เ วี ย ด น า ม – เที่ยวอย่างไรเที่ยวได้ด้วยตัวเอง แบบฉบับไม่ง้อทัวร์

ทริปนี้ที่เวียดนามของเรานั้นเรียกได้ว่ากินดีอยู่ดีเลยทีเดียวเนื่องจากค่าครองชีพที่เวียดนามนั้นถูกพอๆกับที่ไทยดังนั้นเราจึงเน้นความสะดวกสบายใช้บริการ GrabTaxi เกือบตลอดทั้งทริปเลย

ทิปเล็กๆ สำหรับการท่องเที่ยวในเวียดนาม

ด้วยความที่เงินดองของเวียดนามมีหลากหลายรูปแบบและตัวเลขก็มีจำนวนเลข 0 เยอะแยะไปหมด โดยแบ้งค์จะมีตั้งแต่ 1,000 – 1,000,000 ดอง มีหลากหลายแบบและสีก็คล้ายคลึงกัน ดังนั้นในการจับจ่ายเงินสดในแต่ละครั้งก็จะยากสักหน่อยจะต้องสังเกตดูให้ดี ทุกๆครั้งที่นับธนบัตรเพื่อจ่ายค่าสินค้าหรือบริการต่างๆพยายามอย่าให้พ่อค้าแม่ค้าหรือแท็กซี่หยิบเงินในมือเราไปช่วยนับเด็ดขาด บางคนก็ตั้งใจจะช่วยนับจริงๆแต่สำหรับบางคนก็มิจฉาชีพดีๆนี่เอง (เจอมาแล้วกับตัวหลายครั้งแต่มาสังเกตพฤติกรรมช่วงหลังจึงได้พยายามหลีกเลี่ยง) ดังนั้นเพื่อความสะดวกรวดเร็วและตัดปัญหาการนับเงินสด จึงอยากจะแนะนำให้ใช้บัตรเครดิตในระหว่างการท่องเที่ยวจะดีกว่า

ค่าใช้จ่ายทริปนี้

งบประมาณของทริปนี้ตกอยู่ที่คนนละ 10,000 บาท (ไม่รวมค่าซื้อของ)
– ตั๋วเครื่องบิน 3,600 (บางช่วงอาจจองได้ถูกกว่านี้)
– ที่พัก 4 คืน 3,200 (ราคาหาร 2 กับเพื่อนร่วมทริป)
– ค่าเดินทาง ประมาณ 1,500 บาท (เนื่องจากไปทั้งหมด 4 คน จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางถูกลงไปมาก)
– ค่าอาหาร กินเต็มที่หารสี่ทั้งทริป อาหารและเครื่องดื่มที่นี่ถูกมากกกกก

มาดูที่แผนการเดินทางของเราอาจจะแปลกๆ นิดนึงนั่นก็คือ….. Danang >> Bana Hills >> Hoi An>> Hue >> Danang


Day 1 Danang

เราเริ่มเดินทางจากรุงเทพฯโดยสายการบิน #airasia ที่สนามบินดอนเมืองมุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติดานังประเทศเวียดนาม….ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นตั๋วโปรอีกตามเคยจองได้ในราคา 3,600 บาทไปกลับ ราคานี้คุ้มเวอร์!!!

วันแรกนี้ออกจากสนามบินดอนเมืองตอน 16.20 น. ไปถึงที่ดานังก็เป็นเวลา 6 โมงกว่าๆพอถึงปุ๊บบบ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือซื้อซิมการ์ดนั่นเองซึ่งมีให้บริการหลากหลายในสนามบิน ราคาก็อยู่ที่ 8$ เป็นเงินไทยก็สองร้อยกว่าบาท 4G แบบไม่อั้นเน็ตแรงส์!!! ใช้ได้ 5 วันนะจ๊ะ

ได้อินเตอร์เน็ตแล้วเราก็ไม่รอช้าเปิด #GrabTaxi เรียกรถไปที่โรงแรม ดานังเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ใหญ่มากฉะนั้นการเดินทางโดยแท็กซี่ก็ถือว่าไม่แพง โดยเฉลี่ยที่เราใช้ทั้งทริปนี้ก็อยู่ที่ครั้งละ 50K- 100K เป็นเงินไทยก็น่าจะครั้งละ 60 – 150 บาทโดยประมาณ สำหรับใครที่ไม่สะดวกใช้ Grab Taxi ที่นี่แท็กซี่ทั่วไปจะเป็นระบบมิเตอร์ทั้งหมด ไม่มีแบบตกลงราคากันนะคะ (หรืออาจจะมีเเต่เราไม่เจอ)

คืนแรกเราพักที่ Hoangdai 2 Hotel ราคา 700 บาท/คืน รวมอาหารเช้าจองผ่าน #agoda ขอบอกเลยว่าพอเปิดห้องไปเท่านั้นแหละ…. โอ้โห…….. ไม่น่าเชื่อว่านี่ราคาแค่ 700 เองหรือเนี่ย ห้องพักดีมากกกก เตียงนุ่มสุดๆ แนะนำเลยสำหรับใครที่หาโรงแรมค้างที่ดานังพัก 1 คืน ก่อนไปต่อที่เมืองอื่น คุ้มค่าสุดๆ “Hoangdai 2 Hotel”

