แดนดินถิ่นอารยธรรมขอมโบราณ

. . . น ค ร วั ด - น ค ร ธ ม . . .

การเดินทาง

สำหรับคนไทยที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชา ผ่านทางชายแดนไทยที่ด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วนั้น สามารถเดินทางได้ 2 แบบคือ นั่งรถตู้หรือรถโดยสาร และโดยรถส่วนตัว

อรัญประเทศ - เสียมเรียบ สามารถนั่งรถโดยสาร หรือจะเหมารถแท็กซี่ในราคา 1200 บาทต่อคันก็ได้

นครวัด

ปราสาทนครวัด เป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างขึ้นจากพลังศรัทธาที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 มีต่อพระวิษณุเทพ (ไวษณพนิกาย) ถือเป็นปราสาทที่มีความงดงามที่สุดในศิลปะขอม โดยมีชื่อเสียงทางด้านความงามของภาพสลักและการออกแบบแผนผังของปราสาท ตัวปราสาทประธานตั้งอยู่บนฐานสูง ล้อมรอบด้วยระเบียงคต 3 ชั้น ทางเข้าหลักหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

นครธนม

เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรขอมโบราณ สถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของนครวัด ศูนย์กลางของนครคือ ปราสาทบายน ประกอบด้วยปรางค์จตุรมุขสลักเป็นรูปพักตร์ขนาดใหญ่กว่าสองร้อยพักตร์ นอกจากนี้ก็มีภาพจำหลักแสดงเรื่องราวในชีวิตประจำวัน สงครามกับจามปา และพฤติกรรมของเทพเจ้าอินเดีย


01

อรัญประเทศ - เสียมเรียบ

รถยนต์เช่าเหมาขนาด 5 ที่นั่งคือรถยนต์ที่เราเลือก เพื่อเดินทางจากด่านชายไทยไปยังเมืองเสียมเรียบประเทศกัมพูชา ถนนลาดยาง 2 เลน บรรยากาศสองข้างทางเหมือนแถวชนบทของบ้านเรา ประกอบไปด้วยทุ่งนาทั้งสองฝั่งทอดยาวสุดลูกหูลูกตา

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงคนขับรถก็นำเรามาถึงเมืองเสียมเรียบ เมืองเสียมเรียบเป็นเมืองไม่ใหญ่มากนัก อาคารส่วนใหญ่เป็นโรงแรมใหม่ที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จ รถสามล้อพ่วงคือพาหนะที่เราจะใช้เดินทางในเมืองเสียมเรียบตลอดทั้งทริปนี้ เหลือเวลาเพียงครึ่งวันบ่าย เราตั้งใจว่าจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่ โตนเลสาบ


02

โตนเลสาป เมืองลอยน้ำแห่งเสียมเรียบ

โตนเลสาบ คือทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบประมาณ 10 กิโลเมตร หลังจากนั่งรถสามล้อพ่วงออกจากเมืองมาได้สักพัก รถก็หักเลี้ยวเข้าสู่ถนนดินแดงขนาดเล็ก ขับเลาะเลียบมาตามคลองน้ำและหมู่บ้านที่ปลูกติดต่อตลอดข้างทาง สักพักก็มาถึงจุดขึ้นเรือเพื่อนั่งเรือเข้าไปชมชีวิตกลางน้ำของชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ที่โตนเลสาบ



นั่งเรือมาได้สักพัก ภาพบ้านเรือนหรือแม้กระทั่งวัด และโรงเรียนที่ปลูกอยู่กลางน้ำเริ่มปรากฎชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นภาพที่ดูแปลกตาสำหรับคนที่มีบ้านบนพื้นดินปกติอย่างเรา ยิ่งเรือขับใกล้หมู่บ้านเข้าไปเท่าไหร่ยิ่งพบความหนาแน่นของบ้านเรือนมากเท่านั้น สภาพบ้านเรือนที่สร้างจากไม้หลังคามุงด้วยสังกะสีแยกออกเป็นสองฝั่ง โดยมีเส้นทางน้ำตรงกลางสำหรับเป็นเส้นทางสัญจรของเรือ

