“ตอนนี้ยังไม่เปิดครับ ฝนกำลังดี ชาวบ้านนำทางลูกหาบเขายังทำไร่ทำนาอยู่” นั่นคือคำตอบของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช จังหวัดตาก บอกกับผมตอนโทรไปถามข้อมูลการท่องเที่ยวเดินป่าขึ้นดอยมณฑา ... แต่นั่นเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้วนะครับ

ตัดฉับมาปัจจุบัน เมื่อผมแจ้งเจ้าหน้าที่ในช่วงปลายปีว่ามีความประสงค์จะพาเพื่อนๆ รวม 8 ชีวิต ไปยลดอยมณฑา เป็นทริปประเดิมปี 2562 สักหน่อย คราวนี้ทุกอย่างดูเหมือนราบลื่นเรียบร้อยดี

ตั๋วรถทัวร์จองแล้ว นัดแนะเพื่อนแล้ว นัดแนะรถกระบะรับ-ส่งของเจ้าหน้าที่แล้ว แต่พอหลังหยุดยาวปีใหม่ก่อนเดินทางแค่สองวัน โทรคุยกับเจ้าหน้าที่อีกรอบก็ถึงกับอึ้งกิมกี่เมื่อปลายสายพูดว่า “ชาวบ้านบอกว่าเดือนนี้ไม่นำเดินแล้วค่ะ บนดอยหาแหล่งน้ำยากแล้ว”

ใจหล่นถึงตาตุ่ม จะทำยังไงล่ะ ก็อ้อนวอนเจ้าหน้าที่ไปสิครับว่าขออีกกลุ่มไม่ได้หรือ เพิ่งหลังปีใหม่เอง ที่สำคัญเราเตรียมการเดินทางไว้หมดแล้ว นับว่าโชคดีที่เจ้าหน้าที่เข้าใจและใจดีคุยกับชาวบ้านให้ และชาวบ้านเองก็เห็นใจ... โอเค กลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายของฤดูกาลท่องเที่ยวปีนี้นะ


เฮ้อ... โล่งอกไปที

ดอยมณฑา เป็นยอดเขาลูกหนึ่งในเขตอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช เป็นแนวแบ่งเขตอำเภอแม่สอด กับอำเภอเมือง ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวทางอุทยานฯ บริการจัดการร่วมกับชุมชนบ้านปูแป้ ตำบลพะวอ อำเภอแม่สอด นักท่องเที่ยวจะขึ้นดอยต้องติดต่อขออนุญาตอุทยานฯ ก่อน จากนั้นอุทยานฯ จะประสานงานกับชาวบ้านให้ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่แท้จริง

อช.ตากสินมหาราช ดอยมณฑา และบ้านปูแป้ อยู่ตรงกลางระหว่าง ตาก – แม่สอด หากเดินทางเองด้วยรถสาธารณะแนะนำให้ลง บขส.ตาก แล้วใช้บริการเหมารถกระบะของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จะดีที่สุด เหมือนที่พวกเราทำในครั้งนี้ครับ


(1)

ทริปนี้พวกเรา 8 ชีวิต เดินทางจากหมอชิต 6 คน นัดเจอกับเจ้าถิ่นชาวตาก อีก 2 คน ที่อุทยานฯ สะดวกที่สุดคือรถ ป.1 กทม. – บ้านตาก รอบสี่ทุ่ม ถึง บขส.ตาก 5.00-5.30 น. เวลากำลังดี

ถึง บขส.ตาก เช้าตรู่ รถเจ้าหน้าที่ก็มารับ หน้าหนาวแบบนี้ฟ้ายังมืดตึ้ดตื๋อ ก่อนเข้าไปข้างในต้องแวะตลาดซื้อของก่อน ทริปนี้วันเดียวเพราะฉะนั้นทำแบบง่ายๆ ผัดผัก หมูยอทอด ลูกชิ้นทอด ที่ตลาดมีให้เลือกทุกสิ่งอยู่แล้ว

จับจ่ายข้าวของเสร็จก็ตรงมาที่ทำการอุทยานฯ วิ่งถนน แม่สอด-ตาก ทล.12 นั่นแหละ จากปากทางเข้ามาประมาณสามกิโลเมตร ตรงนี้เป็นเขตของอำเภอเมือง เรามาที่นี่เพื่อลงทะเบียนขึ้นดอยมณฑาและเตรียมตัวลุยกัน

