CHAPTER 2 : ลองใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นพม่า

ความจริงแล้ว เราไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วเขาทำอะไรกัน ขออิงจากเพื่อนชาวพม่า (ปีเตอร์) ที่บอกว่า เขาไปร้องคาราโอเกะ ดูหนัง เดินห้าง แนวๆ นี้ ความจริงไลฟ์สไตล์เหมือนคนไทยเป๊ะ แต่เรามาถึงนี่ ลองใช้ชีวิตไทยแบบในพม่าดูแล้วกัน

ทุกคนที่มาพม่าต่างเลือกที่จะไปวัดไปวากราบขอผลบุญต่างๆ แต่เนื่องจากเรามาหลายวันจึงขอสำรวจย่างกุ้งด้วยตัวเองก่อนโดยที่ไม่เน้นไปที่วัดหรือเจดีย์แล้วกัน เพราะคนคงเขียนรีวิวเยอะแล้วแหละ

ห้างใกล้ที่พักเรา ชื่อ Junction City คิดว่าน่าจะเปิดใหม่ได้ไม่นานทุกอย่างยังดูใหม่พอสมควร แต่พนักงานตามร้านต่างๆ คือเทคแคร์ดีมาก เราเดินหาถุงเท้า ร้านนึงไม่มีเราเลยไปหาอีกร้านนึง กลับมาร้านนั้นยังยิ้มให้อยู่เลย อยากจะเดินกลับไปซื้ออะไรสักอย่างนึงอีกรอบเลย แต่มันดันไม่มีของที่เราต้องการน่ะสิ ที่นี่งานบริการดีมากๆ (โดยเฉพาะในห้าง) เต็ม 5 ให้ 4.95 อีก 0.05 เก็บไว้เดี๋ยวหาว่าลำเอียงเกินไป เราคิดกันไว้ตั้งแต่เริ่มทริปว่าอยากลองดูหนังที่พม่าดู อยากรู้ว่าบรรยากาศต่างจากไทยไหม ห้าง Junction เปิด 9.00 น. พอเราทานข้าว และทำทุกอย่างเสร็จช่วงเวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆ ก็เลยเดินไปดูรอบหนัง

" โรงหนังในห้าง Junction City "

โรงหนังนี้อยู่ชั้น 5 ของห้างมีบริการจองตั๋วหนังที่หน้าเคาท์เตอร์เหมือนไทย แต่ตั๋วหนังมีความต่าง ที่นี่จะออกมาแค่สลิปว่าเรามาดูหนังเรื่องอะไร seat ที่เท่าไหร่ และยอดจ่าย ปีเตอร์บอกว่าห้างนี้มีราคาตั๋วหนังที่แพงที่สุด เราเลือกที่นั่งราคาประาณ 150 บาท (มีถูก/แพงกว่านี้) ที่นั่งดีเลยกว้างกว่าเมเจอร์ เข้าไปโรงหนังที่นี่มีประมาณ 5-6 โรง วันนี้เรามาดู Star War 3D เลยเป็นโรงพิเศษ (โรง Starium) ก่อนดูหนังจะมียืนเคารพเหมือนไทย แต่จะมีแค่ทำนองดนตรีและรูปธงชาติของเมียนม่าร์ขึ้น เราต้องลุกยืนระหว่างนั้น และโค้งเมื่อเพลงจบลง ป๊อปคอร์นที่นี่จืดกว่าไทยอ่ะ พูดถึงหนังเรื่อง Star War โรงหนังนี้ไม่มีภาษาพม่า มีแต่ไฟล์ Raw ที่พูด English Only!! ไม่มีซับอิ๊งให้ด้วย คนที่อิ๊งระดับ Low Quality และไม่เคยดู Star War ภาคไหนมาก่อนเลย บอกเลยว่าเรานอนสัปหงก ตื่นมาหนังยังไม่จบสักที แต่ฉากมันส์สุดสำหรับเราคือฉากที่มันไม่พูดไร แล้วแอคชั่นบู๊ ดาบชิงกันช๊งเช๊ง และจรวดยานอวกาศบินวะว่อนเนี่ยแหละ แบบมันส์และตื่นตาตื่นใจด้วยความเป็น 3D ภาพสวยเสมือนจริงมากๆ พนักงานต้อนรับมีความใส่ใจ และพนักงานส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ ตั้งแต่คนขายตั๋ว ขายป๊อปคอร์น จนถึงคนตรวจตั๋วหน้าโรงหนัง อิ๊งเก่งมากๆ

