เทือกเขาร็อกกี้ C A N A D I A N - R O C K I E S ความงดงามแห่งรอยต่อ 2 ฤดู

⛰️🌟Canadian Rockies รัฐ Alberta ประเทศ Canada🌟⛰️

ความงดงามแห่งรอยต่อ 2 ฤดู Winter - Summer : 16-27 May 2018

รอยต่อ 2 ฤดู Winter - Summer ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ สำหรับการท่องเที่ยวเทือกเขาร็อคกี้ เนื่องจากยังไม่เข้าช่วง High Season (Summer) ของฤดูท่องเที่ยวในแถบนี้ ที่พักจะยังไม่แพงมากและนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะจนเกินไป รอยต่อจากฤดูหนาว เข้าสู่ฤดูร้อน เป็นช่วงหิมะกำลังละลาย อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้างอุณหภูมิ อยู่ประมาณ 8-16 องศา ไม่หนาวมากหิมะไม่ตกแล้วแต่วิวหิมะบนภูเขายังสวยอยู่ ถนนหนทางเริ่มเปิดใช้งาน หลังจากที่หิมะปิดถนนเข้าชมไม่ได้เป็นเวลาหลายเดือน เสียอย่างเดียวคืออาจจะไม่ได้ล่องเรือเพราะกิจกรรมทางเรือเช่น พายแคนู และเรือนำเที่ยวทะเลสาปในเทือกเขาร็อคกี้ จะเปิดช่วงปลายเดือน พ.ค แล้วแต่ประกาศและสภาพหิมะในทะเลสาบ ก็ต้องลุ้นกันไปแต่ละปีครับ

จริงๆแล้ว ประเทศแคนาดา ไม่เคยอยู่ในลิสท่องเที่ยวของซุปตาร์เลย เนื่องจากอยู่คนละซีกโลกทำให้รู้สึกว่าไกลมากและมีความน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับอเมริกาที่คนไทยรู้จักกันดี พูดถึงประเทศแคนาดา ซุปตาร์ก็รู้จักแต่น้ำตกไนแองการ่าเท่านั้น แต่ลองค้นหาดูในอินเตอร์เน็ต ก็พบสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกหลายแห่ง โดยเฉพาะทะเลสาบหลุยส์ (Lake Louise) ทะเลสาบที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่พอมาเที่ยวจริง ก็พบว่ามีอีกหลายทะเลสาบที่สวยสุดยอดระดับโลกไม่แพ้กันเลยทีเดียว ทริปนี้เราบินจากไทยมาลงแคนาดาฝั่งตะวันตก ที่เมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ซึ่งอยู่ในรัฐ British Columbia (BC.)

ทั้งนี้รูปถ่ายทั้งหมดใช้กล้องสำหรับมือสมัครเล่นอย่างผมคือกล้อง Mirror-less รุ่น Fuji X-A2 + เลนส์เทพ XF 35 mm. f 1.4 และใช้ iPhone 6 Plus เป็นบางรูปนะครับ ดังนั้นขอบอกเลยว่ารูปภาพที่ถ่ายออกมาไม่สวยเท่าของจริงที่เห็นและสัมผัสด้วยตาเปล่าเลยล่ะครับ

***รูปภาพทั้งหมดไม่ผ่านการแต่งภาพใดๆทั้งสิ้นมีแค่ย่อขนาดรูปเพื่อทำรีวิวนี้เท่านั้นครับ (คือแต่งรูปไม่เป็นครับ)

🏝️🛥️🌟🌈🛶⛰️🔮🏕️🏖️📸✈️🎉🌤️🏖️🎃🎉🛫🗼🗻😍🏆🏖️🎵💰🛫🗼

ฝากติดตามรีวิวเก่าๆได้ตามช่องทางด้านล่างด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/SuptarTraveller/

https://pantip.com/profile/285380

https://th.readme.me/id/SuptarTraveller

#ซุปตาร์พาเที่ยว #SuptarTraveller #CanadianRockies #CanadaTrip2018


⛰️🌟Canadian Rockies ประเทศ Canada🌟⛰️

(ภาพบน : Moraine Lake ทะเลสาบสีเขียวอมฟ้าที่ผมให้คะแนนอันดับ 1 สวยที่สุดในทริปนี้)

ส่วนแรกเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ ในการไปเที่ยวแคนาดา (ฝั่งเมืองแวนคูเวอร์)

1. วีซ่าแคนาดาขอยากมาก *ผมยื่นเอกสารขอถึง 3 รอบ ทั้งที่ผมเดินทางไปต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 30 ครั้งจำนวนมากกว่ายี่สิบประเทศทั่วโลก หน้าที่การงานมั่นคง ตำแหน่งงานระดับสูงพอสมควร สเตทเม้นดีงาม โดยผมยื่น 2 รอบแรกยื่นผ่านเอเย่นใช้เวลาแต่ละรอบไม่ต่ำกว่า 20วันแต่ก็ไม่ผ่าน เสียดายเวลามาก รอบสุดท้ายยื่นเองออนไลน์ผ่านเวปไซต์ ต.ม. แคนาดา CIC รอบนี้ผ่านฉลุยและรวดเร็วมากใช้เวลาพิจารณาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะผมแนบจดหมายแนะนำตัวไปด้วย ***สิ่งสำคัญในการยื่นเอกสารประกอบการขอวีซ่าคือ จดหมายแนะนำตัว ให้ร่างจดหมายอย่างละเอียดเลยนะครับว่าตัวเราเป็นใคร ทำงานอะไร เคยไปเที่ยวไหนมาบ้าง เหตุผลใดจึงไปเที่ยวและจะไม่อยู่ต่อแน่นอน ชี้แจงรายละเอียดของทริปทั้งหมด

2. แวนคูเวอร์เป็นเมืองที่มีคนเอเชียอาศัยอยู่เยอะ อากาศดีมากๆ บ้านเมืองสะอาด สะดวกสบายตามแบบฉบับประเทศที่เจริญแล้ว

3. ค่าครองชีพค่อนข้างแพง พอๆกับญี่ปุ่น แต่ร้านอาหารที่นี่บังคับรวมค่าเซอร์วิสชาร์จ+ภาษีท่องเที่ยว+ค่าทิปอีก 10-20% (เวลาจ่ายที่ร้านอาหารด้วยบัตรเครดิตเค้าจะให้เรากด%ค่าทิปหรือจำนวนดอลล่าห์ด้วยก่อนเสร็จสิ้นการรูดบัตร ถ้าไม่กดก็รูดไม่ได้555)

4. ร้านค้าบริการดีเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส (เพราะเค้าได้ชาร์จค่าบริการอย่างหนำใจแล้วนั่นเอง555)

5. ราคาสินค้าที่เห็นบนป้าย ไม่ใช่ราคาที่ต้องชำระเงิน เพราะต้องบวกภาษีและค่าบริการอื่นๆแล้วแต่เมือง

6. บางเมืองมีภาษีโน่นนี่นั่น เพิ่มมาอีกนอกจากภาษีมูลค่าเพิ่ม GST 5% และเซอร์วิสชาร์จ อีกเช่น Tourism levy 4%, Tourism improvement fee 2% ของค่าโรงแรมที่เมือง Banff

7. อาหารญีปุ่นที่นั่น ราคาไม่แพง ทิปเริ่มต้นที่ 10%

8. Waffle และ Hot Chocolate ที่ร้าน Nero Belgian Waffle Bar ที่ถนน Nelson อร่อยมากๆๆๆๆๆ

9. ถ้าใครชอบกินไก่ Bon Chon แนะนำให้ไปลองร้าน Zabu Chicken ที่ถนน Robson รสชาติเข้มข้นกว่าชนะเลิศ

10. ถนน Highway จากแวนคูเวอร์ไปเทือกร็อคกี้ ไม่เสียค่าทางด่วน(และไม่แพงเหมือนญี่ปุ่น)

11. ระยะทางจากแวนคูเวอร์ไปเทือกเขาร็อกกี้ (Banff) ประมาณ 800-900 กิโลเมตร เหมือนขับรถจากกรุงเทพไปภูเก็ต แนะนำให้บินภายในประเทศจากแวนคูเวอร์ไปลงที่เมืองคัลการี่ ซึ่งขับรถ 1 ชั่วโมงก็ถึงร็อคกี้แล้ว

12. ผมเช่ารถจาก Thifty car rent ค่ารถถูกมาก แต่โดนชาร์จค่าประกันภัยแพงกว่าค่าเช่ารถ ถ้าคุณไม่ได้ซื้อประกันไว้ผมคิดว่าตอนคืนรถถ้าไม่เช็ครถให้ดีคุณจะโดนชาร์จหากมีอะไรเสียหายแม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตาม แนะนำให้เช่ากับบริษัทอื่น (ให้ดูราคารวม)

13. สถานที่ท่องเทียวในเทือกร็อคกี้ ถนนจะปิดช่วงฤดูหนาวเนื่องจากมีหิมะ ส่วนมากถนนจะเปิดช่วงใกล้ปลายเดือน พ.ค. เช่น Moraine Lake เปิดเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2561 ควรเช็คตารางเวลาปิดปิดจากเวป https://www.pc.gc.ca/en/pn-np/ab/banff/visit/insta...