ในเอกสารลงทะเบียนบอกเอาไว้ครับ เส้นทางถึงยอดดอยมณฑาทั้งหมด 7 กิโลเมตร เป็นทางค่อนข้างราบ 4 กิโลเมตร และทางชัน 3 กิโลเมตร เตือนไว้ก่อนว่าจะต้องเหนื่อยพอดู

หากใครขับรถส่วนตัวจะมากางเต็นท์นอนที่นี่ก่อนสักคืนก็บรรยากาศดี ลานกางเต็นท์หลายโซน ห้องน้ำห้องท่าสะดวกมาก

จากที่ทำการฯ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จึงมาถึงจุดนัดหมายกับชาวบ้านนำทางที่วัดปูแป้ ตรงนี้อยู่ในเขตอำเภอแม่สอดแล้ว เป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง แต่เพราะไม่ได้อยู่บนเขา ถนนเข้าถึง ก็เป็นชาวกะเหรี่ยงทันสมัย ลูกหลานรุ่นใหม่ถือสัญชาติไทย พูดทั้งกะเหรี่ยงทั้งไทยได้สบาย และเป็นจุดสุดท้ายจริงๆ สำหรับใครจะเตรียมความพร้อมเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย

ความสนุกก่อนเหนื่อยคือเราต้องนั่งรถอีแต๊กจากวัดปูแป้ต่อเข้าไปจุดเริ่มเดิน ผ่านทั้งถนนลูกรัง ลำห้วย สองข้างทางเป็นพื้นที่ถากถางทำเกษตรบ้าง ป่าปลูกบ้าง นั่งหัวโยกหัวคลอนกันประมาณครึ่งชั่วโมงครับ

ถึงสุดทางรถอีแต๊กจึงได้เดินกันแล้ว (เย้...) เตรียมของขึ้นเป้ได้เลย มองนาฬิกาสิบโมงครึ่งพอดี

อย่างที่บอกครับว่าทางช่วงแรกเป็นทางราบ จริงๆ ก็ไม่ราบเสียทีเดียวหรอก ไต่ระดับทีละน้อยตามห้วยปูแป้ ข้ามห้วยไปมาหลายครั้ง ดีว่าเดือนมกราคมน้ำค่อนข้างน้อย เหยียบหินบ้าง ก้าวยาวๆ บ้างก็พ้น ไม่ต้องลุยน้ำเหมือนตอนหมดฝนใหม่ๆ

ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี เราก็มาถึงจุดที่ลำห้วยย่อยสองสายมาบรรจบกัน ไกด์บอกว่าพักกินข้าวตรงนี้แหละ เราบอกว่ายังไม่หิวเลยไปต่อก็ได้ แต่ไกด์ยืนยันว่าให้กินตรงนี้ มาบางอ้อหลังกินเสร็จว่าจากจุดนี้ลูกหาบจะแยกกับเรา เขาไปทางสั้นกว่าเพื่อตัดขึ้นแคมป์ ส่วนเราไปอีกทางที่ชันกว่าไกลกว่าแต่มีวิวให้ชมนั่นเอง

น้ำในลำห้วยปูแป้ใสมากครับ กุ้ง ปลา ลูกอ๊อด เพียบเลย หลักฐานความสะอาดของน้ำคือการมีอยู่ของสัตว์น้ำตามธรรมชาตินี่แหละ

หลังพักกินข้าวเรายังคงเดินขึ้นแบบเรื่อยๆ ทีละนิดละหน่อยอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงพ้นช่วงที่เรียกว่า 4 กิโลเมตรแรก ต้องเจอทางชัน 3 กิโลเมตร ที่อุทยานฯ ขู่ไว้สักที

เนินแรกมาตอนเที่ยงครึ่ง เพิ่งรู้สึกว่ามาเดินป่าขึ้นเขาจริงจังก็ตอนนี้ การได้เดินมายาวๆ ก่อนหน้าถือว่าดีนะ เหมือนวอร์มเครื่อง พอเจอทางชันเลยไม่หนักมาก ไม่เหมือนบางดอยแค่ก้าวไม่กี่ก้าวก็ชันซะแล้ว