" Salon ร้านทำผมในย่างกุ้ง "
ทัศนคติที่เรามีต่อพม่าตอนแรกในเบื้องต้นคือ แนวร้านทำผมข้างทางบ้านเราเลยอ่ะ ไม่มีอะไรมากเลย คือไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ทัศนคติของเราคือร้านทำผมในพม่าก็เหมือนกับร้านข้างทางในไทยเนี่ยแหละ แต่พอเรามาโอ้โห ราคาทำผมไรงี้ก็ไม่ได้โหดจนเรารับไม่ได้นะ แต่บริการที่ได้รับกลับมามันคุ้มค่ามากๆ อ่ะ เราเลือกร้านจากคนที่รอในร้านล้วนๆ อีกร้านนึงไม่มีคนเข้าส่วนอีกร้านคนนั่งรอพอสมควร (น่าจะนั่งรอคนที่ทำผม) ก็เลยเลือกร้านนี้ไป ร้านนี้อยู่ในห้าง Junction ชื่อร้าน Tony Tun Tun ทุกอย่างดีมากอุปกรณ์ทุกอย่างค่อนข้างใหม่พนักงานบริการดี พูดถึงตอนสระผม.. ทำไมเราอยากไปสระผมทำผมแต่ละประเทศ เอาจริงมันต่างกันนะ แค่สระผมให้ลูกค้า แต่ละประเทศก็แตกต่างกันสุดขั้วแล้ว ก่อนหน้านี้เราไปเวียดนามสระผมทีนางแถมนวดหน้าให้ด้วยจ้า สระผมเสร็จผมน่ะ เฉยๆ.. แต่หน้านี่ใสกริ๊ง กลับมาที่พม่าที่นี่มีบริการนวดกดจุดตรงหัวอ่ะ แชมพูทีก็กดจุดที ครีมนวดทีกดจุดทีประมาณนั้น รู้สึกสบายดีผ่อนคลาย แชมพูหอมมากๆ ด้วย! พอสระผมเสร็จก็ไดร์ ๆ แล้วก็ตัดผม พนักงานตัดผมเป็นผู้ชาย ด้วยความที่ตอนแรกเราคิดแค่ว่าก็แค่ตัด เลยหารูปทรงที่จะตัดหน้างานสุดๆ ตอนแรกเขาตัดแล้วมันยาวก็ที่เราคิด เขาก็ตัดให้เราเพิ่มโดยที่ไม่บ่นไรเลย (เอาจริงงานบริการก็ควรเป็นงี้แหละ แต่ที่เคยเจอในไทยคือมีบ่นซ้ำ ประมาณว่าทำไมไม่บอกแต่ทีแรก ไรงี้) สุดท้ายเราก็ได้ทรงที่ต้องการ เพิ่มเติมพิเศษลองสระผมมาหลายที่ ที่นี่เป็นที่แรกที่เราได้ที่ปั่นหูหลังสระผมเสร็จ.. เออ ดูเค้าใส่ใจดีแฮะ

ระหว่างทางก่อนที่เราจะไปดูหนัง (หนังรอบ 12.30 น.) เราก็เดินห้างกันรอ แล้วก็เห็นว่าวันนี้ในห้างมี Event บางอย่างนั่นก็คือ การประกวดคอสเพลย์! แต่ที่ไทยคงจัดกันเป็นปกติอยู่แล้วสินะ..

