ทริปปีใหม่ที่ผ่านมา แบมและเพื่อนๆ 4 คน ได้ออกเดินทางไปตะลุยดินแดนญี่ปุ่นภูมิภาคคันไซช่วงหน้าหนาว อากาศไม่หนาวเกิน ประมาณ 6-8 องศา ❄️ เก็บจุดเช็คอินทั้งหมด 4 เมืองค่าาา โดยปักหลักที่พักที่ Shin-Osaka ทุกคืนแล้วนั่งรถไฟไปเที่ยวแต่ละที่เอาค่ะ เพราะแต่ละที่อยู่ไม่ไกลกันมาก นั่งรถไฟได้ชิวๆ

ทริปเดียวเที่ยวครบรสเลยค้าาา > มีทั้งเที่ยวชมวัดดังต่างๆ (ซึ่งที่เที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นวัดทั้งนั้นเลย), เก็บจุด Landmark, เที่ยวสวนสนุกตามสไตล์วัยรุ่น, ตามหาหิมะที่ลานสกี, ตะลุยกินแหลกไม่แคร์งบ และเดินช็อปปิ้งจนไม่มีเงินให้แลกกลับ!!!

ใครที่อยากลองไปเที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเองครั้งแรก #Like&Share เก็บข้อมูลไว้เลยยย!

ฝากติดตามเพจด้วยน้า > www.facebook.com/LeftHomeTraveller

🇯🇵 แพลนทริป 🇯🇵

Day 1 : [เช้า] KYOTO - วัด Tenryu-ji, ป่าไผ่ Arashiyama, วัดทอง Kinkakuji

[บ่าย] Shiga - Biwako Valley Ski Resort

Day 2 : NARA - สวน Nara park, วัด Todai-ji

Day 3 : Universal Studios Japan

Day 4 : Osaka - Umeda Sky Building, Hep Five Ferris Wheel, ปราสาท Osaka

Day 5 : Osaka - ตลาด Kuromon Ichiba, ช็อปปิ้ง ห้าง Lucua, ย่าน Dotonburi, ย่าน Shinsaibashi

🚇 การเดินทาง - ใช้รถไฟเป็นหลัก ทั้ง JR,Nankai,Subway และมีนั่งบัสต่อในบางสถานที่

ใช้พาส Kansai Area Pass 2 Days (4300yen) และ Osaka Amazing Pass 2 Days (3300yen) ซื้อพาสจาก H.I.S ที่ไทย

🏨 ที่พัก - Via Inn Shin-Osaka Hotel (ใกล้สถานี Shin-osaka) 5 คืน ตกคนละ 5,300 บาท ไม่รวมอาหารเช้า

🎢 Universal Studios Japan - บัตรเข้า 2,100 บาท , บัตร Express Pass4 3,120 บาท ซื้อจาก Klook.com

Full review USJ > https://www.facebook.com/LeftHomeTraveller/posts/273705346591736

Biwako Valley Ski - ความยากระดับกลาง เหมาะสำหรับครอบครัว มีโซนเด็กเล่น และโรงเรียนสอนสกี

กระเช้า Ropeway 2500yen , ค่าเช่าอุปกรณ์สกี 4500yen++ , ค่า Lift ขึ้นจุดสกีต่างๆ

✈️ ตั๋วเครื่องบิน - AirAsia ลงสนามบิน Kansai ไปกลับ 11,600 บาท

📱 Sim - ซื้อ Travel sim Japan จาก True 399 บาท (4GB)

💰 เรทเงิน - แลกกับ Superich สีส้ม วันที่ 29/12/18 เรท 0.295

📍ข้อแนะนำก่อนไป 📍

  • ศึกษาการขึ้นรถไฟ ดูสาย ชนิดของรถ ชานชะลา และสถานีที่ต้องลงไว้ก่อนไป ดูจาก Hyperdia หรือโหลดแอพ Rail Map Japan ติดไว้สบายมากๆ
  • เลือก Pass รถไฟที่เหมาะกับการเดินทางของตัวเอง
  • เลือกที่พักที่อยู่ใกล้สถานีใหญ่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังสายอื่นๆ เช่น Osaka station
  • เช็ควันเปิด-ปิดของแต่ละสถานที่
  • เตรียมรองเท้าที่ใส่สบายๆ ไว้เลย เพราะทริปนี้เดินขาลากกกสุดๆ

[Day 0 - BKK to KANSAI]

วันนี้เป็นวันเดินทาง ออกจากดอนเมืองช่วงบ่าย บินถึงโอซาก้า 3 ทุ่มครึ่งค่ะ

วิธีเข้าเมืองมีให้เลือกหลายแบบ ของเราเลือกทางที่ราคาถูกและไม่ต้องนั่งหลายต่อ (และมีรอบดึก)

🚊 นั่งรถไฟ Nankai Airport express จากสนามบินไปลงสถานี Namba (920yen) และต่อ Metro (หรือ subway นั่นเอง) สายสีแดง Midosuji Line จากนัมบะไปลง Shin-osaka ที่เราพัก (280yen)

โดยรวมๆแล้วใช้เวลา 1 ชม. 10 นาที

ไปถึงโรงแรม Via Inn Shin-Osaka Hotel ตอนเที่ยงคืนพอดี ดีที่โรงแรมนี้เปิด front desk 24 ชม. และด้านล่างมีเซเว่นเลยรอดตายจากความหิวโหย เพราะทุกอย่างปิดหมดแล้ว 😭