ใกล้บ่ายสอง พ้นเนินที่สองขึ้นมาจะมองเห็นภูเขาสีทองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นั่นแหละคือดอยมณฑา และจุดที่เราจะตั้งแคมป์กัน

ทีละนิด ทีละนิด เราต้องผจญทางชันๆ อีกประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อผ่านเนินที่สองและเนินที่สามให้ได้

พ้นแนวป่าเนินที่สามขึ้นมาสู่ยอดเขาโล่งๆ พอเห็นเขาลูกข้างหน้าแล้วถึงกับน้องโอ้ว ยิ่งเห็นทางเดินสีขาวๆ ขึ้นสู่ยอดเขาด้วยแล้ว ขอกลืนน้ำลายแป๊บนะ (ฮา...)

ไกด์บอกว่ายอดเขาโดดเด่นลูกข้างหน้าคือเนินสุดท้ายที่เราต้องเผชิญ มีชื่อว่าคลุยโจโม ส่วนตรงที่เราจะไปตั้งแคมป์คือคลุยพะแล (คลุยแปลว่าภูเขา) ทั้งหมดอยู่ในภูเขาลูกที่เรียกว่าดอยมณฑานั่นไง

ถอนหายใจสักเฮือก ขึ้นเป้ แล้วไปต่อ ยืนอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ยังไงภูเขาก็ไม่ลดความสูงให้หรอก (ฮา...)

ขึ้นมาเรื่อยๆ ทีละก้าววิวสวยมาก น่าแปลกคือตอนยืนดูไกลๆ เห็นว่าสูงลิบลับ พอเดินจริงๆ กลับไม่ชันเหมือนที่ตาเห็นแฮะ หรืออาจเพราะได้เดินไปชมวิวไปถ่ายรูปไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้

ถึงยอดคลุยโจโม แดดแรงๆ แบบนี้นั่งพักหลบร่มต้มกาแฟร้อนๆ กินกันเถอะ บ้าไปแล้วอากาศร้อนดันจิบกาแฟร้อนอีก

นั่นแหละครับเนินชันเนินสุดท้าย หลังจากนี้จะเดินเลาะตามสันเขา ช่วงที่เราไปหญ้าเริ่มแห้งแถมดอกหญ้ากำลังออก สะท้อนแดดกลายเป็นทางเดินสีทองสวยน่าประทับใจมาก แต่อย่าชมวิวเพลินเกินไปล่ะ เพราะบางช่วงหากเผลอก้าวผิดทิศผิดทางอาจลงยาวหล่นหายวับไปในป่าเลยก็ได้

สี่โมงเศษๆ ถึงจุดชมวิวสวยที่สุดของดอยครับ เป็นจุดถ่ายรูปหลักเลยแหละ มีชะง่อนหินยื่นออกมาให้ยืนให้นั่งแอ็กท่าพอดีเป๊ะ แบ็คกราวน์เป็นแนวเทือกเขาและยอดคลุยโจโม ขอบอกว่าฟิน

จากจุดถ่ายรูป เดินทะลุชายป่าอีกไม่เกินห้านาทีก็ถึงจุดตั้งแคมป์ สภาพพื้นที่ช่วงหน้าแล้งแจ๋วมาก เต็นท์ดี เปลสะดวก มีเพิงที่ชาวบ้านทำไว้อีกสองหลัง เราสามารถใช้พื้นที่ได้เลย สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต มีครบทุกเครือข่าย

ส่วนน้ำดื่มน้ำใช้ลูกหาบเอามาให้เรียบร้อย ไกด์บอกว่าเข้ามกราคม ลูกหาบจะต้องแบกน้ำมาไกลกว่าช่วงก่อนหน้านี้ เพราะแหล่งน้ำใกล้แคมป์แห้งสนิทไปแล้ว นั่นทำให้หมู่บ้านจะทำการปิดดอยไม่พานักท่องเที่ยวขึ้นมาแล้วนั่นไง

หลังจัดการที่นอนเสร็จก็ช่วยกันหุงข้าวทำกับข้าวกับปลาแบบง่ายๆ สไตล์ชาวแคมป์ล่ะนะ

พอใกล้พระอาทิตย์ตกก็พากันออกไปดื่มด่ำบรรยากาศสักหน่อย วันนี้เพราะอิทธิพลของหางพายุปาบึกแสงเลยไม่แรงฟ้าไม่จัดจ้านเท่าไหร่ แต่ก็แลกมากับการได้เห็นไข่แดงดวงกลมๆ สวยดีครับ