" Event การประกวดคอสเพลย์การ์ตูน ณ ย่างกุ้ง "

เพื่อนร่วมทริปเราตื่นตาตื่นใจกับอีเว้นท์ที่นี่มาก มากถึงมากที่สุด นางบอกว่าไม่ได้แต่งคอสเพลย์แล้วไปงานแบบนี้นานแล้ว เราเห็นและมองเข้าไป เราไม่เคยไปงานคอสเพลย์มาก่อนเลยในชีวิต เป็นเรื่องที่สนุกมากสำหรับเราเหมือนกันมีเด็กๆ วัยรุ่นมาแต่งตัวแบบน่ารักๆ เป็นตัวการ์ตูนต่างๆ เราก็เลยไปขอแชะรูปมา เขาก็ให้เราถ่ายด้วยโดยไม่คิดไรจริงๆ มีหลายตัวการ์ตูนมาก ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก แต่เหมือนนางจะรู้จักแทบทุกตัว 555555 การแสดงบนเวทีเริ่มด้วยความตื่นตาตื่นใจ มันสนุกนะ มีนักร้องมาร้องเพลงในอนิเมะด้วย เราก็ได้แต่โยกๆ สนุกมาก แล้วโอตาคุแห่งย่างกุ้ง ก็ทำการโยกหน้าเวทีเช่นกัน ฉันเห็นพวกนายขยับปากร้องได้ทุกเพลงเลย!! จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นว่าพม่าเพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นานอ่ะ แล้วเขารับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาอย่างรวดเร็วมาก ก่อนหน้านี้เขาใช้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ ตอนนี้เขามีความเสรีมากขึ้นมากๆ แล้ว พอเขารับวัฒนธรรมอื่นทุกอย่างเลยเดินหน้าพัฒนาอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็ปรับตัวได้ดีนะ ถ้าเราเป็นนักธุรกิจหนึ่งในตัวเลือกในการขยายธุรกิจก็คงเป็นพม่า เพราะมีอะไรอีกหลายอย่างที่พร้อมให้เราต่อยอดเยอะมาก คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็พร้อมเปิดรับแล้วด้วย

ต่อมาเรื่องอาหาร เราเป็นบ้าค่ะ บ้าอาหารเกาหลี.. ความจริงไม่ได้คาดหวังอะไรกับอาหารการกินของพม่าเลย ยาเดียวที่เตรียมมาแล้วมั่นคงกับตัวเองว่าพกไปเหอะ ยังไงก็อาจจะได้กิน นั่นก็คือ ยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบิน กลัวตัวเองมีปัญหากับโรคท้องทั้งหลาย/กระเพาะอาหาร สุดท้ายแล้ว ประเทศพม่า = แหล่งอุดมสมบูรณ์ของอาหาร อยากกินอะไร ไอมีให้หมดเลย ประมาณนั้น ทุกอย่างสามารถหากินได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันตก (อาทิ สเต็ก ฯลฯ) ไปกินมาแล้วกับปีเตอร์ อาหารพม่าแท้ๆ (ที่มีความเน้นรสชาติเผ็ดหวาน) อาหารอินเดีย (ที่มีแทบทุกตรอกซอย คนชาตินี้/แขกค่อนข้างเยอะในย่างกุ้ง) อาหารญี่ปุ่น (ระดับภัตราคารแต่ราคาเป็นมิตร) + อาหารไทยรวมถึงสุดท้ายที่เราไปกินมา นั่นก็คือ อาหารเกาหลี!!