14. กระเช้าที่ Lake Louise Gondola ราคาถูกกว่า Banff Gondola ครึ่งนึง (คนละ 37 CAD)

15. โรงแรม Lake Louise Inn ดีงามมาก ตอนจองแจ้ง Honeymoon เค้าจะมีไวน์แดงเซ็ทให้ในห้องฟรี

🏝️🛥️🌟🌈🛶⛰️🔮🏕️🏖️📸✈️🎉🌤️🏖️🎃🎉🛫🗼🗻😍🏆🏖️🎵💰🛫🗼


(Columbia Ice Field : ภาพจากทางเวปไซต์ของอุทยาน)

ส่วนนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายในทริปนี้ครับ

ค่าใช้จ่ายของทริปนี้สำหรับสองท่านไม่รวมตั๋วเครื่องบินไปกลับเส้นทางภูเก็ต-กรุงเทพ (ไม่รวมค่าที่พัก 16-21 พ.ค. 2561 เพราะพักฟรี)

1. ตั๋วเครื่องบิน Hong Kong airline สำหรับสองท่าน =37,571 บาท ถูกมาก!!!!!

2. ค่าเช่ารถ (ตั้งแต่วันที่ 21-27 พ.ค. 2561) จำนวน 478 CAD = 12,235 บาท (ค่าเช่ารถ 220 CAD และ ค่าประกันภัย 258 CAD แพงกว่าค่ารถอีก * จองรถตอนแรกไม่ได้ซื้อประกันไว้)

3. ค่าโรงแรม 23,821บาท (ตั้งแต่วันที่ 21-26 พ.ค. 2561)

4. ค่าน้ำมันเติม 5,372 บาท

5. ค่าผ่านด่านอุทยานแห่งชาติ Jasper & Banff National Park = 1,146 บาท

6. ค่าอินเตอร์เน็ตSim 2Fly ของ AIS ราคา 2x899 = 1,798 บาท

7. ค่าเช่า GPS สำหรับรถยนต์ (เช่าจากเมืองไทย) 1,040 บาท

8.ค่าเบี้ยประกันการเดินทาง สำหรับ 2 ท่าน 1,204 บาท

9. ค่าอาหาร เครื่องดื่ม ไวน์ ขนม ค่าเช่าจักรยาน ค่ากระเช้า Gondola และอื่นๆทั้งทริป =15,468 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 99,655 บาท หาร 2 เป็นค่าใช้จ่ายต่อคนครับ คิดเป็นคนละ 49,827.5 บาทเองครับ

🏝️🛥️🌟🌈🛶⛰️🔮🏕️🏖️📸✈️🎉🌤️🏖️🎃🎉🛫🗼🗻😍🏆🏖️🎵💰🛫🗼


การเดินทางวันแรกอันแสนยาวนาน

เริ่มต้นผมออกเดินทางจากภูเก็ตโดยการบินไทยไฟล์ท TG 2284 เวลา 19.40 น. ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ใช้บริการเลาจน์ของการบินไทยสำหรับมื้อเย็น

บินถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 21.05 น. รับกระเป๋าแล้วขึ้นไปรอเช็คอิน ณ เคาเตอร์สายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์เวลาประมาณ 01.40 น. ไฟล์ท HX 762 : BKK – HKG : 04.40 - 09.00 น. จากนั้นก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (แต่เราออกจากเมือง) ก็แวะใช้บริการ The Wisdom Lounge สำหรับลูกค้าของบัตรเครดิต WISDOM กสิกรไทย ดั่งเช่นทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ กินอาหาร เครื่องดื่มนั่งๆ นอนๆ เล้าจน์เปิด 24 ชั่วโมงครับ

ประมาณ 04.00 น. จึงเดินไปยังประตูทางออกขึ้นเครื่องเพื่อบินไปต่อเครื่องที่ฮ่องกง ถึงฮ่องกงเวลา 09.00 น. พอดีเป๊ะ ก็แวะเข้าใช้บริการ Plaza Premium Lounge จากสิทธิ์ของบัตร Priority pass ของบัตรเครดิต The Wisdom ของกสิกร ตั้งอยู่ที่ชั้นบนใกล้กับ Gate 40 เพื่อทานอาหาร พักผ่อน และอาบน้ำด้วยเพื่อความสดชื่น ก่อนที่จะเดินทางยาวไกลอีก 11 ชั่วโมง ถ้าจะอาบน้ำต้องแจังพนักงานที่เล้าจน์ด้วยว่าเราจะจองห้อง Shower เค้าจะให้เราระบุเวลานัดหมาย แล้วให้คูปองไว้สำหรับยื่นที่ห้องอาบน้ำซึ่งห่างออกไปทาง United Club ห้องอาบน้ำจะให้เวลาเราอาบน้ำ 30 นาที

ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาในเล้าจน์อร่อยมาก ผมบอกพนักงานว่าไม่เอาเส้นขอแต่ลูกชิ้นล้วนๆ เติมไม่อั้นครับ ขนมขบเคี้ยวมากมายดื่มได้ทุกอย่างยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ถึงเวลาไฟล์ท HX080 : HKG - YVR : 12.30 น. มีดีเลย์นิดหน่อยแต่ก็ถึง Vancouver airport ตรงเวลาประมาณ 10.10 น. ผ่านด่าน ต.ม. โดยผ่านกับเครืองคอมพิวเตอร์แบบคีออสอัตโนมัติเหมือนทำแบบสอบถาม ซึ่งไม่ยากสำหรับคนที่รู้ภาษาอังกฤษ เมื่อผ่านระบบคอมพิวเตอร์แล้วก็จะต้องผ่านเจ้าหน้าที่อีกรอบเค้าแค่เช็คเอกสารและถามว่าจะไปเที่ยวไหนบ้างแค่นั้นเอง ผ่านออกมาแล้วก็ขึ้นรถเข้าเมือง

ตีั้งแต่ 16-21 เราพักที่โรงแรม Sheraton Vancouver Wall Center Hotel ซึ่งอยู่ในย่านใจกลางเมืองตั้งอยู่บนถนน Burrard ถนนเส้นหลัก ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากถนน Robson ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งและร้านอาหารมากมาย อากาศเย็นสบายดีมากประมาณ 12-15 องศา ห้องพักกว้างขวาง วิวเมืองสวยงาม


ห้องกว้างขวาง ห้องสวยดูดี ทันสมัย มีเครื่องชงกาแฟสตาร์บัคพร้อมแก้วให้ด้วยนะครับ


วันแรกจะเพลียๆหน่อย เพราะเวลาต่างกับเมืองไทยมากห่างกัน 14 ชั่วโมง แต่เราต้องทนไม่นอนแม้ว่าจะง่วงมากก็ตาม เพื่อปรับตัวให้ตรงกับเวลากลางวันของที่นั่น ดื่มน้ำเยอะๆ


คนชอบดื่มแวะซื้อไวน์ได้ที่ BC Liquor Stores หาจาก Google map ได้เลย ราคาถูกมาก มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รับบัตรเครดิตทุกร้าน

