Temple )https://goo.gl/maps/HRyPYsCCgS42 ภายในมีรูปปั้นของพระอาจารย์ ชิน สวี ซึ่งชาวจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ นิยมแวะมากราบไหว้ทำบุญที่วัดนี้เสมอ





ออกจากเก็นติ้ง เราก็เดินทางกันต่อไปที่ ปีนัง ทริปนี้เป็นทริปที่เดินทางโดยรถส่วนตัว ซึ่งเราว่าค่อนข้างสะดวก อยากจอดแวะถ่ายรูปตรงไหนก็จอดได้เลย แถมราคาน้ำมันที่มาเลเซีย ก็ไม่แพงด้วย ระหว่างทางเราเจอสะพานข้ามทะเล เห็นวิวสวยดีเลยจอดแวะถ่ายรูปกันนิดนึง สำหรับคนที่มาเที่ยวแล้วอยากเช่ารถขับ ลองเช็คราคาจากเว็ป หรือที่สนามบินดูนะคะ




จากกัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. ได้ เราก็มาถึงเมือง จอร์จทาวน์ ( George Town ) รัฐปีนัง ซึ่งเมืองนี้เป็นที่ตั้งของ Street Art ซึ่งมีอยู่หลายจุดมาก ต้องเดินหา หรือขับรถหาเอาค่ะ ซึ่งถ้าเราไปในย่านนั้น ร้านค้าบางร้านเค้าจะมีแผนที่ Street Art แจกให้นักท่องเที่ยวฟรีด้วยค่ะ




ตอนแรกเราก็งงๆนิดนึง เดินหลงอยู่เหมือนกัน จนมาเจอกับท่าเรือ Chew Jetty https://goo.gl/maps/6tJefNg9a362 ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่สร้างต่อๆกันยื่นไปในทะเล เดินเข้าไปปุ๊บก็จะเจอสตรีทอาร์ทตรงทางเข้า 1 รูป เดินเข้าไปเกือบสุดตรงท่าน้ำ จะเจอร้านขายไอศกรีม เพื่อนเราบอกว่า คนมาเลเซีย ชอบกินทุเรียนมาก ขนาดมีร้านขายแต่ไอติมรสทุเรียนอย่างเดียวเลย และขายดีมากๆ นักท่องเที่ยวซื้อกินกันเพียบ เลยลองซื้อมาชิมดู ปรากฏว่าไม่ถูกปาก เราว่ากลิ่นแรงเกินไป เราได้แผนที่รอบๆเมืองจากร้านแผงลอยย่านโซนนี้ เลยได้เวลาตามเก็บจุดถ่ายรูปกันค่ะ






หลังจากออกจากท่าเรือแล้ว ก็เข้าสู่เส้นทางสตรีทอาร์ท กันเลย ในเมือง จอร์จทาวน์ มีทั้งแบบภาพวาดและ แบบเหล็กดัด ซึ่งมีเยอะมาก ตามเก็บภาพกันไม่หมดแน่ๆในเวลาจำกัด














เดินถ่ายรูปเล่นจนถึงช่วงเย็น เก็บบรรยากาศยามค่ำคืน ของเมืองจอร์จทาวน์มานิดหน่อย มีทั้งมัสยิด และตึกรามบ้านช่องแนวจีน




มื้อดึกคืนนี้เราแวะทานร้านอาหารใกล้ๆ ในเมืองจอร์จทาวน์ Hon Kei Food Corner https://goo.gl/maps/LSoLLRgWup92 เห็นคนเยอะดี เลยลองแวะทานซักหน่อย เค้าจะขายคล้ายๆ เกาเหลา มีใส่ หมูสับ เครื่องใน มื้อนี้รสชาติ ค่อนข้างถูกปากอยู่ค่ะ สำหรับคนที่ทานเผ็ดแบบเรา ที่นี่เค้าจะไม่มีพริกป่นให้ปรุงนะคะ เค้าจะให้เป็นพริกสด หั่นซอยมาแทนค่ะ ส่วนเรื่องที่พักในปีนัง เราจะไม่ได้เอ่ยถึง เพราะเรานอนกันที่บ้านเพื่อนในปีนังค่ะ แต่ที่สอบถามเพื่อนมา ราคาโรงแรมที่ปีนังไม่แพงมากค่ะ ในเมืองจอร์จทาวน์ มีให้เลือกเยอะค่ะ





