อส.8 ชุมชนปางห้า ท้าหน้าฝน ณ ดินเเดนเหนือสุดของประเทศไทย จ.เชียงราย

มีวีดีโอรีวิวจากพวกเรามาฝากด้วยค่าา

วันหยุดทั้งที เราคงจะวางแผนกันไปพักผ่อนกันสักที่ แต่จะมีที่ไหนที่น่าสนใจในช่วงที่ฝนพร่ำตลอดอย่างตอนนี้

หน้านี้หน้าฝน บางคนอาจจะไม่ได้ออกไปไหนเพราะกลัวเปียก แต่บอกเลยว่าต้องคิดใหม่ เพราะเรากำลังจะพาไปเที่ยวสูงสุดแดนสยาม จ.เชียงราย ณ ชุมชนปางห้า ที่จะทำให้คุณชุ่มฉ่ำหัวใจและหลงรักหน้าฝนเหมือนพวกเรา

ในทริปนี้พวกเราออกเดินทางไปชุมชนปางห้า ซึ่งเราติดต่อทางชุมชนผ่านเพจท่องเที่ยวชุมชนปางห้าโฮมสเตย์ ทำให้เราได้วางเเพลนไว้ว่าจะไปร่วมกิจกรรมของชุมชนทั้งหมดเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ระยะเวลาอาจจะสั้น แต่บอกเลยว่ากิจกรรมที่นี่น่าสนใจมาก ช่วงไหนงานยุ่ง หัวฟู ก็พักรบมาพักกายพักใจที่นี่กันได้ ไม่ต้องรอวันหยุดยาว ไม่ต้องรอพักร้อน แค่เลือกสักเสาร์อาทิตย์ เก็บกระเป๋า แล้วลุยค่า

เราเดินทางโดยเครื่องบินค่ะ เพราะต้องการประหยัดเวลา พอถึงเชียงใหม่ ก็เหมารถเข้าไปเลยจ้า ชุมชนปางห้ารอเราอยู่ เดินทางง่ายสุด ๆ



พอมาถึงบ้านปางห้าโฮมสเตย์ ร้อง โอ้วโหววววววววววว!! หนักมาก

คืออึ้ง คือตะลึง ลืมภาพโฮมสเตย์แบบเดิม ๆ ไปได้เลย เพราะที่ปางห้านั้นเป็นโฮมสเตย์ที่สวยมากกก เหมือนมาพักร้อนบ้านพักตากอากาศสุดแสนไฮโซ ในบรรยากาศแห่งความสงบ เรียบง่าย และการต้อนรับอันแสนอบอุ่น อันนี้ไม่ได้เวอร์ไปเลยจริง ๆ ต้องลองมากันค่ะ

แท้นนน!! นี่คือภาพที่พักของเราค่ะ ความสวยงามและสะอาดให้สิบ สิบ สิบ ไปเลยค่ะ ห้องพักที่นี่จริง ๆ มีหลายแบบค่ะ ทั้งแบบห้องใหญ่ที่นอนได้สี่คน และห้องที่เป็นบ้านในสวน รวมถึงมีแบบเตียงสองชั้นชิคๆ ไว้รองรับความต้องการของผู้ที่มาเยือนค่ะ มาแล้วจะรู้สึกว่านี่หรือคือโฮมสเตย์ นึกว่ามาโรงแรมจ้า

เริ่มต้นด้วยสิ่งดี ๆ ต้องเริ่มที่อาหารค่าาา

เมนูแรกของที่นี่เราได้ทานเตี๋ยว โตก ตอง เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่ และมีเฉพาะวันเสาร์ค่า อร่อยคุ้มค่าและประทับใจมาก ตามติดด้วยเมี่ยงคำ และน้ำลำไยที่เพิ่มพลังและความสดชื่นให้กับเรา