🏝️🛥️🌟🌈🛶⛰️🔮🏕️🏖️📸✈️🎉🌤️🏖️🎃🎉🛫🗼🗻😍🏆🏖️🎵💰🛫🗼


City Tour เมืองแวนคูเวอร์

ช่วงแรกๆอยู่แต่ในเมืองแวนคูเวอร์ก็เดินเล่นชมเมืองขี่จักรยาน และ ไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญๆ ตามนี้เลยครับ

Granville Island Public Market

พิกัด : https://goo.gl/maps/uC5K3a4XeTP2

ที่จอดรถบัสที่ไปส่งเราห่างออกมาจากตลาดนี้นิดหน่อยแล้วต้องเดินประมาณ 5-10 นาที ผ่าน Plant ปูนซีเมนต์ ซึ่งตกแต่งไซโลปูนได้น่ารักหวานแหววมาก มีตู้กระจกโชว์จักรกลเคลื่อนไหวได้ เป็นการโชว์ขั้นตอนการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ-จนถึงขั้นตอนการขนส่งรถปูนด้วย อันนี้เก๋มากชอบๆ ตั้งอยู่ริมถนนเลย คนรุมถ่ายรูปเยอะมาก

ไซโลเก็บปูนซีเมนต์ หวานแหววเชียวครับ เมืองไทยน่าจะทำแบบนี้บ้าง ทำให้เมืองน่าอยู่ดูดีขึ้นเยอะเลย

แกรนวิลล์ ไอส์แลนด์ พับลิค มาร์เก็ต คือแหล่งรวบรวมงานฝีมือและศิลปะจากทั่วโลกที่คัดสรรมาแล้วอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสบู่ทำมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในห้องน้ำ เส้นพาสต้าสดๆ อาหารทะเล ขนมเบเกอร์รี่แสนอร่อย ชีสหลากชนิด และมีมุมอาหารจานด่วนด้วย ตลาดแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 42,000 ตารางฟุต (3,900 ตารางเมตร) คนท้องถิ่นหรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวเองก็มาที่ตลาดแห่งนี้เพื่อซื้อของ ถ้าคุณอยากจะเตรียมอาหารสำหรับไปปิคนิค แนะนำให้มาที่สวนและลานที่อยู่ใกล้ๆ ตลาด เพราะมีพื้นที่ให้ผ่อนคลาย นั่งชมผู้คนในบริเวณใกล้ๆ แล้วนั่งทานอาหารอร่อยๆ ในเวลาเดียวกัน ถ้าจะเดินให้ทั่วตลาดแห่งนี้ คุณอาจจะใช้เวลาสัก 2-3 ชั่วโมง หรือช่วงบ่ายทั้งวันก็ได้ ภายนอก ยังมีการแสดงริมถนนที่มีให้ชมตลอดทั้งปี ทั้งเปิดหมวกร้องเพลง การแสดงมายากล หรือการประดิษฐ์ลูกโป่งเป็นรูปสัตว์ต่างๆ สำหรับเด็กๆ Cr. Expedia.co.th


จุดชมวิวสะพาน Lions Gate Bridge

สะพานสีเขียวๆ จุดชมวิวชื่อดังของเมืองแวนคูเวอร์ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับชมวิวที่ห้ามพลาด

พิกัด : https://goo.gl/maps/wVpXw6sfyaG2


Stanley Park

สวนสาธารณะสแตนเลย์ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองแวนคูเวอร์ มีเสาโทเทม (Totem Pole) ให้เราไปถ่ายรูปด้วย

พิกัด : https://goo.gl/maps/DL9vAdYYa162

เสาโทเทม หรือ Totem poles เป็นงานเเกะสลักเสาไม้ซึ่งเป็นศิลปะของคนท้องถิ่นดั้งเดิมตามแนวชายฝั่งแปซิฟิกทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ ไล่กันมาตั้งแต่ทางใต้ของอลาสกา จนถึงแถวรัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา และต่อไปจนถึงรัฐโอเรกอนของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน

เราเช่าจักรยานแถวๆโรงแรม ขี่รอบเมืองแวะมาที่นี่ด้วย ตรงข้าม Stanley park จะเห็น Canada Place ที่เป็นโดมผ้าใบสีขาวแหลมๆ ตรงนั้นมีคบเพลิงโอลิมปิก (ฤดูหนาว) และจุดชมวิวด้วยครับ


Queen Elizabeth Park

พิกัด : https://goo.gl/maps/7FL7Ha4x3qG2

สวนสาธารณะชื่อดังในเมืองบนเนินเขา มีสวนที่ตกแต่งงดงาม มีเรือนกระจก ประติมากรรม และสนามสำหรับเล่นกีฬา ร่มรื่นมากครับ เงียบสงบมากกว่า Stanley Park เยอะเลย



Science World at TELUS World of Science

พิกัด : https://goo.gl/maps/KgBQCT2EVZJ2

ที่นี่เป็นอาคารรูปทรงกลมคล้ายลูกโลกทำด้วยโลหะ ตอนกลางคืนเปิดไฟสวยดีครับ มุมนี้ถ่ายจาก Coppers'park บรรยากาศดีมากๆ ถือว่าเป็น Land Mark อีกแห่งของเมืองนี้ หรือจะเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ เรียบชายฝั่งก็ได้บรรยากาศดีนะครับ


(รูปบนจากในเน็ตนะครับ)



Grouse Mountain

พิกัด : https://goo.gl/maps/ozhpsDCcsQ22

นั่งรถบัสมาถึงตีนเขาเราต้องนั่ง Gondola ขึ้นมาบนยอด ใช้เวลาประมาณ 10 นาที รอบนึงจุได้ประมาณ 30 คน สถานีด้านบน มีร้านอาหาร เครื่องดื่มและกาแฟร้อนๆ จิบไปชมวิวไปฟินมากๆ แม้ว่าหิมะจะหยุดตกแล้ว อุณภูมิตอนนั้นประมาณ 8-10 องศา แดดแรงมากๆ แต่หิมะช่วงปลายฤดูหนาวก็ยังไม่ละลาย ได้ถ่ายรูปลุยหิมะสวยๆ ช่วงที่ไป Chair Lift ขึ้นไปลานสกีปิดทำการ เสียดายอดนั่งเล่นชมบรรยากาศบนยอดลานสกี



Capilano Suspension Bridge

พิกัด : https://goo.gl/maps/wfgefgUcsL72

สะพานแขวนไม้ที่ยาวที่สุดในโลก แขวนอยู่เหนือยอดไม้ มีความยาว 137 เมตรที่สร้างในปี 1889 มีทัศนียภาพอันงดงามของผืนป่าเบื้องล่าง บรรยากาศร่มรื่นมาก ณ จุดทางเข้า-ออก มีร้านขายของที่ระลึก เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นร้านขายของที่ระลึกที่ใหญ่ที่สุดในแวนคูเวอร์ อยากได้ของที่ระลึกก็ควรซื้อทีนี่เลย ราคาไม่แพงและของมีคุณภาพ น่ารักๆทั้งนั้น

ที่ทางออกจะมีเจ้าหน้าที่แจกใบประกาศนีย์บัตรว่าเราข้ามสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก


Bike Tour เช่าจักรยานขี่รอบเมือง

ช่วงบ่ายวันว่างๆ ก็เช่าจักรยานมาขี่จากร้านใกล้โรงแรมริมถนน Burrard จำไม่ได้ว่ากี่บาท แต่เราเช่า 2 ชั่วโมงกว่าๆ จ่ายไปประมาณ 1000 บาท แอบแพง555 ร้านชื่อ Cycle City Shop (เจ้าหน้าที่โรงแรมเชอราตันแนะนำให้มาร้านนี้ โดยให้บัตรลด5% มาด้วย) ไม่ว่าจักรยานแบบไหนก็ราคาเท่ากันหมด ผมเลือกแบบขี่ง่าย มีตระกร้าใส่ของด้านหน้า ที่ร้านจะขอดูพาสปอร์ตและชำระเงินด้วยเครดิตการ์ด เค้าบอกว่าเราเป็นคนไทยคนแรกที่มาเช่าจักรยานที่ร้านเค้า จริงดิ???? บ่ายวันนั้นอากาศสบายๆ ประมาณ 12 องศา หนาวนิดหน่อย แต่พอปั่นจักรยานแล้วเหงื่อออกลืมหนาวไปเลยครับ ถอดเสื้อแจ็คเก็ตแทบไม่ทัน

