สวัสดีค่ะ ทุกคน 😊

รีวิวนี้เป็นรีวิวแรกของเรานะคะเนื่องจากก่อนที่เราจะออกตะลุยทริปนี้ เราได้หาข้อมูลอ้างอิงมากมายจาก blog รีวิวเราจึงอยากาแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวของเรากับเพื่อนให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ เผื่อว่าข้อมูลของเราจะมีประโยชน์กับใครที่สนใจไปเที่ยวหลีเป๊ะเหมือนเรานะคะ

Note: การเดินทางครั้งนี้เราและเพื่อนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมดเองค่ะ ไม่มีสปอนเซอร์ใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ

ทริปหลีเป๊ะของเราขอเรียกว่า ทริปเปื่อยๆ กับคนป่วยๆ นะคะ เพราะเรากับเพื่อนดันมาไม่สบายพร้อมกันก่อนออกเดินทางพอดี แต่ด้วยความงก :-D ค่าตั๋วเครื่องบินและค่าโรงแรม ทำให้เราเกิดแรงฮึดออกเดินทางกันตามแพลนเดิมที่วางไว้ค่ะ

การเดินทางไปยังเกาะหลีเป๊ะสามารถไปได้หลายเส้นทางมากค่ะ แต่จากการหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เราคิดว่า เส้นทางที่สะดวกที่สุดคือ นั่งเครื่องบินไปยังสนามบินหาดใหญ่ จากนั้นเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมงไปยังท่าเรือปากบารา จ. สตูลและต่อเรือโดยสารอีกประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงไปยังเกาะหลีเป๊ะค่ะ (โดยรวมแล้วใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งวัน -0- )

เนื่องจากช่วงที่เดินทางไป (1 -3 ธ.ค.) เป็นช่วง High Season ของทะเลทางใต้ก่อนออกเดินทาง 3 วัน เราจึงทำการจองรถตู้จากสนามบินหาดใหญ่ไปยังท่าเรือปากบาราและจองเรือสปีดโบ๊ทข้ามไปเกาะหลีเป๊ะล่วงหน้าค่ะ โดยเราเลือกใช้บริการของเอเจนซี่เจ้านึงค่ะ สำหรับรายละเอียดเอเจนซี่ ถ้าสนใจรบกวนติดต่อหลังไมค์นะคะ

ภาพตัวอย่างวิธีการเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะค่ะ

สำหรับรถยนต์จากสนามบินหาดใหญ่ไปยังท่าเรือปากบารา มีให้เลือกหลายแบบหลายราคามากค่ะ มีตั้งแต่รถเหมาส่วนตัวไปจนถึงรถตู้โดยสาร 12 ที่นั่งค่ะ เพื่อนๆ สามารถดูรายละเอียดได้ตามหน้าเว็บไซต์ของเอเจนซี่เจ้าต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบราคานะคะ สำหรับตารางด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างราคารถเช่าและเรือข้ามไปเกาะหลีเป๊ะค่ะ












เรากับเพื่อนเลือกเป็นรถตู้ VIP สำหรับเดินทางจากสนามบินหาดใหญ่ไปยังท่าเรือปากบาราและเรือสปีดโบ๊ทจากท่าเรือปากบาราไปยังเกาะหลีเป๊ะค่ะทั้งนี้เวลาจองรถตู้และเรือ เราแนะนำให้จองทั้งขาไปและขากลับพร้อมกันนะคะ เพราะเราจะได้กำหนดเวลาในการทำกิจกรรมได้ง่ายขึ้นค่ะ

ตารางเวลารถตู้และเรือสปีดโบ๊ทที่เรากับเพื่อนเลือกจองค่ะ

ขาไป ( 1 ธ.ค. ) :

  • รถตู้จากสนามบินหาดใหญ่ (08.30) - ท่าเรือปากบารา
  • เรือสปีดโบ๊ทจากท่าเรือปากบารา (11.30) – เกาะหลีเป๊ะ
  • เกาะหลีเป๊ะ (09.30) – ท่าเรือปากบารา
  • ท่าเรือปากบารา (11.30)– ตลาดกิมหยง - สนามบินหาดใหญ่