ผ่านหมูบ้านมาเล็กน้อยคนขับเรือของเราเริ่มชะลอความเร็วลง เรือค่อยๆเบนหัวเรือเข้าเทียบที่อาคารลอยน้ำหลังหนึ่ง ซึ่งที่จุดนี้จะมีเรือแจวลำเล็กๆหลายลำ จอดคอยบริการนักท่องเที่ยวสำหรับนำชมธรรมชาติ ซึ่งจุดนี้จะมีป่าละเมาะขนาดใหญ่ที่ต้นไม้โผล่พ้นความสูงของน้ำขึ้นมา และที่นี่ยังมีห้องน้ำ อาหาร เครื่องดื่มคอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย



เวลา 16.00 น. ความรุนแรงของแสงแดดเริ่มทุเลาลง เนื่องจากพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ เรือก็นำเราออกจากหมู่บ้านล่องไปตามน้ำ เรือหลายลำเริ่มมุ่งหน้าไปทางเดียวกับพวกเรา จุดหมายคือการนั่งเรือชมแสงสุดท้ายของวันบนทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เวลา 18.00 น. แสงสีกุหลาบเริ่มแตะแต้มขอบฟ้า มองไปเห็นเพียงผืนน้ำที่สะท้อนแสงสีทองอมชมพูทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ความเงียบสงบเริ่มขึ้นเมื่อเสียงเครื่องยนต์ของเรือดับลง ทุกคนเข้าพวังดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้า เบียร์กระป๋องที่เราซื้อเตรียมมาด้วยตั้งแต่จุดพัก ช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายมากขึ้น

เวลา 18.45 น. บรรยากาศเริ่มมองสิ่งรอบข้างเป็นเพียงเงาตะคุ้มๆ เสียงเรือยนต์ก็กระหึ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเคลื่อนกลับไปยังหมู่บ้าน ลมเย็นๆที่พัดเข้ามากระทบใบหน้าขณะที่นั่งเรือกลับไปยังฝั่ง ประกอบกับบรรยากาศรอบข้างที่เริ่มมืดลงนั้นช่วยทำให้รู้สึกเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราหายเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวันมาก โตนเลสาบอาจจะเป็นเหมือนสถานที่ธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับนครวัด แต่สำหรับเราที่เป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึงที่ห่างไกลจากธรรมชาติเช่นนี้ บรรยากาศเพียงแค่นี้ก็ช่วยทำให้เรามีความสุขมากทีเดียว



03

Pub Street

เมืองเสียมเรียบตอนกลางคืนมีชีวิตชีวามากกว่าตอนกลางวัน เพราะนักท่องเที่ยวเริ่มกลับจากนอกเมืองเข้ามา บ้างก็กำลังรับประทานอาหาร บ้างก็นั่งรถชมเมือง โดยเฉพาะที่ถนนบันเทิงสายหนึ่งกลางเมืองเสียมเรียบ ที่ถนนทั้งสายเต็มไปด้วยร้านอาหารกึ่งผับ และผับเต็มตลอดทั้งสองฝากของถนน ถนนเส้นนี้จึงได้สมยานามว่า Pub Street

นอกจากผับที่เปิดบริเวณห้องแถวขนาดใหญ่ และขนาดเล็กนั้น ถนนเส้นนี้ยังมีผับคลื่นที่เล็กๆที่ดัดแปลงมาจากรถมอเตอร์ไซดื จอดเรียงรายเป็นแนวยาว โดยที่แต่ละคันหรือแต่ละซุ้มนั้นเปิดเพลงคนละแนวมีทั้งแนวสากลสมัยใหม่ สมัยเก่า หรือแม้กระทั่งดนตรีฝั่งละตินอเมริกา จุดเด่นของรถผับคลื่นที่นั้นคือ Cock Tail ที่ราคาแสนถูกคอยบริการนักท่องเที่ยว และถ้าคุยถูกคอกันยังมีแถวให้เพิ่มอีกแก้ว ถือเป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้เลยสำหรับคนที่ชอบสังสรร