ขี่จักรยานผ่านย่าน Gas Town ตลอดทางมีเลนจักรยานชิดขอบถนนด้านขวามือ เราแวะ Canada Place จุดที่มีคบเพลิงโอลิมปิก (โอลิมปิกฤดูหนาว) เป็นกลานกว้างๆ ให้ชมวิวมีเครื่องบินน้ำบินขึ้น-ลง ตลอดเวลา

มีอนุสาวรีย์ปลาวาฬออร์ก้าให้ถ่ายรูปเก๋ๆ จากนั้นเราก็ขี่จักรยานเลียบชายฝั่งเพื่อข้ามไปยัง Stanley Park และลอดใต้สะพาน Lions Gate ผ่านหาด English Bay Beach Park และ Sunset Beach (จุดนี้เรากลับมาเดินเล่นมาชมพระอาทิตย์ตกดิน บรรยากาศดีมากๆ ฝรั่งมาปูเสื่อนั่งปิ๊กนิกกันตรึม)


Sewell's Marina at Horse Shoe Bay

พิกัด : https://goo.gl/maps/FqJrcsYqneH2
กิจกรรมล่องเรือเร็วชมแมวน้ำอ่าว Horse Shoe แถบ West Vancouver มีทั้งเรือลมยางใหญ่และเรือสปีดโบ๊ท เรือใหญ่น่าจะสนุกกว่า แต่ตอนที่ไปเรือใหญ่เต็มแล้ว อากาศหนาวมากที่อ่าวล้อมรอบด้วยภูเขาสูงมีหิมะที่ยอดเขา ระหว่างรอคิว ก็ไปนั่งจิบสตาร์บัคฝั่งตรงข้ามท่าเรือคร่าเวลา


ชุดหมีสีส้ม เค้ามีให้นักท่องเที่ยวใส่เวลาล่องเรือ ในช่วงที่มีฝนหรือหิมะ กันลมกันน้ำได้อย่างดีและหนักมาก


อาหารการกิน

ในเมืองแวนคูเวอร์ มีร้านอาหารเยอะมากทั้งแถบถนน Robson และ Davies แนะนำอาหารญี่ปุ่นที่นี่ราคาถูกกว่าอาหารอื่นๆ ถ้าใครชอบกินไก่ Bon Chon แนะนำให้ไปลองร้าน Zabu Chicken ที่ถนน Robson รสชาติเข้มข้นกว่าชนะเลิศเลยครับ ชอบ Soy Wing แบบรสชาติดั้งเดิม ส่วนราเมนรสชาติเหมือนเราต้มไวไวรสต้นตำรับเลย555 จืดๆ

พิกัด : https://goo.gl/maps/R8jxUn4YmUE2

Waffle และ Hot Chocolate ที่ร้าน Nero Belgian Waffle Bar ที่ถนน Nelson อร่อยมากๆๆๆๆๆ ร้านนี้ทำเมนูช็อคโกแล็ตอร่อยมาก

พิกัด : https://goo.gl/maps/F1o9w4P91c72

ในนส่วนตัวเมืองแวนคูเวอร์ ก็มีเพียงเท่านี่้ครับ น้ำจิ้มจบไปแล้วต่อไปเราจะเริ่มเดินทางด้วยการเช่ารถขับ ไปเที่ยวเทือกเขาร็อคกี้กันครับ

🏝️🛥️🌟🌈🛶⛰️🔮🏕️🏖️📸✈️🎉🌤️🏖️🎃🎉🛫🗼🗻😍🏆🏖️🎵💰🛫🗼


เทือกเขาร็อคกี้

จบรีวิวในส่วนของเมืองแวนคูเวอร์แล้ว ต่อไปเราก็ออกนอกเมืองกัน ไปพบกับธรรมชาติอันสวยงาม วิวเทือกเขาใหญ่โตที่ปกคลุมด้วยหิมะอลังการมาก โดยเฉพาะเส้นทางจาก Jasper National Park - Banff National Park (ถนนสาย 93 หรือ Icefields Park Way) ถ้าไม่รีบแค่ขับรถชมวิวระหว่างทางก็ฟินแล้ว การชับรถอันยาวนานจากเมืองแวนคูเวอร์ระยะทางประมาณ 900 กิโลเมตร เหมือนขับรถจากกรุงเทพไปภูเก็ตเลย แต่วิวข้างทางสวยมาก แต่มีสวยกว่าอีกมากๆเมื่อไปถึงเทือกเขาร็อกกี้

(Mt.Robson : ถ่ายไว้ระหว่างขับรถจากเมือง Blue River ก่อนถึงเมือง Jasper )
นี่คือจุดเริ่มต้นของความอลังการของเทือกเขาร็อคกี้ในเส้นทางที่เราใช้

เริ่มต้นด้วยการรับรถที่สนามบินก่อน ศูนย์บริการรถเช่าทุกบริษัทจะอยู่ที่เดียวกันหมดคือที่อาคารจอดรถ Parkade อยู่ฝั่งตรงข้ามอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ แค่ข้ามฝั่งถนนอาคารมาลงลิฟท์มาชั้น Ground Floor ก็ถึงเค้าเตอร์ เราจองรถกับบริษัท Thrifty จากเวป Carrental.com แต่ซื้อประกันภัยรถยนต์แยกมาจากข้อเสนอของทางเวปซึ่งถูกมากๆ หลายเท่าตัว แต่พอมาถึงเค้าเตอร์เค้าบอกว่าประกันที่ซื้อมากับทางเวปนั้นไม่คุ้มครองกับรถของเค้า แต่โชคดีที่เป็นประกันแบบยกเลิกได้ ทาง Thrifty ให้เรายืมโทรศัพท์ติดต่อไปตามเบอร์บริษัทประกัน สุดท้ายเค้าก็ยกเลิกและคืนเงินเข้าบัตรเครดิตให้ แต่เราก็ต้องซื้อประกันภัยรถยนต์กับทาง Thrifty ซึ่งแพงมากๆ แพงกว่าค่าเช่ารถอีก แต่ก็ต้องจำยอม (จริงๆแล้ว ถ้าจะไม่เช่ารถที่นี่ก็ยกเลิกที่เค้าเตอร์ได้นะครับ เพราะเงื่อนไขยกเลิกฟรี แล้วลองไปติดต่อ AVIS หรือบริษัทอื่นข้างๆดู รวมค่ารถและค่าประกันอาจจะถูกกว่าก็ได้นะครับ) บริษัท Thrifty เห็นมีรีวิวเยอะเลยเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมกรณีไม่ซื้อประกันกับเค้า เค้าจะหาเรื่องเคลมเงินจากเรา ขากลับตอนคืนรถผมเจอจริงๆ แต่พอบอกว่าผมซื้อประกันชั้น 1 ไว้ เค้าก็เงียบ

รถที่เราจองไว้คือรถ Toyota Camry เครื่องยนต์ 2.0 รถไม่เก่าไม่ใหม่คาดว่าอายุประมาณ 1-2 ปี พวงมาลัยซ้าย กว้างชวางขับสบายดีครับ ปกติเวลาผมไปเที่ยวไหนจะเช่ารถคันเล็กๆ เพื่อประหยัดน้ำมันแต่ทริปนี้ต้องขับรถไกล จึงขอเลือกรถสมรรถนะดีๆ คันใหญ่หน่อยก็ไม่เป็นไร

ค่าเช่ารถ (ตั้งแต่วันที่ 21-27 พ.ค. 2561) จำนวน 478 CAD = 12,235 บาท (ค่าเช่ารถ 220 CAD และ ค่าประกันภัย 258 CAD

เริ่มออกเดินทางประมาณ 09.00 น.

