จริงๆ การไปมุกดาหารรอบนี้ มีจุดประสงค์เพื่อจะไปทำธุระ แต่ทุกลมหายใจเข้าออกของผมคือการท่องเที่ยว การไปมุกดาหารครั้งนี้จะไปแค่ทำธุระอย่างเดียวก็คงไม่ใช่ผมแน่ๆ จึงรีบหาข้อมูลเพื่อวางแผนท่องเที่ยวในช่วงเวลาว่าง ทริปนี้มีข้อจำกัดเรื่องเวลาค่อนข้างเยอะ การไปเที่ยวแต่ละจุดเลยต้องวางแผนให้รัดกุมครับ

เริ่มตั้งแต่การวางแผนเดินทาง ทริปนี้ผมมีเวลา 3 วัน 2 คืน เลยเลือกที่จะเดินทางโดยเครื่องบิน แต่เนื่องจากมุกดาหารยังไม่มีสนามบิน เลยต้องเลือกบินลงที่จังหวัดข้างเคียง ซึ่งมีให้เลือก 2 จังหวัดคือสนามบินนครพนม และสนามบินสกลนคร ในช่วงวัน/เวลาที่ผมเดินทาง เมื่อเปรียบเทียบราคาแล้ว หากบินลงที่นครพนมราคาจะถูกกว่าครับ

สำหรับขาไป ผมเลือกบินกับนกแอร์ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ผมค่อนข้างสะดวกสุด คือบินตอนสายๆ จะได้ไม่ต้องรีบเดินทางมาที่สนามบินตั้งแต่เช้ามืด แถมยังถึงนครพนมไม่บ่ายจนเกินไป ยังพอมีเวลาให้เดินทางและเที่ยวระหว่างทางได้เล็กน้อย สำหรับขากลับ ผมเลือกบินกับแอร์เอเชีย เนื่องจากมีหลายไฟล์ทให้เลือกกลับมาก เลยเลือกบินกลับช่วงบ่ายแก่ๆในขณะที่นกแอร์มีบินเพียงวันละไฟล์ทเท่านั้น

เรื่องการเดินทางจบไปหนึ่งเรื่อง มาต่อเรื่องที่พัก ทริปนี้ผมเล็งที่พักริมแม่น้ำโขงไว้ เลยเลือกเข้าพักที่โรงแรมเวียงโขง โดยทำการจองผ่าน www.shopback.co.th ครับ

ทำไมต้อง Shopback? เพราะ Shopback เป็นเว็บไซต์สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าดังๆ มากมาย เช่น Agoda, Expedia, Booking.com ซึ่งทั้ง 3 เวปนี้ ผมเชื่อว่าขาเที่ยวคงรู้จักกันดีว่าเป็นผู้นำในการจองห้องพักออนไลน์ โดยเมื่อทำการจองจาก 3 เวปนี้โดยตรง เพื่อนๆ ก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อะไรมากมาย แต่ถ้าหากเพื่อนๆ ทำการจองที่พักจาก Agoda, Expedia, Booking.com ผ่าน Shopback แล้ว ในการเลือกซื้อแต่ละครั้ง ก็จะมีส่วนลดและโปรโมชั่นให้ด้วย แล้วเมื่อการจองห้องพักเสร็จสมบูรณ์ (ไม่มีการยกเลิกการเข้าพัก) เราจะได้รับเงินคืนจากการเข้าพักในครั้งนั้นเข้ามายังบัญชี ShopBack ของเรา จากนั้นเราสามารถถอนเงินจากบัญชี ShopBack เข้าสู่บัญชีธนาคารเพื่อรับเงินคืนได้ด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ 2 เด้งเลยครับ คือได้รับทั้งส่วนลดจากกาจองที่พัก แล้วยังได้รับเงินคืนอีกด้วย รู้แบบนี้แล้วอย่ารอช้า รีบเข้าไปสมัครเป็นสมาชิก เพื่อรอรับเงินคืนเข้าบัญชีรัวๆ อ้อ ไม่ได้มีแค่การจองที่พักเท่านั้นนะครับ ขา Shopping ออนไลน์แบบ Lazada, Shopee รวมถึงร้านเด็ดร้านดังกว่า 100 ร้าน หากชอปผ่าน Shopback ก็ได้เงินคืนเข้าบัญชีด้วยเช่นกันครับ


สำหรับโปรแกรมการเดินทาง ก็ประมาณนี้ครับ ขาไป คือเส้นทางสีแดง ส่วนขากลับเป็นเส้นสีเขียว ดูแล้วอาจจะเที่ยวได้ไม่เยอะเพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ก็ถือว่าตักตวงความสุขได้อย่างเต็มที่เหมือนกัน

วันเดินทาง

ดีหน่อยที่ผมเลือกเดินทางไฟล์ทสายๆ คือไฟล์ท 10.30 น. เผื่อเวลากันเหนียวให้มาถึงสนามบินเวลา 08.00 น. เลยไม่ต้องตื่นตั้งแต่หัวรุ่ง ออกจากลพบุรี 05.00 น.แบบสบายๆ

ผ่านกระบวนการ Check in ค่อนข้างเร็ว เลยมีเวลาเตร่ในสนามบินดอนเมืองพอสมควร วันที่ไปนี่ฟ้าใสสุดๆ ใจก็ภาวนาขอให้เจอฟ้าใสตลอดทริปด้วยเถิด