น่าเสียดายที่ไฟลท์เรามาถึงเย็นถ้าไม่อย่างนั้นคงจะได้มีโอกาสเดินเล่นชิลๆ บนชายหาดที่ติดอันดับหาดที่สวยที่สุดของโลก “My Khe Beach” แห่งเมืองดานังนั่นเอง

พอมืดแล้วจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อยเราก็ได้เวลาออกไปหาลิ้มลองอาหารเวียดนามตามละแวกใกล้ๆโรงแรม ซึ่งอาหารมื้อเเรกของเราในเวียดรนามก็จะเป็นร้านอาหารท้องถิ่นที่อยู่ถัดจากโรงแรมนั่นเเหละ ด้วยความที่เห็นวัยรุ่นบ้านเขานั่งทานกันเต็มร้าน จึงอดใจไม่ได้ที่จะขอเข้าไปสั่งลองชิมดูบ้าง ไม่รอช้ามื้อนี้จัดกันแบบไม่ยั้งประมาณ 5 – 6 อย่าง ซึ่งรสชาติไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริง มีความเข้มข้นเหมือนรสชาติอาหารท้องถิ่นไม่ดัดแปลงเพื่อนักท่องเที่ยวมากนัก อร่อยทุกอย่างแต่ทีเด็ดร้านนี้ ขอแนะนำเมนูกุ้งแช่น้ำปลาอร่อยสุดๆ ซี้ดโดนใจมากๆ แต่เมนูร้านแอบสั่งยากนิดนึงเพราะไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราจินตนาการไม่ออกว่าอาหารจะเป็นหน้าตาอย่างไร ทำได้คือเลือกสุ่มมาลองทานดูก็สนุกดีไปอีกแบบ




Day 2 Bana Hills French Village

เมื่อทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมตัวเรียกแท็กซี่ไปที่สถานีเคเบิลคาร์ของโรงแรมเมอร์เคียว ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ค่าแท็กซี่อยู่ที่ 520K ดอง

ทริบนี้เราจองโรงแรมที่ Bana Hills ล่วงหน้าไว้ประมาณ 3 เดือน จอง 2 คืน ในราคา 4,600 บาทรวมอาหารเช้าสำหรับ 2 คน ซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่าอีกเช่นเคยสำหรับเรา ระหว่างการเช็คกินก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในส่วนของค่ากระเช้าขึ้นไปข้างบน ราคาที่ได้เป็นราคาพิเศษสำหรับลูกค้าผู้เข้าพัก Mercure Bana Hills French Village สนนราคาอยู่ที่คนละ 400 ดอง ซึ่งราคานักท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้พักกับโรงแรมจะอยู่ที่คนละ 700K ดอง

เมื่อถึงสถานีเคเบิลคาร์เราก็ได้ทำการเข้าเช็คอินให้เรียบร้อยจากด้านล่างก่อนนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบน โดยมีค่ามัดจำห้องพักอยู่ที่ 1 ล้านดอง เราจะได้รับคืนในวันที่เช็คเอ้าท์

และระหว่างที่นั่งกระเช้าขึ้นไปบน Bana Hills ก็ได้เวลาของการถ่ายรูปไปพลางๆ พร้อมกับชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ สักพักเราก็เดินทางมาถึงโรงแรมจนได้ จากนั้นก็เดินไปรับ Key card เพื่อเข้าห้องพัก ซึ่งวันนี้เราได้ห้องตอนเวลา 15.00 น. เข้าห้องพักเก็บของแล้วก็ออกไปเดินเล่นดูรอบๆ ซึ่งขณะที่ไปถึงอากาศที่บานะฮิลล์ก็ค่อนข้างเย็นสบายในช่วงบ่ายเเก่ แต่พอตกเย็นนี่ต้องขอบอกเลยว่าหนาวสุดๆกันเลยทีเดียว

สำหรับบางคนที่ยังไม่รู้ที่ Bana Hills นั้นจะมีโรงแรมเพียงแห่งเดียวเท่านั้นซึ่งก็คือโรงแรม Mercure Bana Hills French Village นั่นเอง ซึ่งถ้าหากใครวางแผนจะมาที่นี่ก็จะขอแนะนำว่าให้ค้างคืนจะดีกว่ามาเช้าเย็นกลับ เพราะเวลาเช้าๆและตอนเย็นนี่แหละเป็นช่วงเวลาที่บรรยากาศดีที่สุด ผู้คนบางตาไม่พลุกพล่านมากนักทำให้เราสามารถซึมซับบรรยากาศดีจากที่นี่ได้มากยิ่งขึ้น