รหว่างทาง แวจุดพักรถขับมาประมาณ 2.5 ชั่วโมง ประมาณ 220 Km แวะกินกาแฟสดข้างทางและเข้าห้องน้ำ พิกัด https://goo.gl/maps/8T9PNCWBUFA2

จากนั้นมุ่งหน้าไปสู่เมือง Kamloops ขับรถต่อไปอีกระยะทาง 100 km. ขับรถมาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง แวะทานอาหารกลางวัน ณ Aberdeen Mall Kamloops เป็นห้างขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ที่จอดรถกว้างขวาง ขนาดพอๆ กับเทสโก้โลตัสบ้านเรา มีโซนอาหารฟู๊ดคอร์ต อาหารหลากหลาย ทั้งอาหารจีน ฝรั่ง และฟาสฟู๊ด พิกัด : https://goo.gl/maps/nKWckFKNUtF2


Glacier Mountain Lodge

ที่พักคืนแรกของทริปนี้อยู่ในเมือง Blue River เราจองที่พักผ่าน Agoda.com โดยจ่ายเงินในวันเข้าพัก (Operated by Booking.com) พิกัด : https://goo.gl/maps/zUMczMBkRUU2


โรงแรมนี้ให้บรรยากาศเหมือนโมเต็ลชนบท ไกลๆ ในหนังฝรั่ง ที่โรงแรมนี้ตั้งอยู่ริมถนน เป็นที่พักค้างคืนระหว่างทาง ที่นี่วิวภูเขาหิมะทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ราคาไม่แพงด้วย จ่ายไป 117.23 CAD หรือประมาณ 2,800 บาท รวมอาหารเช้าแบบง่ายๆบริการตัวเองบนเค้าเตอร์เล็กๆ (ขนมปัง โยเกิร์ต ครัวซอง ไข่ต้ม ไส้กรอก ชา กาแฟ โกโก้ร้อน คอนเฟล็ก ฯ) ที่นี่มีพื้นที่ส่วนกลางคล้ายๆ โฮสเทล ไว้นั่งทานข้าว เอาอาหารสำเร็จรูปมาอุ่นไมโครเวฟได้ มีน้ำร้อน น้ำดื่ม ถ้วย จาน ชาม ช้อนให้ใช้ กินเสร็จก็ใส่ในกระบะไม่ต้องล้าง ตัวโรงแรมตั้งอยู่ริมถนน ติดกับปั๊มน้ำมัน Petro Canada มีมินิมาร์ทในตัวปิด 3 ทุ่ม ครับ เราได้ฤกษ์เติมน้ำมันครั้งแรก ณ จุดนี้ ซึ่งต้องเติมน้ำมันเอง เราต้องเข่าไปชำระเงินในมินิมาร์ทก่อนแล้วเค้าจะเปิดสวิตซ์หัวจ่ายตามจำนวนเงินที่เราเติม บางปั๊มไม่รับบัตรเครดิตต่างประเทศก็ต้องไปติดต่อที่ออฟฟิตในมินิมาร์ทแบบนี้ บางปั๊มก็ใช้บัตรเครดิตเราเสียบได้เลย




เราจอดรถหน้าห้องพักมองจากหน้าต่างก็จะเจอรถของเราและวิวยอดเขาหิมะด้านหน้าด้วยครับ เตียงกว้างมาก มี 2 เตียงน่าจะนอนได้ 4 คนเลย แต่อีกเตียงเราเอาไว้วางกระเป๋าเดินทาง แอร์และฮีทเตอร์จะเก่าๆหน่อยแต่ก็ทำงานได้ปกติ ห้องที่พักเป็นแบบ Queen Room ขนาด 32 sq.m.


ที่นี่มีบริการอ่างจากุชชี่รวมเป็นอ่างเล็กๆฟรี เป็นห้องอยู่ตรงกลางถัดจากล็อบบี้และโซนนั่งเล่น ขับรถมาเหนื่อยๆ มาแช่จากุชชี่อุ่นๆ ชมวิวธรรมชาติด้านหลังโรงแรม ฟินมากๆครับ



หากขับรถจากโรงแรมข้ามถนนไปอีกฝั่งนึง ขับรถไปประมาณ 3 นาที จะเจอบึงน้ำ Eleanor Lake อยู่ติดทางรถไฟ บรรยากาศเหมือนหนังฝรั่งเลย เล่นน้ำไปมีวิวยอดเขาหิมะให้ดู วันนี้แดดดีอากาศไม่หนาว ฝรั่งพากันกระโดดน้ำเล่นกัน ได้บรรยากาศอีกแบบครับ พิกัด : https://goo.gl/maps/xx4BmBPgmr32



เที่ยววันแรกของเทือกเขาร็อคกี้ (22 May 2018)

ตื่นเช้ามาทานข้าวเช้าเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังเมือง Jasper ขับรถออกากที่พักมาประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะเจอ Mount Robson ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า Mount Robson (ยอดเขาสูง 3,954 m. จากระดับน้ำทะเล) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาร็อกกี้ ฝั่ง North America


อลังการมาก ถึงกับต้องขอจอดข้างทางถ่ายรูปคู่กับ Mt.Robson เป็นที่ระลึก



Maligne Lake

Maligne (อ่านว่า มาไลนจ์ บางคนอ่านว่า มาลีน ) เป็นทะเลสาบทีใหญ่ที่สุดใน Jasper

พิกัด : https://goo.gl/maps/4J1RUQd1bDn

ขับรถต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ระยะทางอีก 80 กิโลเมตร ก็ถึงเมือง Jasper แต่เราก็ไม่แวะในตัวเมืองเพราะตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยัง Maligne Lake ต้องขับรถไปต่อประมาณ 50 กิโลเมตรลัดเลาะหุบเขาและทะเลสาบระหว่างทาง (ผ่าน Medicine Lake แค่ขับผ่านชมวิว) ใชระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย วันที่เราไปถึงบริการเรือท่องเทียวชม Spirit Island ยังไม่เปิดให้บริการ และพื้นที่ด้านในยังไม่เปิดให้เดินเที่ยว จุดบริการนักท่องเที่ยวก็ปิดอยู่ (จะเปิดทำการวันที่ 24 พค เราไปก่อนเค้าเปิด 2 วัน แต่ก็ดีตรงที่นักท่องเที่ยวน้อย) ห้องน้ำในอาคารก็ปิด ค่าจอดรถฟรี เวลาเข้าห้องน้ำตรงที่จอดรถนี้มีห้องเดียวจะเป็นห้องน้ำแบบส้วมหลุม (นึกว่าอยู่เมืองจีน) มีอยู่ห้องเดียว แต่แค่เราได้เที่ยวชมด้านหน้าริมทะเลสาบ ตรงศาลาริมน้ำก็ฟินแล้วกับทะเสลาปสีน้ำเงินสวยมาก ตอนแรกคิดว่าที่นี่สวยที่สุดแล้วนะ




จากนั้นขับรถกลับมายังตัวเมือง Jasper ระหว่างทางเราก็แวะ Maligne Canyon ค่าเข้าและค่าจอดรถฟรี จอดด้านหน้าแล้วเดินเข้าไป ตามป้ายจะบอกจุดชมวิว แต่ละจุด จริงๆ ถ้าไม่อยากเหนื่อยก็ไม่ต้องเดินเข้าไปไกลนะครับ ช่วงที่ไปไม่ได้สวยมากเท่าไหร่นัก แดดร้อนอีกต่างหากแม้ว่าอากาศจะเย็นก็ตาม

พิกัด : https://goo.gl/maps/qkb5kNcHAdK2


Best Western Jasper Inn and Suites

เป็นโรงแรมที่เราพักในคืนนี้ (22 May 2018) โรงแรมมี 2 ชั้น ลานจอดรถอยู่ตรงกลางอยู่หน้าทางเข้าห้องของแต่ละห้อง เราก็จอดรถไว้ที่หน้าห้องเลย ห้องพักที่นี่กว้างมาก มีห้องนั่งเล่นโซฟาใหญ่ เตาผิง ห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ทำครัว และห้องนอนเตียงใหญ่ ประตูบานเลื่อนด้านหลังเปิดออกไปจะเจอสนามหญ้า มองเห็นวิวภูเขา บรรยากาศดีมาก ราคาไม่แพงเทียบกับห้องพักแบบนี้ ราคาที่จ่ายไปคือ 6,581 บาท ไม่รวมอาหารเช้า ตอนนี้ชื่อโรงแรมน่าจะเปลี่ยนเป็น Jasper Inn and Suites By Sunrise แล้วนะครับ โรงแรมนี้เป็นแบบ Pet Friendly ด้วยครับ