" อาจุมม่า kitchen หรือแปลไทยหยาบๆ ครัวคุณป้า "

เป็นร้านอาหารเกาหลีที่มีบรรยากาศหน้านั่งมาก มีทั้งแบบโต๊ะนั่งญี่ปุ่น กับโต๊ะธรรมดา ทางเข้าอาจจะดูไม่สะอาด แต่เข้าไปคือทุกอย่างคือดี รสชาติอาหารอาจจะไม่ได้แบบต้นตำหรับ แต่ก็ปรับให้เข้ากับประเทศเขาอ่ะ แต่มันอร่อยนะ ถึงงั้นก็เถอะ กิมจิเกาอีกแบบที่นี่ก็อีกแบบอ่ะ แตกต่างกันแบบเทียบรสชาติไม่ได้ แต่อร่อย คิมบับข้าวเยอะไป ต๊อกบ๊กกีชีสเมนูแนะนำ อร่อยใช้ได้เลยล่ะ

พอกินเสร็จแล้วใกล้จะเคอร์ฟิวตัวเอง เราตั้งกันไว้ว่าเราต้องกลับห้องกันก่อน 5-6 โมงเย็น เราเน้นเซฟตัวเองกันก่อน พอทานข้าวเสร็จเลยเดินกลับโรงแรม ระหว่างเดินกลับเราชอบเบเกอรี่ร้านนึงมาก คนเยอะ ยิ่งดึงดูดให้เราเข้าไป บริการก็ดีมาก คนนึงพูดอังกฤษไม่ได้ไปเรียกคนมาแนะนำพวกเรา คือประทับใจมากจริงๆ ตอนแรกนึกว่าจะหนีเราไปสะแล้ว ㅠㅠ รสชาตนับว่าใช้ได้เลยค่ะ สมกับที่ขึ้นชื่อในพม่า


CHAPTER 3 : ชีวิตนี้วิ่งหาความลำบาก (นั่งรถไฟจากย่างกุ้งสู่พะโค - แอดเวนเจอร์ในเมืองหงสาด้วยมอไซค์ห้าง)

ทริปของเราวันนี้เริ่มต้น ณ เวลาตี 5 ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะไปให้ทันรถไฟเที่ยว 6 โมงเช้าจากย่างกุ้งสู่พะโค เราเริ่มต้นด้วยการไปรถไฟโดยแท๊กซี่ (เลือกวิธีนี้เพราะเป็นเช้ามืดกลัวอันตราย) แต่แท๊กซี่ไม่กดมิเตอร์! เขาจะพาเราไปสถานีรถไฟด้วยราคาคนละ 1000 จ๊าด ~ 30 บาท เราด้วยความเร่งรีบเลยตกลงไป นี่เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะยามเช้าของเรา หลังจากแท๊กซี่มาส่ง มีผู้ชายคนนึงมาตามติดเราแจ ทำท่าทางเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่สถานีที่ไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบ ช่วยเหลือเราในการบอกเจ้าหน้าที่ว่าเราจะไปไหน และช่วยเอาตังค์ให้กับเจ้าหน้าที่ นางหยิบเงินมาจากเจ้าหน้าที่รถไฟตัวจริงแล้วเอาจากก้อนนั้นไป 500 จ๊าด ~ 15 บาท โดยที่เรายังงงๆ อยู่ว่า เอาเงินเราไปทำไม? สักพักนึงเราก็อ่อทันทีว่าค่าเซอร์วิสโง่ๆ ที่เขาเอาไป ต่อมาเออเสียไปแล้วนางก็เลยพาเราไปส่งถึงที่นั่งบนรถไฟ เออ!! มันไม่พอ จะเอาทิปจากเราเพิ่ม เราเลยให้ไป 1000 จ๊าด แบบนี่มันไรกันเนี่ย คือหากินกันงี้เลยอ่อ เพิ่งจะเคยพบเจอด้วยตัวเองในชีวิต ปกติดูรายการทีถึงจะเห็น.. เออ ประสบการณ์ที่แท้ทรู ทริปเริ่มต้นของเราวันนี้เลยค่อนข้างดูกระท่อนกระแท่นแบบ เอ้อ เจอแต่หัววันเลย...