🏨 ข้อมูลโรงแรม🏨

  • ค่าโรงแรม 5 คืน ตกคนละ 5,300 บาท ไม่รวมอาหารเช้า จองจาก Agoda มีโปรอยู่เรื่อยๆค่ะ
  • ห้องพักเล็กมากและแคบ เตียงคือติดผนังเข้ามุม 3 ด้าน ใครไม่ชอบห้องแคบไม่แนะนำน้า แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสก็ถือว่าโอเคกับราคาที่ถูกกว่าที่อื่นๆ
  • โรงแรมอยู่ใกล้สถานี Shin-osaka ซึ่งเป็นศูนย์รวม JR,Shinkansen,Metro โรงแรมเดินจาก Metro 5 นาทีและจาก JR,Shinkansen 10 นาที (Exit 4 ใกล้ที่สุด) เพราะสถานีใหญ่มากมากก
  • เราจองห้องแบบไม่รวมอาหารเช้า (สามารถซื้อเพิ่มได้) มื้อเช้าส่วนใหญ่เลยจบที่สถานี Shin-osaka ซึ่งมีร้านอาหารเพียบบบ แต่ส่วนใหญ่จะเปิด 10 โมง ปิด 1-2 ทุ่ม


[Day 1 - KYOTO&SHIGA]

แพลนวันแรกไป 2 เมือง เลยต้องออกเช้าๆหน่อย วันนี้เราออกกันตั้งแต่ 7 โมงเพราะต้องไปแลกพาสรถไฟก่อนค่า

2 วันแรก เราใช้ “Kansai Area Pass 2 days” ราคา 4,300yen ที่ซื้อจาก H.I.S ในไทยมาแล้ว

แต่ปัญหาคือตอนซื้อบัตรจริงของไม่พอ 😓 ทาง H.I.S เลยให้บัตรจริงมา 2 ใบ และ voucher 2 ใบที่ต้องเอาไปแลกบัตรจริงที่ญี่ปุ่น

เราเลยมาแลกบัตรตอนเช้าเพราะเมื่อคืนมาถึงดึก counter ปิดหมดแล้ว

วิธีแลกคือเอา voucher จากเอเจนซี่ไทยไปแลกที่ counter JR ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีค่า

Kansai Area Pass นั่ง JR ได้ไม่อั้น ดังนี้ค่าา 👇🏻

  • JR ขบวน Limited express Haruka สำหรับนั่งไปกลับสนามบินคันไซ , ขบวน Special Rapid , Rapid , Local
  • ไม่สามารถใช้นั่ง Shinkansen และ Limited express สายอื่นๆได้
  • ครอบคลุมพื้นที่ Osaka, Kyoto, Kobe, Nara, Himeji, Wakayama, Shiga, Tsuruga, Iga-Ueno ถ้าไปไกลกว่านี้ แนะนำ Kansai Wide Area Pass
  • มีให้เลือก 1 วัน Y2200 / 2 วัน Y4300 / 3 วัน Y5300 / 4 วัน Y6300 ราคานี้สำหรับซื้อในไทย ถูกกว่าไปซื้อที่นู่นค่ะ

และที่แรกของเราก็คืออออ... ย่าน Arashiyama 😆

ที่นี่จะมีที่เที่ยวหลักๆ 2 ที่ที่เราจะไปกันค่า

  • “วัด Tenryu-ji” วัดมรดกโลกแห่งเกียวโต
  • ป่าไผ่ Arashiyama

เดินออกจากสถานี JR Saga Arashiyama ให้เลี้ยวขวาเข้าซอยเล๊กกเล็ก เดินไปตามทางเรื่อยๆจะเจอป้าย Map (ให้ดูเส้นทางไว้เลยค่ะ) และจุดเช่าจักรยานค่า เดินต่อตามเส้นทางอีกประมาณ 5 นาที จะเจอโซนที่มีนักท่องเที่ยวและร้านอาหารค่ะ

แต่ดันมาถึงเช้าเกิน ประมาณ 9 โมง ไม่มีร้านอะไรเปิดเลย!! 😱 เลยต้องรอประมาณ 10 โมงร้านต่างๆถึงจะเปิดค่า เพราะฉะนั้นเราเข้าไปดูวัดกันก่อนเลยดีกว่าาา

🚇 วิธีเดินทางไปวัด Tenryu-ji และป่าไผ่ Arashiyama

> จากสถานี Shin-Osaka นั่ง JR สาย Kyoto line ขบวน Rapid service ไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Kyoto นั่งสาย Sagano line มาลงสถานี Saga Arashiyama ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชม.