ไหนๆ ที่ห้องพักก็มีครัวแล้ว เราเลยตัดสินใจว่าจะไปซื้อของสดมาทำกับข้าวกินกันเอง ประหยัดด้วย มีซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เดินไปได้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ถือว่าเดินเที่ยวเมืองไปในตัว ตัวเมืองเงียบสงบ บรรยากาศดี สะอาด วิวสวย น่าอยู่มากๆ

วิวด้านหลังห้อง

พิกัด : https://goo.gl/maps/oiPbPZtqmi32


Athabasca Fall

เช้าวันที่ 2 ในทริปเทือกเขาร็อคกี้ (23 พ.ค. 2561) ตื่นมาแพ็คกระเป๋าเช็คเอ๊าท์แต่เช้าประมาณ 8 โมง เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยว เพราะเราจะไป Columbia Ice fields กันให้ทันก่อนเที่ยง แต่ระกว่างทางขับมาประมาณ 33 km ใช้เวลา 30 นาที. ก็แวะระหว่างทางชมน้ำตกอาธาบาสก้า เป็นน้ำตกที่ไหลแรงปริมาณน้ำมหาศาล น่าตื่นเต้นมากๆ เราสามารถเดินไปถึงจุดที่น้ำตกไหลเชี่ยวที่สุด ดูแล้วเสียวเลย พิกัด : https://goo.gl/maps/G1XCiMUKzqQ2


Columbia Ice Field

จากนั้นขับรถต่อไปอีกประมาณ 80 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็ไปถึง Columbia Ice Field เมื่อไปถึงปุ๊บก็ไปรับบัตร Ice Explorer Glacier Tour and Glacier Skywalk ที่จองไว้จากโรงแรมราคาประมาณคนละ 2500 บาท จองตอนเช็คเอ๊าท์เมื่อเช้า เพราะเจ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่าไม่งั้นเต็ม เพราะแต่ละรอบจำกัดจำนวนคน เราได้รอบบ่ายโมง เมื่อรับบัตรแล้วหาอาหารรับประทานแล้วก็รอประมาณครึ่งชั่วโมง จึงได้ขึ้นรถบัสเพื่อไปยังจุดขึ้นรถตะกายน้ำแข็งซึ่งคันใหญ่มาก พนักงานขับรถให้ข้อมูลตลอดทางและมีมุกตลกพูดใส่ไมค์ตลอดเวลา555 พิกัด : https://goo.gl/maps/rBHCWoca5gQ2

ธารน้ำแข็งพื้นที่ 365 ตารางกิโลเมตร Columbia Icefield เป็นทุ่งน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขา Canadian Rocky และปล่อยน้ำลงสู่ธารน้ำแข็ง 6 แห่ง Columbia Icefield ซึ่งตั้งอยู่ที่ความสูง 3,000 เมตรมีหิมะตกตลอดทั้งปี

ลมพัดแรงมาก เราอยู่ที่นั่นเดินเล่นได้ประมาณคนละ 20 นาที ก็ต้องขึ้นรถกลับไปยังจุดที่ต่อรถบัสของที่นี่ เพื่อเดินทางย้อนกลับไปชม Glacier Skywalk ซึ่งขับรถไปประมาณ 15 นาที คูปองที่ซื้อเป็นแพ็คเกจไป 2 ที่ คือธารน้ำแข็งและสกายวอล์ค แต่ถ้าใครจะซื้อเฉพาะลานน้ำแข็งก็ได้นะครับ เพราะ Skywalk ไม่ค่อยมีอะไร555 เป็นแค่ทางเดินกระจกที่อยู่บนหน้าผา ผมว่าทางเดินกระจกที่เมืองจีนน่ากลัวและตื่นเต้นกว่าอีกนะ



Glacier Skywalk

ทางเดินกระจกใสอยู่ที่หน้าผาสูง 280 เมตร มองทะลุลงไปด้านล่างเห็นลำธารและพื้นดินเบื้องล่าง บรรยากาศหุบเขาคล้ายๆที่แกรนด์แคนยอน ก็เสียวดีครับ แต่ผมไม่ค่อยติ่นเต้นซักเท่าไหร่

พิกัด : https://goo.gl/maps/77bsmS66Gvz




Peyto Lake

เป็นทะเลสาบ 1 ทะเลสาบที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้ ที่นี่อยู่ระหว่างทางจาก Columbia Ice Field มุ่งหน้าไปสู่ Lake Louise อยู่ก่อนถึงทางเข้า Bow Lake ขับรถไปประมาณ 85 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมง (ก่อนถึง Lake Louise ประมาณ ครึ่งชั่วโมง) เมื่อถึงที่จอดรถของ Bow Summit จุดชม Peyto Lake ซึ่งเป็นทะเลสาบสีฟ้า ฟ้ามากกกกกก งงมากทำไมฟ้าแบบนี้ ขนาดน้ำแข็งละลายไม่หมดก็ยังเห็นสีฟ้าแพร็มๆ ถ้าเป็นฤดูร้อนคงเห็นทะเลสาบสีฟ้าจับใจ ทะเลสาบนี้มีลักษณะคล้ายหัวสุนัขจิ้งจอก มีเพื่อนบอกว่าเป็นรูปที่โทรศัพท์หัวเหว่ยนำไปเป็น wall paper ด้วย เมื่อเราจอดรถแล้วต้องเดินฝ่ากองหิมะเข้าไป เนื่องจากหิมะยังหนาอยู่ไม่ต่ำกว่า 2-3 ฟุต กว่าจะเดินเข้าไปถึงก็ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีเสียเวลานิดหน่อยตรงส่วนนี้ แค่เดินไปกลับก็กินเวลาไปเป็นชั่วโมงละ แต่โชคดีมีคนกุยทางไปก่อนหน้าเราแล้วทดำให้เราเดินได้สะดวกนิดนึง ทั้งลื่นท้ั้งกลัวจมหิมะ คาดว่าทางเข้านี้เพิ่งเปิดให้คนเดินเข้าไปได้เพียงไม่กี่วัน เพราะถ้ามาก่อนหน้านี้ซัก 1-2 สัปดาห์คิดว่าคงเดินเข้าไปจุดชมวิวไม่ได้แน่ๆ เพราะหิมะหนาเป็นเมตรๆ เลยทีเดียว

พิกัด : https://goo.gl/maps/Qdi2iS6Asut

(เอารูปจากในเน็ตมาให้ดู เวลามันฟ้าหมดทั้งทะเลสาบ)

Bow Lake

ทะเลสาบโบว์ อยู่ระหว่างทางจาก Peyto Lake มุ่งหน้าไปสู่ Lake Louise ที่พักจุดหมายปลายทางคืนนี้ (จุดมุ่งหมายของทริปนี้) ขับรถไปประมาณ 5 กิโลเมตร ใช้เวลา 10 นาทีจากที่จอดรถของ Peyto Lake (Bow Summit) ทะเลสาบนี้วิวแบบพาโนรามา เนื่องจากเราถ่ายรูปได้ที่ริมทะเลสาบเลยเหมือนอยู่ริมทะเล วิวสวยขอถ่ายมุมนี้ถี่ๆหน่อยครับ น้ำแข็งเริ่มละลายแล้ว ณ เวลานั้น

