วันนี้เรามาชวนคนมีเวลาน้อย ไปเที่ยวแบบสบายกระเป๋า กับทริปพักผ่อน 2 วัน 1 คืนกันค่ะ

จุดหมายปลายทางที่คลาสสิคอย่าง “หัวหิน” จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปิ๊งว้าบขึ้นมาในใจของเราทันที

เพราะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เกินไปนัก เดินทางก็ง่าย ที่เที่ยวก็เยอะ อบอุ่น ปลอดภัย

หันซ้ายเป็นร้านอาหารอร่อย พอหันขวาก็เจอท้องทะเลกับชายหาดขาว ๆ

--- ฟินสุดขนาดนี้ จะไม่ไปได้ยังไงนะ ---



--- Day 1 ---

จับรถไฟ ไปหัวหิน

>>> ที่เลือกเดินทางโดยรถไฟนั้น ไม่ใช่แค่เพราะติดใจในความคลาสสิกของรถไฟไทยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่ารถไฟเหมาะกับคนเมารถอย่างเรามากกก (ก็รถไฟแล่นตรงยาว ๆ ไปนี่นะ แทบไม่เบรก ไม่เลี้ยว ไม่ติดไฟแดงด้วย)

ไม่ต้องกลัวหลง คุยเมาท์มอยกับเพื่อนได้ตลอดทาง จะงีบหลับก็ได้ (เพราะไม่ได้ขับเอง)

ไม่ต้องหาที่จอดด้วย และที่สำคัญสบายกระเป๋าค่ะ ถ้าเราเลือกไปรถไฟชั้น 3 ก็ 44 บาทเท่านั้น

(40 กว่าบาท ไปได้ไกลถึงหัวหินนู่น ปกตินั่งแท็กซี่ พ้นปากซอยก็ 40 บาท แล้ว ตั๋วถูกแค่ไหน คิดดู๊!)

รถไฟเที่ยวเช้าสุดมี 2 สาย 2 ขบวนด้วยกันค่ะ คือ

  • ขบวนที่ 255 สถานีต้นทางธนบุรี ออกเวลา 7.30 น. ถึงหัวหิน 11.44 น.
  • ขบวนที่ 261 สถานีต้นทางหัวลำโพง ออกเวลา 9.20 น. ถึงหัวหิน 13.35 น.

**ถ้าใครอยากเดินทางสบายๆ กว่านี้ก็แนะนำให้ไปรถไฟปรับอากาศค่ะ สามารถเช็คตารางและค่าโดยสารได้ที่เว็บของ การรถไฟไทย

>>>พอมาถึงสถานีหัวหินแล้ว แวะซื้อตั๋วขากลับไว้ล่วงหน้าเลยก็ได้ค่ะ

(เพื่อความสบายใจว่า ถ้าเผลอเที่ยวเพลินจนจะตกรถไฟแหล่ มิตกแหล่แล้วละก็

พอรถไฟเทียบชานชาลาปุ๊บ ก็พุ่งตัวขึ้นไปได้เลย ไม่ต้องมัวมาต่อคิวซื้อตั๋วอยู่ให้ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ได้กลับบ้านแน่นอน ฮ่า..)

เราเลือกกลับโดยรถไฟชั้น 2 ค่ะ ขบวนด่วนพิเศษ เลขที่ 40 เวลารถออก 16.01 น. ถึงหัวลำโพง 19.45 น.

ค่าตั๋ว 412 บาท

***ที่เลือกกลับขบวนนี้ก็เพื่อต่อเวลาเที่ยวอีกหน่อย จับรถด่วนขบวนสุดท้ายกันเลยทีเดียว

แต่ถ้าจะกลับโดยรถไฟขบวนธรรมดา ก็ต้องเป็น เลขที่ 262 เวลาออก 14.10 น. ถึงหัวลำโพง 19.00 น. ค่าตั๋ว 44 บาทเท่าขามา

*****

ขากลับก่อนจะละทิ้งชายหาดมาเราแนะนำให้เช็คแอพก่อนค่ะว่ารถไฟดีเลย์หรือเปล่า เพราะเรารีบมาที่สถานีมาก กลัวจะตกรถไฟเหมือนตอนขามา แต่ปรากฎว่ามันดีเลย์เกือบ 2 ชั่วโมง นั่งเฝ้าสถานีกันไป

****



หลังจากจัดการเรื่องตั๋วเรียบร้อย เราไปนั่งพักกันที่ร้านสถานีรถไฟหัวหิน ซึ่งใครมาที่นี่ต้องรู้จักร้านนี้กันทั้งนั้น เพราะอยู่ติดสถานีรถไฟเลย ส่วนใหญ่คนจะมานั่งดื่มอะไรเย็นๆ แล้วก็กินขนมรองท้องกันค่ะ

