การเดินทางทำให้เกิดการเรียนรู้



แม้จะเป็นคำกล่าวที่แสนคลาสสิค จนใครๆ เดาออก แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นในทุกการเดินทางว่า อย่างน้อยเราต้องได้อะไรติดสมองกลับบ้านบ้าง

ไม่มากก็น้อย



ดานัง คือ จุดหมายที่ผมน้อมรับมาอย่างเต็มใจจาก KTC Vietjetair และ Accor Hotels อย่าง Grand Mercure Danang



12-11-2561 : 11.00



เที่ยวบินจากสุวรรณภูมิถึงดานังราบรื่น สนามบินที่นี่ยังดูใหม่ เหมือนเพิ่งเปิดได้ไม่นาน การคมนาคมระหว่างสนามบินกับจุดหมายในเมืองยังไม่มีตัวเลือกอื่นสำหรับนักท่องเที่ยวนอกจากแท็กซี่ ซึ่ง Grab กับแท็กซี่มีเตอร์ดูน่าเชื่อถือที่สุด





-- Grand Mercure Danang มองชีวิต มองเมือง --



ไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เราถึง Grand Mercure Danang มี Hung จากแผนกต้อนรับ กับ Nguyen จากแผนกการตลาดมาต้อนรับ โรงแรมจัดห้อง Deluxe Twin Privilege ให้ ได้สิทธิพิเศษเช็คอิน รับประทานอาหารเช้าใน Privilege Lounge บนชั้น 21 ของโรงแรม



ขณะที่กำลังสอบถามข้อมูลกับทางโรงแรม ผมเห็นอะไรบางอย่างเมื่อมองผ่านผนังกระจกใสของเลานจ์



เรือไม้ลำน้อยลอยลำกลางพื้นน้ำสีชานม ผมอยากจะคว้ากล้องมากดใจจะขาด แต่อยากเข้าถึงช่วงเวลาของความมีชีวิตของดานัง ผ่านเรือลำเล็กๆ ของชาวบ้านธรรมดา ที่ฝากชีวิตไว้กับแม่น้ำยิ่งใหญ่ ในเมืองกว้างและตึกสูงใหญ่บอกความแตกต่างอยู่ด้านหลัง



"บางครั้งผมก็ไม่ถ่าย หากผมชอบช่วงเวลา...

หมายถึง โดยส่วนตัวผม...

ผมไม่ชอบให้กล้องเข้ามาขัดจังหวะ

ผมแค่อยากอยู่...ในนั้น"



นั่นมัน ฌอน ในหนัง แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ ผมกับฌอน เราอยู่คนละสถานะกัน รู้สึกตัวอีกที เรือลอยลำไปไกล สายที่จะเปลี่ยนใจ



พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ สามเช้าที่นี่ คงได้รูปสักวัน



“เราจัดห้องวิวสวยให้ เห็นเมืองดานังกับสะพานทั้งสาม” ผมนึกถึงคำพูดของฮุง จากมุมสูงแม่น้ำฮันคือสายเลือดใหญ่ไหลผ่านกลางเมือง มีย่านการค้าขนาบข้าง เห็นเรือประมงประปราย สะพานมังกรโดดเด่นเป็นแลนด์มาร์คกลางเมือง จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ ผมคาดว่า ดานังกำลังพัฒนาเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการค้าได้ไม่ยาก



-- ดานัง ข้างถนน --



บ่ายๆ ผมกับป๋องเดินเลียบแม่น้ำฮันฝั่งซ้าย ลัดเลาะไปเรื่อยๆ อาคารต่างๆ ยังดูใหม่ ไม่เก่าแบบฮานอยหรือเมืองเก่าอื่นๆ ที่ผมผ่านตา ร้านอาหารส่วนมากยังไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ ชีวิตผู้คนมีกลิ่นอายเวียดนามชัดเจน



ภาพร้านอาหารริมถนนกับโต๊ะเล็กๆ ล้อมรอบด้วยเก้าอี้เตี้ยๆ มีอยู่ทั่วไป แม่ค้าหาบเร่สวมงอบเวียดนามริมถนนยังมีบ้าง ร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์มีเยอะกว่าบ้านเรา ผมกดชัตเตอร์เรื่อยๆ ทีเผลอบ้าง ขอตรงๆ บ้าง โดยรวมคนที่นี่อัธยาศัยดี อาจจะดูขรึมๆ ตอนแรกเห็น แต่คุยแล้วน่ารัก พยายามสื่อสารแม้จะไม่รู้ภาษาอังกฤษ ทำไปทำมา เราพูดอังกฤษไป เขาพูดเวียดนามมา ใส่ท่าทางประกอบเยอะๆ รู้เรื่องกันได้ไม่ยาก