*Note* ที่เราเลือกเที่ยวเรือสปีดโบ๊ทออกจากท่าเรือปากบาราเวลา 11.30 เพราะเรือทุกลำจะมีการแวะพาเที่ยวชมเกาะตะรุเตาและเกาะไข่ ก่อนที่จะพาเราไปส่งยังเกาะหลีเป๊ะค่ะหากเป็นเที่ยวเรือหลังจากนี้ อาจจะได้แวะชมหรือไม่ได้แวะค่ะ

ขากลับ ( 3 ธ.ค. ) :

*Note* รถตู้ขากลับเราเลือกเพิ่มบริการเสริมแวะชอปที่ตลาดกิมหยงก่อนไปสนามบินค่ะ โดยเค้าจะคิดเพิ่มคนละ 200 บาท

เมื่อจองรถตู้และเรือเรียบร้อย เราก็เคลียงาน เตรียมความพร้อมสำหรับทริปหลีเป๊ะได้เลย เย้ 5555



Day 1: สนามบินสุวรรณภูมิ – หาดใหญ่ - ท่าเรือปากบารา - เกาะหลีเป๊ะ

เรากับเพื่อนเลือกเดินทางขาไปด้วยเที่ยวบินของสายการบินสีส้มค่ะ เครื่องออกจากสุวรรณภูมิ 06.15 ถึงสนามบินหาดใหญ่เวลา 07.40เพราะกลัวว่าคิวเช็คอินที่สนามบินจะยาวก่อนออกเดินทางเราจึงเลือกเช็คอินออนไลน์ผ่านหน้า website ของสายการบินค่ะ ดังนั้น พอไปถึงสนามบินเราก็ตรงไปที่เคาท์เตอร์ bag drop ได้เลยค่ะ

เมื่อทำการโหลดกระเป๋าเรียบร้อย เราก็เดินมุ่งหน้าไปยังจุดตรวจสัมภาระสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศและไปรอเรียกขึ้นเครื่องที่หน้า Gate ได้เลยคร้า

เมื่อเครื่องบิน Take off ได้สักพัก พนักงานก็จะเดินบริการอาหารว่างบนเครื่องบินค่ะ วันนี้เมนูที่เราได้รับคือ สปาเกตตี้ไก่เปรี้ยวหวาน ต้องเลยบอกว่า รสชาติอร่อยมากกก ก,ไล่ล้านตัว จนอยากขอเพิ่มเลยค่ะ 😋 พออิ่มหนำสำราญกันแล้วก็มีเวลาพักผ่อนกันอีกสักเล็กน้อยก่อนที่เครื่องบินจะเดินทางถึงสนามบินหาดใหญ่ค่ะ

เมื่อเครื่องบิน Landing และรับสัมภาระที่สายพานเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่ประตูทางออกหมายเลข 8 ที่นัดกับรถตู้ที่จะพาเราไปยังท่าเรือปากบาราค่ะ

*Note* รถตู้ที่เราจอง ทางคนขับรถจะโทรหาเราก่อนวันเดินทาง 1 วันเพื่อคอนเฟิมเวลาและจุดนัดพบที่สนามบินค่ะ

รถตู้พาเราเดินทางมาถึงท่าเรือปากบาราประมาณ 10.20 ค่ะ โดยจอดรถที่หน้าสำนักงานของเอเจนซี่ที่อยู่ตรงข้ามกับท่าเรือค่ะที่สำนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะให้ตั๋วเรือเรา พร้อมกับอธิบายการเดินทางค่ะจากนั้นเรามีเวลาอีกเล็กน้อยสำหรับเติมท้องอันว่างเปล่า 555 😂 เรากับเพื่อนฝากสัมภาระไว้ที่สำนักงานเอเจนซี่แล้วออกไปหาข้าวกลางวันกินกันค่ะบริเวณใกล้ๆ นั้นมีร้านอาหารขายหลายร้าน เราเลือกมากินอาหารที่ร้าน Bundhaya Kitchen ค่ะ

