"2 วัน 1 คืน ที่กาญจนบุรี"

สารภาพเลยว่า..เกิดมาตั้งหลายปียังไม่เคยไปเที่ยวกาญเลย เคยไปครั้งสองครั้งแต่ตอนนั้นไม่ได้ไปเที่ยว ครั้งนี้เลยเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นมากกก และที่สำคัญยังนั่งรถไฟไปอีกด้วย พร้อมแล้วไปกันเลย Let's Goooo !!!

ทริปนี้เราไปทั้งหมด 11 คน เดินทางโดยรถไฟ เป็นรถไฟแบบแอร์ ซึ่งรถไฟก็จะมีทั้งธรรมดาก็คือรับลมกับเป็นแอร์ สารภาพว่าไม่ได้ชิวขนาดนั่งรับลมได้ และก็ถือว่าคิดถูกเพราะว่าร้อนมากแดดแรงเว่อร์ ใครไม่ได้สายชิวมาก ก็แนะนำให้นั่งแอร์ค่ะ สะดวกสบายกว่าเยอะ แอร์ก็เย็นถึงใจมาก

รถไฟคันนี้จะเป็น รถขบวนพิเศษนำเที่ยว กรุงเทพ-กาญจนบุรี เที่ยวรถไฟสายนํ้าตก ใครที่อยากจะมา One Day Trip ก็มาได้เลย เค้าจะแวะให้ตามจุดต่าง ๆ ไปกลับ ถือว่าคุ้มมากนะ แนะนำเลย แต่พวกเราไม่ได้ไปกลับเพราะจะไปค้าง 1 คืน แต่ตั๋วต้องซื้อไปกลับอยู่ดี คนละ 250 บาท

เวลาเดินทาง รถไฟออก 6.30 น. เช้ามาก เลยไม่มีเวลาถ่ายรูปที่สถานีเลย กำหนดเวลาคร่าว ๆ ถึงสถานีปลายทางนํ้าตก ก็จะประมาณ 11.30 น. ซึ่งระหว่างทางก็จะพาแวะตามจุดต่าง ๆ

รถไฟก็จะจอดรับคนตามสถานีต่าง ๆ การนั่งรถไฟครั้งแรกถือว่าชอบมาก ระหว่างทางได้เห็นวิวธรรมชาติมากกว่านั่งรถซะอีก ใครที่คิดจะมากาญอยากให้ลองนั่งรถไฟมาสักครั้งค่ะ รับรองเลยว่าติดใจ

นั่งไปคุยไปเพลิน ๆ ก็ถึงสถานีนครปฐมแล้ว สถานีนครปฐม จะเป็นจุดแรกที่เราจะได้ลงไปซื้อของกิน มีเวลาทั้งหมด 40 นาที ตรงเวลาด้วยนะคะเดียวตกรถไฟนะ

จะบอกว่าตลาดดีงามมาก ตลาดอยู่ตรงพระปฐมเจดีย์เลย มองไปก็เห็น แต่ว่าเราไม่ได้ไปถึงตรงนั้น เพราะแค่เดินตลาดก็หมดเวลาแล้ว ตลาดที่นี่ของกินอร่อยมาก ถูกมากด้วย อย่างข้าวเหนียวเนื้อห่อนี้ 25 บาทเอง ซื้อมากินบนรถไฟร้อน ๆ ข้าวเหนียวนุ่มมาก เนื้อดี อยากจะวนกลับไปซื้อสัก 10 ห่อ !!! ร้านอยู่ตรงหน้าตลาดเลยค่ะ สังเกตุง่าย ๆ มีคนต่อคิวเยอะ ต้องหยิบบัตรคิวด้วย แต่รอไม่นาน

จุดลงที่ 2 ก็คือ สะพานข้ามแม่นํ้าแคว มีเวลาให้ไปถ่ายรูป 20 นาที แดดแรงมากแต่ก็อยู่ถ่ายรูปกันจดหมดเวลา สะพานไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็สวยดี ถือเป็นแลนด์มาร์คของกาญจนบุรีที่ต้องถ่ายรูป

ถัดจากสะพานข้ามแม่นํ้าแควแล้วก็จะไม่ได้ลงจุดไหนอีก ระหว่างนี้ก็นั่งชมวิวข้างทาง วิวสวยมาก รถไฟขบวนนี้จะผ่านทางรถไฟสายมรณะด้วย แต่ด้วยความที่เรานั่งขบวนที่เป็นแอร์ เลยมองไม่เห็นเวลามันทางโค้ง แต่ถ้าใครนั่งแบบรับลมก็สามารถชะโงกหน้ามาดูได้

นั่งชมวิวไม่นานก็ถึงสถานีปลายทางแล้ว จะบอกว่าตอนแรกกลัวการนั่งรถไฟเพราะรู้สึกว่าช้า แต่พอมาเที่ยวแบบนี้คือไม่ช้าเลย เพลินมาก ดีมาก อยากมาอีกเลย สำหรับใครที่ One Day Trip เค้าจะมีเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงถ้าจำไม่ผิด สามารถไปนํ้าตกได้ แต่พวกเรานอนค้าง ก็เลยจะหาอะไรกินแล้วก็เข้ารีสอร์ทเลย