ความน่ารักของชุมชนที่นี่คือ มีเส้นทางเดินเชื่อมถึงกัน ระหว่างบ้านที่พักกับโซนกิจกรรมอื่น ๆ เหมือนได้หลุดเข้ามาอยู่อีกโลกที่ทำให้เราได้กลายเป็นอีกคนที่มีความสุขกับอะไรที่เรียบง่าย

เราเริ่มต้นกิจกรรมด้วยการทำกระดาษสา
ชุมชนปางห้านอกจากจะเปิดเป็นโฮมสเตย์แล้ว ยังเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้การทำกระดาษสา ชาวบ้านที่นี่ก็ทำเป็นอาชีพ และจะมีการแบ่งเวลากันมาช่วยดูแลโฮมสเตย์เมื่อมีแขกมาพัก และเราก็ได้มัคคุเทศก์น้อยแก๊งนี้มาต้อนรับและพาเราทำกิจกรรมทำกระดาษสาด้วยฝีมือตนเอง ตกแต่งตามความอาร์ตแต่ละคน และนำไปตากแดด ที่เหลือก็รอเก็บเกี่ยวผลงานค่า



ระหว่างรอกระดาษสาแห้ง ก็แวะพักสปาเท้ากันหน่อยค่า ที่นี่เค้าทำง่าย ๆ คือเป็นถังใส่น้ำสมุนไพรอุ่น ๆ และที่ก้นถังจะเป็นกรวดหินให้คนแช่ได้นวดเท้ากับหินด้วยตนเอง เพลิน ๆ กันไปกับน้ำอุ่น ๆ หอมสมุนไพร และเม็ดกรวดทรายที่นวดเท้าเราอยู่



หลังจากที่สบายเท้ากันแล้ว เราก็มามาร์คหน้าด้วยใยไหมทองคำกันต่อ

นวัตกรรมการสร้างแผ่นมาสก์ใยไหมร้อยเปอรฺ์เซนต์โดยใช้วิธี นำตัวไหมให้เขาทำการถักทอไยของตัวเองจนใยไหมรวมกันเป็นแผ่นเมื่อตัวไหมถักทอไยจนเสร็จ ตัวไหมก็จะกลายเป็นดั้กแด้ และ ผีเสื้อเพื่อมาวางไข่ใหม่ในที่สุด โดยที่เป็นการจบกระบวนการวงจรชีวิตของตัวไหม โดยที่ตัวไหมไม่ตาย ทำให้การสร้างแผ่นใยไหมนี้มีสารที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ เช่น เซริซินอยู่ครบร้อยเปอร์เซนต์เลยค่ะ งานนี้มีการจดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อย

และยังเป็นอีกอาชีพหลักของชาวปางห้าในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อเอามาทำมาสก์ไยไหมและผลิตภัณฑ์ต่างๆภายใต้ชื่อ CEILK


เช้าวันที่สอง ตื่นมาก็หิวเลยค่ะ -o-
เราคิดกันว่าอยากลองอาหารเมนูแนะนำจากทางโฮมสเตย์ จึงตัดสินใจไปดูเมนูและพบว่า ว้าววว

มีทั้งอาหารพื้นเมืองและอาหารที่ประยุกต์แบบ fusion ให้เราได้เลือกมากมาย เช่น น้ำพริกอ่อง ไส้อั่ว ยำกระเจี๊ยบแดง แกงยอดมะพร้าว ข้าวหอมมะลิโรยหน้าไก(ไก คือสาหร่ายน้ำจืด ที่นำมาตากแห่งบดเป็นผงไว้โรยกินกับข้าว รสชาติออกเค็ม ๆ และมีกลิ่นสาหร่ายชัดมาก) ยำเห็ดรวม และอีกมากมายที่เราไม่ได้กล่าว นอกจากบ้านพักจะปังแล้ว อาหารก็ปังไม่แพ้กันเลยค่ะ คอนเฟิร์มมม