พอเราขึ้นมาบนรถไฟ ถือว่าก็ตามที่เขาร่ำลือเรื่องบรรยากาศระหว่างทาง วิวสวยด้วยพระอาทิตย์ที่ขึ้นยามเช้า หมอกบางๆ ตามทุ่งไร่นา รถไฟออกตัวประมาณ 6.06 น. ระหว่างทางสัก 7 โมงกว่าๆ เราเห็นชาวบ้านนั่งขี่มอไซค์ซ้อนกันเตรียมไปทำนา อย่างได้ฟีลหนังเรื่องแหยมยโสธรมาก เขาดูมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตแบบนั้นดี ชีวิตแบบเรื่อยๆ เป็นความเพลินระหว่างทาง ความสุขอีกอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวบนรถไฟ คือการได้ทักทายหาเพื่อนใหม่เนี่ยแหละ ด้วยเอกลักษณ์ของภาษาเรา หากใครฟังไทยรู้เรื่องก็จะรู้เลยว่าเราเป็นคนไทย (แต่ส่วนใหญ่ที่มองแค่หน้า ก็จะมองว่าเราเป็นคนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ตามลำดับ) มีเพื่อนชาวพม่าคนหนึ่งนั่งข้างๆ เรา ช่วงที่เก็บตั๋วนางช่วยเราคุยกับพนักงานรถไฟ เพราะนางเคยทำงานที่ไทย เลยพูดไทยได้คล่องมาก เราจึงได้เริ่มคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ ด้วยกัน

แง่มุมที่เราสงสัยเกี่ยวกับเพื่อนพม่าก็คือการที่เขาเข้ามาทำงานที่ไทยอย่างผิดกฎหมาย พอเราได้มาฟังบางแง่มุมตรงนี้ก็ทำให้เราได้เข้าใจเขามากขึ้นจริงๆ จนอยากจะหยิบยกส่วนนี้มาใส่ในบทความด้วยเช่นกัน

(พาร์ทพูดคุย)

ระหว่างเดินทางจากย่างกุ้งไปพะโคโดยรถไฟ เรามีโอกาสได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนชาวพม่าที่เคยไปทำงานที่ไทยเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (ระยะเวลาทำงาน 4 ปี) ขอเรียกชื่อว่า แพะ แล้วกัน เราจำชื่อเพื่อนคนนั้นไม่ได้ จากที่ได้คุยกัน แพะ อายุ 20 ปีเท่ากันกับเรา บ้านอยู่เมียวดี (ชนชาติที่แท้จริงคือกะเหรี่ยง) และไปทำงานที่ไทยตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยเขาลักลอบเข้ามาในไทย จนถูกจับกลับประเทศเพราะไม่มีบัตร หลังจากผ่านไป 2 ปี แพะยังคงจำภาษาไทยได้และคุยกับพวกเราตลอดทางสายรถไฟ

Q. ถ้าจะไปทำงานที่ไทย ต้องให้ค่าจ้างนายหน้าเท่าไหร่
A. ประมาณ 100,000-200,000 จ๊าด (หรือ 3000 - 6000 บาทไทย)

Q. ทำไมเลือกทำงานที่ไทยมากกว่าทำงานที่พม่า
A. พม่ามีเงินเดือนน้อยได้รับประมาณ 100,000 จ๊าด (3000 บาท/เดือน) ในขณะที่หากทำงานที่ไทย ได้รับค่าจ้าง 10,000+ มีที่นอนให้ ส่งเงินให้พ่อแม่ได้ แล้วก็มีชีวิตที่ไทยแบบสบายมากๆ ถึงแม้ว่าจะอยู่จำกัดเขตที่ทำงานก็ตาม

Q. เคยไปเที่ยวทะเลพัทยาไหม
A. (ก่อนหน้านี้แพะเล่าว่า แพะทำงานที่สระบุรี เป็นฟาร์มโคนม) นายจ้างไม่สามารถรับประกันการถูกจับได้เนื่องจากไม่มีบัตร เลยไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย อยู่แต่ที่ทำงานส่วนใหญ่ แทบไม่ได้เที่ยวต่างจังหวัด แต่อยู่ไทยสนุกและสบายมากๆ