มาถึงสนามบินนครพนมตามเวลา คือ 11.50 น. ติดต่อรับรถที่เช่าไว้ ใช้เวลาไม่นานนัก ประมาณ 12.15 น. ก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางครับ

กองทัพเดินด้วยท้อง หลังออกจากสนามบินก็มุ่งหน้าไปหาของกินในตัวเมืองนครพนม มารอบนี้ตั้งใจจะมาทานข้าวเกรียบปากหม้อศรีเทพอีกเช่นเคย หลังจากที่เคยได้ลองทานแล้วติดใจ แต่เมื่อมาถึงก็แอบเสียใจ เพราะช่วงที่ผมไปเป็นช่วงพักการขายพอดี จะเปิดขายอีกทีก็บ่ายสามโมง แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ยังพอมีข้าวเกรียบปากหม้อที่ทำใส่กล่องรอการขายอยู่ 2 กล่อง พอทานให้หายอยากไปได้บ้าง มานครพนม แนะนำให้มาทานข้าวเกรียบปากหม้อศรีเทพดูนะครับ อร่อยอย่าบอกใครเชียว

จากนั้นมุ่งหน้าสู่วัดจอมศรีหมู่ 2 พิกัดอย่างไรนั้นแนะนำตั้ง GPS ไปเลยครับ ตั้งคำว่า “วัดจอมศรีหมู่ 2” ตอนที่ผมหาข้อมูลจากรีวิวท่องเที่ยวต่างๆ ในนั้นเขียนเพียง “วัดจอมศรี” ผมก็ตั้ง GPS ไปที่ “วัดจอมศรี” ปรากฏว่าเจอ 2 วัด ดูจากแผนที่ใน Google map แล้ว เลยเลือกวัดจอมศรีที่อยู่ใกล้สนามบิน มันก็พาไปถูกทางนะครับ แต่ผิดจุด เลยต้องสอบถามชาวบ้านแถวนั้นดู แต่ก็ลัดเลาะไปจนถึงจุดหมาย พอถึงหน้าวัดถึงได้รู้ว่า ที่ถูกแล้วชื่อ “วัดจอมศรีหมู่ 2” ครับ

แล้วผมดั้นด้นมาทำอะไรที่ “วัดจอมศรีหมู่ 2” เหรอครับ เพราะที่วัดนี้มีต้นก้ามปูยักษ์ ซึ่งนับว่าเป็น Unseen นครพนมครับ

วัดจอมศรีหมู่ 2 เป็นวัดเล็กๆ ที่บรรยากาศภายในวัดค่อนข้างร่มรื่นเลยทีเดียว บริเวณกลางวัดมีต้นก้ามปูขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก ต้นก้ามปูที่วัดจอมศรีหมู่ 2 นี้แตกต่างจากต้นก้ามปูยักษ์ที่กาญจนบุรีอยู่พอสมควร เรื่องขนาดของวัดจอมศรีหมู่ 2 อาจจะเป็นรองอยู่นิดหน่อย แต่ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ต้นก้ามปูที่วัดจอมศรีหมู่ 2 จะดูชุ่มชื่นกว่า มีมอสและเฟิร์นขึ้นอยู่ตามกิ่งก้านสาขาของต้นก้ามปู ดูแล้วสดชื่นจริงๆ ครับ

ตอนที่บอกสมาชิกร่วมทริปว่าจะมาที่วัดจอมศรีหมู่ 2 แต่ละคนดูเฉยๆ แต่เมื่อรถเข้ามาจอดที่ลานวัดเท่านั้นแหล่ะ ต่างรีบบอกออกมาว่า ถ้าไม่แวะคงเสียดายมากๆ เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ผมได้แต่แอบยิ้มในใจ

จากวัดจอมศรีหมู่ 2 ผมมุ่งหน้าสู่มุกดาหาร ผ่าน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม และเข้าเขต อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร จุดหมายแรกเมื่อเข้าเขต มุกดาหาร คือ แก่งกะเบาครับ

แก่งกะเบา เป็นแก่งหินยาวตามลำน้ำโขง แม่ค้าที่มาขายของที่แก่งกะเบาเล่าว่า ในช่วงฤดูแล้งน้ำจะลดจนเห็นหาดทราย และเกาะแก่งกลางน้ำ จุดเด่นของแก่งกะเบาอยู่ที่แก่งหินและโขดหินกั้นขวางแม่น้ำโขงนี่แหล่ะครับ แม่น้ำโขงเมื่อไหลมากระทบกับแก่งหินก็จะเกิดการกัดเซาะเกิดเป็นรูปร่างที่สวยงาม บางจุดก็จะเป็นหลุมลึก บ้างก็เหมือนถ้ำใต้น้ำ ลักษณะมีส่วนคล้ายสามพันโบกอยู่เหมือนกัน เสียดาย ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงฤดูฝน น้ำเริ่มสูงแล้ว แต่ก็ยังพอเห็นแก่งเล็กๆ อยู่บ้างครับ จากแก่งกะเบา เราสามารถมองเห็นเมืองไชยบุรี ประเทศลาวได้ด้วยครับ






ปัจจุบันภายในแก่งกะเบากำลังเร่งปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นแหล่งพักผ่อนและท่องเที่ยวของมุกดาหาร มีการสร้างพญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช พญานาคขนาดใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง มีจุดชมวิวคล้ายๆ Sky walk รวมถึงร้านอาหารอยู่บริเวณริมโขงเช่นกัน มาเที่ยวที่นี่ติดร่มไปสักคันก็ดีนะครับ เพราะแดดค่อนข้างแรงเลยทีเดียว