ร้านที่เรามากิน จะอยู่หน้าสถานีเลยหาง่ายมาก ชื่อร้านว่า J เจ สเตชั่น ขอแนะนำเลยว่าต้องมากิน ไม่ว่าจะมาแบบค้างคืนหรือไปกลับ อาหารดีงามพระรามแปดมากเว่อร์ ไม่ได้อวยเลยอร่อยจริง ๆ ไป 11 คน บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมาก โดยเฉพาะปลา สดมากดีมาก ควรสั่งเลยอะไรที่เป็นปลาไม่ผิดหวัง

และที่สำคัญนะถูกมาก เราสั่งกันเยอะมาก ๆ อ่ะ สั่งประมาณ 2-3 รอบ หมดไป 2,200 บาท หารกันตกคนละ 200 บาทเอง แต่กินแบบพายุมาก พนักงานก็น่ารักมากแนะนำดี ควรมามากร้านนี้

จากสถานีรถไฟ เราเหมารถสองแถวมา 500 บาท เพื่อมารีสอร์ท ซึ่งรีสอร์ทไกลมากพอสมควร ควรจะมีรถหรือติดต่อเหมารถเอาไว้ก่อน รีสอร์ทมีชื่อว่า Vorona Resort พี่ที่ทำงานได้มาจากงานไทยเที่ยวไทย บ้าน 2 หลังติดกันในราคา 9,100 บาทหารกันตกคนละปรัมาณ 800 กว่าบาท

บรรยากาศรีสอร์ทร่มรื่นมาก ต้นไม้เยอะมาก แต่ตั้งแต่มากาญยังไม่เจอลมพัดเลย 5555555555 แต่ก็ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่ หลังจาก Check-in แล้วเราก็จะนอนหลับสักแปป เพราะตื่นเช้ามาก จะนอนเอาแรงไปล่องแพตอนเย็น เพราะว่าที่รีสอร์ทติดแม่นํ้านี้ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมรีสอร์ทไกลนั้นเอง ราคาล่องแพอยู่ 11 คน 1,750 บาท คนละ 160 บาท จองตอน Check-in ได้เลย

บ้านก็ถือว่าตกแต่งได้สวยเข้ากับธรรมชาติดี บ้าน 2 หลัง มี 2 ชั้น ชั้นล่างสามารถทะลุหากันได้ มีห้องนั่งเล่น 2 ห้อง ก็เหมาะกับมาเป็นกลุ่ม แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยชอบคือ ไฟน้อยเกินไป เพราะเป็นคนชอบไฟสว่าง ๆ 5555555555 และก็ห้องนํ้าชั้นบน ถ้าสังเกตุจากรูปคือมีช่องโหว่อยู่ด้านบน ซึ่งแอร์จะติดตรงห้องนํ้า กลายเป็นว่าอาบนํ้าหนาวมาก ส่วนปลั๊กก็ดีไซน์มุมแปลก ๆ เลยหักคะแนนการดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้งานไป

ถึงเวลา 16.30 น. นอนพักเต็มอิ่มแล้วก็ได้เวลาไปล่องแพแล้ว ทางลงไปล่องแพจากรีสอร์ท ต้นไม้เยอะมาก ชอบมาก

ล่องแพจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างล่องแพใครจะกระโดดเล่นนํ้าลอยคอไปตามแพก็ได้นะคะ แต่พวกเรานั่งชิว ๆ เอาเท้าจุ่มนํ้าเย็น ๆ ก็แฮปปี้มากแล้ว ชอบมากกกกกกกกเลย ตอนล่องแพก็ควรใส่ชูชีพด้วยนะคะ เพื่อความปลอดภัย

กลับจากล่องแพเราก็ถ่ายรูปเล่นภายในรีสอร์ทเพื่อรอเวลาอาหารเย็น เราเลือกกินอาหารที่รีสอร์ทเพราะว่า ตอนไปงานไทยเที่ยวไทย จองโรงแรมแถมปลาทอด 2 ตัว เราก็เลยกินอาหารเย็นที่นี่และก็สั่งเพิ่มเอาอาหารอร่อยมาก กินเยอะมากเหมือนเดิม ขนาดไม่ได้เล่นนํ้า ทุกคนสั่งแล้วสั่งอีก จนรวมค่าอาหารมาทั้งหมด 3,590 บาท ตกคนละ 300 กว่าบาท แต่ก็ถือว่าราคาโอเคอยู่ แต่อาจจะแพงกว่าร้านแรกเพราะอยู่ในโรงแรม แต่ปลาอร่อยมากเหมือนกัน เพิ่งรู้ว่าปลาที่กาญจนบุรีอร่อยมาก 55555555555555