อาหารที่สั่งกันคือ ข้าวผัดสุลต่าน ข้าวราดไข่เจียวห่อหมกทะเล และข้าวไก่กอแระ (คล้ายข้าวราดมัสมั่นไก่) ตอนแรกเราแอบกลัวรสชาติอาหารนิดนึงค่ะ เพราะเราเป็นคนที่ไม่กินอาหารที่ใส่ขมิ้นกับเครื่องเทศมีกลิ่นฉุน ซึ่งพออาหารมาก็แอบทำใจก่อนกินแปบนึง เพราะอาหารหน้าตาดูมีสีเหลืองนวล ต้องเต็มไปด้วยเครื่องเทศแน่นอน =/l\= แต่เอาน่ะ อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล จะไม่ลองชิมอาหารประจำถิ่นเลยก็เป็นไปไม่ได้ กลั้นใจลองตักข้าวผัดสุลต่านใส่ปากก่อนเลย

อุ้ย! อร่อยจ้า 😍😍😍 เซอร์ไพรส์มากค่ะ เพราะขนาดร้านข้าวหมกไก่ดังๆ ในกรุงเทพฯ เราไม่เคยกินได้เลย แต่ข้าวผัดสุลต่านจานนี้รสชาติดีมากๆ ค่ะ กลิ่นก็ไม่ฉุนเครื่องเทศจนเกินไป กลมกล่อมสุดๆ จานแรกผ่าน จานที่สองและสามก็ไม่ยากที่จะลองต่อๆ ไป 😋

เมื่ออิ่มกับอาหารกลางวันแบบเร่งรีบแล้ว เรามีเวลาประมาณ 15 นาทีในการซื้อของก่อนไปรวมตัวที่ท่าเรือค่ะ (เจ้าหน้าที่เอเจนซี่แนะนำว่า ควรเข้าไปรอที่ท่าเรือก่อนเวลาเรือออกประมาณ 30 นาทีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องต่อคิวยาวในการจ่ายค่าธรรมเนียมอุทยานและเพื่อให้ได้คิวแรกๆ ในการลงเรือค่ะ)

บริเวณท่าเรือมีร้านขายของจิปาถะมากมายทั้งชุดว่ายน้ำ รองเท้าแตะให้เลือกค่ะ โดยราคาก็จะแอบสูงกว่าที่อื่นนะคะ ถ้าเป็นไปได้ เราว่าเตรียมพร้อมไปจากบ้านจะประหยัดกว่าค่ะเรากับเพื่อนมุ่งหน้าไปที่ร้านเซเว่นเพื่อตุนของกินที่จะไปเกาะกันค่ะเพราะจากรีวิวหลายๆ อันบอกว่า ราคาอาหารบนเกาะค่อนข้างสูง เราจึงเลือกซื้อน้ำแบบแพ็คไปพร้อมกับมาม่าคัพและขนมเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ (ราคาสินค้าในเซเว่นจะสูงกว่าปกติอยู่รายการละประมาณ 10 บาทนะคะ) และเมื่อจ่ายเงินเสร็จออกมาจากร้านเซเว่นก็ต้องร้องอุทาน OMG กันถ้วนหน้าเมื่อเห็นว่ามีรถบัสนำเที่ยวแบบสองชั้นนำนักท่องเที่ยวมาเต็มทางเข้าท่าเรือ😱😱😱

เราจึงรีบวิ่งไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้และเข้าไปที่ท่าเรือค่ะซึ่งก่อนเข้าท่าเรือจะมีด่านจ่ายค่าธรรมเนียมอุทยานตั้งอยู่ค่ะ ค่าธรรมเนียม (สำหรับคนไทย)คนละ 50 บาทเมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยเจ้าหน้าที่อุทยานก็จะให้ตั๋วใบเสร็จอุทยานมาพร้อมอธิบายว่า ให้เก็บตั๋วพกติดตัวตลอดเวลาที่ท่องเที่ยวค่ะ เพราะหากตั๋วหายและเจอเจ้าหน้าที่ตรวจจะต้องทำการจ่ายค่าธรรมเนียมใหม่อีกครั้งจากนั้นเราก็เดินไปยังท่าเรือที่ระบุในตั๋วเรือของเราเพื่อรับบัตรคิวขึ้นเรือค่ะ