💰 ค่าเข้าชม 💰

> วัด Tenryu-ji : ฟรีโซนนอก, โซนสวนจ่ายเพิ่ม

> ป่าไผ่ Arashiyama : ฟรี


“วัด Tenryu-ji” เป็นวัดเก่าแก่ของนิกายเซน สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1339

จุดเด่นที่ทำให้วัดนี้ได้รับการบัรทึกเป็น World Heritage จากยูเนสโกคือ ‘สวนแบบเซน’

เป็นการจัดสวนในสไตล์ญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคโบราณค่ะ ด้านในสวนจะมีสระน้ำขนาดใหญ่และก้อนหินเรียงรายอยู่ริมน้ำ ว่ากันว่าการมานั่งพักผ่อนที่นี่จะทำให้ผ่อนคลาย เย็นกายสบายใจค่าา☺️

วัดเทนริวจิไม่เสียค่าเข้าชม สำหรับโซนนอกนะคะ ถ้าจะเข้าโซนสวนต้องจ่ายเพิ่ม คนละ 300 หรือ 500 เยนอันนี้ไม่ชัวร์ค่า ลืม5555

บริเวณทางเดินก่อนเข้าตัววัดก็จะเจอ ‘เสาโทริอิ ⛩’ ต้นเล็กๆอยู่ ขอแวะถ่ายรูปเก็บไว้สักนิ้ดด


ออกมาจากวัดเริ่มมีร้านอาหารเปิดแล้ว เราเดินผ่านร้านนี้กันก็เตะตาเข้าอย่างจัง!

คุณขา ปูตัวใหญ่มาก แล้วยังมีซีฟู้ดย่างเสียบไม้ไซส์บิ้กๆทั้งนั้น เลยต้องขอแวะสักหน่อย

(ไม้ละ 600yen)

นี่ก็ซื้อปูอัดยักษ์เสียบไม้มา โดนไป 600yen จ้า

บังเอิ๊ญบังเอิญพอดี ทางเข้าป่าไผ่เขียวขจี “Bamboo Forest Arashiyama” อยู่ซอยเล็กๆข้างๆร้านปูอัดย่างเลยค่ะ มองเข้าไปจะเห็นต้นไผ่ยาวเป็นสาย


และนี่ก็คือด้านในของ ป่าไผ่ “Bamboo Forest Arashiyama” 🎋

กว่าจะได้รูปจากตรงนี้ยากมากกกกก

เพราะว่าดันมาตอนสายแล้ว (11โมง) คนเยอะมากๆๆ ถ่ายรูปยากมาก แนะนำให้มาเช้าๆคนไม่มีจะสวยมากๆค่ะ

และระหว่างทางเดินไปป่าไ่ผ่ก็จะมีศาลเจ้าเล็กๆให้เข้าไปเขียนคำอธิฐานและโยนเหรียญกันด้วยค่า


จากโซน Arashiyama แล้ว เราก็จะไปต่อกันอีกจุดนึงก็คือ “วัดทอง Kinkakuji” Landmark อันโด่งดังของเกียวโตค่า

🚊 นั่ง JR ต่อมาลงสถานี Emmachi หน้าสถานีจะมีป้ายบอกเลยค่ะว่าต้องขึ้นบัสตรงไหนสายอะไร ป้ายที่ต้องขึ้นจะต้องเดินข้ามถนนไปอีกค่ะ (ไม่ใช่ป้ายหน้าสถานีน้าค้า) นั่งบัสต่อไปอีก 10 นาทีก็ถึงค้า

🚇วิธีเดินทางไปวัดทอง Kinkakuji 🚇

> จากสถานี Saga Arashiyama นั่ง JR สาย Sagano line ย้อนกลับทาง Kyoto 3 สถานี ลงสถานี Emmachi ใช้เวลา 7 นาที

> ต่อรถบัส สาย 204 หรือ 205 ไปลงป้าย Kinkakuji-Michi (ขาละ 230yen) ใช้เวลา 10 นาที

💰 ค่าเข้าชม 💰

> วัดทอง Kinkakuji : 400yen

ตัววัดจะถูกปิดด้วยทอง 2 ชั้นบน ตั้งอยู่กลางพื้นน้ำ สีทองของวัดจะสะท้อนกับพื้นน้ำเป็นภาพสวย ✨ รอบๆจะล้อมไปด้วยสวนค่า

ทางเดินจะเป็น one way จุดชมจะมีอยู่จุดเดียวค่ะคนเยอะหน่อย ระหว่างทางเดินออกก็จะมีร้านค้า ขายเครื่องรางและของที่ระลึก

เที่ยววัดเสร็จแล้วก็ต้องนั่งบัสสายเดิมกลับไปสถานี Emmachi กินข้าวเที่ยงและพักขาที่ร้านข้าวหน้าหมูสามชั้นแถวสถานี (ติดๆกับ yoshinoya)


พักขาเติมท้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่วงบ่ายเราจะไปลานสกีที่จังหวัด Shiga กัน!! ⛷

“Biwako Valley Ski Resort” เป็นลานสกีที่อยู่ใกล้ๆเกียวโตค่ะ เราเลยเอามาใส่ไว้วันเดียวกัน

นั่ง JR ต่อจากเกียวโตขึ้นไปทางเหนือ 36 นาที ลงสถานี Shiga และต่อรถบัสสาย 68 อีก 15 นาทีมาส่งถึงหน้าทางเข้าเลยค่า รถบัสจะมีรอบทุกๆ 50 นาทีนะคะ รอบแรก 9 โมง รอบสุดท้าย 5 โมงเย็นค่า

มาถึงแล้วก็ต้องซื้อตั๋วที่ counter ของเรามาช่วงบ่ายจะได้ราคา half day ถูกกว่า full day นิดนึงค่ะ