พิกัด : https://goo.gl/maps/r14nemWAu422




Lake Louise

ตอนนั้นประมาณบ่าย 4 โมงเย็น ใกล้จะมืดแล้ว ก่อนที่จะไปเที่ยว Lake louise เราก็แวะเช็คอินก่อนที่โรงแรม Lake Louise Inn เก็บของเรียบร้อย ก็รีบออกไปที่ทะเลสาบ โดยขับรถต่อไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ประมาณ 5 นาที จอดรถเสร็จก็เดินไปที่ริมทะเลสาบเลย บรรยากาศตอนเย็นคนไม่เยอะมาก รูปถ่ายจะย้อนแสนนิดๆ เพราะพระอาทิตย์ใกล้จะลับยอดเขาเบื้องหน้า ถือว่าเป็นเวลาดีที่จะมาเดินเล่น ตอนนั้นน้ำแข็งยังละลายไม่หมดครับ แต่ก็ไม่จับเป็นแผ่นน้ำแข็ง สามารถเห็นพื้นน้ำสีฟ้าได้ ถือว่าสวยไปอีกแบบครับ ถ้ามาหน้าร้อนก็จะฟ้าๆ แต่เราชอบแบบมีน้ำแข็งนิดๆ ลอยอยู่แบบนี้นะครับ บรรยากาศเหมือนในเทพนิยายเลย อากาศหนาวมากลมแรงด้วยประมาณ 5-6 องศา จากที่เดินทางมาทั้งวันไม่หนาวมากก็เลยไม่ได้หยิบเสื้อกันหนาวติดมาด้วย 555 ได้สัมผัสความหนาวสมใจเลย ด้วยความสวยงามตื่นเต้นจนลืมหนาวไปเลยครับ สมใจ เราไป 2 รอบครับ คือ เมื่อไปถึงตอนเย็นหลังจากเช็คอิน และตอนเช้าก็ไปอีกรอบหลังเช็คเอ๊าท์ (แสงจะต่างกันออกไปคนละบรรยากาศเลย) ไปแต่เช้าประมาณ 8 โมงครึ่งเริ่มมีแดดนิดๆ คนไม่เยอะเลยแต่พอ 9 โมง ทัวร์นักเรียนญี่ปุ่นประมาณ 300 คน และทัวร์อื่นๆก็ลงตาม 555 โชคดีที่เรามาถึงก่อนและถ่ายรูปเสร็จแล้ว นี่คือข้อดีที่เราพักใกล้ๆ หากใครได้พักโรงแรม Fairmont Chateau ก็จะเห็นวิวทะเลสาบได้จากห้องพักเลย แต่เราจองไม่ทันเต็มซะก่อน แถมแพงด้วยคืนละประมาณ 2 หมื่นบาท

พิกัด : https://goo.gl/maps/fn69uMRaZmT2


นี่คือบรรยากาศตอนเย็นก่อนฟ้าจะมืด เราก็ใส่เสื้อดำมืดๆตามบรรยากาศ


นี่คือบรรยากาศ Lake Louise ตอนเช้าใส่ซะเหลือง+ส้ม ไม่เกรงใจใครเลย555 มาตอนเช้าเราจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า


เราพักโรงแรม Lake Louise Inn คืนละ 201 CAD จองกับอโกด้าชำระเงินล่วงหน้ามาแล้ว และต้องเสียภาษี 19.34 CAD + เซอร์วิสชาร์จอีก 8.40 CAD(รวมค่าอินเตอร์เน็ตไว้ด้วย) ตอนเช็คอินด้วย มีแจ้งไว้ตอนจองนะครับ ที่นี่เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่บรรยากาศอบอุ่นมากๆ ที่จอดรถกว้างขวางแต่เวลาลากกระเป๋าลงจากรถ ต้องยกขึ้นบันไดเอง ไมมีทางลาดขึ้นจากลานจอดรถ แต่ไม่เป็นปัญหาเพราะซุปตาร์แข็งแรง555 มีสระว่ายน้ำและอ่างจากุชชี่น้ำวนอุ่นๆ ในร่มตั้งอยู่ด้านหลังรีเซฟชั่นเลยครับ เสียดายไม่มีเวลาได้ลงมาแช่ผ่อนคลาย พิกัด : https://goo.gl/maps/ZUXuCQxqBEF2

(รูปจากทางเวปของโรงแรม)



Moraine Lake

ถือว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในทริปนี้เลย เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะสวยงามขนาดนี้

ทะเลสาบสีเขียวมรกตอมฟ้าแบบนี้ ไม่มีการแต่งภาพใดๆทั้งสิ้น ถูกล้อมลอบด้วยภูเขายอดแหลมที่ปกคลุมด้วยหิมะ มีทิวสนอยู่ด้านข้างๆ สวยงามบรรยากาศที่สุด

พิกัด : https://goo.gl/maps/1UBf1fzVzFs

หลังจากถ่ายรูปที่ lake Louise ตอนเช้า(วันที่ 24 พ.ค. 2561) เสร็จแล้ว เราก็ขับรถออกมาจะมีทางเลี้ยวชวา เรียกว่าถนน Moraine Lake Road ขับต่อไปจนสุดทางประมาณ 15 ที ก็จะถึงที่จอดรถ แล้วเราก็เดินลงทะเลสาบ หรือ เดินขึ้นบนยอดหน้าผาตรงข้ามที่จอดรถ (มีทางเดินอย่างดี) เพื่อถ่ายรูปสวยๆกัน ลมพัดแรงมาก อากาศหนาวจับใจ แต่ฟินน์ผุดๆ เราเดินทางไปวันที่ 24 พค 2561 เป็นจังหวะดีมากเพราะถนนทางเข้านั้นเพิ่งเปิดให้รถยนต์ผ่านได้ เมื่อวันที่ 22 พค 2561 (เปิดได้ 2 วัน) ควรเช็คตารางเวลาปิดปิดจากเวป https://www.pc.gc.ca/en/pn-np/ab/banff/visit/insta... ยังมีกองหิมะประปราย 2 ข้างทาง และ รถยนต์นักท่องเที่ยวไม่เยอะ ทั้งนี้มีเพื่อนรุ่นพี่เดินทางไปเที่ยวที่นี่ก่อนหน้าเราเพียง 1 สัปดาห์ก็อดเข้าไปเพราะถนนปิดในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะกองปิดถนนทั้งหมด โรงแรมที่พักบริเวณนั้นก็ปิดทำการ และ หลังจากที่เรากลับไปประมาณ 2 สัปดาห์ก็มีรุ่นน้องไปเที่ยวที่นี่เหมือนกัน ปรากฎว่า เค้าห้ามนำรถส่วนตัวขับเข้าไปถึงทะเลสาบเพราะปริมาณรถนักท่องเที่ยวเยอะมากและไม่มีที่จอดรถ พวกเค้าต้องจอดรถไว้ ณ จุดจอดรถด้านนอกแล้วต่อคิวขึ้นรถ Shuttle น่าจะเสียเงินด้วย รอคิวนานมากกว่าจะได้เข้าไปชมทะเลสาบนี้ แต่ก็คุ้มนะครับที่ได้ชมบรรยากาศทะเลสาบที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สวยไม่แพ้ Lake louise เลยทีเดียว ดังนั้นช่วงเวลาที่ถนนเปิดใหม่ๆ คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะขับรถไปเทียวที่ทะเลสาบนี้ เราไปเที่ยวได้จังหวะดีจริงๆ เราดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็เกือบเที่ยงละ ก็ลงมาจากจุดชมวิว แล้วขับรถต่อไปยังตัวเมือง Banff


Lake Louise Gondola

ในกูเกิ้ลจะพบว่ามันคือ Lake Louise Ski Resort ที่สถานีด้านล่างจะมีร้านอาหารและรีสอร์ท อยู่ระหว่างทางที่จะไปเมืองแบมฟ์ พอผ่านทางออก Lake Louise ข้ามถนนไฮเวย์ไป เราตัดสินใจแวะเข้าไปกระเช้าชมวิวทะเลสาบหลุยส์ กะว่าจะแค่ไปดูๆบรรยากาศและอาจจะกลับมาอีกทีวันพรุ่งนี้ แต่เราดูแล้วว่ายังมีเวลาเพราะเพิ่งจะเที่ยงนิดๆ พอเดินรอบๆ สอบถามราคาเสร็จเราก็ตัดสินใจขึ้นกระเช้าไปเลย 555 ไม่ผิดหวังครับ ข้างบนวิวสวยมาก เราเลือกระเช้าแบบ Open air หรือ Chair lift ที่เค้านั่งขึ้นไปเล่นสกีกันนั่้นล่ะ ที่สำคัญกระเช้าที่นี่ราคาถูกกว่า Banff Gondola เท่าตัว ที่สำคัญนักท่องเที่ยวไม่เยอะ ไม่ค่อยเห็นมีรีวิวซักเท่าไหร่ พอขึ้นไปด้านบนเราสามารถมองเห็น Lake Louise ไกลๆ บอกเลยว่าประทับใจมาก