อาหารเช้า ที่ปีนัง One Corner Cafe https://goo.gl/maps/yfwqWfTbNPrเพื่อนเราพาไปกินกันที่ตลาดเช้าของคนปีนัง ซึ่งจะมีอาหารให้เลือกเยอะ ทั้ง บะหมี่ ขนมจีน ก๋วยจั๊บ เต้าหู้ทอด และน้ำผลไม้ ซึ่งที่นี่น้ำผลไม้เค้าจะปั่นสดๆ แบบไม่ผสมน้ำเชื่อมเลย รสชาติน้ำบางชนิดก็จะจืดๆหน่อย และมื้อเช้าของวันนี้ ไม่ค่อยถูกปากเราซักเท่าไหร่ค่ะ พอทานได้ไม่ถึงกับอร่อย








เช้านี้ เราจะไปเที่ยว ปีนังฮิลล์ กันค่ะ ( Penang Hill ) https://goo.gl/maps/7CBghWmrHZr หรือเรียกอีกชื่อว่า บูกิต เบนดีรา ตั้งอยู่บนเนินเขา สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 823 เมตร ด้านบนมีต้นไม้เยอะ และอากาศดี มองเห็นวิวแบบพาโนรามา จะขึ้นไปด้านบน ต้องนั่งรถรางไฟฟ้าขึ้นไปค่ะ

รถรางของปีนังฮิลล์ เปิด-ปิด เวลา 6:30 น.- 23:00 น.

ค่าขึ้นรถราง คนละ 40 ริงกิต หรือถ้าใครไม่อยากรอแถวนานในช่วงวันหยุด ก็มีตั๋วแบบ fast lane ราคา 80 ริงกิต





ระหว่างขึ้นรถรางจะเห็นวิวสวยๆ จากทิวทัศน์สองข้างทาง วิวจากในรถรางเลือกมุมที่ยืนดีๆจะเห็นวิวเต็มๆเลยค่ะ




จุดชมวิวพาโนรามา Sky Walk จะสามารถมองเห็นความสวยงามของเมือง จอร์จทาวน์ และเมืองใกล้เคียง สวยงามมากๆ ช่วงไหนฟ้าเปิดจะมองเห็นสะพานปีนัง ที่ยาวข้ามทะเลไปยังอีกฝั่ง






บนปีนังฮิลล์จะมีร้านอาหาร และที่คล้องกุญแจสำหรับคู่รัก คล้ายๆที่เกาหลี ช่วงวันหยุด จะมีคนมานั่งบริการวาดรูปเหมือน ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการ นั่งให้วาดรูปกันเพียบเลยจ้า




ทางเดินศึกษาธรรมชาติ สามารถเดินต่อไปได้อีกค่ะ มีสัตว์ต่างๆทั้ง ลิงแสม ค่างแว่น กระรอกสีดำ มดยักษ์ แต่เราเดินกันไม่ไหวเพราะมีเด็กเล็กมาด้วย เลยใช้บริการรถรับส่งค่ะ โดยซื้อตั๋วรวมกับค่าเข้า The Habitat สกายวอล์ค ปีนัง 360 องศา แล้วค่ะ





ทางเดินไป Sky walk สองข้างทางจะร่มรื่น ไปด้วยต้นไม้นานาชนิด



มีมุมชิงช้า ให้นั่งพักผ่อนระหว่างทางเดินด้วย บรรยากาศร่มรื่น มีผีเสื้อ หลากสีหลายชนิด ให้ชมตลอดทาง



ทางขึ้นจะเป็น บันไดสูงประมาณ 4-5 ชั้น ขึ้นไปบน Sky walk สามารถเดินชมวิวโดยรอบได้ 360 องศาเลยทีเดียว






ลงจากปีนังฮิลล์ เราก็แวะมาไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิม ที่วัด Kek Lok si Temple หรือ วัดเขาเต่า https://goo.gl/maps/7shgUkhGEN42 วัดนี้เป็นวัดพุทธในปีนัง และขึ้นชื่อมาก



ระหว่างทางขากลับ ผ่านตึกสีสันสดใสในย่าน จอร์จทาวน์ เลยขอถ่ายรูปเก็บไว้ซักนิด


มื้อเย็นวันนี้ เพื่อนพามากินในย่าน Tapak Penjaja Anjung gurney https://goo.gl/maps/zjPo2AVTMBp ย่านนี้จะคล้ายๆ เยาวราชบ้านเรา มีอาหารขายเยอะมากๆ ลองสั่งหอยแครง หอยนางรมทอด เหมือนออส่วนแต่แป้งที่นี่จะหนึบกว่า รสชาติถือว่าน่าจะถูกปากคนไทยอยู่ค่ะ