เรือวันนี้เราโดยสารไปกับเรือชื่อ AKIRA ค่ะ คนขับเรือขับเรือนิ่มมากค่ะ ไม่รู้สึกกระแทกเท่าไหร่เลย (เราว่า ความรู้สึกใกล้เคียงกับการนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาอ่ะค่ะ)เรือพาเราแวะไปที่เกาะแรกคือ เกาะตะรุเตาค่ะ ให้เวลาเราลงไปเข้าห้องน้ำ และแวะถ่ายรูปเกือบๆ ครึ่งชั่วโมง จากนั้นเรือก็มุ่งหน้าไปสู่เกาะไข่เป็นที่หมายถัดไป และเข้าเทียบท่าที่ชายหาดเกาะหลีเป๊ะในเวลาประมาณ 15.00 ค่ะ

ที่ท่าเรือบริเวณชายหาดก็จะมีเจ้าหน้าที่จากรีสอร์ตมารอรับนักท่องเที่ยว ให้เราหาป้ายชื่อโรงแรมที่เราทำการจองไว้ค่ะ เจ้าหน้าที่โรงแรมจะมีบริการยกกระเป๋าไปส่งให้เรา โดยที่เราก็เพียงเดินตามไปสวยๆ 5555

เราเลือกพักที่ Mali Resort หาดพัทยาค่ะโดยคืนแรกเลือกห้องพักแบบ Balinese Luxury Beachfront ค่ะ ตัวห้องพักอยู่ติดกับชายหาดและโซนบาร์เครื่องดื่มประตูห้องพักเป็นประตูบานเลื่อนกระจกทุกด้าน สามารถมองเห็นบริเวณชายหาดได้จากในห้องพักค่ะสำหรับห้องน้ำเป็นแบบ outdoor ทั้งในส่วนห้องสุขาและบริเวณอาบน้ำค่ะข้อดีของห้องพักวันแรกคือ ห้องพักและห้องน้ำมีขนาดใหญ่ ทำให้ไม่รู้สีกอึดอัด บริเวณที่พักมีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง สามารถนอนพักผ่อนฟังเสียงคลื่นชิลในห้องพักได้อย่างสบายใจค่ะ

เมื่อพักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็ขอลงเล่นน้ำบริเวณชายหาดหน้าที่พักสักหน่อยค่ะน้ำทะเลที่เกาะหลีเป๊ะใสมากจริงๆ หาดทรายก็ขาว เนื้อละเอียดมากค่ะที่ชอบที่สุดคือ ชายหาดหน้าที่พักมีประการังและฝูงปลาน้อยๆ ว่ายอยู่ด้วย ว้าววว :O

ตกเย็นเราก็เดินมาหาของกินเติมเต็มท้องอันว่างเปล่าของเราที่ Walking Street ค่ะ สำหรับใครที่พักอยู่ที่หาดพัทยาสามารถเดินเลียบมาตามชายหาดได้เลยนะคะเดินเล่นไป ชมวิวทะเลยามเย็นไป สักพักก็มาถึงค่ะ

เราได้พิกัดแนะนำมาจากเพื่อนที่เคยมาเที่ยวที่หลีเป๊ะว่า ร้านป้าเก๋ อาหารรสชาติอร่อยและราคาไม่แพงเราเลยไม่พลาดต้องไปพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า อร่อยจริงไหม

ตามความเห็นส่วนตัว เราว่า รสชาติอาหารออกกลางๆ ค่ะ ไม่ได้อร่อยจนว้าว แต่ก็ทานได้เรื่อยๆ ค่ะ ส่วนราคาอาหารก็ถือว่าไม่แพงมากถ้าเทียบกับปริมาณ ซึ่งข้าวราดต่างๆ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่จานละ 70-100 บาทค่ะ