04

นครวัด

เวลา 05.30 น. นักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยหลั่งไหลเข้ามายังนครวัด เพราะทุกคนต่างตั้งใจมารอชมช่วงเวลาที่แสงแรกของวันส่องมาที่ปราสาทนครวัด หลังจากที่รถสามล้อพ่วงจอดนิ่งสนิทที่ลานจอดลง พวกเราก็พร้อมแล้วที่จะเจอกับความยิ่งใหญ่ของนครวัด ขณะที่มาถึงนั้นบรรยากาศรอบด้านยังอยู่ในเงาสลัว เพราะพระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่ผู้คนที่หลั่งไหลมายังนครวัดครึกครื้นมาก เดินมาสักพักสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ขวางหน้าเราอยู่นั้นทำให้เรารู้สึกทึ่งว่ามนุษย์สามารถสร้างสระน้ำขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ด้วยหรือ แล้วคำถามต่อมาคือแล้วต้องใช้แรงงานคนเท่าไหร่ในการสร้าง

หลังจากเดินผ่านสะพานมาก็มาถึงโคปุระชั้นนอก เดินผ่านเข้าไปก็พบกับ นครวัดใหญ่ตะหง่านดำทะมึนอยู่เบื้องหน้า เรายืนตลึงอยู่สักพักนึงแล้วก็เดินต่อไปยังจุดที่จะชมแสงแรกของวันที่ บ่อน้ำด้านซ้ายมือของปราสาทที่มีกลุ่มคจำนวกมากยืนออกันอยู่ก่อนแล้ว

เวลา 06.00 น. แสงสีกุหลาบเริ่มแตะแต้มขอบฟ้าตรงหน้าเรา มีตัวปราสาทนครวัดเป็นฉากดำทมึนตระหง่าน ปรางค์ปราสาททั้ง 5 ยอดมองเห็นชัดเจน ภาพเงาสะท้อนจากผิวน้ำทำให้ทุกคนตลึงในงามความที่ธรรมชาติสร้างขึ้นผสมผสานกับสิ่งที่ก่อสร้างที่เกิดจากความศรัทธาของมนุษย์ที่ต้องใช้ความอุตสาหจากแรงงานคนหลายพันคน




ปราสาทนครวัด อาจลี้ลับที่สุดในเมืองพระนคร ซึ่งประกอบด้วย เทวาลัย ที่เก็บพระศพ และหอดูดาว ถือเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก อะไรคือความลี้ลับของเทวาลัยนี้ ประการแรก เทวาลัยนี้หันหน้าสู่ทิศตะวันตก ซึ่งปราสาทขอมส่วนใหญ่จะหันหน้าสู่ทิศตะวันออก เพราะเชื่อว่าทิศตะวันตกคือทิศแห่งความตาย นี่เป็นอาคารหลังเดียวในเมืองพระนครที่เป็นอย่างนี้ นอกจากนี้ภาพจำหลักที่มีระยะทางกว่า 2 กม. รอบระเบียงปราสาทเรียงลำดับย้อนเข็นาฬิกา โดยเริ่มจากระเบียงด้านตะวันตกเฉียงเหนือ นครวัดถือเป็นทั้งศาสนสถาน และเป็นพระราชสุสาน การหันหน้าปราสาทไปทางทิศตะวันตกนั้นอาจเป็นการบูชาพระวิษณุเทพ เทพผู้พิทักษ์พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ซึ่งเป็นเทพที่มีความสัมพันธ์กับทิศตะวันตก นครวัดเป็นปราสาทแห่งเดียวในเมืองพระนครที่สร้างถวายพระวิษณุเทพ (ไวษณพนิกาย)

