นับไปนับมาก็เกือบจะสิบปีแล้วครับที่ไม่ได้กลับไปเที่ยวเขาค้ออีก อาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากเคลียร์อะไรที่ยุ่ง ๆ แล้ว มีเวลาสักสองสามวันก็เลยบึ่งรถกันไป เขาค้อเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือร้านกาแฟ และร้านอาหารชิค ๆ ที่อยุ่ตามเส้นทางหลวงสาย 12 พิษณุโลก-หล่มสัก และตัวเขาค้อเองก็ดูเหมือนจะเป็นเมืองที่ใหญ่ขึ้น เพราะมีรีสอร์ทมากมายสลับไปกับจุดกางเต้นท์ที่คนแห่ไปดูทะเลหมอกกันตอนปลายฝนต้นหนาวนี้ และถนนบนเขาค้อก็ยังดีมากมายไปจนถึงพระตำหนักที่แม้จะชันพอสมควร แต่ขับรถได้ไม่ยาก แม้แต่เส้นที่กลับทางนางั่ว และถนนเส้นใหม่ที่ตัดทางลัด (แต่คงไม่ลัดเพราะค่อนข้างชันทำความเร็วได้ไม่เท่าสาย 12) ไปยังน้ำตกธารทิพย์ ที่คิดว่าวันหยุดยาว 13-15 ตุลาคมนี้เขาค้อคงจะคึกคักแหงม ๆ

ของผมยังใช้ทางหลวงสาย 12 เส้นเดิมจากพิษณุโลก เพราะแวะไปพักที่นั่นหนึ่งคืนก่อนเพื่อไหว้พระ สายก็ขับรถวันธรรมดาสบาย ๆ ที่แทบจะไม่มีรถสวนไปมาบนเส้นทางที่ว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่ง จากพิษณุโลกก็มาถึงเขาค้อแล้ว คราวนี้เราพักกันที่โรงแรมเปิดใหม่แต่เต็มกันยาวนาน ชื่อ De Capoc แปลว่า ณ ปุยนุ่น คงจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ ถ้าได้เห็นทะเลหมอก โชคไม่ค่อยดีที่เราไปฟ้าใสเปรี้ยง ๆ ทุกวัน ไม่มีฝนตกมาสองอาทิตย์ก่อนหน้า ทำให้อากาศไม่มีความชื้นพอที่จะทำหมอกหนาได้ แต่ก็ยังมีหมอกบาง ๆ ในตอนเช้าและหัวค่ำให้เห็นบ้าง เพราะที่นี่ตอนเช้าและตอนเย็น จะรับรู้ได้ถึงลมหนาว และอุณหภูมิประมาณ 18 องศาครับ พาไปชมโรงแรมกันครับ เอาไว้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับใครชอบนอนสบาย ๆ กว่านอนเต้นท์

De Capoc Resort ตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งสมอที่ผมว่าน่าจะเจริญที่สุดและคึกคักที่สุดแม้แต่ตัวอำเภอด้วยซ้ำ พอๆ กับแถวแคมป์สน ตัวโรงแรมเข้าลึกไปจากถนนใหญ่พอสมควรก่อนถึงวัดทุ่งสมอ ถ้ามาจากแยกแคมป์สน เป็นถนนเส้นเดียวกับถนนที่เขาไปภูหมอกวิลเลจ รีสอร์ทเก่าแก่แต่ยังทันสมัยของที่นี้ ด้านในยังเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลจำนวนมากที่ติดป้ายประกาศขาย ใครมีตังค์น่าจะมาซื้อไว้นะเนี่ย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ลึกอะไรมากมายครับ สัก 5 นาทีก็ถืงตัวรีสอร์ทแล้ว แม้ว่าจะอยู่ลึกแต่ก็แลกมากลับความสงบเงียบจริงๆ สำหรับคนที่ต้องการพักผ่อน แต่ถ้าอยากออกมาทานอาหาร ซื้อของ ปากซอยไปอีกนิดก็คือคำบลทุ่งสมอทั้งตำบล มีทั้งเซเว่น ร้านอาหาร ร้านนวด แต่ที่นี้สักหกโมงก็ไม่มีอะไรแล้ว เขาไปพักไปทานที่โรงแรมดีกว่า ถนนด้านหน้าสุดเป็นแนวทิวสน มีป้ายเล็กๆ สังเกตนึงถ้าเจอก็ขับตรง ๆ ไปตามทางแค่นั้นเองครับ