พิกัด : https://goo.gl/maps/Rf3sEtbYMM32



Johnston Canyon

ระหว่างทางก่อนเข้าเมือง Banff มีที่เที่ยวอีกที่นึง คือ Johnston Canyon ที่แคนย่อนนี้มีทางเดินลัดเลาะไปตลอดริมลำธารเบื้องล่างร่มรื่นมาก เดินเหนื่อยหน่อยไกลนิด แต่คุ้ม ช่วงที่เป็นน้ำตกแต่ละจุดน้ำจะไหลแรงมาก

พิกัด : https://goo.gl/maps/5Kge741Qfw22

เผลอลบวีดีโอส่วนนี้ไปเกือบหมดเหลือมาให้ชมแค่นี้นะครับ


Banff Town

เราไปถึงเมือง Banff (อ่านว่า แบ๊มฟ์) ประมาณ 4-5 โมงเย็น ขับรถจาก Moraine Lake ขับรถไปประมาณ 72 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แผนเดิมคืออยากมาขึ้นกระเช้า Banff Gondola แต่เนื่องจากเราเพิ่งขึ้นกระเช้ามาแบบฟินมากๆแล้ว ก็เลย ยกเลิกแช่น้ำแร่ Banff Upper Hotspring ด้วยเลย ขอเดินเที่ยวเล่นในตัวเมือง Banff แทน ที่นี่เป็นเมืิองน่ารักพอๆกับ Jasper แต่ไม่เงียบเหมือนที่นั่น ที่นี่น่าอยู่ เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ร้านอาหารก็มีให้เลือกเยอะ อีกทั้งยังมีร้านขายของที่ระลึกอีกมากมาย ช็อปกันเพลินไม่เหงากันเลยทีเดียว แต่สินค้าที่นี่จะราคาสูงกว่าเมืองอื่นๆ เพราะมีภาษีท่องเที่ยวบวกเพิ่มมาอีก คืนนี้เราพักที่โรงแรม Bow View Lodge ราคาคืนละ 114.35 CAD ไม่รวมอาหารเช้า และไม่รวม wifi ซึ่งเราก็ทนใช้ 4G จากมือถือต่อไป

พิกัด : https://goo.gl/maps/zoqxWW44sAq

มีที่จอดรถให้ ตัวโรงแรมอยู่ติดกับแม่น้ำ Bow แต่ที่ห้องไม่มีวิวแม่น้ำ ต้องเดินออกมาข้างโรงแรม วิวแม่น้ำไม่ได้สวยงามซักเท่าไหร่ ก็แค่ชะโงกไปดูแว๊ปนึง

ขอแนบคลิปสั้นๆ บรรยากาศการขับรถเที่ยวในทริปนี้ก่อนเดินทางกลับไปยังเมือง แวนคูเวอร์เช้าวันรุ่งขึ้น

ถึงตัวเมืองแวนคูเวอร์ เรามุ่งหน้าไปเช็คอินที่โรงแรมก่อนเลย เราพักแถว Richmond Park โรงแรมอยู่ติดกับสวนริชมอนด์เลย โรงแรมที่พักชื่ Ramada Limited Vancouver Airport

พิกัด : https://goo.gl/maps/ZecFwTQTwjx

รวคารวมอาหารเช้า 4,192 บาท มีที่จอดรถชั้นใต้ดินไม่เสียเงิน เราต้องนำรถไปจอดรอข้างๆโรงแรมเพื่อเช็คอินให้เรียบร้อยก่อน แล้วเจ้าหน้าที่จะให้บัตรหรือรหัสสำหรับเข้าที่จอดรถชั้นใต้ดินด้านหลังของโรงแรม สะดวกดีมากครับ เช็คอินเสร็จเราก็ไปเดินเล่นที่สวน Richmond Park แล้วไปหาอะไรทานที่ห้าง Richmond Center เข้าไปในห้างส่วนมากมีแต่คนเอเชียที่อาศัยอยู่ในแคนาดานี้ ค้างที่นี่ 1 คืน เช้าวันรุ่งขึ้นเช็คเอ๊าท์เสร็จเราก็ไปคืนรถที่สนามบิน ให้ขับรถไปตามเลนที่เขียนว่ารถเช่า ได้เลยครับ และจอดรถไว้ ณ จุดจอดของบริษัทรถที่เราเช่าจากนั้นก็เดินไปเคลียร์เอกสารที่เค้าเตอร์เช่ารถ มีรอยต่างๆที่เกิดขึ้นก่อนที่เราจะรับรถ เจ้าหน้าที่รับรถจะชาร์จเงินเราเพิ่ม ทั้งที่ในเอกสารมีระบุจุดที่เป็นรอยก่อนหน้านี้แล้ว แต่พอเราแย้งว่าได้ซื้อประกันชั้น 1 ไว้ อาการเปลี่ยนเลย ให้เราคืนรถง่ายๆ แป๊บเดียวเสร็จ สังเกตว่าพนักงานรับรถบริษัทนี้เป็นแขกประมาณอินเดีย 555 เจอแขกกับเจองุ ให้ตีแขกก่อนสินะ ถึงเวลาเช็คอิน เข้าใช้บริการ Lounge เราใช้บัตร Priority Pass ที่ได้จากบัตรเครดิต Wisdom กสิกร ได้ 2 แห่งคือ SKYTEAM LOUNGE (Gate 53) or PLAZA PREMIUM LOUNGE (Level3)


กระเป๋าใบนี้สติ๊กเกอร์แปะเต็มไปหมด555


ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ก็รับแจกอาหาร และ แทปเล็ทสำหรับดูหนังเล่นเกมส์ เพราะเครื่องบินจาก แวนคูเวอร์-ฮ่องกง นั้นไม่มีจอทีวี (แปลกมาก ว่าบิน 11 ชั่วโมงทำไมเค้าไม่เลือกเครื่องที่มีออฟชั่นพร้อมหน่อย เป็นแบบนี้ทั้งขาไปและขากลับเลย) แต่เส้นทางฮ่องกง-กรุงเทพ บินแค่ 3 ชั่วโมง แต่ที่นั่งจะมีจอทุกที่

เหมือนเดิมเมื่อถึงฮ่องกงระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องเราก็ขึ้นไปใช้บริการเลาจน์ ที่บริเวณ Gate 40 และใช้บริการห้องอาบน้ำเหมือนเดิม เพื่อความสดชื่น


ค่าใช้ห้องอาบน้ำ หากไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไรนะครับ ครั้งละ 900 บาท!!!! (200 HKD)

สบายตัวแล้วก็ขึ้นเครื่องกลับโดยสวัสดิภาพ บินสู่สุวรรณภูมิเที่ยงคืนกว่าๆ ถึงแล้ว เราก็ต้องส่งคืน GPS navigator นำทางขับรถที่เช่า ไปส่งที่ไปรษณย์ในสนามบิน อยู่ชั้น 4 ตรงประตู W ช่วงเวลา 00.00-00.30 จะปิดทำการนะครับ และ เราก็รอต่อเครื่องในเล้าจน์บางกอกแอร์เวย์ (เล้าจน์เปิดตี 4 ต้องนอนรอแถวๆเก้าอี้ตรงเค้าเตอร์เช็คอินน่าสงสารมาก555) ไฟล์ทแรกสุด 6 โมงเช้ากลับภูเก็ตซะที สลบสไลกว่าจะดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้ก็ 2-3 วัน เพราะเจ็ทแล็ครับประทาน

จบแล้วจ้า พบกันทริปหน้า ประเทศไหนดี #ขอเก็บตังค์ก่อนนะ

🏝️🛥️🌟🌈🛶⛰️🔮🏕️🏖️📸✈️🎉🌤️🏖️🎃🎉🛫🗼🗻😍🏆🏖️🎵💰🛫🗼

ฝากติดตามรีวิวเก่าๆได้ตามช่องทางด้านล่างด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/SuptarTraveller/

https://pantip.com/profile/285380

https://th.readme.me/id/SuptarTraveller

#ซุปตาร์พาเที่ยว #SuptarTraveller #CanadianRockies #CanadaTrip2018

ซุปตาร์พาเที่ยว Suptar Traveller

 วันพฤหัสที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.19 น.

ความคิดเห็น