ที่มาเลเซีย เราจะสังเกตุเห็นร้านเหมือนร้านขายลูกชิ้นของไทย ซึ่งเค้าเรียกกันว่า Lok Lok จะมีลูกชิ้น เนื้อหมู อาหารทะเลเสียบเป็นไม้ ๆ และมีน้ำจิ้มหลายรส มาให้เลือกจิ้ม ตอนแรกกะจะลองชิมดูซักไม้ แต่เพื่อนบอกว่าเดี๋ยวจะพาไปลองอีกที่ ซึ่งคนมาเลเซียนิยมทานกัน








มาต่อที่ย่านของกินอีกที่นึง เป็นคล้ายตลาดที่รวมร้านของกินไว้ริมทางเท้า มีทั้งแบบรถเข็นและแบบร้านตั้งบนทางเท้า

ที่นี่เราได้ลองกิน Lok Lok ซึ่งเค้าจะมีหม้อตั้งอยู่กลางโต๊ะใบนึง และมีของสดเสียบไม้ วางล้อมรอบอยู่ โดยอาหารแต่ละอย่างจะเสียบไม้ซึ่งมีสีทาอยู่ที่ปลายไม้ แยกชนิด แยกสีกัน เพื่อให้ง่ายตอนคิดเงิน ใครอยากทานอะไรก็นำไม้มาจุ่มลงหม้อน้ำเดือดๆ แล้วตกน้ำจิ้มมาจิ้ม

ระหว่างรอผู้ใหญ่กิน เด็กน้อยทานไม่ได้ ก็เปิด Youtube ให้ดูระหว่างรอไปพลางๆ สัญญาณเน็ตแรง ดูการ์ตูนได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุดเลย







ขับรถมาเที่ยวไร่ชา บน Cameron Highlands เราว่าอารมณ์คล้ายๆขับรถขึ้นเขาที่บ้านเรา มีโค้งคดเคี้ยวสลับกันเป็นช่วงๆ อากาศที่นี่เย็นสบายตลอดปี ประมาณ 18 องศา เนื่องจากอยู่บนที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1500 เมตร บนนี้มีที่พักเยอะมากๆ ทั้งโรงแรม รีสอร์ท หรือแบบอพาร์ทเม้นท์ ราคาโดยเฉลี่ยไม่แพงค่ะ มีตั้งแต่พันกว่าบาทขึ้นไป




ไร่ชาที่คนนิยมมาเที่ยวของที่นี่ จะมี ไร่ Boh Sungai Palashttps://goo.gl/maps/bFFe7g6gXXp อยู่ทางตอนเหนือ ของ Brinchang วันที่เราไปตรงกับวันจันทร์ เป็นวันที่เค้าปิดบริการพอดี เลยได้แต่เก็บภาพบรรยากาศภายนอกมาแทน ที่นี่เปิดให้บริการ วันอังคาร ถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8:30 -17:00 น.








ออกจากไร่ชาเราก็มาแวะ ที่ Cameron Lavander Gardenhttps://goo.gl/maps/pSyehePsgc82 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไร่ชา Boh tea มากค่ะ ที่นี่เปิดให้บริการ เวลา 9:00 -18.00 น. จุดเด่นของที่นี่คือ สวนดอกลาเวนเดอร์ทั้งในร่มและกลางแจ้ง ที่บานสะพรั่งเป็นสีม่วงสวยงาม ถึงจะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตเหมือนทุ่งลาเวนเดอร์ประเทศอื่นๆ แต่ก็ถ่ายรูปสวยอยู่น๊า นอกจากลาเวนเดอร์ ยังมีสวนดอกไม้หลากหลายชนิด สวนสตอเบอรี่ สวนดอกเบญจมาศ ดอกเยอบีร่า

• ค่าเข้าชม •

ผู้ใหญ่ 10 ริงกิต

เด็ก 7 ริงกิต

ถ้าเด็กอายุไม่ถึง 5 ขวบเข้าฟรีค่ะ














ที่นี่ยังมีไอศกรีม ลาเวนเดอร์ขายด้วย รวมทั้งของที่ระลึก ที่ทำเป็นตุ๊กตาน่ารักๆ เกี่ยวกับดอกไม้ที่มีในสวน ใครที่มาเที่ยว Cameron Highlands ก็ลองแวะมาถ่ายรูปสวยๆที่นี่กันดูค่ะ