มื้อเที่ยงเราจบที่อาหารคล้ายๆ เฝอ รู้ทีหลังว่าเขาเรียก Bo (บ่อ) มีน้ำซุปรสจัดจ้านกว่าด้วยซอสพริก หอมตะไคร้ สีคล้ายๆ น้ำต้มยำที่ไทย

ตกจานละประมาณ 40 บาท



เราทอดน่องเรื่อยๆ เดินชม Han Market แบบไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่องราวอะไรหรอก อาศัยจับกล้องกดชัตเตอร์ไป สื่อสารกันด้วยรอยยิ้มเป็นหลัก เย็นๆ นั่งรอพระอาทิตย์ตกที่สะพานมังกร ชีวิตยามเย็นของคนที่นี่ไม่ต่างกับบ้านเรา ปั่นจักรยานริมน้ำ คนมีอายุพาลูกหลานมานั่งเล่น วัยรุ่นเล่นจักรยานผาดโผน หลายคู่นั่งพลอดรักรสหวานไปพร้อมๆ กับการลาลับของพระอาทิตย์



ยามค่ำทั้งเมืองจะสว่างไสวด้วยแสงสีหลากหลายประดับประดาอาคาร ไม่เว้นแม้แต่สะพานทั้งสาม ผมรู้สึกเหมือนกำลังนั่งเล่นอยู่แถวมารีน่าเบย์ สิงคโปร์ ผสมการแสดง Symphony of Lights ที่ฮ่องกง



ถนนทุกสายสว่างไสวด้วยไฟจากร้านเบียร์ ร้านน้ำชา ที่จัดโต๊ะ เก้าอี้เล็กๆ ทุกตัวให้หันหน้าออกถนน

ผมแอบสงสัยว่า



ถ้าคนที่นี่นั่งโต๊ะเรียงหน้ากระดาน แล้วเวลาคุยกัน จะมองตารับรู้ความรู้สึกกันได้อย่างไร หรือเราเคยชินกับการนั่งสนทนาแบบวงกลม



เราใช้เวลาทอดน่องเลียบแม่น้ำกลับโรงแรม กลางแสงสีรอบด้าน บรรยากาศเป็นใจ นักรักวัยรุ่นหลายคู่นั่งพูดคุยกระหนุงกระหนิง มีคนตกปลายืนรอสัญญาณเบ็ดบ้าง มองกว้างๆ ชีวิตของคนยามเย็นดูนิ่ง ช้า เหมือนรอให้เวลาค่อยๆ ผ่าน พอๆ กับสายน้ำฮาน หากมองผ่านๆ แทบไม่เห็นความเคลื่อนไหว



-- Ba Na Hills : แลนด์มาร์คท่องเที่ยวที่มีความมินิมอลซ่อนอยู่ --



Loi หนุ่มแวียดนามแนะนำให้เรารีบไป Ba Na Hills ก่อนบ่าย เพราะตอนเช้าอากาศจะสดใสกว่า หลังจากที่ผมพลาดร่วมทริปเดินเที่ยวกับ Danang Free Walking Tour



กระเช้าเหลืองที่กินสถิติยาวที่สุดในโลกและมีความเป็นที่สุดอีกสามสี่อย่างของกินเนสส์บุ๊ค พาเราไปตามสายสูงเหนือภูเขา มีวิวภูเขาจรดทะเลอยู่เบื้องล่าง ไม่น่าเชื่อว่าเมืองตากอากาศเมื่อสมัยเวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสที่เคยถูกทิ้งร้างมาระยะหนึ่ง จะถูกพัฒนาจนกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของดานังได้ในปัจจุบัน



ผู้คนมากมายทั้งนักท่องเที่ยวและคนเวียดนามเอง หลั่งไหลมาดื่มด่ำบรรยากาศ สนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ ข้างบน ผมไม่ใช่สายเอนเตอร์เทน จึงค่อยๆ เดินหลบหลีกความวุ่นวายหามุมสงบเงียบๆ ยกกล้องถ่ายตามตรอกซอกซอย จับภาพกิจกรรมของคนบ้าง เมื่อมองผ่าน ทุกอย่างเหมือนสิ่งเล็กน้อยธรรมดา เห็นอยู่ทั่วไป ถ้ามองนานๆ ด้วยใจ ผมยิ่งรู้สึกได้ถึงความหมายของทุกอย่างที่ซ่อนอยู่



