เป็นอีกครั้งที่ปลายทางของเช้าวันใหม่ของพวกเรา ไม่ได้มีอยู่ในแผนการเดินทาง เป็นอีกครั้ง ก็แค่ตื่นเช้ามาแล้วก็คิดและคุยกันว่า

"เช้านี้ไปไหนกันดีนะ..."

สอดรับกับวลีที่ว่า "Our plan is no plan" เสียนี่กระไร ก็แค่มีใจ ก็แค่อยากไป ก็แค่เท่านี้...พอแล้ว จะอะไรกันมากกับทัวร์นี้ อินดี้กันตลอด ที่ไหน ไม่สำคัญ แค่ได้ไปด้วยกัน ก็ดีทุกวันแล้ว

เมื่อคืนที่ Belfaux อุณหภูมิลดลงจริงๆ ไม่ใช่อุปทานหมู่ เพราะสภาพอากาศยามเช้าและถนนหนทางมันฟ้อง ทั้งหมอกหนา ทั้งน้ำค้างแข็งยอดหญ้าที่กินวงกว้างทั่วบริเวณ ในแบบที่ไม่ต้องรีบเดินทางกลับไปดูที่ยอดดอยอินทนนท์ ในวันที่เมืองไทยก็กำลังแตกตื่นเลย ที่นี่อาการน่าจะหนักกว่า เพราะไม่ต้องขึ้นดอยก็เจอแล้ว การเดินทางเช้านี้จึงเต็มไปด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด อารมณ์เดียวกันกับที่เคยขับรถที่เชียงของหรือดอยแม่สลองอะไรๆ ทำนองนั้น

สำหรับปลายทางเช้านี้ของเราสรุปจบลงที่ "Geneva" ค่ะ ก็เดินทางกันไปทั้งที่หมอกหนาๆ อากาศหนาวๆ กันนี่ละ

จวบจนสายพระอาทิตย์ถึงจะแหวกม่านหมอกออกมาได้สำเร็จ ให้ฟ้าใส อากาศสดชื่น ให้เราได้ใจชื้นว่าจะได้มีรูปสวยๆ กลับเมืองไทยกัน ยาฮู้!

Geneva หรือในภาษาฝรั่งเศสเขียนว่า Geneve (เจแนฟว์) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริม Lake Geneva หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Lac Leman อยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศ เพราะหากดูจากแผนที่ก็จะเห็นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แต่สำหรับบางคนก็เรียกขำๆ ว่า ทะเลสาบครัวซองส์ ด้วยเหตุที่ทะเลสาบนี้อยู่ใกล้กับดินแดนฝรั่งเศสและมีรูปร่างออกแนวๆ นี้พอดิบพอดี

เมืองนี้อยู่ในอ้อมกอดของฝรั่งเศสเกือบทุกด้าน ทั้งภาษาพูดและวัฒนธรรมของชาวเจนีวาจึงออกไปทางฝรั่งเศสเกือบทั้งหมด ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ (Global City) เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติที่สำคัญๆ หลายองค์การ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การการค้าโลก (WTO) ทั้งได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ประชากรมีความกินดีอยู่ดีเป็นอันดับที่สองของโลก

อันดับแรกขับรถมาแวะชม สำนักงานงานองค์การสหประชาชาติ (UN) กันก่อนเลยค่ะ ซึ่งที่นี่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก ถูกสร้างโดย League of Nations ระหว่างปี 1929 – 1938

ตรงข้ามกับประตูองค์การสหประชาชาติ มีประติมากรรม Broken Chair สร้างขึ้นโดยศิลปินชาวสวิสเซอร์แลนด์ ชื่อ Daniel Berset และช่างไม้ ชื่อ Louis Geneve จากไม้ 5.5 ตัน ความสูง 12 เมตร (39 ฟุต) เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านการทำทุ่นระเบิดและระเบิดลูกปราย ตั้งแต่ปี 1997 แล้ววางไว้หน้า UN ครั้งแรกคนสร้างตั้งใจว่าจะวางไว้สัก 3 เดือน จนกว่าสนธิสัญญา Ottawa ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงจะเซ็น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการเซ็นเสียที เก้าอี้ก็เลยถูกวางมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2005 ต้องย้ายออกเพราะมีการปรับปรุงอาคาร จนในปี 2007 ก็ถูกนำมาวางใหม่ในที่ที่เราเห็นในปัจจุบัน และแล้วในที่สุดสนธิสัญญาดังกล่าวก็มีการเซ็นกันขึ้นในปี 2008 แต่เก้าอี้ก็ยังคงวางอยู่จนปัจจุบัน