ไร่ชาอีกที่นึง ที่คนนิยมมาเที่ยวชมกัน คือ ไร่ Bharat https://goo.gl/maps/A4WrkR1wLdk อยู่ตรงจุดจอดรถ Tea Valley ของเมือง Tanah Rata เค้าจะมีจุดชมวิวไร่ชา และขายชา อาหาร ซึ่งสามารถชมวิวไร่ชาจากด้านบน หรือใครจะเดินลงไปถ่ายรูปด้านล่างก็ได้ค่ะ







จิบชาร้อนๆ พร้อมกับนั่งชมวิวไร่ชาที่กว้างสุดสายตา กับอากาศเย็นสบาย มันฟินจริงๆค่ะ



ขึ้นมาที่สูงขนาดนี้ สัญญานเน็ตก็ยังใช้ได้ เราก็อัพรูปรัวๆ เลยจ้า



ขากลับเรากลับอีกทางนึง คนละทางกับขามา ทางนี้จะผ่านลงไปทาง กัวลาลัมเปอร์ ได้เลยค่ะ ระหว่างทางจะผ่าน Hutan Lipur Lata Iskandar https://goo.gl/maps/1bALdxgSDQN2 เป็นน้ำตกที่อยู่ติดถนนเลยค่ะ มีน้ำตกไหลตลอดปี และอากาศเย็นสบายค่ะ




หลังจากกลับจาก คาเมร่อนไฮแลนด์ เราก็แวะมากินข้าวกันที่ KLCC https://goo.gl/maps/ZxWwzZYjAYr หรือ ตึกแฝด เปโตรนาส นั่นเอง ซึ่งใครที่มาเที่ยวมาเลเซีย ก็ต้องไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จริงๆที่นี่เค้าว่าถ่ายช่วงกลางคืนจะสวยงามกว่ากลางวัน เพราะตัวตึกจะเปิดไฟสวยงาม และมีการแสดงน้ำพุ ตรงลานด้านหน้าตึกด้วยค่ะ เสียดายที่วันนี้เราต้องกลับแล้ว ไว้รอบหน้าจะกลับมาซ่อมแน่นอน




ก่อนเดินทางไปสนามบิน เราไปแวะที่ ปูตราจายา ซึ่งเป็นเมืองที่สวยงาม แต่เนื่องจากเรามีเวลาน้อย เลยได้แค่แวะถ่ายรูป ที่ เปอร์ดานาปูตรา หรือทำเนียบรัฐบาล และมัสยิดปุตรา หรือ มัสยิดสีชมพู https://goo.gl/maps/gYhpSkuSmWs ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน มัสยิดแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองปุตราจายา ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ใครอยากได้ภาพสวยๆที่ติดทะเลสาบด้วย แนะนำให้ขับรถข้ามมาอีกฝั่งนึงถึงจะถ่ายภาพออกมาเห็นทั้งทะเลสาบ และมัสยิด ตั้งเด่นเป็นตะหง่านสวยงาม

ภายในมัสยิด ยังมีพิพิธภัณฑ์ และ แกลลอรี่ ซึ่งเปิดให้คนได้เข้าชมฟรี

โดยเปิดทุกวัน โดยแบ่งเวลาให้เข้าชมเป็นรอบๆ ซึ่งเรามีเวลาจำกัดเพราะจะต้องบินกลับวันนี้เลยยังไม่มีโอกาสได้เข้าชมภายในค่ะ






แล้วก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับแล้ว 4 วัน 3 คืน สำหรับเรายังเที่ยวไม่ครบเลยค่ะ คงต้องหาเวลากลับมาเที่ยวมาเลเซียอีกแน่นอน จากตอนแรกที่เคยคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรให้เที่ยวมาก แต่พอได้ไปจริงๆ เราพบว่า ยังมีสถานที่เที่ยวอีกหลายแห่งที่น่าไปสัมผัส

ทริปนี้จบรีวิวเท่านี้ก่อนนะคะ ทริปหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก ฝากติดตามกันด้วยนะคะ




ทริปหน้าเราจะพาไปเที่ยวไหนอีก รอติดตามน๊า

https://www.facebook.com/somewheresomeone/

หากรีวิวถูกใจเพื่อนๆอย่าลืมแวะเข้าไปกดติดตามเพจเป็นกำลังใจให้เราบ้างนะคะ

Somewhere Someone

 วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 10.24 น.

ความคิดเห็น