Day 3 Golden Bridge

วันนี้ตื่นเช้าจะรีบไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เสียใจมารอบนี้ไม่เจอทะเลหมอกเลย เชยชมความงดงามได้สักพักจากนั้นก็เป็นเวลาของอาหารเช้า เสร็จแล้วก็เป็นช่วงเวลาของการตะลุยแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนสนุกเครื่องเล่นต่างๆ สำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เเต่ที่ซึ่งจะพลาดไม่ได้นั่นก็คือ…. Golden Bridge ที่พึ่งจะสร้างเสร็จเมื่อช่วงปลายปี 2018 นั่นเอง

นอกจากวิวที่สวยงามของที่นี่อีกสิ่งหนึ่งที่เราชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คืออาหารและเบียร์ เพราะเบียร์ที่นี่ราคาถูกมาก….. .โดยในครั้งนี้ช่วงเย็นเราได้ไปลองทานบุฟเฟ่ต์ที่ Beer Plaza ราคาอยู่ที่คนละ 250K ถูกมากกกกกก และพีคไปกว่านั้นคือ ฟรีเบียร์อีกคนละ 2 แก้วๆ ละ 1 ลิตร คือจะคุ้มอะไรเบอร์นี้หรือว่านี่คือช่วงโปรโมชั่นก็ไม่รู้นะ สวรรค์ของคนรักเบียร์ต้องไม่พลาด อิ่มหนำสำราญ 4 ทุ่มปุ๊บร้านก็ปิดพอดี สำหรับวันนี้ขอเข้านอนก่อนแล้วกันนะ

Day 4 Hoi An

เช้าของวันที่ 4 ที่เวียดนามได้เวลาร่ำรา Bana Hills เช็คเอ้าท์เสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นกระเช้ากลับลงไปข้างล่าง จุดมุ่งหมายต่อไปของเราก็คือ Hoi An นั่นเอง ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้เราก็ได้เรียกใช้บริการ Grab Taxi อีกเช่นเคย

นั่งเเท็คซี่ประมาณ 3 ชั่วโมงด้วยกความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเราก็มาถึงที่ Hoi An เราได้เข้าพักที่โรงแรมเล็กๆ ริมแม่น้ำใกล้กับย่านแหล่งท่องเที่ยวเป็นถนนคนเดินและเมืองโบราณมีของขายเยอะแยกมากมาย รวมทั้งคาเฟ่สุดคลาสสิค มาถึงฮอยอันทั้งทีถ้าไม่ลองดื่มกาแฟไข่เขาบอกว่ามาไม่ถึงนะ

เนื่องจาก Hoi An เป็นเมืองเล็กๆ สถานที่ท่องเที่ยวจึงมีอยู่เเค่ตรงย่านเมืองเก่าสามารถเดินเล่นจนทั่วโดยไม่ต้องใช้รถเเท็กซี่ หรือใครอยากลองประสบการณ์ปั่นจักรยานเที่ยวชมสถานที่ต่างๆที่เวียดนามก็น่าลองไปอีกแบบ

พอตกเย็นนั้นเราก็ไม่พลาดกับตลาด Night Market ริมแม่น้ำ เดินเล่นในอากาศเย็นๆ มีร้านอาหารมากมายทั้งอาหารเวียดนามและอาหารนานาชาติให้ได้ลองเลือกทานหรือถ้าอยากจะเลือกซื้อของฝากตลาด Night Market แห่งนี้ก็มีให้เลือกซื้อหลากหลายอยู่พอสมควร



Day 5 Hue

ตะลุยเมืองเมืองโบราณ เส้นทางฮอยอัน ดานัง เว้ ครั้งนี้เราใช้บริการทัวร์ของโรงแรมที่เราพัก เช่ารถพร้อมคนขับจากฮอยอัน ไปดานัง – เว้ ขากลับแวะส่งที่ดานัง 1 วันเต็ม ในราคา 1,700,000 ดอง ในความคิดส่วนตัวเราก็มองว่าคุ้มนะ คุ้มค่าทีเดียว

โดยโปรแกรมทัวร์นั้นมีทั้งหมด 4 จุด สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เริ่มที่ดานัง Mable Mountain > Hai Van Pass > Tien Mu Pagoda > Imperial City Hue โดยแต่ละสถานที่นั้นจะมีเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ความเป็นมา ลักษณะคล้ายๆ กับอยุธยาบ้านเรานั่นเอง

เที่ยวจนเพลิน เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว 17.00 น. ก็ได้เวลานั่งรถกลับจากเว้มุ่งหน้าไปดานังซึ่งใช้เวลา 3 ชั่วโมงนิดๆเข้าเช็คอินโรงแรมที่ดานัง 1 คืน พร้อมกับจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางกลับในวันรุ่งเช้า



จบไปแล้วกับทริบ หมื่นเดียวเที่ยว 5 วัน ตะลุย 3 เมืองดังที่เวียดนาม สำหรับใครที่มีคำถามหรืออยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้นั้น สามารถอินบ็อกซ์มาที่ทางเพจได้ตลอดเวลาเลยนะ www.facebook.com/setoffsoon

ขอบคุณน๊าาา

- Set Off -

Set Off

 วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.52 น.

ความคิดเห็น