วิธีเดินทางไป Biwako Valley

> จากสถานี Kyoto นั่งสาย Kosei line ไปลงสถานี Shiga ใช้เวลา 36 นาที

> ต่อรถบัสจากสถานี สาย 68 ไปลง Biwago Valley ใช้เวลา 15 นาที (เที่ยวละ 300yen)


ค่าใช้จ่าย

> Ropeway 2500yen (ต้องจ่ายทุกคน)

> Sled 800yen

> เช่าอุปกรณ์สกี/snowboard/เสื้อผ้า ราคาแตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าใครเช่ามาก/น้อยค่า

> โรงเรียนเรียนสกี ราคาขึ้นอยู่กับจำนวนชม.เรียน

***งบสำหรับเล่นสกี รวมค่าเข้าและอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ ตั้งงบไว้เลย 4,000-5,000 บาทค่ะ***


ทุกคนต้องซื้อตั๋วกระเช้า Ropeway ไปกลับคนละ 2500yen จะไปลงที่จุด Snowland ค่ะ

ใครจะเล่นสกีหรือ snowboard ก็ต้องเช่าอุปกรณ์และเสื้อผ้าเพิ่มเติมค่ะ แต่ถ้าใครมีอยู่แล้วก็เอามาได้ค่า และต้องซื้อตั๋วขึ้น Lift เพื่อไปลงจุดสกีจุดต่างๆ ที่มีทั้งหมด 7 จุด ตามระดับความสูง จุดขึ้น lift ต้องขึ้นต่อไปจาก Snowland ค่ะ

ที่นี่ถ้าใครไม่เล่นสกีก็เข้าได้ จ่ายแค่ค่า Ropeway และขึ้นมาเล่นหิมะ ชมวิวทะเลสาบ Biwa ที่จุด snowland

และยังมีจุดเล่น Sled หรือกระดานเลื่อน เด็กหรือผู้ใหญ่ก็เล่นได้ ค่าเล่น sled คนละ 800yen เล่นกี่ครั้งก็ได้ค่า ☺️

และเมื่อเราลงจุดแรกแล้ว ตรงนี้คือโซน Snowland ค่าา

เป็นโซนศูนย์กลางที่มีร้านอาหาร ห้องน้ำ โรงเรียนสอนสกี โซนเด็ก สำหรับเล่น sled และเป็นจุดขึ้น Lift ต่อขึ้นไปชั้นบนๆ

ถ้าใครที่มาแล้วไม่ได้จะเล่นสกีสามารถนั่งรอที่คาเฟ่หรืออยู่เล่นโซน sled (กระดานไถ) ชมวิวทะเลสาบ Biwa ได้ตรงนี้ค่า


[Day 2 - NARA]

มุ่งสู่นารา เมืองแห่งกวางงงงง 🦌

กิจกรรมโซน Nara Park > ให้อาหารกวาง, เที่ยวชมวัดและศาลเจ้า, Street food

วันที่สองเรากะแพลนชิวๆเที่ยวสบายๆ ตื่นสายหน่อยเพราะเมื่อวานแพลนแน่นและเดินทางเยอะ วันนี้เราเลยออกกัน 11 โมงไปเลย!

มื้อเช้าฝากท้องไว้ที่สถานี Shin-osaka เรียบร้อยก็นั่ง JR ไปลงสถานี Nara และขึ้นบัสที่ป้ายเบอร์ 2 ไปลง Nara Park หน้าตาป้ายรถเมล์แบบในรูปเลย

ดันจำชื่อป้ายตอนลงไม่ได้ 😂 แต่สามารถสังเกตุได้ง่ายๆคือถึง Nara Park แล้วจะเจอฝูงคนและกวาง ให้ลงป้ายที่นักท่องเที่ยวเขาลงกันค่า

ที่เที่ยวหลักๆของเมืองนาราจะเป็นวัดและศาลเจ้า จะกระจุกตัวอยู่รอบๆ Nara Park สามารถเดินเที่ยวได้เรื่อยๆ ค่า เราเลยเลือกเดินไปทาง “วัด Todai-ji” ก่อนเป็นอันดับแรก!

จุดประสงค์ที่มานี่คือจะมาเล่นกับกวางเลย ระหว่างทางจะเจอกวางน้อยใหญ่มากมาย สามารถซื้ออาหารให้กวางได้ ราคา 150yen

กวางที่นี่น่ารักไม่ดุร้าย เด็กๆเล่นได้ค่ะ แต่บางตัวก็โหดอยู่ชอบกัดเสื้อ บางตัวก็สุภาพมากมีก้มหัวขออาหารด้วย

ทางเดินเข้าวัด Todai-ji จะมีร้านอาหาร Streetfood มากมาย เช่น soft cream รสนม (อันนี้อร่อยมากๆๆๆๆแนะนำ) , หมึกย่าง, กล้วยชุบช้อคโกแลต (รสชาติเฉยม้ากมากแต่ซื้อเพราะความน่ารัก อิอิ), เซมเบ้ไข่ดาว (อร่อย), ไส้กรอกย่าง (เค็มเกิน), ดังโงะ

ราคาประมาณ 300-500 yen

เดินเข้ามาเขตวัดจะต้องผ่าน Gate ขนาดยักษ์ใหญ่กันก่อน แล้วก็จะพบตัววัดที่เป็นอาคารไม้ที่เขาว่าใหญ่ที่สุดในโลก!