ใครที่ใช้เส้นทางนครพนม-มุกดาหาร แล้วผ่านมาทาง อ.ธาตุพนม สามารถจอดแวะยืดเส้นยืดสายที่แก่งกะเบาได้นะครับ แก่งกะเบาอยู่ติดถนนเลยครับ

จากแก่งกะเบา ไปต่อกันที่สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี วัดสองคอน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก

สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี วัดสองคอน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเช่นกันครับ





สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี วัดสองคอน ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น สลัดความเป็นโบสถ์คริสต์ที่ผมเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสักการะบุญราศีมรณสักขีทั้ง 7 ที่อุทิศชีวิตในป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อพิสูจน์ศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า เมื่อครั้งเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากในระยะนั้นผู้คน แถบชายแดนจะศรัทธาและนับถือศาสนาคริสต์กันเป็นจำนวนมาก และบาทหลวงส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศส ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของฝรั่งเศส จึงมีคนกล่าวหากันว่าคนที่นับถือคริสต์ช่วงนั้นจะฝักใฝ่ฝรั่งเศส ทรยศต่อประเทศชาติ รวมทั้งมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นหลายอย่าง ทางการจึงมีคำสั่งให้ชาวบ้านเลิกนับถือ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยอมรับว่าจะเลิกแต่ก็ยังนับถือกันแบบลับๆ โดยมีซิสเตอร์พิลา ทิพย์สุข (อายุ 31 ปี) ซิสเตอร์คำบาง ศรีคำฟอง (อายุ 23 ปี) นายศรีฟอง อ่อนพิทักษ์ (อายุ 33 ปี) นางพุดทา ว่องไว (อายุ 59 ปี) นางสาวบุดสี ว่องไว (อายุ 16 ปี) นางสาวคำไพ ว่องไว (อายุ 15 ปี) และเด็กหญิงพร ว่องไว (อายุ 14 ปี) ที่ยังทำหน้าที่เป็นครูสอนคำสอนและไม่รับปากกับทางตำรวจว่าจะเลิก ตำรวจจึงนำตัวทั้งหมดไปยิงจนเสียชีวิต และในปี พ.ศ.2532 พระสันตะปาปาก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งเจ็ดคนเป็น "บุญราศีมรณสักขี" ซึ่งหมายถึงคริสตชนผู้ที่ประกอบกรรมดีและพลีชีพเพื่อประกาศยืนยันความเชื่อในพระเจ้าไม่ยอมละทิ้งศาสนาครับ

ตัวอาคารของสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กโถงสี่เหลี่ยมชั้นเดียว ผนังของวัดเป็นกระจกใส บริเวณด้านหน้าเป็นส่วนประกอบพิธี มีพื้นที่กว้างขวางเลยทีเดียว



ส่วนด้านหลังของส่วนประกอบพิธี เป็นที่เก็บอัฐิของบุญราศีทั้ง 7 ภายในมีโลงแก้วบรรจุหุ่นขี้ผึ้งของบุญราศีทั้ง 7 ไว้ให้สักการะครับ คนดูแลบอกให้ผมเข้าไปขอพรจากท่านทั้ง 7 แล้วจะโชคดีครับ



ด้านหลังของสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี มีอาคารอีกหลังสร้างขึ้นครอบบ้านไม้ 2 หลังซึ่งเป็นบ้านที่บุญราศี 2 ใน 7 คนได้อาศัยอยู่จริงในสมัยนั้น ทางวัดได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีครับ

สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี วัดสองคอนเป็นแหล่งศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามแปลกตาของตัวอาคาร คือ เป็นโบสถ์คริสต์สร้างแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ใหญ่และสวยที่สุดในอุษาคเนย์ และเคยได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ปี 2539 เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและสักการะทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ครับ

จากสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี ขับรถต่ออีกนิดหน่อยเพื่อไปยัง วัดพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งตั้งอยู่ริมโขงเช่นกันครับ

จากถนนใหญ่ เลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวก็ถึงวัดศรีมหาโพธิ์แล้วครับ วัดศรีมหาโพธิ์เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมุกดาหารกว่า 100 ปี เป็นอีกหนึ่งวัดที่ไม่ควรพลาดชม


ภายในวัดมีกุฏิเก่าแก่ที่ได้แปรสภาพเป็นห้องสมุดประชาชน ปัจจุบันถูกปล่อยทิ้งร้างอย่างน่าเสียดาย หอสมุดแห่งนี้ออกแบบตามสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส มีซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นรูปโค้ง ดูคลาสสิคมากๆ แต่เห็นแล้วก็รู้สึกเสียดายที่อาคารหลังนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้แบบนี้