รสชาติใช้ได้ค่ะ ค่อนข้างสมราคา


Tips:

1.ถ้าเลือกนั่งรถไฟชั้น 3 กินลม ชมวิว แนะนำให้ติดผ้าปิดปากไปด้วยสักผืนนะคะ
มีบางช่วงที่รถไฟแล่นผ่านท้องทุ่งและดินแดง ฝุ่นตลบคลุ้ง ฟุ้งกระจายกันเลยทีเดียว

2.มีแอพพลิเคชั่นชื่อ “ตรวจสอบเวลาการเดินรถ” กับ “Thai Railway (รถไฟไทย)” ช่วยเราเช็คเวลารถไฟแบบเรียลไทม์ รถดีเลย์กี่นาทีก็เช็คได้เลยบนมือถือ สะดวกมาก

****************

บ้านพักริมหาด ระเบียงริมทะเล


>>>ที่พักของเราคือ “Karoon23” ห่างจากสถานีรถไฟหัวหินประมาณ 1.5 กิโลเมตร เดินเพลิน ๆ 15 นาทีก็ถึงค่ะ เป็นเกสท์เฮาส์เรือนไม้ ห้องไม่ใหญ่ แต่ตกแต่งใหม่สะอาดตา และที่สำคัญ มองเห็นวิวทะเลกับสะพานปลาได้จากหน้าต่างห้องเลยด้วย!

>>>ด้วยความที่เกสท์เฮาส์อยู่ติดทะเล ก็จะได้ยินเสียงคลื่นตลอดเวลา และได้ยินเสียงฝีเท้าเดินผ่านไปมาเพราะพื้นเป็นพื้นไม้ ดังนั้นใครนอนหลับยากก็คงต้องทำความคุ้นเคยสักหน่อย



ส่วนไฮไลต์ของที่นี่ ก็ขอยกให้ “sea view balcony”

ซึ่งก็คือระเบียงไม้กว้าง ๆ ด้านหลังเกสท์เฮาส์ซึ่งยื่นลงไปในทะเล

ให้เราได้สูดอากาศสดชื่น และมองวิวทะเลเต็มตา 180 องศา

มีโต๊ะกับโซฟา และเก้าอี้นอนให้ได้นอนฟังเสียงคลื่น ทอดอารมณ์ตามสบาย

ตอนกลางคืนที่ระเบียงนี้มีเปิดไฟสี ๆ เสริมบรรยากาศด้วยนะคะ

ถ้ามากับแก๊งเพื่อนสนิทนี่ ได้ฟีลปาร์ตี้ริมทะเลมาก ๆ

แล้วห้องพักน่ารัก วิวสวยๆ ติดทะเลแบบนี้ คิดว่าค่าห้องเท่าไรดีคะ

935 บาท/คืนเท่านั้นเองค่ะ หารกับเพื่อนก็คนละไม่ถึง 500 บาทเอง สบาย ๆ (จริงๆ ห้องติดทะเลราคา 950-1,000 ต้นๆ ค่ะ อยู่ที่ว่าเป็นไฮซีซั่นหรือเปล่า เราได้ห้องราคา 950 แต่จองผ่านแอพ ก็ได้ส่วนลดไปอีก)




ตะลุยตลาดโต้รุ่ง หัวหิน


>>>เก็บของเข้าห้องพักกันแล้ว ก็ต้องออกไปตามล่าหาของอร่อยสิคะ รออะไร 55

รอบ ๆ ที่พักมีร้านอาหารเยอะมาก เลือกไม่ถูกเลยทีเดียว ร้านสะดวกซื้อก็มี

เราเดินออกมาที่ถนนแนบเคหาสน์ ก็เจอกับซอยเล็ก ๆ ซึ่งมีรถเข็นขายอาหารคาวหวาน เรียงรายซ้ายขวากันทั้งซอย

แอบเห็นร้านอาหารตามสั่งคนมุงเยอะหน่อย ก็เลยไปมุงกับเขาบ้างค่ะ

จึงได้ผัดบรอกโคลีกุ้งสด กับต้มยำทะเลน้ำข้น มากินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยจนหมดเกลี้ยงในพริบตา



เติมพลังกันแล้วก็เดินต่อไปยัง “ตลาดโต้รุ่งหัวหิน”