เมื่อเข้าไปด้านในอาคารหลายๆคนจะเข้าไปสักการะหลวงพ่อโตแห่งเมืองนารากัน

เราสามารถเดินเที่ยวรอบๆ Nara Park ได้ทั้งวันเลย

ดูเส้นทางได้จาก Map แถวนั้น รอบๆสวนจะมีวัดและศาลเจ้าเยอะมากมากกก เดินกันจนขาขด 😂

บรรยากาศรอบๆสวนก็ประมาณนี้ค่าา


วิธีเดินทางไป Nara Park

> จากสถานี Shin-Osaka นั่ง JR สาย Kyoto line ขบวน Rapid service ไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Osaka สาย Yamatoji Rapid Service ลงสถานี Nara ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.

> ต่อบัสที่ Bus stop เบอร์ 2 ไปลง Nara park (เที่ยวละ 210yen) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที


ค่าเข้าชม

> วัด Todai-ji : โซนนอกฟรี , เข้าด้านในตัววัดต้องจ่ายเพิ่ม


[Day 3 - Universal Studios Japan]

วันนี้ทั้งวันเป็นวันของ USJ เลยค่าาา เตรียมพลังมาเล่นเครื่องเล่นให้พร้อม!!!

เพราะวันนี้เราเดินทางไป USJ แค่ที่เดียว เลยไม่ใช้พาสรถไฟใดๆ เพราะใช้ก็ไม่คุ้ม 😂

นั่ง JR ไปลงสถานี Universal city สวนสนุกก็อยู่ติดสถานีเลยค่ะ เดินออกจากสถานีจะเป็น Universal city walk จะมีร้านค้าขายของที่ระลึกดักรอหน้าสุดเลย ซึ่งสินค้าและราคาเหมือนด้านใน นอกจากนี้ก็มีห้างรวมร้านอาหารมากมายไว้ ซึ่งเราเล่นเสร็จค่ำๆก็ออกมากินกันที่นี่แหละ

สวนสนุกมันดีจย์แค่ไหน ไปอ่านกันเต็มๆ!!

อ่าน Full review USJ > https://www.facebook.com/LeftHomeTraveller/posts/273705346591736

🚇 วิธีเดินทางไป USJ 🚇

> จากสถานี Shin-Osaka นั่ง JR ไปเปลี่ยนสายที่ Osaka และนั่งสาย Osaka loop line (Inner loop) ไปลงสถานี Universal city ใช้เวลา 24 นาที (เที่ยวละ 220yen)


บัตรเข้าสวนสนุกแนะนำให้ซื้อมาตั้งแต่ไทยจะไม่เสียเวลาค่ะ เพราะเข้าไ้ด้เลย

เราซื้อจากเว็บ Klook บัตรเข้าสวนสนุก 2,100 บาท และ บัตร Express Pass4 3,120 บาท

เราจะได้เป็น voucher ที่มี QR code มา ใช้ตัวนี้แหละแสกนเข้าสวนสนุกและช่อง express

📍 ข้อควรรู้บัตร USJ 📍

  • Entry Pass ทุกคนต้องซื้อ ราคา 2,xxx เป็นตั๋วไม่ระบุวัน จะเข้าวันไหนก็ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
  • Express Pass คือบัตรเทพลัดคิว ช่วยร่นเวลาต่อแถวเล่นเครื่องเล่นได้เยอะมากๆ จาก 1-2 ชม. เหลือแค่ไม่กี่นาที ทั้งนี้ Express ต้องซื้อคู่ Entry pass นะคะ
  • Express มีแบบ Pass 3,4,7 เครื่อง จะเลือกเครื่องเล่นฮิตๆไว้ สามารถดูรายละเอียดแต่ละแบบและราคาได้ในเว็บ USJ
  • Express เป็นตั๋วระบุวัน ต้องเข้าวันที่เราเลือกไว้เท่านั้น วันไหนคนเยอะระวังตั๋วหมดนะ
  • โซน Harry Potter จะมีใน Express 4,7 และจะระบุเวลาเข้าโซนให้เลย ในกรณีที่วันคนเยอะเราจะได้ไม่ต้องไปต่อคิวเข้าโซนแฮรรี่

“The Wizarding World of Harry Potter”

โซนที่ฮอตที่สุดของ USJ ที่เดียวในเอเชียที่มีโซนแฮรรี่ วันไหนที่คนเยอะถึงกับต้องไปต่อคิวกดบัตรเข้าโซนกันเลยทีเดียว (เข้าโซนเฉยๆไม่รวมต่อแถวเครื่องเล่นด้วยนะ)

พอเข้า Gate มาก็จะเจอกับรถไฟ Hogwerts Express ที่เหล่าพ่อมดนั่งไปฮอกวอตส์

ในโซนจะจำลองเป็นหมู่บ้าน Hogmeads มีร้านค้าในหนัง เช่น ร้านขายไม้กายสิทธิ์ Olivandor , ร้านขนม Honey Dukes , Owl Post และห้ามพลาดชิม Butter beer