ค่ำคืนนี้พวกเรากินข้าวนั่งคุยกันไปเรื่อยแบบไม่แคร์เวลา อากาศกำลังดี ไม่หนาวเกินไป ลมไม่แรง ท้องฟ้าเปิดๆ ปิดๆ เมฆลอยไปลอยมา ผมเลยขี้เกียจไม่ได้ตั้งกล้องถ่ายดาว ขอเป็นทริปชิลๆ บ้างแล้วกัน


(2)

เราอยู่แม่สอด อำเภอชิดขอบตะวันตกของประเทศ ดังนั้นพระอาทิตย์ขึ้นช้าแน่นอน หกโมงลุกจากเต็นท์ออกมาดูว่าวันนี้ไม่มีทะเลหมอก (แห้งแบบนี้จะไปมีได้ยังไง) ก็เข้าไปเกลือกกลิ้งต่อ สักใกล้ๆ เจ็ดโมงโน่นแน่ะค่อยออกมาขยี้ตาอรุณสวัสดิ์วันใหม่

หลังต้มน้ำกินกาแฟ ช่วยกันหุงข้าวทำกับข้าวไว้ส่วนหนึ่ง เจ็ดโมงครึ่งก็พากันเดินขึ้นไปดูวิวบนยอดเขาซึ่งอยู่เหนือจุดตั้งแคมป์ เดินแป๊บเดียวยังไม่ทันเหนื่อยเลย

ขึ้นไปแล้วก็แช้ะเก็บภาพความประทับใจกันไป มีตากล้องหลายคนเสียงชัตเตอร์ก็ลั่นเป็นระยะไม่ขาดสาย เป็นช่วงเวลาที่สงบ อบอุ่น สนุก และมีความสุขดีครับ

กินข้าว เก็บแคมป์ ทำความสะอาดพื้นที่ 9.27 น. เป็นเวลาที่ผมถ่ายภาพหมู่ของพวกเราบนดอยเป็นภาพสุดท้าย ได้เวลาเซย์กู๊ดบายความสวยของภูเขาสีทองลูกนี้แล้ว

ขาลงนี่เดินลงจริงๆ ลาดลงเรื่อยๆ แต่เดินไม่ยาก เป็นทางเดียวกับที่ลูกหาบขึ้นมาเมื่อวาน

ประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ลงมาถึงลำห้วย บอกเลยว่ามีจุดที่สวยมากๆ คือบริเวณถ้ำใต้หน้าผาตรงนี้ ถามไกด์ว่าเรียกว่าอะไร ไกด์นั่งคิดอยู่ตั้งนานแล้วบอกว่าชื่อถ้ำพอโทะเล

หลังจากนี้เราจะเดินเลาะห้วยไปเรื่อยๆ จนบรรจบกับจุดที่พักกินข้าวเมื่อวาน แล้วใช้เส้นทางเดิมกลับไปขึ้นรถอีแต๊กที่จอดไว้

เรื่องเหมือนกำลังจะจบแต่มีแถมตอนท้ายอีกหน่อย เพราะพอกลับถึงวัดปูแป้ ที่นั่นกำลังมีงานปีใหม่ของกลุ่มเยาวชนบ้านปูแป้พอดี น้องๆ กะเหรี่ยงเลยชวนเรากินข้าวให้อิ่มหนำสมความเหนื่อยตามใจชอบ

แรกๆ ก็ออกลูกเกรงใจ ไปๆ มาๆ ชักวนตักคนละหลายรอบจนอิ่มแปล้กันเลยแฮะ (ฮา...)