ออกจากร้านป้าเก๋ เราก็เดินเล่นดูของฝากตามร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ค่ะ มีทั้งร้านขายสร้อยข้อมือ ชุดว่ายน้ำ บลา บลา บลาจากนั้นก็ขอแวะเซเว่นที่ตลาดคนเดินกันสักหน่อยแต่!! ตามที่ได้รับคำเตือนมาล่วงหน้า ขนมในเซเว่นบนเกาะราคาแพงจริงๆ ด้วย... โดยราคาสินค้าจะสูงกว่าที่ขายในเซเว่นปกติ 2-3 เท่าค่ะT^T


Day 2: เกาะหลีเป๊ะ – ดำน้ำเกาะโซนใน – ดำน้ำเกาะโซนนอก

วันที่ 2 เราตื่นมาแต่เช้าตรู่ ด้วยตั้งใจว่า เช้านี้จะตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ค่ะถึงแม้ว่า หาดพัทยาจะไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่อง ความงามของแสงอาทิตย์ยามเช้า แต่เราว่า มันก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเองนะคะทั้งเสียงคลื่นที่พัดหาฝั่งอย่างนุ่มนวล ผู้คนที่ตื่นมาออกกำลังกายตอนเช้าแอบแปลกใจนิดหน่อยค่ะ เราเห็นว่า มีพระออกเดินบิณฑบาตด้วยแหละ 🙏🙏🙏

อาบแสงแดดยามเช้าจนอิ่มแล้ว เราก็กลับไปจัดการเตรียมของสำหรับออกไปดำน้ำของเราวันนี้ค่ะสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ แต๊นน แต้นนน ครีมกันแดดค่ะมีเท่าไหร่ โปะเข้าไป เที่ยวได้ สนุกได้ แต่เราจะต้องไม่กลายเป็นหมูปิ้งกลับไปกรุงเทพค่ะ แบร่ 😜😜

สำหรับทริปดำน้ำของเรากับเพื่อนในวันนี้ เราเหมาเป็นเรือส่วนตัวค่ะ (ฟังดูหรูเนอะ แต่ๆๆ ความจริงมันคือ เรือหางยาวนั่นเอง!! 555+)ราคาอยู่ที่ลำประมาณละ 2,300 บาท สามารถนั่งได้ไม่เกิน 8 คนค่ะเราติดต่อเช่าเรือกับทางเอเจนซี่เดิมอีกเช่นเคยค่ะ









คนขับเรือหางยาวจะโทรมานัดเวลากับสถานที่ก่อนวันดำน้ำ 1 วันค่ะ เมื่อเตรียมของและทานอาหารเช้าจากโรงแรมเรียบร้อยก็ได้เวลาที่เรานัดกับพี่คนขับเรือเอาไว้ Let’s Go >///<

ทริปดำน้ำของเราวันนี้แบ่งออกเป็น 2 โซนค่ะ คือเกาะโซนนอก กับเกาะโซนในและก็อีกตามเคย ตามที่เราได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า เกาะโซนในประการังสวยมากกก ควรไปช่วงเช้าเพื่อหนีนักท่องเที่ยว อ่ะ ก็จัดไปสิคะ เราเลยเริ่มต้นทริปของเราแบบย้อนเส้นทางกับชาวบ้านเค้านิดนึง โดยเริ่มต้นจากเกาะโซนในในช่วงเช้าแล้วค่อยไปต่อที่เกาะโซนนอกในช่วงบ่าย


เรือของเราแล่นออกมาจากเกาะหลีเป๊ะได้สักพักเราก็มาถึงจุดดำน้ำแรกของเราค่ะ ร่องน้ำลึกจาบัง

สำหรับเราคิดว่า บริเวณนี้เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์และสวยที่สุดในบรรดาเกาะอื่นๆ ที่ไปมาทั้งวันค่ะ อาจจะด้วยเพราะทะเลบริเวณนี้มีคลื่นค่อนข้างแรงและมีความลึกมากกว่าที่อื่นๆ ทำให้ยังคงสามารถรักษาสภาพความเป็นธรรมชาติไว้ได้มากที่สุดค่ะ