บ่ายวันนั้นเรากลับมาเตร็ดเตร่รอบๆ เมืองอีกรอบ ลองอาหารจานเด็ด Banh Xeo Ba Duong ภาษาอังกฤษเขาเรียก แพนเค้กเวียดนาม จะมีแป้งทอดกับกุ้งเหลืองๆ เหมือนขนมเบื้อง มีหมูปิ้ง มีผักคล้ายแหนมบ้านเรา เวลากินเอาแผ่นแป้งใส ห่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน จิ้มด้วยน้ำจิ้มเหมือนมีกลิ่นกะปิเวียดนามผสมถั่ว อร่อยละลายในปากดี



ระหว่างรอถ่ายแสงเย็นสะพานมังกร เราสาวเท้าไปเรื่อยๆ เจอร้านของหวานมีกะทิข้นใส่กับผลไม้รวม มีทุเรียนเป็นพระเอก อร่อยแปลกสดชื่นยามร้อนดี



-- Dragon Bridge : มังกรกับดวงตารูปหัวใจ --



“รู้ไหมว่าทำไมดวงตาและปลายหางของมังกรจึงมีรูปหัวใจ”



Vy หนึ่งในสามสาว Trang และ Tuyen นักศึกษา ถามผมตอนเช้าวันสุดท้าย ขณะเราเดินเที่ยวตามโปรแกรมของ Danang Free Walking Tour ผมส่ายหน้า เธอบอกผมต่อว่า ตามความเข้าใจของฝรั่ง มังกรคือสัตว์ดุร้าย ในขณะที่คนเอเชียคิดอีกอย่าง คนออกแบบเลยจับหัวใจใส่ในตาและปลายหาง เพื่อเพิ่มความอ่อนโยนให้มังกรตามความเชื่อตะวันออก



ภาพถนนหกเลน มีมังกรสีทองพาดยาวกลางสะพาน ตอนกลางวันตัดกับพื้นฟ้าสีเข้ม ตอนเย็นถึงกลางคืนจะมีแสงสว่างสีต่างๆ เปลี่ยนไปมา ที่พิเศษคือทุกเสาร์ อาทิตย์และวันหยุด มีการแสดงแสง สี เสียง อลังการกว่าวันธรรมดามาก



-- Tran Thi Ly Bridge : สะพานผ่านเมือง --



ยามเช้าเวลาแสงทองเริ่มสาดเมืองดานัง สะพานนี้เหมาะที่สุด สำหรับการเดินเล่น ดูเมืองก่อนสาย มีสะพานมังกรทอดยาวเหนือน้ำฮาน เห็นคนเมืองสัญจรไปมา ไกลออกไปมีเมืองขนาบแม่น้ำ ภูเขาประดับเป็นพื้นหลังอยู่ลิบๆ หมอกขาวบางยังคลุมเมืองให้พอรู้ว่าอากาศที่นี่ยังมีความเย็นสบายอยู่

ผมเจอเรือประมงลำเล็กที่อยากถ่ายตั้งแต่วันแรกแล้ว ก่อนลอดสะพานจากไป เราโบกมือให้กันด้วย



-- Danang Beach : ชายหาดไร้เสียง ริมทะเลไม่สงบ --



ชายหาดของดานังลากตัวยาว อ่อนโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมในอ้อมกอดของตึกสูง ธงแดงปักอยู่เป็นระยะ เหมือนกำลังยืนประกาศว่าหน้านี้ไม่ใช่ฤดูเล่นน้ำ ภาพนักท่องเที่ยวริมทะเล เลยเปลี่ยนไปจากที่คุ้นตา



นักท่องเที่ยวคว่ำกาย เอาแผ่นหลังรับแดด นอนอ่านหนังสืออย่างสงบ ทิ้งให้คลื่นซัดหาดวุ่นวายอยู่เบื้องหลังอย่างไม่แยแส



คนที่มีความสุขกับการออกกำลังกายใช้พื้นทรายนุ่มๆ เป็นสนามฝึกซ้อม วิ่งสูดอากาศเคียงข้างคนรัก