มาถึงตัวรีสอร์ทแล้ว ถนนดีแค่ในช่วงแรก ๆ แต่พอเลยภูหมอกมาแล้ว เป็นถนนกรวดและมีหลุมบ่อประปราย โรงแรมน่าจะลงทุนทำถนนลาดยางบ้างนะเนี่ย จะได้โปรโมทให้คนนอกมาทานอาหารชมวิวที่โรงแรมได้ด้วย อันนี้ใครเป็นคนรักรถต้องขับช้าหน่อยครับ ไม่งั้นได้มีเซ็งกับรอยหินดีด pebble damages อันนี้ขอแอบหักคะแนนพอสมควรเลยครับ รีสอร์ทตั้งอยู่เนินเห็นได้ชัดเป็นโอเอซิสเลยครับ


แต่ที่ดีมาก ๆ ของที่นี้คือ พนักงานให้บริการดีมาก หลังจากทาน welcome drink เป็นน้ำเสาวรสแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าไปหลบร้อนในห้องพักก่อนออกไปผจญภัยกันข้างนอก เรามาถึงประมาณบ่ายสอง ตอนนั้นก็เห็นมีรถจอดหลายคันอยู่แล้ว ยืนยันว่าห้องค่อนข้างเต็ม อาจมีห้องพักฝั่งรีสอร์ทที่เป็นห้อง deluxe เหลืออยู่บ้าง แต่ส่วนที่เป็นวิลล่าเต็มหมดแล้ว โชคดีที่สุดท้ายเรายังได้ห้องวิลล่าหนึ่งคืน เพราะรีบเช็คก่อนเมื่อมาถึง ดังนั้นคืนแรกจะพาไปดูห้อง deluxe ก่อนครับ แล้วคืนที่สองจะพาไปดูห้องวิลล่า ที่เป็น signature ของรีสอร์ทนี้เลย อ้อโรงแรมเพิ่งเปิดไม่นานนะครับ เลยดูโล่ง ๆ และก็ร้อนเพราะต้นไม้ยังน้อยอยู่ ทางเดินสองข้างทางไปตัวที่พักเอาดอกหญ้ามาประดับ สวยอยู่หรอกครับ แต่อย่าได้โดนเชียวคันมาก ไม่เสียเวลาไปดูห้อง Deluxe กันดีกว่าครับ

ตัวห้อง deluxe เองราคาถูกกว่า villa เกินครึ่ง และก็เห็นดีด้วยขนาดกว้างขวาง และการออกแบบก็ดีมากที่ทำให้ระเบียงทุกห้องมีความเป็นส่วนตัวเห็นวิวดี ถ้ามีหมอกอ่ะนะครับ น่าจะเห็นได้จากห้องพักเลย เตียงฉายาเตียงดูดวิญญานจากที่ได้อ่านจากรีวิวอื่น ๆ ไม่ใช่คำคุยครับ เป็นแบบนั้นจริง นุ่มน่านอนเหมือนปุยนุ่นจริง ๆ นอนเล่น เผลอหลับไปสองชั่วโมงเลย ห้องน้ำแยกส่วนห้อง Rain shower กับห้องน้ำ แต่น้ำแอบเ่สียใจนิด ๆ แรงในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้แรงแบบสะใจ เหมือนโรงแรมที่พิษณุโลกเลยครับ แต่ก็ไม่ได้เอื่อย ๆ เท่าไรนะครับ ก็อาบได้สบายตัวดี แต่สำหรับผู้หญิงผมยาว หากจะสระผมก็คงต้องใช้เวลาพอสมควรเชียวละ ก๊อกเป็นก๊อกผสม แต่ก็ควบคุมปริมาณน้ำร้อนน้ำเย็นได้ดีครับ โดยเฉพาะตอนเย็นมันเริ่มหนาวแล้วสี่