จุดที่สองที่แวะคือ เกาะหินงามค่ะ

เกาะหินงามมีเอกลักษณ์คือหินที่บริเวณชายหาดจะเป็นหินพื้นผิวเรียบ เป็นก้อนกลมมนค่ะ ดังนั้นเวลาเดินขึ้นฝั่ง ต้องใช้ความระมัดระวังนะคะ ไม่งั้นอาจลื่นล้มได้ค่ะ

พี่คนขับเรือสุดหล่อของเราคร้า😘 😘

หลังจากแวะถ่ายรูปที่ชายหาดเกาะหินงามสักครู่พี่คนขับเรือก้พาเราอ้อมไปยังหลังเกาะหินงามเพื่อดำน้ำค่ะ

บริเวณหลังเกาะหินงามนี้ จะเต็มไปด้วยประการังสมองรูปทรงมหึมาค่ะ

ต่อจากนั้น พี่คนขับเรือก็พาเราไปแวะพักทานอาหารที่เกาะหาดทรายขาวค่ะ บนเกาะนี้จะมีบริการร้านอาหารและห้องน้ำของทางอุทยานค่ะกินอาหารไป ฟังเสียงคลื่นไปจนหนังท้องเริ่มตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน สุดท้ายขอพักงีบสักครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะไปตะลุยต่อในช่วงบ่ายค่ะ


ทริปช่วงบ่ายของเราเริ่มต้นด้วยเกาะรอกลอยค่ะพี่คนขับเรือพาเราปีนขึ้นไปบนเนินเขาบนเกาะ แหม วิวจากด้านบนมองลงมาแล้วสวยจริงๆ ค่ะ 🤩


ใช้เวลาอยู่บนเกาะรอกลอยอยู่นานพอสมควรจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังเกาะไผ่ค่ะ

ไฮไลท์ของเกาะไผ่คือ ปะการังผักกาดหลากสีที่กระจายตัวกันอยู่ในบริเวณกว้าง และยังมีฝูงปลานีโม่มะเขือเทศที่ชุมนุมกันหนาแน่นอยู่บริเวณนี้ค่ะ

ใช้เวลาที่เกาะไผ่อยู่นานพอสมควร พี่คนขับเรือก็พาเรามุ่งหน้าไปที่เกาะหินซ้อน แลนด์มาร์กแห่งสุดท้ายของวันนี้ค่ะ

หลังจากถ่ายรูปกับเกาะหินซ้อนเป็นที่ระลึกเสร็จเรียบร้อย พี่คนขับเรือก็พาเรามุ่งหน้ากลับโรงแรมบนเกาะหลีเป๊ะค่ะ

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปทานอาหารเย็นกัน โดยร้านที่ไปทานกันวันนี้เป็นร้านที่ได้รับคำแนะนำมาจากพนักงานในโรงแรมที่พักว่า เป็นร้านชาวเล ราคาไม่สูงและอาหารทะเลสดมากค่ะ

ตัวร้านจะตั้งอยู่บริเวณชายหาดนะคะ มื้อเย็นวันนี้ก็จะได้บรรยากาศโรแมนติกหน่อยๆ กินข้าวใต้แสงเทียนรับกลิ่นอายลมทะเล นี่ถ้ามีชายหนุ่มหน้าตาดีๆ มานั่งทานอาหารด้วยล่ะก็ ฟินจ้า อิอิ

มื้อเย็นวันนี้เราได้เมนูพิเศษมา 1 จาน มันคือ ปลามงย่างค่ะ สามาเหตุที่เราเลือกจานนี้เป็นเมนูพิเศษเพราะ เราไม่รู้จักปลามงค่ะ 555 😅 แต่เจ้าของร้านแนะนำสุดๆว่า รสชาติดีมาก อ่ะ จัดมา! 😊

ภาพปลามงค่ะ (อ้างอิงจาก www.google.com)

แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ ปลามงเนื้อสดหวานมาก รสชาติคล้ายเนื้อปลาทูผสมกับปลาทับทิมค่ะ อร่อยย >///<