อีกหนึ่งโบราณสถานสำคัญของวัดศรีมหาโพธิ์คือ “สิมอีสาน” ที่เก่าแก่ หรือภาคกลางก็คือ โบสถ์นั่นเอง สิมนี้สร้างเมื่อ พ.ศ.2459 ศิลปะผสมตะวันตก ไทย เวียดนาม ฝรั่งเศส ลักษณะเป็นสิมทึบ มีผนัง 3 ด้าน เข้าออกทางด้านหน้าอย่างเดียว ภายในผนังจะมีรูปแต้ม หรือจิตกรรมฝาผนัง บอกเล่าเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก ฝีมือช่างพื้นบ้าน ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่งดงามและหาดูได้ยากแล้ว ขื่อคานไม้ภายในสิมมีการแกะสลักลวดลายสวยงามเลยทีเดียว ด้านในสิมเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน สิ่งหนึ่งที่แปลกไม่เหมือนวัดอื่นคือ องค์พระประธานตั้งอยู่บนฐานชุกชี มีการสร้างผนังทำเป็นกรอบรัศมีรอบองค์พระ ดูคล้ายๆ กับองค์พระประธานถูกฝังไว้ในผนัง ซึ่งผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นการออกแบบในลักษณะนี้ครับ


ด้านในสุดของวัดเป็นที่ตั้งของหลวงพ่อพุทธนาคปรก พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่หันหน้าเข้าแม่น้ำโขง บริเวณองค์พระสามารถมายืนชมทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงได้แบบสุดสายตา เห็นว่าในช่วงฤดูแล้ง น้ำโขงบริเวณอำเภอหว้านใหญ่จะแห้งขอด เกิดเกาะแก่งน้อยใหญ่ขึ้นอยู่กลางแม่น้ำโขงด้วยครับ

จากวัดพระศรีมหาโพธิ์ ผมมุ่งหน้าสู่ โรงแรมเวียงโขง ซึ่งจะเป็นที่พักของผมตลอด 2 คืนครับ โรงแรมเวียงโขงอยู่กลางเมืองมุกดาหาร เลยจากตลาดอินโดจีนไปนิดหน่อยครับ


ภายนอกของโรงแรมออกแบบเป็นสีขาว ดูสะอาดตา ด้านหน้ามีลานจอดรถให้พร้อมครับ


บริเวณ Lobby ของโรงแรมครับ


ด้านข้างของ Lobby จัดเตรียมพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนครับ



เดินออกไปด้านนอกของอาคาร มีระเบียงให้แขกได้นั่งพักผ่อนครับ


ด้านหลังของโรงแรม เป็นสนามหญ้า ที่ทอดยาวไปยังริมฝั่งโขง ห้องพักทุกห้องมองเห็นวิวแม่น้ำโขงครับ




ห้องพักกว้างขวางดี อุปกรณ์อำนวยความสะดวกตามมาตรฐานของโรงแรมทั่วไป คือ เครื่องปรับอากาศ ทีวี ตู้เย็น Free wifi แต่สิ่งที่ไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไรเห็นจะเป็นบ่อพักน้ำของโถชักโครก ผมไม่แน่ใจว่ามันเล็กไปหรือไม่ เพราะเวลากดชำระแล้ว เหมือนน้ำในบ่อพักมันจะน้อยไป ทำให้กดชำระได้ไม่หมด ต้องกดอยู่หลายครั้งเลยทีเดียวกว่าจะสะอาด ผมไม่รู้ว่าห้องอื่นๆ จะเป็นแบบนี้หรือไม่นะครับ

โรงแรมเวียงโขงตั้งอยู่บนถนนเส้นเล็กๆ เรียบแม่น้ำโขง เลยจากตลาดอินโดจีนไปเล็กน้อย ทำให้รู้สึกไม่พลุกพล่านเหมือนโรงแรมที่ตั้งอยู่กลางเมืองริมถนนสายหลัก นับว่าเป็นที่พักอีกหนึ่งที่สำหรับการพักผ่อนครับ

สำหรับมื้อค่ำนี้ ผมฝากท้องไว้ที่ สวนอาหารนัดพบริมโขง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ย้อนขึ้นไปทางตลาดอินโดจีนครับ

ยำตะไคร้กุ้ง เมนูนี้ 140 บาทครับ


มัจฉาครองรัง เมนูนี้ 140 บาท เป็นเนื้อปลาสับ แล้วนำมาทอด จากนั้นนำมาปรุงรสคล้ายๆ ผัดฉ่าก็ไม่ใช่ ผัดเผ็ดก็ไม่เชิง อร่อยดีเหมือนกันครับ


ยำวุ้นเส้นทะเล รสชาติกลางๆ ครับ


เมี่ยงห่อไข่ เมนูนี้ 120 บาท คล้ายๆ กับไข่ยัดไส้ครับ แต่ไส้คนละอย่างกัน ไข่ที่นำมาห่อหนาฟู เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มครับ


ตำลาว 60 บาท แซบดีครับ

รสชาติอาหารโดยรวมถือว่ากลางๆ ครับ บรรยากาศภายในร้านตกแต่งประมาณสวนเขียว เสียดายที่ผมมาถึงร้านช่วงค่ำๆ เลยไม่ได้ซึมซับกับบรรยากาศได้เท่าที่ควร

เช้าวันใหม่ ผมรีบตื่นมาเพื่อมาสูดอากาศยามเช้าริมฝั่งโขง ออกมาที่สนามหญ้าด้านหลังของโรงแรมเพื่อมาเดินเล่นชมบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำโขง ทางมุกดาหารได้จัดทำเป็นเส้นทางให้เดินหรือปั่นจักรยานออกกำลังกายครับ