Q. ทำไมพูดไทยชัดจัง เรียนหรือศึกษาภาษาไทยนานเท่าไหร่
A. ฟังที่คนพูดกัน เราอยากศึกษาอยากรู้จักคนไทย เลยฟังแล้วจำ ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนก็พูดได้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าแรงงานพม่าทุกคนจะพูดไทยได้ บางคนอยู่ไทยมา 2-3 ปี ทำงานที่กรุงเทพฯ จนตอนนี้ก็ยังพูดไม่ได้ เพราะเขาไม่สนใจภาษาไทย แพะพูดได้แต่อ่านไม่ได้

Q. ประเทศไทยในมุมมองของแพะ
A. เป็นประเทศที่ดีและสะดวกสบายมาก เวลาอยากกินอะไรก็หาซื้อกินง่ายมาก อาหารอร่อย ไม่รู้ว่าอะไรอร่อยสุด เพราะอร่อยทุกอย่างเลย อาหารราคาถูก เวลาทำงานรีบๆ ตื่นสาย ก็ซดมาม่าก่อนเลย มาม่าถูกกว่าที่พม่า แพะมีความสุขมากๆ ตอนที่อยู่ไทย ถ้าเขาเลือกได้เขาก็อยากอยู่ที่ไทยมากกว่าที่พม่า

Q. มีคนไปทำงานที่ไทยด้วยกันเยอะไหม
A. เยอะแบบเยอะมากๆ แต่เพื่อนที่มาทุกคนไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน อย่างเขาทำงานที่สระบุรี พี่ชายเขาทำงานที่มหาชัย/แม่สอด

Q. ทำไมไม่เลือกเรียนหนังสือ
A. พ่อแม่เขาไม่มีเงินส่งเขาก็ต้องออกมาหางานทำส่งพ่อแม่ ไม่มีเงินเรียน

Q. การที่จะได้รับบัตรทำงานแบบถูกกฎหมายมันยากขนาดไหน คนถึงไม่นิยมไปทำแล้วลักลอบกันไปมากกว่า
A. ราคาในการทำสูงคือมากกว่า 500,000 จ๊าด (ประมาณ 15,000 บาท) อาจจะดูเป็นเงินไม่เยอะ แต่ถ้าเทียบกับรายได้ที่เขาได้รับในพม่าเดือนละ 100,000 จ๊าด ประมาณ 3000 บาท เหมือนเงินเดือนที่เขามีก็พอกินแค่วันๆ ไม่พอเก็บสะสมทำบัตรแบบถูกกฎหมาย

Q. รู้จักอาเซียนไหม พอเปิดประเทศก็ทำงานที่อื่นง่ายขึ้นแล้วนะ
A. ก็เคยได้ยิน มีได้ยินอยู่แต่ไม่รู้อะไรมาก มี 7 ประเทศหรือเปล่า ส่วนใหญ่เราว่าคนพม่าไม่รู้ว่าอาเซียนเป็นไงนะ แต่เคยได้ยินกัน

เอาจริงก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระกันเยอะอ่ะ แต่หลักๆ ที่เราจำได้มีแต่แบบนี้ นี่เป็นอีกมุมมองนึงจากแรงงานพม่า พอมาฟังแบบนี้มันเหมือนได้เปิดโลกอีกมุมมองนึงที่เราไม่คิดจะไปสนใจเขาเลย อยู่ที่ไทยเราคงไม่มีโอกาสได้คุยกันงี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เรามาที่นี่แล้วทำให้เราได้เปิดใจฟังบางสิ่งบางอย่างในมุมมองของเขานะ..