ได้เวลาออกไปหาอะไรกินแล้วสิครับ ตอนแรกจะไปกินขนมจีนร้านป้าหนูที่ใคร ๆ ก็แนะนำ แต่เพราะเป็นวันธรรมดา ของก็หมดแล้วครับอดกินเลย ก็เลยไปฝากท้องที่ร้านแนะนำอีกร้านคือ “ครัวนายต๋อย” ไม่ผิดหวังครับ อาหารอร่อยทุกอย่างจริง ๆ แต่เราก็สั่งแค่สามอย่างนะครับ ผัดเผ็ดหมูป่าอร่อยมากเลยครับ แล้วปริมาณก็เยอะด้วย กินกันอิ่มแล้วยังเหลือเลย ราคาก็พอรับได้อยู่ครับ ไม่มีอะไรทำแล้วที่เขาค้อตอนเย็น ๆ ก็กลับเข้ามาดูบรรยากาศยามค่ำคืนที่รีสอร์ทกันครับ แนะนำว่าเข้ามาแล้วนอนยาวเลยดีกว่า เพราะที่นี่ไวไฟแรงใช้ได้ กล่องทีวีก็มีหลายช่องให้ดู มานอนพักผ่อน ตอนตะวันลับฟ้ากับแดดรำไร มันเหมือนใจจะขาดอยากนอนเล่นดีกว่าครับ อาหารเย็นก็จบในรีสอร์ทได้เลย ส่วนใหญ่เป็นอาหารฝรั่ง มีอาหารไทยบ้างแบบตามสั่งครับ ราคาก็พอ ๆ กันโดยทั่วไปกับรีสอร์ทแบบนี้ที่อื่น ๆ ครับ (แต่แอบแพงไปนิด) แต่รสชาดอร่อยดีเลยครับ มื้อแรกผมสั่งสปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเลไปครับ อร่อยครับ แต่เค็มไปนิดส์นึง



ตื่นมาตอนเช้า มีหมอกบาง ๆ ให้เห็น แต่จะหวังทะเลหมอกคงไม่ได้เห็นอย่างที่บอกอ่ะครับ ก่อนจะทานอาหารเช้ากัน วันนี้วันแรกที่เริ่มทางเจ แต่เป็นมังแบบ Lacto-Ovo Veggie ครับ คือทานนม ชีส ไข่ ได้ ไม่งั้นมีหวังไม่รอดครับ 555 เป้าหมายคือรีสอร์ทในตำนานที่เต็มได้ตลอดเวลาคือ Pino Latte และวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ


เห็นบอกว่าทางเข้าวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วนั้นมีหลายทาง แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้ทางข้างเซเว่นครับ ทางอาจจะแคบซึ่งถ้าเป็นเทศกาลต้องระวังหน่อยครับ เพราะมีจุดชันและสโลปลงค่อนข้างชัน ใช้เกียร์ต่ำเข้าไว้ครับ แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร ผมเห็นรถป้ายแดงอยู่สองสามคัน แวะไปทานกาแฟกันก่อนครับ ตอนแรกคิดว่าวันทำงานน่าจะคนน้อย แต่เอาเข้าจริงก็พอสมควรแม้จะเพิ่ง 7 โมงเช้า ตอนที่ลงมาก็เห็นมีรถขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่อยากคิดว่าถ้าเทศกาลคนจะแน่นแค่ไหน แต่ขึ้นมาถึงก็วิวสวยสมราคาที่บอกจริง ๆ ครับ เสียดายที่ไม่ได้มีทะเลหมอก ไม่งั้นวิวคงแจ่มกว่านี้ อ้อ แต่อย่าถามรสชาดกาแฟนะครับ เอาเป็นว่าขึ้นมาชมวิวก็คุ้มแล้ว ส่วนรีสอร์ทเป็นหลัง ๆ 5 หลังที่อยู่ด้านล่างอ่ะครับ มิน่าทำไมถึงเต็มตลอดเวลา แต่ดูจากที่ตั้งก็สวยจริง ๆ แบบพาโนรามิกเลยล่ะครับ


ขับรถลงมาไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงวัดพระธาตุแล้วครับ จริง ๆ เห็นมีที่จอดรถอยู่ตรงวัดเลย แต่ผมหาทางเข้าไม่เจอ ก็เลยไปจอดที่ลานจอดรถแล้วเดินขึ้นไปหนึ่งเหนื่อยครับ ไม่ต้องบรรยายมากนะครับวัดนี้ เพราะมีรีวิวอยู่เป็นล้านแล้ว แต่เหมือนตอนนี้จะต้องกลายเป็นจุดเช็คอินที่เขาค้อแล้ว ยังไงก็ขอมานมัสการพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ครับ




พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ได้แก่ พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า ที่นิยมเรียกว่าองค์พระปฐมบรมพระพุทธเจ้า พระโกนาคมพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า ส่วนเราอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือ พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า และ พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า ที่จะมาจุติในโลกกาลข้างหน้า ทั้งนี้พระพุทธเจ้าห้าพระองค์เป็นความเชื่อในฝั่งมหายาน ซึ่งผมว่าตอนนี้พุทธสยามเรากลายเป็น Multiculture ไปแล้วแฮะ คือรวมทั้งมหายาน หีนยาน เถรวาท อะไรรวมกันไว้หมดเบย และเหมือนจะเป็น Crossculture อีก คือตอนนี้ฮินดู คริสต์ เต๋า มารวมกันอยู่ที่เดียวแบบ one stop service เลยครับ แต่นั้นแหล่ะเพราะหลักสำคัญของคนไทยคือ “ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้สบายใจ” ซึ่งสำหรับผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหายนะครับ เพราะสุดท้ายทุกศาสนา ทุกนิกาย ก็สอนให้เป็นคนดีหมดแล่ะ ออกนอกเรื่องอีกแล่ะ นี้บอร์ดท่องเที่ยวนี่นา กลับเข้าไปโรงแรมอีกครั้งครับ เดี๋ยวเราจะเปลี่ยนห้องไปที่วิลล่า แล้ว พาเข้าไปชมวิลล่าครับ ส่วนอาหารเช้าที่นี้ผมไม่รู้ว่าถ้าสุดสัปดาห์จัดเต็มไหม แต่วันธรรมดา ก็ธรรมดาจริง ๆ นั้นแหล่ะ แต่ก็ไม่ถึงกับชี้เหร่นะครับสำหรับ ABF ใครอยากทานไข่ลวกอะไรก็สั่งพิเศษได้ครับ แต่รสชาดเช่นเดิมครับ แม่ครัวฝีมือดีเลยล่ะครับ


น้องพนักงานอนุญาตให้เช็คอินที่ห้อง Villa แล้ว เราไปดูกันครับว่าแตกต่างจากห้อง Deluxe กันตรงไหนบ้าง ห้อง Villa จะอยู้ในกล่องอันนี้ล่ะครับ


ห้อง Villa จะมีลักษณะที่พิเศษกว่าห้องธรรมดาตรงที่ระเบียบส่วนตัวตรงนี้เปิดโล่งเห็นวิวแบบ พาโนราม่าเลยครับ ถ้ามีหมอกก็มองเห็นจากเตียงดูดวิญญาณตัวนี้เลย วิวแบบนี้นอนมองดูพระอาทิตย์ตกดินชิล ๆ กันได้เลย


Singature ก็คืออ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องก็จริงแบบซีทรู (มีผ้าม่านปิดได้นะครับ) แต่ก็อยู่ตรง outdoor ด้วยคือ อาบน้ำไปได้รับกลิ่นอายธรรมชาติล้วน ๆ ยิ่งตอนกลางคืนแช่น้ำร้อนนอนดูดาว ผวาเสียงตุ๊กแก (ไม่มีหรอก) กันฟิน ๆ ไปเลยครับ และอีกหนึ่งอย่างก็คือเปล (มั๊ง) ที่เหมือนเทมโลลีน ขนาดใหญ่ ที่เห็นแล้วน่าโดดเด้งไปเด้งมามาก แต่ผมไม่แนะนำนะครับ เพราะเอ็นมันแข็งมากเอาแค่โดดเบา ๆ พอสนุก หรือใส่รองเท้าในห้องดีกว่า แต่จริง ๆ แล้ว ผมว่าเค้าทำหน้าที่เหมือนที่นอนเล่น ประมาณเราไปนอนบนใยแมงมุม ประมาณนี้ นอนเล่นสบาย ยามเช้า ๆ ที่อากาศเย็นสบายนี้เอาผมหลับไปตั้งแต่ 9 โมงถึง 11 โมงได้ไม่รู้ตัวเลย แต่นอนนานกว่านี้ก็ไม่ได้ เพราะแดดเริ่มร้อน และตอนเย็นกับตอนกลางคืนก็ยุงเยอะครับ แนะให้ฉีดซอฟเทลแล้วมานั่งเล่นนั่งคุยกันดูดาวก็ให้อารมณ์โรแมนติกดีเหมือนกัน