มีบูธร้านค้าตั้งเรียงยาวทั้งถนน อารมณ์คล้าย ๆ ถนนคนเดินค่ะ

ทั้งเสื้อผ้า ของที่ระลึก โปสการ์ดน่ารัก ๆ น่าดูน่ามองไปหมด

และก็มีร้านขายอาหารด้วย นี่ถ้าไม่กินมาก่อนเมื่อกี้ มีหวังมาหมดที่นี่หลายแน่ค่ะ 5







--- Day 2 ---


ข้าวตุ๋น ไม่ใช่ข้าวต้ม

>>>สูดอากาศรับไอทะเลยามเช้า ชมพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ากันที่ริมระเบียงของเกสท์เฮาส์แล้ว

เราก็ออกไปหาอะไรอุ่น ๆ รองท้องกันสักหน่อย

เดินไปตามถนนแนบเคหาสน์ประมาณกิโลเดียว เลี้ยวเข้าซอยแนบเคหาสน์ 8 เข้าไปไม่ลึก ก็เจอร้าน “Canape”

ตอนเช้า ๆ มีเมนู “ข้าวตุ๋นไก่ธัญพืช” ซึ่งเนียนนุ่ม หอมกรุ่น อุ่นท้อง

ทำจากข้าวกล้อง ไก่ฉีกเส้น ๆ ผัก และธัญพืชอีก 18 ชนิด ตุ๋นกับน้ำซุปไก่และเห็ด ไม่ใส่ผงชูรสด้ว


อิ่มอร่อยในราคาเบา ๆ ถ้วยละ 20 บาทเท่านั้นเอง

ร้าน Canape

เปิดทุกวัน 7.00-10.00 น.


เกาพุงเจ้าชิบะอ้วนปุ๊ก


>>>ร้าน Inu Café’ นี้อยู่ติดกับร้าน Canape เลยค่ะ

เป็นคาเฟ่เล็ก ๆ ตกแต่งน่ารักสไตล์ผนังอิฐ กำแพงปูน โต๊ะไม้ และต้นไม้ร่มรื่น

ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง และใกล้ชิดธรรมชาติ

ส่วนที่เป็นดาวเด่นประจำร้าน ก็คงหนีไม่พ้นเจ้าสุนัขพันธุ์ชิบะ ขนนุ่ม อ้วนปั้ก ที่ขนมากันเป็นแก๊ง ให้ได้เล่นและถ่ายรูปกัน

น้องหมาเชื่องและเป็นมิตร ถูกใจคนรักสุนัขแน่นอนค่ะ


ที่ร้านมีเมนูอาหารที่เป็นข้าว ขนม ไอศกรีม และเครื่องดื่ม

เราได้สั่ง “นาโซ่อบชีส” ของกินเล่นแบบเม็กซิกันมาลอง ชิ้นแป้งบางกรอบจิ้มกับชีสอุ่น ๆ ชุ่มฉ่ำและหอมชีสมาก

“ไอศกรีมโคโค่ดีไลท์” ไอติมกะทิลอดช่อง หวานมันเข้มข้น ทานเคียงกับกล้วยตากหั่นชิ้นเล็ก ๆ

“ไอศกรีมแพชชั่นนี่” ไอติมน้ำผึ้ง หอมหวาน ตัดเปรี้ยวด้วยเสาวรสสดฉ่ำ ๆ และปิดท้ายด้วย

“แพชชั่นนี่” น้ำเสาวรสผสมน้ำผึ้ง เปรี้ยวอมหวานสดชื่น หอมเสาวรส

ทั้งอิ่มอร่อย และสุขใจที่ได้เล่นกับเจ้าหมาน้อยจนอยากต่อเวลาอีกสัก 3 วัน


ร้านอินุคาเฟ่ (Inu Cafe)
ปิดทุกวันอังคาร
เปิดเวลา 11.00 -19.00 น.


เป็ด เด็ด ๆ ที่ “ระตะมา”


>>>แวะฝากท้องมื้อกลางวันกันที่ร้าน “ระตะมา” หาไม่ยาก อยู่ริมถนนแนบเคหาสน์เลยค่ะ

ตัวร้านออกแนวโปร่ง ๆ ตกแต่งโทนสีขาว ตัดกับโต๊ะและเก้าอี้ไม้สีดำ

เมนูเป็ดเด็ดเด็ดที่ได้ลองครั้งนี้ก็มี “ข้าวราดกะเพราเป็ด ไข่ดาว” รสชาติเข้มข้น ถึงเครื่องกะเพรา ผัดมากับเป็ดชิ้น ๆ

“ข้าวหน้าเป็ด” ของที่นี่ก็หอมอร่อย เนื้อเป็ดนุ่ม

สั่ง “ผัดกะหล่ำปลีทอดน้ำปลา” กลิ่นหอม ผักกรอบ ๆ มากินเคียงกับเมนูเป็ด ก็เข้ากันค่ะ

นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูก๋วยเตี๋ยวเป็ดด้วย ทั้งเป็ดพะโล้และเป็ดตุ๋น

ไส้เป็ด ปีก ขา ปากเป็ดทอด หรือจะซื้อเป็ดเป็นตัว ๆ หรือครึ่งตัวก็ขายค่ะ

แต่ถ้าหากใครสนใจอย่างอื่นนอกจากเป็ดซึ่งเป็นเมนูหลักของร้าน ก็มีกับข้าวตามสั่งอื่นด้วย อย่างเช่น ซูเปอร์ขาไก่ ต้มยำ ผัดคื่นไช่ผัดผงกะหรี่ ข้าวผัด ผัดซีอิ๊ว เรียกได้ว่า มาร้านเดียวอร่อยได้หลากหลายเมนูค่ะ


ร้านระตะมา

เปิดทุกวัน 8.30-21.00 น.


คาเฟ่น่านั่ง ไอศกรีมน่าชิม


>>>คาเฟ่เล็ก ๆ น่ารักอบอุ่น ริมถนนแนบเคหาสน์ แห่งนี้มีชื่อว่า “Eighteen Below”

ซึ่งชื่อนั้นไม่ได้หมายถึงอายุนะคะ มากันได้ทุกเพศทุกวัยละค่า

แต่ชื่อร้านหมายถึง อุณหภูมิที่ดีที่สุดสำหรับไอศกรีม คือต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียสนั่นเอง

ที่นี่มีทั้งกาแฟ ชา เครื่องดื่มร้อน เย็น และขนมเบเกอร์รี่หน้าตาน่ากินอย่าง เค้ก วาฟเฟิล บราวนี่

แต่ที่ดึงดูดเราให้เข้าไปยืนเกาะตู้เลยก็คือ “ไอศกรีมโฮมเม้ด” สูตรจากฝรั่งเศส

หลากสีสัน หลายรสชาติ น่าสนใจจนอยากลองชิมไปหมด

อย่างเช่น ซอลท์ คาราเมล, ไอริช ครีม ช็อคชิพ, นูเทลลา, ดาร์ค เบลเยียม ช็อกโกแลต

ส่วนใครมาสายเปรี้ยวหรือชอบไอศกรีมผลไม้ ก็มีหลายรสจนเลือกไม่ถูก

เป็นต้นว่า เลมอนชีสเค้ก, เลมอน ไอซ์ที, แมงโก้ ซอร์เบท, แพชชั่นฟรุต ซอร์เบท,

ไพน์แอปเปิ้ล ซอร์เบท, เรด เบอร์รี่ ซอร์เบท ...จะเห็นได้ว่า แค่ชื่อก็ว้าวแล้ว 55

เราจิ้มเลือก “อะรีควิเป้ (Arequipe)” มาลองชิม เพราะไม่เคยได้ยินชื่อที่ไหนมาก่อน

ก็พบว่าหอมอร่อยมากค่ะ ออกแนวนม ๆ เข้มข้นผสมกับคาราเมล เนื้อหนัก ๆ เนียน ๆ

และอีกสกู๊ปที่สั่งมาชิมคือ “พิงค์ เลมอนเนด ซอร์เบท” เปรี้ยวจี๊ดตามแบบฉบับไอศกรีมมะนาว สดชื่นค่ะ

ราคาสกู๊ปละ 69 บาท อาจจะแรงอยู่สักหน่อยเมื่อเทียบกับขนาดสกู๊ป

แต่เชื่อเถอะ มาลองความอร่อยแปลกใหม่กันค่ะ

เพราะขึ้นชื่อว่าไอศกรีมโฮมเม้ดแล้ว เขาจะมีความเฉพาะตัวของแต่ละร้าน

ชื่อรสเดียวกัน ไปร้านอื่นก็รสชาติไม่เหมือนกันแล้วนะ และนี่ล่ะ เสน่ห์ของเขา


ร้าน Eighteen Below Ice cream

หยุดทุกวันอังคาร

เปิด 11.00-17.00 น.


ตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละร้านก็ตามนี้เลยจ้า




จบแล้ว!! รีวิวของพวกเรา หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ

ส่วนใครยังไม่จุใจอยากดูแบบเป็นคลิปก็ตามนี้เลยค่ะ


ติดตามพวกเราได้ที่ Trip Aperture Channel

หรือจะตามไปคุยกันที่แฟนเพจ Trip Aperture


--- แล้วพบกันทริปหน้านะคะ ---

Trip Aperture

 วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 18.34 น.

ความคิดเห็น