(เล่าทริปต่อ)

ระหว่างที่กำลังคุยกับเพื่อนชาวพม่าที่เพิ่งเจอกันบนรถไฟอย่างออกรส ปรากฎว่าเราถึงสถานีพะโคแล้ว เลยต้องทำการโบกมือลากันไป พร้อมต่างฝ่ายบอกกันว่าขอให้โชคดี เราออกมาจากสถานีรถไฟเจอนายหน้านับสิบที่พร้อมยื่นข้อเสนอพอเรานำเที่ยว เยอะมากๆ จนแบบรู้สึกไม่โอเค ไม่สบายใจ เราไม่คุยไม่เหอไม่เออกับใคร จนออกจากสถานีมาแล้ว แต่ก็มีลุงคนนึงมาฮาร์ทเซลใส่เรา จะพาเรานำเที่ยวในราคา 10,000 จ๊าด ~ 300 บาทต่อคน ด้วยความราคาสมเหตุสมผล และเราก็ต้องการเที่ยวพม่าด้วยความ Local ลุงจึงทำให้เราใจอ่อนได้สำเร็จ!

ณ พะโค เราเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ล้วนๆ ฝุ่นข้างทางในทางบางส่วนที่ยังคงเป็นดินคละฟุ้งอย่างสนุกสนาน เยอะขนาดเราอาจสำลักฝุ่นตาย แต่โอเคตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ สถานที่ทุกที่ที่เราไปมีอยู่ในโบชัวร์แต่เราทำหายระหว่างทางเลยไม่รู้เลยว่าแต่ละที่มีความสำคัญยังไง พอถึงแต่ละที่เราเลยเน้นวิจารณ์งานประติมากรรมกับศิลปกรรมของแต่ละที่ ร่วมกับเพื่อนร่วมทริปแทน ก็เป็นความสนุกอีกแบบนึง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วงานวาดรูป หรืองานปั้นลงสี สำหรับเราเขายังไม่ค่อยละเอียด มีความหยาบกระด้างตั้งแต่น้อยไปจนถึงมาก.. บางวัดที่เราต้องวิจารณ์งานศิลป์ว่าสิ่งที่เขาทำค่อนข้างจะทำแบบขอไปที หรือวัดที่เราไปเขาไม่ให้ความสำคัญไม่รู้ ลายสีตกใส่กันมั่วมาก (แค่วัด 2-3 วัดจากที่เราไปทั้งหมด) อีกอย่างเขาไม่ให้การบูรณะวัดเลยอ่ะ วัดส่วนใหญ่สกปรก ขี้นก รอยเท้าอะไรงี้ มีเป็นจำนวนมาก จนนึกคิดว่า สถานที่นี้นักท่องเที่ยวมา คนท้องถิ่นก็ให้ความสำคัญ แต่ความสะอาดติดลบมาก ใครมาก็คงต้องเปิดใจยอมรับกับสิ่งนี้หน่อย

เราไปเกือบทุกที่ ที่ลุงคนขับมอไซค์พาไป แต่จุดพีคความร้อนวันนี้อยู่ที่ Bago Golden Palace เราไปเที่ยวในช่วงบ่ายอากาศร้อนมากจึงขอลา ลุงบอกจะพาไปอีกที่ เราก็ได้แต่โบกมือลาด้วยความเหนื่อยมาก ณ จุดนั้น และมานั่งรอรถไฟอีก ชม.กว่า รอบที่เรากลับมาย่างกุ้ง ความสนุกอีกแบบนึงคือรอบนี้เราได้เพื่อนมาคนนึง เป็นสาวอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย) เขามาแบคแพคคนเดียวแบบนางใจกล้ามาก อายุ 33 ปี เป็นอีกคนที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้มุมต่างๆ ของกันและกัน มีเรื่องสนุกได้คุยกันระหว่างทางเยอะมาก จนตลอด 2 ชม. บนรถไฟชั้น Ordinary Seat ทุกอย่างดูเหมือนผ่านเวลาไปอย่างรวดเร็วจริงๆ

เมบิ๊น_MayFlight

 วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.33 น.

ความคิดเห็น