บางกลุ่มกำลังสนุกสนานกับ Paddle Board และความไม่นิ่งของพื้นน้ำ



สิ่งที่ผมชอบมากที่สุด คือ ต้นมะพร้าวริมหาด ดูออกว่าเป็นการปลูกใหม่เกือบทั้งหมดบบพื้นหญ้าสีเขียวที่ได้รับการดูแลอย่างดี ได้เห็นการพยายามคืนธรรมชาติให้ธรรมชาติแทนการเอาใจแต่นายทุน



-- Han Market : ตลาด คือ หน้าต่างเมือง --



จากที่เดินถ่ายรูปงูๆ ปลาๆ ในตลาด เช้านี้ผมสลัดความค้างคาใจ นัดแนะกับ Loi ให้จัด Danang Free Walking Tour ให้ โดยมีน้องนักศึกษาสามคนนำเที่ยว Vy, Trang และ Tuyen เราเดินไป คุยกันไป ผมก็ถ่ายรูปไป ตลาดนี้มีมาตั้งแต่สมัยอาณานิคม พ.ศ. 2483 แล้วปรับปรุงใหม่เมื่อปี 2532 กลายเป็นสองชั้น ชั้นล่างมีของขายเหมือนตลาดสดบ้านเรา ชั้นบนจะเพิ่มเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว มีเสื้อผ้าพื้นเมืองเวียดนามขาย เดินไปริมสุดบนชั้นสองจะมีช่างตัดเย็บไว้บริการ เผื่อใครอยากซื้อแค่ผ้าชิ้นแล้วตัดเสื้อ กางเกงตอนนั้นเลย

น้ำปลากลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผม เพิ่งรู้ว่าที่นี่มีน้ำปลาหลายแบบและขึ้นชื่อมาก จะมีวัตถุดิบจากปลา มะเขือขาว กุ้ง ใช้เวลาหมักประมาณครึ่งปี เพราะกลิ่นแรงมากเวลากิน Trang บอกว่าต้องทำให้สุกอีกที ใส่หอม กระเทียมเพิ่มไปเพื่อดับกลิ่นและปรุงรส ลูกชิ้นปลาของที่นี่ก็มีชื่อสำหรับคนท้องถิ่นมาก



-- Danang Cathedral : โบสถ์สีชมพูกับไก่บนยอด --



โบสถ์หลังนี้เป็นจุดต้องแวะของนักท่องเที่ยว ด้วยเป็นหลังเดียวที่ก่อสร้างในสมัยฝรั่งเศสยึดครองและเก่าแก่ที่สุดของดานัง



Tuyen ชี้ให้ผมดูไก่บนยอดโบสถ์ แล้วบอกว่า เมื่อก่อนบางคนทำนายสภาพอากาศง่ายๆ จากไก่ ถ้าไก่บนลูกโลกหมุนแรง แปลว่าพายุจะมา เธอบอกว่าสมัยแรกๆ ตัวอาคารจะเป็นสีแดงจากอิฐ แลัวเปลี่ยนสีเป็นชมพูในสมัยต่อมา



14-11-2018 : 11.00



หลังจากพยายามทำความรู้จักดานังจากสิ่งที่คั่งค้างในใจตลอดช่วงเช้า นาทีสุดท้ายมาถึงเร็วมาก ตลอดสามวันที่ผมนับเวลาได้แค่ 48 ชม. หรือ 2880 นาที วันหนึ่งถ้าเดินทางมาสักระยะ เราจะรู้ว่า ต่อให้เชี่ยวโลกขนาดไหน มีข้อมูลแน่นยังไง ถ้าไม่พยายามเข้าหาคนท้องถิ่น สร้างมิตรภาพใหม่ เราจะพลาดเรื่องราวมากมายที่ google ไม่ได้กล่าวไว้



เครื่อง take off ดานังมุมสูงกำลังถอยห่างไปจากระยะมองเห็น ผมรู้สึกว่า ดานังกำลังโต โชคดีที่ได้รู้จักเมืองนี้ในเวลานี้ แม้จะยังไม่สนิท

แต่คุ้มค่ามากกว่าที่คิด



ใช่ ผมได้เรียนรู้



ขอบคุณ

KTC

Thai Vietjet Air

Grand Mercure Danang



ติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราที่ Facebook Page : https://www.facebook.com/aroundworld.space/

traveltrap

 วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 23.00 น.

ความคิดเห็น