กิจกรรมที่เราจะไปทำอันดับแรกในวันนี้ ทำให้เรารู้สึกขอบคุณอาหารมื้อเช้าที่ทำให้เรามีพลังเลยค่ะ เพราะเราต้องไปตีมีดดดด!!!
อ่านไม่ผิดค่ะ ตีมีดหน้าเตาร้อน ๆ กันเลยทีเดียว ดูแว๊บแรกพวกเรายิ้มในใจว่า ง่าย ๆ เอง แค่ตีให้มีดที่โดนความร้อนมันแบนลง พอได้จับค้อนเท่านั้นล่ะ ถึงได้รู้ว่า มันไม่ง่ายเลยค่ะ โดยขั้นตอนการตีมีดจะมีคุณลุงคอยสอนเราว่าให้เอาเหล็กไปเผากับความร้อนในเตา จนเหล็กร้อนได้ที่จนเป็นสีแดง จากนั้นค่ะ ต้องรีบตีๆๆๆ จนเหล็กได้รูป อยากรู้ว่าจะยากง่ายแค่ไหน มาลองพิสูจน์เองได้ที่นี่เลยค่า


ระหว่างที่รอเพื่อนตีเหล็กนั้น คุณป้าก็กลัวพวกเราจะหิวค่ะ เลยได้ทำการเตรียม “ข้าวซอยน้อย” ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่ รสชาติคล้าย ๆ ปากหม้อ ไว้ให้พวกเราได้ทานระหว่างการตีมีดด้วยเออ คุณป้ายังใจดีให้เราทำเองตั้งแต่ขั้นตอนแรกด้วยจ้า บอกเลยว่าเด็ด กินแล้วกินอีก จนคุณป้าเอาใส่ถ้วยให้พวกเราเอาไปกินต่อจ้า

ออกจากบ้านตีมีด เราก็แวะมาถ่ายรูปสวย ๆ แกร๋ ๆ ริมแม่น้ำโขงที่จุดผ่อนผันปางห้า เป็นชายแดนข้ามไปสู่ประเทศพม่า ที่นี่ถือว่าเราได้ใกล้ชิดและสัมผัสกับวิถีของชาวไทยและชาวพม่าที่เดินทางข้ามแม่น้ำโขงกันอยู่ทุกวัน

ทางเราจะให้ยืนดูเฉย ๆ ก็รู้สึกว่าจะมาไม่ถึง เลยขอพี่ชายชาวพม่าให้พาเรานั่งเรือข้ามไปยังฝั่งบ้านเขา ระหว่างที่พี่เขาบังคับเรืออยู่ เราเลยขอแชะภาพชิค ๆ มาให้ทุกคนได้ชมกันค่า


ด้านล่างคือรูปของพี่ชายชาวพม่าที่พาเราข้ามเรือไปมาค่า บอกเลยว่าอินเนอร์นายแบบมากค่ะ เราไม่ได้เตี๊ยมให้พี่เขาเลย นี่คือท่าขับเรือแบบธรรมชาติจริงๆจ้า ที่สังเกตได้คือคนไทยและพม่ามีความใกล้ชิดเหมือนญาติพี่น้อง ถึงแม้ว่าจะพูดคนละภาษา เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ทุกคนก็มีความน่ารักและพร้อมจะช่วยเหลือกันค่ะ

จากนั้นเราได้เดินทางไปสวนฝรั่งกิมจู บอกเลยว่าชอบที่นี่มากกกก
เราได้สนุกกับการเลือกเก็บฝรั่งจากต้นในสวน นำมารับประทานและคั้นเป็นน้ำฝรั่งทานกันสด ๆ ด้วยและที่สำคัญ ที่สวนฝรั่งนี้ไม่ว่าจะถ่ายภาพมุมไหน ก็ออกมาสวยงามเหมือนกับถ่ายแบบในแมกกาซีนสุด ๆ ไปเลยค่า