บรรยากาศยามเช้าบอกเลยว่าสดชื่นมากๆ ครับ ผมเดินเล่นได้สักพักก็คงต้องรีบไปอาบน้ำ ทานอาหารเช้า เพราะเช้านี้ผมวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวชมภูมโนรมย์ ก่อนที่จะต้องไปทำธุระในช่วงเช้าครับ


จุดให้บริการอาหารเช้าจะอยู่ตรงข้ามกับ Lobby ทางโรงแรมจะเตรียมอาหารไว้รอตั้งแต่ 06.30 น.ครับ




อาหารจะมีทั้ง ข้าวต้ม (โจ๊ก)/ ผัดมาม่า (ผัดซีอิ้ว) (ในวงเล็บคือเมนูอาหารเช้าวันที่ 2) ปาท่องโก๋ และ ขนมปัง รวมถึงน้ำส้ม โกโก้ร้อนและกาแฟ หากทานไม่อิ่มสามารถเติมได้เรื่อยๆ ครับ


ตักอาหารเรียบร้อยแล้วสามารถเลือกที่นั่งทานได้ตามอัธยาศัย ผมมานั่งทานบริเวณระเบียงด้านหลังของโรงแรม นั่งทานมื้อเช้าไป ชมกับบรรยากาศริมโขงไปครับ

หลังเสร็จมื้อเช้า ผมรีบตรงบึ่งไปยัง วัดพระพุทธบาทภูมโนรมย์ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมามุกดาหารครับ

วัดพระพุทธบาทภูมโนรมย์อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมุกดาหารมากนัก ตั้งอยู่บนภูมโนรมย์ เนินเขาที่จะบอว่าเตี้ยก็ไม่เตี้ย จะสูงก็ไม่เชิง เส้นทางที่จะขับรถขึ้นไปบนภูมโนรมย์มีบางช่วงที่โค้งและชัน ควรขับด้วยความระมัดระวังครับ


ด้านบนภูมโนรมย์ เป็นที่ตั้งของวัดพระพุทธบาทภูมโนรมย์ สิ่งที่น่าสนใจมี 3 จุดหลักๆ คือด้านบนสุด เป็นที่ตั้งของพระธาตุภูมโนรมย์ และรอยพระพุทธบาท และตอนนี้ทางวัดได้ดำเนินการก่อสร้าง “พระเจ้าใหญ่แก้วมุกดาศรีไตรรัตน์” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ด้วยงบประมาณกว่า 106 ล้านบาท ปัจจุบันยังสร้างไม่แล้วเสร็จ ขนาดหน้าตักขององค์พระ 39 เมตร สูง 86.50 เมตร องค์พระอยู่บนจุดสูงสุดของภูมโนรมย์เลยครับ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล



อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ไม่แวะถือว่าพลาด กับ “องค์พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช” พญานาคองค์ใหญ่ยักษ์ ด้วยขนาดความยาวถึง 122 เมตร ส่วนหัวสูง 20 เมตร ลักษณะคล้ายกำลังเคลื่อนตัว เกล็ดสีวาวคล้ายปีกแมลงทับ ต้องยอมรับเรื่องความพิถีพิถันในการให้สีขององค์พญานาคจริงๆ ครับ งดงามไม่มีที่ติ บริเวณองค์พญานาคนี้มีผู้คนมากราบไหว้ขอพรกันอย่างไม่ขาดสายครับ



และจุดสุดท้าย อยู่ติดกับบริเวณลานจอดรถครับ บริเวณนี้จะเป็นลานโล่ง สำหรับให้ชมวิวเมืองมุกดาหาร มองไกลออกไปเห็นหอแก้วมุกดาหาร เลยไปเป็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว

แนะนำว่าให้มาถึงที่วัดพระพุทธบาทภูมโนรมย์กันแต่เช้านะครับ เพราะว่าอากาศจะไม่ร้อนจัด ที่สำคัญสามารถขับรถขึ้นมายังด้านบนภูมโนรมย์ได้เลย แต่ถ้าหากมาถึงช่วงสายๆ เราจะต้องจอดรถไว้ที่ด้านล่างของภูมโนรมย์ และต้องต่อรถสองแถวขึ้นไปยังด้านบน ซึ่งอาจจะไม่ค่อยสะดวกนัก มาเที่ยวมุกดาหารแล้ว บอกเลยว่าห้ามพลาดที่นี่ครับ

หลังจากทำธุระ (สาเหตุที่ทำให้ต้องมามุกดาหาร) ในช่วงเช้าเสร็จแล้ว เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบ 10 โมง ช่วงเวลาหลังจากนี้ มติของเพื่อนร่วมทริปกว่า 20 ชีวิต ลงความเห็นว่าจะไปเยือนแขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาวกัน ทางทีมงานก็ได้เตรียมเหมารถที่จะเข้าไปยังสะหวันนะเขตเรียบร้อยแล้ว ผมเองก็เออออไปกับเขาด้วย เห็นว่าจ่ายเงินเพียง 500 บาท/คน (ค่าผ่านแดน+ค่าอำนวยความสะดวก/ค่ารถ) แต่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วย เลยไม่รอช้าครับ 555

สำหรับการเดินทางข้ามฝั่งลาว สามารถข้ามได้ที่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 กับความยาวของสะพาน 1,600 เมตร เป็นสะพานที่เชื่อมต่อจังหวัดมุกดาหารกับแขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาวครับ

กว่าจะผ่านกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมืองก็เกือบ 11.30 น. แล้ว จุดหมายแรกคงต้องไปหาอะไรทานกันก่อน คนขับรถตู้แนะนำที่ LAO HOUSE RESTAURANT ร้านอาหารตามสั่งที่มีทั้งอาหารจานเดียว รวมถึงสั่งเป็นกับข้าวทานครับ


ทีมผมเลือกสั่งข้าวผัดกุ้ง กะเพราหมูกรอบ อาหารแต่ละจานจะเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปครับ



นอกจากนี้ยังสั่งตำลาวและหม่ำมาทานแกล้มอีกด้วย รสชาติอาหารถือว่ากลางๆ ครับ

หลังจากอิ่มท้องแล้วก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายแรก นั่นคือพระธาตุอิงฮังครับ พระธาตุอิงฮังอยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ประมาณ 13 กม.ครับ

พระธาตุอิงฮัง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสะวันนะเขต ที่ไม่ใช่แค่คนลาวที่มากราบไหว้ขอพร แต่ก็มีนักแสวงบุญชาวไทยต่างนิยมมากราบไหว้ขอพรกันอย่างไม่ขาดสายเช่นกันครับ




พระธาตุอิงฮังเป็นพระธาตุเก่าแก่ที่คนลาวนับถือกันมาก ที่ยอดด้านบนสุดของพระธาตุเป็นทองคำแท้หนักเกือบครึ่งกิโลกรัม คนลาวเชื่อกันว่าพระธาตุแห่งนี้เป็นพระธาตุคู่แฝดกับพระธาตุพนม จ.นครพนมครับ ตามประวัติบอกไว้ว่าพระธาตุอิงฮังสร้างเมื่อปี พ.ศ.600 ในสมัยอาณาจักรสีโคดตะบอง และสมัยเมืองพระนครเรืองอำนาจ ได้ตกไปอยู่ใต้อิทธิพลขอม ซึ่งแปลงเป็นสถานที่ทางศาสนาฮินดู รวมทั้งก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นศิลปะฮินดู จนกระทั่งล่วงมาถึงสมัยพระเจ้าฟ้างุมของราชอาณาจักรลาว และเมื่อพระเจ้าไซเสดถาทิลาด ย้ายเมืองหลวงมากรุงเวียงจันทน์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพร้อมดัดแปลงพระธาตุอิงฮังให้กลับมาเป็นปูชนียสถานของชาวพุทธเช่นเดิม รวมทั้งสร้างยอดพระเจดีย์ใหม่ให้เป็นศิลปะแบบลาว หลังจากนั้นก็มีการบูรณปฏิสังขรณ์ต่อๆ กันมาอีกหลายสมัย ปัจจุบันรอบๆ องค์พระธาตุยังคงหลงเหลือรูปสลักนูนต่ำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะฮินดูอยู่เลยครับ ภายในพระธาตุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกสันหลังครับ

โดยรอบองค์พระธาตุมีการสร้างประตูโขง รวมถึงกมมะเลียน (ระเบียงคด) มีการนำพระพุทธรูปจำนวนมากมาประดิษฐานอยู่โดยรอบกมมะเลียน นอกจากนี้ยังมีการสร้างศาลาโรงธรรมไว้สำหรับเป็นที่จัดงานพิธีด้วยครับ

การเข้ามาสักการะองค์พระธาตุ ไม่ว่าจะเป็นหญิงลาวหรือหญิงไทย จะต้องนุ่งซิ่นถึงจะเข้าไปด้านในวัดได้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เตรียมผ้าซิ่นไปไม่ต้องกังวลครับ เพราะด้านหน้าประตูทางเข้าจะมีผ้าซิ่นให้ยืมนุ่งครับ พระธาตุอิงฮังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปกราบสักการะและเยี่ยมชมทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-16.30 น. ครับ

หลังจากสักการะพระธาตุอิงฮังเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองสะหวันนะเขตอีกครั้ง โปรแกรมต่อไปคือ City tour สะหวันนะเขต ดาวทาวน์ แต่เนื่องจากฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทำให้ผมได้แต่ City tour อยู่แต่ในรถเท่านั้น จริงๆ ในเขตดาวทาวน์มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศสเยอะแยะเลยครับ มีทั้งโบสถ์คาทอลิก มีมุมชิคๆ ให้ถ่ายภาพเก๋ๆ เยอะเลย แต่น่าเสียดายที่ฝนถล่มหนักมาก ผมแอบคันไม้คันมือ นั่งคอตกกลับเข้าฝั่งไทยครับ

หลังจากที่นั่งคันไม้คันมือกลับฝั่งไทย ก็คงต้องหายาแก้คันด้วยการไปละลายทรัพย์ที่ตลาดอินโดจีนครับ

ตลาดอินโดจีนตั้งอยู่บนถนนสำราญชายโขง อยู่ติดแม่น้ำโขงเลยครับ ที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้านำเข้าจากหลายประเทศมากๆ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน เวียดนาม ลาว มีจำหน่ายทั้งราคาขายปลีกและส่ง สินค้าค่อนข้างหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า เซรามิค รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ มากมายครับ