เครื่องเล่นโซนนี่จะมี 2 เครื่องจ้า

  1. Harry Potter and the Forbidden Journey อันนี้ยกให้เป็น THE BEST of USJ เลยจริงๆ ใครไม่อินแฮรรี่ก็ยังพูดว่าสนุกมาก เครื่องเล่นนี้จะอยู่ใน Hogwerts Castle เครื่องเล่นนี้เป็น 4D แบบไม่ต้องใส่แว่น ภาพดีมากๆๆ ในปราสาทระหว่างต่อคิวจะเดินผ่านทั้งห้องทำงานของดัมเบิลดอร์, บันไดวนมีกรอบรูปขยับได้, หมวกคัดสรร, ผ่านประตูของสุภาพสตรีอ้วน คนเฝ้าหอกริฟฟินดอร์ เครื่องเล่นจะเป็นแบบเซ็ทละ 4 ที่นั่ง ตะลุยผ่านฉากต่างๆในหนัง มีช็อตเสียวๆ มันส์ๆ หลอนๆครบ
  2. Flight of the Hippogriff อันนี้เป็นรถไฟเหาะกลางแจ้ง ชิวๆไม่เสียวมาก เด็กเล่นได้ค่ะ แถวละ 2 ที่นั่ง ตรงนี้เราไม่มี express ต่อแถวรอ 1 ชม.นิดๆ เมื่อยมาก5555 เครื่องเล่นนี้จะจำลองมาจากภาค 3 ฉากที่แฮรรี่ย้อนเวลาไปช่วย Hippogriff ของแฮกริด ระหว่างยืนต่อแถวก็จะได้ยินเสียงแฮรี่หอน (แบบในหนังเลย) และผ่านกระท่อมของแฮกริด

USJ จะประกอบไปด้วย 9 โซนหลักๆ

  1. Hollywood
  2. New York
  3. Minion Park
  4. San Francisco
  5. Jurassic Park
  6. Amity Village
  7. Water World
  8. The Wizarding World of Harry Potter
  9. Universal Wonderland

รีวิวสวนสนุกทุกโซนแบบจัดเต็มทุกเม็ด!!

อ่าน Full review USJ > https://www.facebook.com/LeftHomeTraveller/posts/273705346591736


[Day 4&5 - OSAKA]

2 วันสุดท้ายนี้เราจะตะลุยเที่ยวแต่ในโอซาก้ากัน! เราเลยเลือกใช้ “Osaka Amazing Pass” 2 days ✨ ราคา 3,300yen ซื้อจาก H.I.S ที่ไทยไปเลย ได้บัตรจริงมาใช้ได้เลยค่า

บัตรนี้ขอบอกว่าคุ้มเกินราคามากๆ ยิ่งเที่ยวเยอะยิ่งคุ้ม เพราะสามารถใช้นั่งรถไฟ Metro ได้ไม่อั้น และเข้าสถานที่เที่ยวหลักๆในโอซาก้าได้ฟรี ✨✨✨ แถมยังใช้เป็นส่วนลดร้านค้าได้อีก

ตอนซื้อบัตรจะมีสมุดคู่มือมาให้ว่าสามารถนั่งรถสายไหนได้บ้าง และเข้าที่ไหนได้ฟรี และใช้เป็นส่วนลดกับร้านไหนได้บ้างค่ะ

2 วันนี้เราเลยเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน Metro อย่างเดียวเลยค่า กะเอาคุ้ม เพราะสถานที่ที่จะไปสามารถนั่ง Metro ไปได้ทุกที่ อีกอย่างคือขึ้น Metro ง่ายกว่า JR มากเพราะไม่ต้องดูขบวนและสายน้อยกว่า ไม่ซับซ้อน



จุดหมายแรกของเราในวันนี้ก็คือย่าน Umeda

นั่ง Metro ไปลงสถานี Umeda (ซึ่งก็คือที่เดียวกับสถานี JR Osaka)

ย่านนี้ที่เที่ยวหลักๆก็คือ “Hep Five Ferris Wheel 🎡” ชิงช้าสวรรค์สีแดงที่ตั้งอยู่ชั้น 7 บนห้าง Hep five อยู่ติดสถานี JR Osaka เลยค่ะ

ขึ้นลิฟท์แก้วไปที่ชั้นบนแล้ว ต้องไปซื้อตั๋วที่ตู้ก่อนเด้อ คนละ 600yen

แต่!!! เรามี Osaka Amazing Pass เข้าฟรีไปเลยจ้าา 🎉🎉

ระหว่างที่ยืนต่อแถวขึ้นชิงช้า ด้านข้างก็จะมีเวทีมวยให้ดูฆ่าเวลาด้วยค่า

ตู้ชิงช้าสามารถนั่งได้สูงสุด 4 คน นั่ง 1 รอบใช้เวลา 15 นาที จะหมุนช้าๆเรื่อยๆค่ะนั่งชมวิวเมืองโอซาก้าจากมุมสู๊งงสูง

🚇 วิธีเดินทางไป Hep Five Ferris Wheel

> นั่ง Metro สายสีแดง Midosuji line จาก Shin-osaka ไปลงสถานี Umeda ใช้เวลา 5 นาที

💰 ค่าเข้าชม

> 600yen / Osaka Amazing Pass เข้าฟรี


เดินเท้าจากสถานีไปอีกจุด “Umeda Sky Building” ตึกแฝดสูงระฟ้าที่คนทั่วไปสามารถขึ้นไปชมวิวได้ถึงบน Rooftop เลยทีเดียว 😆