ออกจากสวนฝรั่งกิมจู พวกเราก็มุ่งหน้าขึ้นดอยสะโง้
ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่เห็นชายแดนของทั้งสามประเทศ และดอยนี้ยังมีชนเผ่าอาข่าอาศัยอยู่เป็นที่แรก ไม่รอช้า เราก็รีบบึ่งรถกันไปเลยจ้าา

แต่ว่าทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่เราคิด เนื่องจากเรามาหน้าฝน ทางขึ้นดอยจึงเป็นเลนและยากต่อการขับรถขึ้นไป ถึงจะมีการลิื่นให้ตื่นเต้นอยู่เป็นระยะ แต่ด้วยความชำนาญของพี่ ๆ ชาวเขา ทำให้เราสามารถขึ้นมาชมความงามของดอยสะโง้ได้อย่างปลอดภัยค่า


พอขึ้นมาแล้ว เราไม่ผิดหวังจริง ๆ ค่ะ วิวที่นี่คือ 360 องศา มองได้รอบทิศ บวกกับอากาศที่บริสุทธิ์มาก ๆ เราเลยถือโอกาสใช้เวลาที่นี่สักพัก เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนจากธรรมชาติได้เต็มที่


นอกจากวิวสวย ๆ แล้ว เรายังได้มีโอกาสชมการแสดงพื้นบ้านของชนเผ่าอาข่า ทุกคนเป็นกันเองและน่ารักมาก จนเราต้องขอร่วมแจมการเต้นด้วย เราจึงได้ภาพน่ารัก ๆ มาฝากทุกคนด้วยค่า


มาเชียงราย ก็ต้องมาสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ของท้องทุ่งนา ซึ่งที่นี่ได้มีร้านอาหารและคาเฟ่ให้เราได้เลือกเข้าหลายร้าน โดยเป็นร้านติดทุ่งนา ทำให้เราได้ซึมซับกับบรรยากาศอย่างเต็มที่ ยิ่งหลังฝนตกใหม่ ๆ กลิ่นอายของความชุ่มฉ่ำผสมกับกลิ่นหอมของต้นข้าวที่เต็มท้องนาและม่านหมอกที่ลอยผ่านอย่างช้า ๆ เหมือนเวลาที่กำลังหยุดนิ่งให้เราได้ผักผ่อนและสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดกันอย่างเต็มที่

มาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คนอาจจะอยากทราบแล้วว่าจะสามารถติดต่อใครได้บ้างหากอยากไปทำกิจกรรมและชมวิวฟิน ๆ ให้ทันหน้าหนาวที่จะถึงนี้ หากใครสนใจ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ท่องเที่ยวชุมชนปางห้าโฮมสเตย์ จะมี Package ให้ทุกคนได้เลือกกันเลยค่ะว่าอยากทำกิจกรรมอะไรบ้าง ง่ายสุด ๆ จะลุยเดี่ยว หรือจะไปเป็นหมู่คณะก็จัดไปเลยค่ะ

โปรแกรมจะเริ่มที่ 2 วัน 1 คืน หากอยากอยู่นานก็แจ้งเพิ่มได้เลยค่ะ ส่วนราคาก็จะรวมค่ากิจกรรมและที่พักไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยจ้า คุม Budget กันได้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางเลย

สุดท้ายนี้ พวกเราอยากฝากทุกท่านให้ลองมาเที่ยวโฮมสเตย์ ลองมาอยู่กับวิถีชีวิตชาวบ้านในประเทศเราเอง สัมผัสกับกับความน่ารัก ความเรียบง่ายของชุมชนและผู้คนที่เราอาจจะยังไม่เคยสัมผัส ที่เราหาไม่ได้จากเมืองอันวุ่นวาย

แล้วคุณจะได้รู้ว่าประสบการณ์การท่องเที่ยวนี้จะประทับใจไม่มีวันลืม

Ms.Hoye

 วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 08.41 น.

ความคิดเห็น