ของฝากประเภทหมูยอก็หาซื้อได้จากที่นี่ครับ ยี่ห้อแม่นิล มีขายกระจายอยู่ทั่วตลาดเลย แนะนำให้ซื้อแบบเป็นท่อนใหญ่ไปจะได้เนื้อหมูยอมากกว่า ผมซื้อแบบท่อนเล็ก 8 ท่อน/100 บาท เหมือนจะได้ใบตองมากกว่าหมูยอ แต่ซื้อแบบท่อนใหญ่ไป เมื่อเทียบเนื้อหมูยอกับท่อนเล็กแล้ว (ในราคา 100 บาทเท่ากัน) แบบท่อนใหญ่ได้เนื้อหมูยอมากกว่าครับ


นอกจากข้าวของแล้ว ยังมีร้านจำหน่ายอาหารเวียดนามด้วย


ตลาดอินโดจีนมี 2 ชั้นนะครับ ชั้นใต้ดินจะลงตรงทางเข้านี้ครับ

และบนถนนสำราญชายโขง นอกจากเป็นที่ตั้งของตลาดอินโดจีนแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของวัดสำคัญของมุกดาหารอีก 2-3 วัดครับ ขอเริ่มที่วัดศรีมงคลใต้ครับ

วัดศรีมงคลใต้ เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระเจ้าองค์หลวง พระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ชาวมุกดาหารและชาวลาวให้ความเลื่อมใสศรัทธากันมาหลายชั่วอายุคน เชื่อกันว่าสร้างขึ้นก่อนตั้งเมืองมุกดาหารอีกครับ แต่ไม่ปรากฏว่าสร้างขึ้นในสมัยใด ช่วงที่ผมไปภายในพระอุโบสถกำลังบูรณปฏิสังขรณ์อยู่ครับ

ไม่ไกลจากวัดศรีมงคลใต้ เป็นที่ตั้งของ วัดยอดแก้วศรีวิชัย วัดเก่าแก่กว่า 200 ปี ภายในวัดมีองค์พระธาตุพนมจำลอง และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่เพื่อให้ประชาชนได้มากราบไว้สักการะครับ

เลือกเดินชอปปิ้งจนอาการคันไม้คันมือเริ่มทุเลา ก็มุ่งหน้ากลับเข้าที่พักเพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงครับ

จริงๆ เช้านี้ผมมีโปรแกรมจะออกไปเดินเล่นที่อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ แต่เนื่องจากว่าเมื่อคืนฝนตกหนัก ตกแช่ยาวมาจนถึงช่วงเช้า โปรแกรมที่ตั้งใจไว้เลยต้องพับไป เช้านี้เลยได้นอนพักสบายๆ ดูวิวริมน้ำโขงท่ามกลางสายฝนแทน

ในช่วงเช้าหลังจากทำธุระสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เตรียมมุ่งหน้าเดินทางกลับเข้าไปยัง จ.นครพนมครับ ระหว่างทางเลยแวะสักการะองค์พระธาตุพนมเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตสักหน่อยครับ

จากมุกดาหาร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงยังวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร การมาวัดพระธาตุพนมในครั้งนี้น่าจะเกิน 5 ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่พิเศษสุดในชีวิต นับว่าเป็นสิริมงคลกับชีวิตมากๆ จะพิเศษยังไง ค่อยๆ ตามผมมานะครับ

พระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีวอกและผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ครับ เมื่อได้เห็นภาพมุมสูงถึงได้รู้ว่า พระธาตุพนมตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำโขงครับ




ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุพนมสร้างขึ้นครั้งแรกในราวพุทธศักราช 8 ผู้ที่สร้างคือพระมหากัสสปะ พร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ โดยได้นำพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหัวอกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ในพระธาตุ ผู้ที่ร่วมช่วยในการสร้างพระธาตุคือท้าวพระยาทั้ง 5 พากันยกโยธามาร่วมกันสร้างพระธาตุพนมจนแล้วเสร็จ ต่อมามีการบำรุงรักษาสืบกันมาโดยตลอด แต่แล้ววันที่ 11 สิงหาคม 2518 เกิดฝนพายุตกหนักติดต่อกันหลายวัน ส่งผลให้องค์พระธาตุพนมอันเป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองได้พังทลายลงมาทางทิศตะวันออกทั้งองค์ สร้างความเสียใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งชาวลาวด้วย

ต่อมาได้มีการสร้างองค์พระธาตุพนมขึ้นมาใหม่อย่างรีบด่วนตามความต้องการของประชาชนที่ได้พร้อมใจกันร่วมบริจาคทุนทรัพย์ร่วมกับรัฐบาลเพื่อดำเนินการก่อสร้างองค์พระธาตุพนมขึ้นใหม่ตามแบบเดิม พระธาตุพนมจึงได้กลับมาประดิษฐาน ณ อ.ธาตุพนมอย่างยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ครับ

และสิ่งพิเศษสุดในการมาสักการะองค์พระธาตุพนมในครั้งนี้นั้น คือผมได้มีโอกาสเข้าไปชมความงดงามด้านในองค์พระธาตุพนมด้วยครับ