ปราสาทนครวัดได้สะท้อนแนวคิดทางด้านประติมานวิทยาหลายประการ เช่น จำลองระบบจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาฮินดูไว้บนโลกมนุษย์ โดยเปรียบปราสาทประธาน คือ เขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นที่ประทับของพระวิษณุ

ด้วยเหตุนี้จึงปรากฎภาพสลักพระวิษณุเทพตามส่วนต่างๆของปราสาท ที่สะท้อนแนวคิดประติมานวิทยา โดยภาพสลักเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนศาสนสถานให้กลายเป็นสวรรค์ตามคติความเชื่อดังกล่าว ภาพสลักที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ได้แก่ ภาพสลักเล่าเรื่องการกวนเกษียรสมุทร อันเป็นการสร้างโลกของพระวิษณุ โดยการกวนเกษียรสมุทรทำให้ปรากฏของวิเศษหลายสิ่งขึ้นมาจากททะเลน้ำนม



05

อัปสรา แห่งเมืองพระนคร

นางอัปสรา (Apsara) หมายถึง ผู้แหวกว่ายในมหาสมุทร มาจากคำว่า อัป (अप) ในภาษาสันสกฤต หมายถึง น้ำ ซึ่งเป็นลักษณะการเกิดของนางอัปสรา ที่ผุดขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทรตามคัมภีร์วิษณุปุราณะ การกวนเกษียรสมุทรของเหล่าเทพและอสูรเพื่อให้ได้น้ำอมฤตที่ทำให้ผู้ที่ดื่มเข้าไปมีชีวิตเป็นอมตะ ในการกวน เกษียรสมุทร ทำให้เกิดสิ่งวิเศษมากมาย ผุดขึ้นมาจากทะเลน้ำนม รวมถึงเหล่านางอัปสราที่งดงามจำนวนมาก และกลายเป็นเทพธิดาที่สร้างความรื่นรมย์บนสวรรค์

ภาพสลักนางอัปสราในอิริยาบถต่างๆ ปรากฏตามโคปุระ ระเบียงคดรอบปราสาทตั้งแต่ระเบียงคด ชั้นนอกจนถึงปราสาทประธาน โดยภาพสลักนางอัปสราเหล่านั้นมีท่าทางการแต่งกายและทรงผมที่แตกต่างกันไป จนมีผู้กล่าวว่านางอัปสราแต่ละองค์ที่ปราสาทนครวัดมีจำนวนมากมาย และไม่ซ้ำกันเลย การแต่งกายของนาง อัปสราที่ปราสาทนครวัดเป็นวิวัฒนาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยหลายๆด้าน จนกระทั่งเป็น ลักษณะเฉพาะของศิลปะแบบนครวัด ลักษณะผ้านุ่งของภาพสลักนูนต่ำนางอัปสราที่ปราสาทนครวัดเป็นผ้าพับ ป้ายอย่างสวยงาม มีลวดลายดอกไม้เล็กๆ หรือลายตารางประกอบอันเป็นลักษณะพิเศษที่ไม่เคยปรากฏบน ประติมากรรมลอยตัวจนกระทั่งสมัยบายน และด้วยความสามารถของช่างที่นำแม่ลายต่างๆ มาผสมผสานได้ อย่างลงตัวและสวยงามคล้ายกับนางอัปสราแต่ละองค์ทรงนุ่งผ้าแต่ละผืนไม่ซ้ำกัน




06

ปราสาทบันทายศรี

เวลา 11.00 น. หลังจากเดินดูปราสาทนครวัดจนทั่วแล้วนั้น พวกเราก็เดินทางออกนอกเมืองไปยัง ปราสาทบันทยศรี ซึ่งอยู่ห่างจากนครวัดประมาณ 30 กิโลเมตร อากาศที่ร้อนระอุในตอนเที่ยงพัดมาประทะใบหน้าขณะนั่งรถออกนอกเมือง ถนนเส้นเล็กคดเคี้ยวไปมาผ่านหมู่บ้านเล็กๆหลายแห่ง สองข้างทางยังคงเป็นนาข้าว และป่าต้นตาลสลับกันไปตลอดทาง ใช้เวลาประชั่วโมงกว่าเราก็มาถึง