เข้าไปในตึกแล้วอย่าเพิ่งขึ้นลิฟท์ด้านล่างเลย เพราะมันไม่ใช่ตัวนี้!! 555 เราต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 3 ก่อน เพื่อที่จะขึ้นลิฟท์ขึ้นไปจุดชมวิวค่า ซึ่งลิฟท์ที่เราขึ้นไปนี้จะเป็นลิฟท์แก้ว ได้มองวิวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ลิฟท์ตัวนี้ไม่แวะจอดชั้นไหน เป็นลิฟท์เฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวขึ้นจุดชมวิวค่ะ

ขึ้นไปด้านบนแล้วจะต้องผ่านจุดซื้อตั๋วก่อน เราก็แสกนบัตร Osaka Amazing Pass เข้าไปแบบฟรีๆ!! เดินขึ้นบันไดเลื่อนหลอดใสข้ามไปตึกอีกฝั่งนึงค่า

บันไดเลื่อนตัวนี้ก็เป็นอีกจุดถ่ายรูปสวยๆที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายกัน

ด้านบนนี้จะเป็นลักษณะแบบโดนัท กลมๆมีรูตรงกลาง มีคาเฟ่ให้นั่งชิวจิบกาแฟพร้อมๆกับชมวิวไปด้วย มีมุมมินิมอลให้ถ่ายรูป และมีมิวเซียมเล็กๆให้ข้อมูลประวัติของตึกนี้ การก่อสร้างและออกแบบตึกค่ะ

เสร็จแล้วเราสามารถเดินขึ้นบันไดไป Rooftop ได้ค่า

📍 จุดชมวิว Rooftop @Umeda Sky Building

วิธีเดินทางไป Umeda Sky Building

> เดินจากสถานี Umeda 15 นาที

ค่าเข้าชม

> 1500 yen / Osaka Amazing Pass เข้าฟรี


เสร็จแล้วเราก็มาเก็บลิสต์ร้านอาหารแนะนำที่ save ไว้ย่าน Umeda นั่นก็คื๊อออ... “Uoshin Sushi” 🍣

ร้านนี้คนไทยรีวิวไว้เยอะเลยลองไปกินตามดูค่ะ เดินจากสถานี Umeda 10 นาที ร้านจะอยู่แถวๆห้าง Whity แต่ไม่ต้องลงใต้ดินนะคะ

ร้านนี้ได้ชื่อว่าซูชิหน้าล้น 🍣🍣 ของจริงก็คือล้นจริงๆ ข้าวเหมือนมีมาให้ขำๆ เนื้อเต็มปากเต็มคำมาก ชูชิของที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูปลา เมนูมีไม่เยอะมาก แต่อร่อยและราคาสู้ไหววว (ถูกกว่าและสดกว่ากินในไทย)


อีกร้านแนะนำที่มาตามรีวิวก็คื๊อออ... “Gyu-Kaku Sumibi Yakiniku”

ร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างแนะนำในย่าน Umeda

มีเนื้อและซอสให้เลือกเยอะ เมนูพรีเมียมเพียบบ รสชาติถูกปาก!!

จะมี 3 ราคา เริ่มต้นตั้งแต่ 2xxx-4xxx yen และบุฟเฟ่ต์เครื่องดื่ม 1,xxx yen [Beer,Cocktails,Soft drinks]

จำกัดเวลา 1.30 ชม.

ความพิเศษของร้านนี้อีกอย่างก็คือ ร้านปิดตี 2!! ดริ๊งกันได้ยาวววๆ 😆


ออกจากย่านอูเมดะ เราไปต่อกันที่ “Osaka Castle”

Landmark สำคัญของโอซาก้าเลย ใครมาต้องมาเช็คอินที่จุดนี้ และแน่นอนว่าคนก็ต้องเยอะเช่นกัน สำหรับใครมาโอซาก้าครั้งแรกก็แนะนำให้มาค่า

นั่งรถไฟ Metro มาลงที่สถานี Tanimachi 4 Chome (ทานิมาชิ ย่งโจเมะ) ในสถานีจะมีป้ายบอกว่าต้องออก exit ไหนค่ะ

เดินต่อจากสถานีประมาณ 10 นาที จะถึง area ของปราสาท จากตรงนี้ต้องเดินเข้าไปอีก 10 นาทีถึงจะถึงตัวปราสาทจริงๆ ถ้าใครเดินไม่ไหวก็มีบริการรถ Tramp คนละ 200yen ค่า

บริเวณด้านนอกปราสาทไม่เสียค่าเข้า ถ้าเข้าด้านในปราสาทเป็น museum 8 ชั้น ต้องเสียค่ะ แต่เราก็ยังมี Osaka Amazing Pass เข้าฟรีอีก!! 😂

Museum ด้านในจะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของปราสาท และสามารถชมวิวจากด้านบนปราสาทได้ มีลิฟท์บริการส่งถึงชั้นบนสุด ค่อยๆเดินชมจากชั้นบนลงมาเรื่อยๆ

แถวหน้าปราสาทก็จะมีร้านอาหาร ร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่ด้านหน้า และที่นี่เหมือนสถานที่สำหรับพาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่นด้วย เพราะเจอน้องหมาเยอะมากๆ น่ารักๆทั้งนั้น 🥰

🚇 วิธีเดินทางไป Osaka Castle

> จากสถานี Umeda นั่ง Metro สายสีแดง Midosuji เปลี่ยนสายที่สถานี Honmachi ต่อสายสีเขียวเข้ม Chuo ไปลงสถานี Tanimachi 4 Chome