จบวันแบบมาราธอนด้วยมื้ออาหารใต้แสงเทียนชายทะเล กินข้าวเคล้ากลิ่นอายลมทะเลยามเย็น ฟินคร้า 😁



Day 3: เกาะหลีเป๊ะ - ตลาดกิมหยง – สนามบินดอนเมือง

เช้านี้เราตื่นมาด้วยความรู้สึกเสียดายที่เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากเราจองเที่ยวเรือสปีดโบ๊ทเที่ยวขากลับไว้รอบเช้าสุด หลังจากตื่นนอนเราจึงรีบออกไปทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้แล้วกลับมาเก็บสัมภาระเพื่อเช็คเอาท์ค่ะ

รูปอาหารเช้าโรงแรมค่ะ ที่นี่จัดไว้ให้แบบ A La Carte ค่ะ

เรือสปีดโบ๊ทเทียบท่าบริเวณชายหาดพัทยา

ออกเดินทางจากจากเกาะหลีเป๊ะด้วยเที่ยวเรือเวลา 9.30 เราก็มาถึงท่าเรือปากบาราเวลาประมาณ 10.20 ค่ะ ซึ่งเที่ยวเรือขากลับนั้นจะใช้เวลาน้อยกว่าขามาเพราะจะไม่มีการแวะจอดชมจุดท่องเที่ยวต่างๆ ค่ะ

บริเวณปากทางเข้าท่าเรือปากบาราก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งโต๊ะขายขนมและของฝากมากมายค่ะ เราก็เลือกซื้อกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็ไปติดต่อยังสำนักงานของเอเจนซี่ที่จองรถตู้ขากลับเอาไว้ค่ะ

รถตู้เที่ยวขากลับนี้ เอเจนซี่ของเรามีบริการเสริมคือสามารถให้พาไปชอปปิ้งที่ไหนก็ได้ในตัวเมืองหาดใหญ่ก่อนที่จะพาไปส่งสนามบิน โดยคิดเพิ่มคนละ 200 บาทค่ะไหนๆ มาถึงเมืองหาดใหญ่ทั้งที จะพลาดได้ยังไงล่ะคะ

ภาพตัวเมืองหาดใหญ่


ร้านขนมแรกที่เราแวะในตัวเมืองหาดใหญ่คือ ร้านมันเดือยค่ะ ตั้งอยู่บริเวณตลาดใกล้สถานีรถไฟ

ขนมมันเดือยราคาแก้วละ 20 บาทเท่านั้นค่ะ การันตีความอร่อยด้วยคิวยาวเหยียด 555

ต่อจากร้านมันเดือย เราก็ไปซื้อของฝากกันต่อที่ตลาดกิมหยงค่ะ😊

ตลาดกิมหยงเป็นแหล่งรวมของฝากทางภาคใต้ มีสินค้าหลากหลาย ราคาไม่แพงให้เลือกซื้อค่ะ

ขนมและถั่วอบแห้ง

พ่อค้าแม่ค้าที่นี่น่ารักมากค่ะ ยิ้มแย้มแจ่มใส แถมใจดีลดราคาให้เราเพิ่มอีกตังหาก >///<

ชอปปิ้งจนหมดตัวกันแล้ว ก็ไปยังจุดนัดพบกับคนขับรถตู้ค่ะใช้เวลาเดินทางจากตลาดกิมหยงประมาณ 30 นาที เราก็มาถึงสนามบินหาดใหญ่ค่ะ


เช็คอินและโหลดสัมภาระเรียบร้อย เราก็บินกลับสู่กรุงเทพมหานครเพื่อเตรียมตัวสำหรับการทำงานในวันต่อไปค่ะ


ท้ายที่สุดนี้ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่ให้ความสนใจในกระทู้ท่องเที่ยวนี้นะคะ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระทู้ของเราจะเป็นประโยชน์ในการเดินทางครั้งต่อไปของเพื่อนๆ ค่ะวันนี้ขอลาไปด้วยภาพถ่ายจากเครื่องบินยามค่ำค่ะขอขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ Bye Bye <3

AnnOonSom

 วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.57 น.

ความคิดเห็น