รถสามล้อพ่วงจอดให้พวกเราลงบริเวณริมถนนด้านนอกทางเข้าปราสาทบันทายศรี นั่นหมายความว่าพวกเราต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 200 เมตร ตลาดขายของฝากเล็กๆตั้งขวางอยู่หน้าทางเข้าปราสาท พวกเรายังไม่มีใครสนใจจะซ์้อของฝากกันเท่าไหร่ สิ่งแรกเลยที่ต้องการคือน้ำอัดลมเย็นๆหรือน้ำเปล่าสักขวดเพื่อดับกระหายเนื่องจากอากาศที่ร้อนในช่วงเวลาเที่ยงวัน เสร็จแล้วก็เดินต่อกันไปตามทางถนนดินลูกรังอีกระยะหนึ่งจึงจะสามารถมองเห็นตัวปราสาทได้

ปราสาทบัยทายศรี ถือเป็นปราสาทขอมโบราณปราสาทเดียวที่สร้างแล้วเสร็จ ส่วนปราสาทอื่นต้องมีการสร้างต่อหลายสมัย ความโดดเด่นของที่นี่เลยคือภาพจำหลักรอบตัวปราสาทที่สร้างจากหินทรายสีชมพู มีความละเอียดอ่อนช้อยงดงามราวเพิ่งแกะเมื่อเร็วๆนี้ เราใช้เวลาอยูที่นี่ไม่นานนักเนื่องจากอากาศที่ร้อนระอุ และเนื่องจากตัวปราสาทเองไม่ได้ใหญ่มากนัก



07

ปราสาทตาพรหม

กลับจากปราสาทบันทายศรี จุดหมายต่อไปของเราคือ ปราสาทตาพรหม เป็นปราสาทหลงเหลือความสมบูรณ์ของปราสาทอยู่น้อยมาก แต่จุดเด่นของที่นี่คือตัวปราสาทที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้กลางป่า ทำให้ต้นไม้ขึ้นปกคลุมองค์ปราสาท เนื่องจากผ่านมาเป็นเวลานานจึงทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตครอบปราสาทไว้ จึงเป็นความสวยงามแบบแปลกตา

ปราสาทตาพรม หมายถึง บรรพบุรุษผู้เป็นพรหม พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างเพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายแด่พระราชมารดาของพระองค์ เป็นปราสาทตามหลักศาสนาพุทธนิกายมหายาน



07

ปราสาทบายน

นั่งรถจากปราสาทตาพรหมมายังปราสาทบายนไม่นานนักก็มาถึง ปราสาทบายนไม่มีกำแพงกั้นเนื่องจากใช้กำแพงจากนครธมเป็นเขต ปรสาทบายน ระกอบด้วยปรางค์จตุมุขสลักเป็นรูปพักตร์ขนาดใหญ่กว่าสองร้อยพักตร์ นอกจากนี้ก็มีภาพจำหลักแสดงเรื่องราวในชีวิตประจำวัน สงครามกับจามปา และพฤติกรรมของเทพเจ้าอินเดีย


08

เสียมเรียบ - อรัญประเทศ

เราเหมารถเช่นเคยจากเมืองเสียมเรียบมาที่ด่านอรัญประเทศ และเดินทางจากด่านกลับบ้านโดยรถตู้สาธารณะ เนื่องจากครั้งนี้มีเวลาน้อยในการชมศาสนสถานต่างๆ เราจึงตั้งใจว่าหากมีโอกาศจะมาที่นี่อีกรอบแน่นอน


Facebook : https://www.facebook.com/sangchantravel

แสงจันทร์

 วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 19.10 น.

ความคิดเห็น