ส่วนอื่น ๆ ของห้องวิลล่า ถ้านับความเป็นส่วนตัวจริง ๆ ห้อง Deluxe อาจมากกว่านิดหน่อย ระเบียงก็กว้างเหมือนกัน เปิดรับลมได้เหมือนกัน แต่ละห้องมองไม่เห็นกัน แต่ไม่ได้เทควิวสวย ๆ และกระจกในห้องน้ำของห้อง Deluxe อาจถูกใจสาว ๆ มากกว่า เพราะเป็นกระจกทั้งตัว แต่ห้อง Villa กว้างขวางกว่าก็จริง แต่ห้องอาบน้ำน้ำแรงน้อยกว่า (ยกเว้นตรงอ่างนะแรงอยู่ แต่ความที่อ่างใหญ่จะเปิดแช่น้ำเต็มมีเป็นชั่วโมงเหมือนกันครับป และกระจกบานเล็กมากๆ แต่ส่วนอื่นดีกว่า (ก็เพราะแพงกว่านี่นา) โดยเฉพาะเปลเทมโบลีนนี้ล่ะได้จุ่มตัวลงไปนอน นี่ผมถึงกะหลับลืมโลกเลยครับ ไปดูส่วนอื่น ๆ ในห้องพักกันดีกว่า ปล. ลำโพงJBL เสียงดีมากเปิดฟังเพลงนอนตอนสาย ๆ ลมเย็นนี่พริ้มเลยครับ ส่วนเครื่องชงกาแฟดูจะไม่เป็นประโยชยสักเท่าใดนัก



เย็นนี้นอนสะเพลินเลยครับ ไม่ได้ไปไหนต่อ ก็เลยกินที่รีสอร์ทนั้นล่ะครับ แนะนำ Pizza de Capoc กับซุปเห็ดครับ


ในส่วนรีวิวของรีสอร์ทก็คงจบแค่นี้ล่ะครับ ถามว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปไหม เอาจริง ๆ ก็บอกว่าแอบแพงไปนิด แต่โดยรวมเมื่อเทียบกับรีสอร์ทอื่น ๆ รีสอร์ทแบบชิค ๆ ก็หามีไม่ค่อยเยอะเท่าไรที่เขาค้อ เมื่อเทียบกับเขาใหญ่ ดังนั้นโดยรวมเทียบกับ facility การให้บริการ อาหารอร่อย และความเป็นส่วนตัวสูงมาก ๆ ก็เป็นราคาที่รับได้เลยครับ ถ้าเป็นไปได้คราวหน้าก็คงมาพักอีก ขอแค่ปรับเรื่องน้ำให้แรงกว่านี้หน่อย และทางเข้าที่เป็นถนนกรวดช่วงสั้น ๆ หากราดยางได้หมด ก็เป็นรีสอร์ทในดวงใจอีกที่เลยครับ

ปิดท้ายกันที่สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ บนเขาค้อ ก่อนจะลากันครับ กับตำหนักเขาค้อที่แอบขึ้นไปพลาดชมทะเลหมอก และที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ คือ ทุ่งกังหันลมครับ อยู่แถวหมู่บ้านเพชรดำ และจุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะที่จะเห็นภูเขาคล้ายฟูจินั้นแหล่ะครับ ที่ทุ่งกังหันลมอาจจะชันกว่าผาซ่อนแก้วอยู่มาก แต่ความที่ถนนดีมาก ขับกันแบบไม่ประมาทก็ปลอดภัยครับ ไม่ยาก แต่หน้าเทศกาลรถน่าจะติดซึ่งความชันรถอาจไหลเกิดอุบัติเหตุได้ ระวัง ๆ กันหน่อยครับ ขนาดผมไปวันธรรมดา ก็เห็นมีคนขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่นกันครับ ขอบคุณนะครับ บาย


TravelTherapy

 วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 02.09 น.

ความคิดเห็น