-DAY 2-

เช้าวันที่ 2 อาบนํ้าแต่งตัวมากินอาหารเช้าตอน 8 โมง อาหารก็ไม่ได้มีอะไรมาก มีเหมือนรีสอร์ททั่วไป แต่ก็อร่อยดี เราใช้เวลากินสักพัก รถตู้ที่จองไว้ก็มารับ เราเหมารถตู้ขากลับเพราะอยากเที่ยวแวะที่อื่นด้วย เลยตัดสินใจกลับรถตู้ เหมามาในราคา 2,000+ ค่าน้ำมันรถ 1,300 ที่แรกที่เราจะไปแวะก็คือปราสาทเมืองสิงห์

ที่ปราสาทเมืองสิงห์เป็นสถานที่ถ่ายทำในเรื่องนาคีด้วย ฉากที่อาจารย์และกลุ่มของพระเอก เข้ามาสำรวจประวัติศาสตร์โบราณคดี

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี พระองค์ได้รับการเคารพยกย่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณา รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครแล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้

หลังจากเดินสำรวจไม่นาน ทัวร์นักเรียนที่มาทัศนศึกษาใส่ชุดยุวกาชาดสีฟ้ากว่าร้อยชีวิตก็มา เพราะฉะนั้นแนะนำว่าให้มาเช้า ๆ นะคะ ถ้าไม่อยากถ่ายรูปติดคน เสร็จจากปราสาทเมืองสิงห์แล้วเป้าหมายต่อไปของเราก็คือไปนั่งชิว ๆ ที่ Cafe

ที่ ที่เรามาก็คือ The Village Farm To Cafe' นั้นเอง อยากจะบอกว่าใครที่มาเที่ยวกาญ ควรแวะมาก ร้านดีมากกกกก สวยมากกกกก และเป็นคาเฟ่ที่ใหญ่มาก ตอนไปถึงคนเยอะพอสมควรเพราะเที่ยงแล้ว แต่ก็รอคิวไม่นาน

เราตั้งใจมากินของหวานที่นี่มาก อ่านรีวิวมาแล้ว ว่าที่ The Village Farm To Cafe' ต้องกิน เต่าปังลุยสวน ซึ่งดีมาก กลิ่นเมล่อนหอมมาก เป็นเมนูที่มาแล้วต้องสั่ง อร่อยด้วยถ่ายรูปสวยด้วย ซึ่งจำราคาไม่ได้แต่ทั้งหมดคือราคาไม่แพงเลยถ้าเทียบกับคาเฟ่อื่น ๆ แถมรสชาติดีมาก อะไรที่เป็นเมล่อนสั่งเลยค่ะ อร่อยทุกอย่างจริง ๆ

กินของหวานเสร็จก็เดินออกไปดูบริเวณรอบ ๆ เป็นคาเฟ่ที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ไปมาแล้ว กว้างมาก มีป่าไผ่ด้วย ถ่ายรูปรัว ๆ ไปเลย

ของหวานเสร็จ ตอนแรกจะกินของคาวที่ The Village Farm To Cafe' เลย แต่ว่ายังอิ่มอยู่ ก็เลยตัดสินใจกันว่า ไปกินป้ายหน้าละกัน ที่ที่เราไปกิน คือ ร้านอาหาร แพริมเขื่อน

เมนูที่สั่งก็จะมีปลาอีกแล้ว ติดใจปลาที่นี่ ซึ่งปลาร้านนี้ก็สดดีงามเลย ไม่แพ้ร้านแรกกับที่รีสอร์ทเลย แต่ว่านํ้าราดอร่อยไม่เท่าร้านแรก รวม ๆ ก็คืออร่อยมากเหมือนกัน แต่ยังสู้ร้านแรกไม่ได้ และก็ราคาแพงกว่า ราคารวม 2,260 บาท ราคาดูใกล้เคียงกว่าร้านแรกซึ่งจริง ๆ แล้วเราสั่งน้อยกว่า แต่โดยรวมถือว่าอร่อยค่ะ คนเยอะด้วย น่าจะเป็นร้านขึ้นชื่อ

กินข้าวเสร็จ ที่สุดท้ายที่เราจะไปก็คือ ต้นจามจุรียักษ์ กาญจนบุรี นั้นเอง ต้นนี้มาอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว เมื่อไปเห็นกลับตาคือ ต้นใหญ่มากกกกกกกกกก คือแบบสวยมาก ๆ เลย เป็นสถานที่ ที่เป็นต้นไม้ต้นเดียว แต่เราชอบมากกกกกกกกกก ประทับใจจริง ๆ

และทั้งหมดก็คือทริปกาญจนบุรี แบบไม่ต้องลางาน 2 วัน 1 คืน ก็ถือว่าคุ้มมาก ๆ เปิดประสบการณ์การเที่ยวด้วยรถไฟ ได้ทั้งธรรมชาติ ได้รูปสวย ๆ จากคาเฟ่ ได้กินอาหารอร่อยในราคาที่ไม่แพง เป็นทริปกาญครั้งแรกที่ประทับใจมาก ต้องมาอีกแน่ ๆ ยังไงถ้ามีโอกาสมาอีกไว้จะมาแชร์ให้ฟังอีกนะคะ : )

Puifaikamon

 วันพฤหัสที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 16.31 น.

ความคิดเห็น