💰 ค่าเข้าชม

> โซนนอกเข้าฟรี / ในปราสาทเสียเพิ่ม แต่ Osaka Amazing Pass เข้าฟรี


และแล้วช่วงท้ายของทริปที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการช้อปปิ้งงง ✨

เรามาเดินกินช็อปกันที่ย่าน Dotonburi & Shinsaibashi หรือที่ทุกคนรู้จักว่า ‘ป้ายกูลิโกะ’ นั่นเอง 😁

นั่ง Metro มาลงสถานี Namba เดินอีกนิดนึงก็ถึงเลยค่า

ย่านนี้จะอยู่ริมคลอง Dotonburi เลย ถนนช้อปปิ้งยาวเหยียด จะซื้อของฝากก็ที่นี่เลยค่า

มีทั้งสินค้าแฟชั่น แบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ H&M 3 ชั้น, Zara, Adidas, ABC Mart และอื่นๆอีกเป็นร้อยช็อป

ช็อปแบรนด์ Luxury ในห้าง Daimaru เช่น Belenciaca, Gucci, Celine, etc. และศูนย์รวมร้านแบรนด์เนมมือสอง

ศูนย์รวมของฝากทุกประเภทที่ห้าง Don Quihote และร้านอาหารชื่อดังมากมาย

🚇 วิธีเดินทางไป Dotonburi& Shinsaibashi

> นั่ง Metro ลงสถานี Namba

และ Osaka Amazing Pass ก็ให้สิทธิพิเศษกับเราอีกแล้ว!!

เราสามารถใช้บัตรนี้นั่งเรือ Dotonburi River Criuse ได้ฟรีค่า (ปกติ 600yen)

เรือจะพาล่องชมตามคลองและมีพนักงานพากษ์อธิบายจุดต่างๆ ใช้เวลาประมาน 20 นาที ถือว่าเป็นการพักขาที่ดีค่า


และเมื่อมาย่าน Dotonbori ขอบอกว่าพลาดไม่ได้เลยกับร้านนี้...

ร้านข้าวหน้าเนื้อเด็ดๆ แนะนำย่าน Dotonbori “Dotonbori Niku Gekijou” 🍲

ยืนต่อคิวอยู่นานกว่าครึ่งชม. เราก็ได้โอกาสลิ้มลองข้าวหน้าเนื้อเด็ดๆที่คุ้มค่ากับการรอคอย เมนูนี้คือข้าวหน้ารวม 4 เนื้อ มีเนื้อวัว 2 แบบ (จำไม่ได้ว่าคืออะไรบ้าง) หมูและไก่ บอกเลยว่าอร่อยมาก ขนาดไก่ที่คิดว่าน่าจะเฉยๆยังอร่อย!! จานนี้ 1280yen จ้า


อีกร้านนึงย่าน Dotonbori ที่พลาดไม่ได้ (อีกแล้ว!!) “Shabu-Tei”

ร้านชาบูชาบูชื่อดังในหมู่นักท่องเที่ยว ถึงขนาดมีเล่มเมนูภาษาไทยให้เลย

ร้านใหญ่มากๆมีถึง 4 ชั้นเลยทีเดียว!!

เมนูร้านนี้เราจะต้องสั่งเป็นเซ็ทค่า 4 คนก็ต้องสั่ง 4 set (สั่งเพิ่มได้ถ้าไม่อิ่ม) เซ็ทจะเริ่มต้นด้วยเหล้า 1 เป๊ก, น้ำ (ชา/กาแฟ), ชุดผักรวม, เนื้อ/หมู, อูด้ง, ไอติม

ราคาเซ็ทละ 3,xxx yen


และแล้วก็มาถึงจุดสุดท้ายของเรา...

ตลาดสายกินแหลกแดร๊กยับ “Kuromon Ichiba Market” 🥩

โดยเรานั่ง Metro มาลงสถานี Nippombashi

ที่นี่จะเป็นซอยที่มีของกินยาววยาวววไปเลยค่ะ

ปลาดิบสดๆ, ปูทาราบะ, อูนิไข่หอยเม่น, เนื้อย่าง, soft cream เมล่อน > แต่ละอย่างอร่อยยยมากกกก แนะนำให้เดินกินไปเรื่อยๆหลายๆร้านค่า อิ่มจุกแน่นอน 🍡


[ในวันสุดท้ายเราต้อง check-out 10 โมง เราเลยออกมาตอนเช็คเอาท์เลยแล้วเอากระเป๋าไปเก็บไว้ใน locker ที่สถานี Namba เพราะเราต้องขึ้นรถไฟ Nankai ที่สถานีนี้เพื่อไปสนามบินคืนนี้ค่ะ

ค่า locker ราคาตามขนาดตู้ กระเป๋าใหญ่ก็ใส่ช่องใหญ่สุด 600yen ช่องเล็ก 500yen]

และก็จบลงแล้วกับทริปคันไซ 5 วัน ทริปหน้าจะมาอีกเร็วๆนี้แน่นอน! รอติดตามกันเลยค่าา

ฝากกด Like&Share เป็นกำลังใจให้กันด้วยนา 😆 see ya!

LEFT HOME หนีออกจากบ้าน

 วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 13.28 น.

ความคิดเห็น