หลังจากชมแต่เรื่องเครียดๆ ออกรถไปชมเรื่องสบายๆ ตา รื่นรมย์ในหัวใจกันบ้าง ออกรถไปแถวทะเลสาบกันดีกว่าค่ะ หลังจากวนรถสักพัก ไปได้ที่จอดแห่งหนึ่ง ไปเดินชมความงามของทะเลสาบกันหน่อยดีกว่า

เมื่อเดินออกไปตรงกลางทะเลสาบจะมีน้ำพุเจ็ทโด (Le Jet d'Eau) หรือ “เชโด” ตามสำเนียงฝรั่งเศส ที่ได้ถูกบันทึกไว้ว่ามีความสูงที่สุดในโลก เป็นสัญลักษณ์สำคัญของ Geneva น้ำพุจะส่งสายน้ำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าในปริมาณ 500 ลิตรต่อวินาทีสูงถึง 140 เมตร ด้วยแรงดันราว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาวเมืองจะเรียกน้ำพุนี้ว่า “น้ำพุจรวด” ความสูงของน้ำพุประกอบกับลมที่พัดแรง ทำให้ละอองจากน้ำพุพัดเข้าหน้าตาให้เปียกปอนเลยทีเดียว

จะว่าไปการเดินทางมาที่ Geneva ไม่ได้สักแต่ว่ามาไปงั้นๆ เรามีเป้าหมายอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะมีสถานที่หนึ่งที่หนูเล็กทำการบ้านมาและอยากมาเห็นสถานที่จริง เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีความเกี่ยวพันกับประเทศไทย หากได้เคยอ่าน การเสด็จประพาสยุโรปของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง Geneva และทะเลสาบ Geneva ไม่ใช่แค่เมืองๆ หนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ นับเป็นเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของคนไทย เพราะมีสถานที่สำคัญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จมาประทับให้เราได้มาตามรอยเสด็จเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อชมทัศนียภาพริมทะเลสาบกันจนพอใจ เราพากันตั้ง GPS ไปยัง ปาร์ค เดโซ วีฟ (Parc Des Eaux Vives) คืออะไร ออกเดินทางไปด้วยกันค่ะ หนูเล็กจะพาไป

ระหว่างทางตรงสี่แยกจะพบ นาฬิกาดอกไม้ (L'horloge fleurie) ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันตกของสวนอังกฤษ (Jardin Anglais หรือ English garden) สร้างขึ้นในปี 1955 มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 5 เมตร ต้องใช้ดอกไม้ถึง 6,500 ดอกในการประดับประดานาฬิกานี้ เคยเป็นนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถูกโค่นไปแล้วด้วยประเทศอะไรสักประเทศหนึ่ง ไม่ได้ลงไปเดินชม เพราะอยู่ใกล้แยกพอดี ขอเดินทางต่อไปยังจุดหมายที่สำคัญกว่าดีกว่าค่ะ

และแล้วเราก็เดินทางมาถึง ปาร์ค เดโซ วีฟ (Parc Des Eaux Vives) สามารถขับรถเข้าไปจอดที่ด้านในได้เลยค่ะ


เดิมที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่มีบ้านพักรับรอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นที่ประทับของพระองค์ท่าน เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกพระองค์ได้ประทับอยู่นานราว 2 สัปดาห์ ในแบบเป็นการไปแบบส่วนพระองค์ (private) จึงทรงจ่ายค่าที่ประทับที่พลับพลานี้เป็นมูลค่าถึง 6,400 บาท แต่ปัจจุบันอาคารนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เราเดินชมบรรยากาศหวังเพียงเสพย์ความรู้สึกและไออุ่นจากวันวาน ตามที่ได้เคยอ่านจากจดหมายเหตุเสด็จประพาสยุโรป ร.ศ.116 ที่ว่า

"เป็นตึกอย่างบ้านชาวสวิส เป็นตึก 4 ชั้น ตั้งอยู่บนไหล่เขา มีเป็นสวนป่า ประกอบด้วยต้นไม้อันงามมีต้นสนเป็นพื้น มีถนนทางเดินเล่นที่นั่งเล่นตามว่างต้นไม้ได้สบายดี..."

หลังจากเดินสำรวจบริเวณโดยรอบ แลดูทุกสิ่งยังเป็นดังเช่นวันวานที่บรรยายไว้ทั้งสิ้น ไม่เปลี่ยนแปลง ในยามไกลบ้านและได้มาเดินในสถานที่ ที่ครั้งหนึ่งได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติ หัวใจกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาดขึ้นมาอย่างเหลือเกิน

ไว้ติดตามการเดินทางของพวกเรากันต่อค่ะ

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.54 น.

ความคิดเห็น