รออีกสักพักรถเจ้าหน้าที่ก็มารับเราที่วัดปูแป้ กลับไปอาบน้ำอาบท่าที่ที่ทำการอุทยานฯ จากนั้นก็มาส่งพวกเราต่อที่ บขส.ตาก เพื่อนั่งรถทัวร์กลับบ้านกัน

โดยส่วนตัวหากถามผมว่าดอยมณฑาน่าเที่ยวหรือเปล่า ผมว่าที่นี่มีวิวสวยพอตัวเลยนะ ทางเดินไม่ยากมาก ไม่ไกลเกินไปด้วย เหนื่อยกำลังสนุกแบบไม่ทรมานนัก ความสบายของจุดกางเต็นท์มีเยอะ พื้นที่ดี สัญญาณโทรศัพท์ก็มี พอเอาทุกอย่างบวกลบคูณหารกันแล้ว คำตอบเลยเป็นว่า... ผมชอบที่นี่มากครับ และแนะนำให้ต้องจัดมาสักครั้งเลยล่ะ

ปีนี้ย้ำว่าปิดดอยเรียบร้อย ทางหมู่บ้านไม่พาขึ้นมาแล้ว ใครขึ้นหลังจากนี้คือแอบอุทยานฯ ขึ้น ต้องรอเปิดใหม่อีกทีราวๆ เดือนตุลาคม ที่คุยกับหลายฝ่ายแว่วมาว่าฤดูกาลท่องเที่ยวหน้าอาจเปิดลากยาวกว่าแค่สิ้นปีไปอีกสักเดือน ถึงเวลาก็สอบถามอุทยานฯ อีกทีแล้วกัน

ส่วนผมมาแล้ว ฟินแล้ว พอใจแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อาจไว้รออีกสักพักใหญ่ๆ แล้วจะกลับมาเที่ยวใหม่แล้วกันนะ ดอยมณฑา


ค่าใช้จ่ายทริปนี้

- ค่าไกด์ชาวบ้านนำทาง 1,200 บาท
- ค่าลูกหาบ 1,000 บาท (ต่อคน)
- ค่าเจ้าหน้าที่อุทยานฯ 1,200 บาท (ต่อคน/ถ้ามี)
- ค่าธรรมเนียมเข้าหมู่บ้านคนละ 100 บาท
- ค่ารถอีแต๊กไป-กลับ วัดปูแป้-จุดเริ่มเดิน คันละ 200 บาท
- ค่ารถเหมาไป-กลับ บขส.ตาก-ที่ทำการฯ-วัดปูแป้ คนละ 350 บาท
- ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ คนละ 40 บาท


รู้สักนิดก่อนไปเที่ยว

- อยู่ในเขต อช.ตากสินมหาราช ระหว่าง อ.เมือง และ อ.แม่สอด จ.ตาก
- นั่งรถทัวร์ให้ลง บขส.ตาก ไม่ใช่ บขส.แม่สอด จากนั้นเหมาะรถรับ-ส่ง สะดวกที่สุด
- เปิดให้เที่ยวประมาณเดือนตุลาคม ถึงธันวาคม หรือมกราคม ในแต่ละปี
- ขึ้นได้ทุกวันช่วงที่เปิด แต่หนึ่งวันรวมกันไม่เกิน 30-40 คน
- ยอดดอยความสูงประมาณ 1,300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
- เส้นทางเดินราว 7 กิโลเมตร เดินตามลำห้วย 4 กิโลเมตร ขึ้นเขา 3 กิโลเมตร
- ใช้เวลาเดินประมาณ 5-6 ชั่วโมง รวมพักแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบมาก
- ช่วงปลายฤดูฝนรถอีแต๊กอาจไปได้ไม่สุดทางรถ ก็จะได้ระยะทางเดินเพิ่มขึ้น
- ทางเดินช่วงปลายฤดูฝนมีทากพอสมควรแถวลำห้วย ส่วนฤดูแล้งแทบไม่มี
- ปลายฤดูฝนการข้ามลำห้วยเปียกแน่นอน ช่วงฤดูแล้งพอหลบเลี่ยงได้
- ปลายฝนยอดดอยยังหญ้าเขียว เข้าธันวาค่อยๆ เริ่มเหลืองทอง
- แคมป์บนดอยกางเต็นท์ได้ เปลได้ นอนปลาทูได้
- มีแหล่งน้ำตลอดทางเดินและบนยอด เตรียมเฉพาะน้ำกินระหว่างทางก็พอ
- สัญญาณโทรศัทพ์และอินเทอร์เน็ต มีทุกเครือข่ายข้างบน
- ข้อมููลอื่นๆ อช.ตากสินมหาราช 055511429 และคุณแอม จนท.อุทยานฯ 0820317842


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง

http://www.facebook.com/alifeatraveller


นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller

 วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.43 น.

ความคิดเห็น