เมื่อประตูไม้บานเล็กๆ เปิดเข้าไปยังด้านใน ผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์เลยครับ ภาพเบื้องหน้าช่างงดงามยิ่งนัก งานศิลปะที่ประดับตกแต่งภายในองค์พระธาตุพนมทั้งหมดมี 4 ชั้น โดยชั้นที่ 1 เป็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในซุ้มพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์นาค โดยเฉพาะองค์พระพุทธเจ้าเป็นงานจิตรกรรม คือปิดทองแล้วตัดเส้นด้วยสี ส่วนที่เป็นลวดลายคือซุ้มพระและลายส่วนประกอบเป็นงานประติมากรรม ส่วนตรงกลางองค์พระธาตุเป็นลักษณะคล้ายแท่นขนาดใหญ่ โดยรอบมีลวดลายประติมากรรมที่งดงามเช่นกัน ทางเดินโดยรอบค่อนข้างแคบ ผมเลยไม่สามารถถ่ายภาพองค์พระพุทธเจ้าที่อยู่บริเวณผนังทั้ง 4 ด้านมาให้ชมแบบเต็มๆ ได้

เสียดายที่วันที่ผมไปฝนตก ช่วงที่แห่ผ้ารอบองค์พระธาตุต้องเดินเท้าเปล่าบนพื้นหินอ่อน ซึ่งค่อนข้างลื่นมากๆ และเกรงว่าหากจะต้องขึ้นไปยังชั้นที่ 2 3 และ 4 ด้วยบันไดเล็กๆ อาจจะเกิดพลาดท่าได้ เลยเลือกที่จะไม่ขึ้นไปชมด้านบน โดยชั้นที่ 2 เป็นชั้นพระธรรม ได้สร้างเป็นรูปพระธรรมจักรประดิษฐานบนแท่นบัลลังก์นาค ส่วนชั้นที่ 3 คือชั้นพระอุรังคธาตุ ตรงส่วนกลางเป็นที่บรรจุพระอุรังคธาตุ ปิดด้วยทองคำ ระเบียงรอบทำเป็นรูปพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ประทับอยู่ภายในซุ้ม สำหรับชั้นที่ 4 คือชั้นมณฑปครอบพระอุรังคธาตุครับ แต่การได้เข้าชมเพียงชั้นที่ 1 ชั้นเดียว ก็นับว่าเป็นสิริมงคลกับชีวิตผมแล้วครับ

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่มาสักการะองค์พระธาตุพนม ก็จะจบที่องค์พระธาตุพนมเท่านั้น (ซึ่งรวมถึงผมเองด้วยในทุกๆ ครั้งที่มา) แต่จริงๆ แล้ว ด้านข้างขององค์พระธาตุพนมยังมีอีก 1 สิ่งที่น่าสนใจ นั่นคือสถูปอิฐพระธาตุองค์เดิม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเกาะกลางน้ำหน้าวัดพระธาตุพนม ห่างจากองค์พระธาตุไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว 200 เมตรครับ องค์สถูปมีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ข้างในเก็บรักษาเศษอิฐเศษปูนพระธาตุองค์เดิมที่พังทลายลงมาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518 นอกจากนี้ยังบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ พระพุทธรูป อัญมณีและวัตถุมงคลอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากครับ

ถึงเวลาอันควร คงต้องรีบบึ่งกลับเข้าสู่ตัวเมืองนครพนมเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับแล้วครับ แต่...เมื่อออกจากพระธาตุพนมได้เพียง 20 กม. ก็ต้องขอจอดแวะอีกสัก 1 จุดเพราะผมดันไปสะดุดตากับพระธาตุองค์ใหญ่ริมถนน นั่นคือองค์ พระธาตุมรุกขนคร ครับ

จริงๆ องค์พระธาตุมรุกขนคร ผมเองก็เคยผ่านมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดจะจอดแวะสักการะเลย แต่รอบนี้ไม่รู้อะไรมาดลจิตดลใจให้จอดแวะ ทั้งๆ ที่ก็จวนเจียนเวลาที่จะต้องรีบไปยังสนามบินครับ


องค์พระธาตุมรุกขนคร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2536 ก่อด้วยอิฐถือปูนเป็นผังสี่เหลี่ยม ลักษณะคล้ายพระธาตุพนม แต่เล็กกว่า องค์พระธาตุสูง 50.9 เมตร ซึ่งมีความหมายว่าสร้างขึ้นเพื่อสิริราชสมบัติ ร.9 ทรงครองราชย์ 50 ปี และ จุด 9 นั้นหมายถึงรัชกาลที่ 9 เป็นพระธาตุบริวารของพระธาตุพนมที่มีอายุน้อยที่สุด พระธาตุมรุกขนครเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันพุธกลางคืนครับ





ด้านนอกว่างดงามแล้ว ด้านในก็งดงามไม่แพ้กัน กับประติมากรรมสีทองอร่าม เสียดายที่ผมมีเวลาน้อยมากๆ เสี่ยงกับการตกเครื่องเป็นอย่างสูง เลยไม่ได้เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบเลย ไว้ถ้ามีโอกาสคงจะได้แวะสักการะที่นี่อีกแน่นอนครับ

หลังจากนั้นรีบบึ่งรถเข้าสู่สนามบินโดยทันที โชคดีที่ผู้โดยสารไม่เยอะ เลย Check in ได้แบบสบายๆ ครับ



นับเป็นอีกหนึ่งทริปดีๆ ที่ทำให้รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ถึงแม้ว่าการมาครั้งนี้จุดประสงค์หลักคือการมาทำธุระ แต่ผมคงไม่ทิ้งเวลาว่างให้หมดไปโดยเสียเปล่า ออกทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ตะเวนเที่ยว ตะเวนถ่ายรูป ได้ออกไปดูชีวิตคนพื้นถิ่น เพียงเท่านี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.40 น.

ความคิดเห็น