สวัสดีค่ะทุกคน 5555555555 ก่อนอื่นเลยเราต้องขอเเนะนำตัวเอง
เรามังกี้โกโก หรือแปลตรงๆ ก็ลิงไปไป ไปเที่ยวกันเถอะ <3 ชื่อจริงๆ ของเรา ชื่อก้อย เป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่ชอบเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ
การเดินทางถือกล้องออกไปในที่ที่ไม่เคยไป เป็นอะไรที่ที่ทำให้เรารู้สึกดีมาก เหมือนเป็นการเปิดโลกแคบๆ ของเราให้กว้างขึ้น
ยิ่งได้ออกไป backpack โบกรถขึ้นเขาลงเขาเเล้ว ยิ่งชอบใจใหญ่ 5555
และนี่เป็นกระทู้เเรกของเราที่เขียนลงพันทิป ถ้าผิดผลาดตรงไหน ขออภัยด้วยนะคะ


เข้าสู่หน้าฝนปลายๆ เเล้ว เหมือนเป็นกิจกรรมทุกปีที่เราจะต้องพาตัวเอง backpack ออกไปเที่ยวในหน้านี้ เราชอบกลิ่นฝนยามที่มันตกกระทบลงพื้นดิน เราชอบอารมณ์ชื่นๆ ในใจ เวลานั่งมองฝน ยิ่งฝนกับป่าเเล้ว เรายิ่งชอบหนัก ความรู้สึกมันเหมือนเรากำลังถูกดูดเข้าไปต้องมนต์อะไรซักอย่าง ความเขียว ความเย็น ความหมอกที่กระทบภูเขา ทุกอย่างมันลงตัวมากๆ



และในปีนี้ เราได้มีโอกาสได้ทำมิชชั่นกับทาง Canon เขาได้ส่งเลนส์ EF-M 55-200 mm มาให้เราลองใช้ เป็นเลนส์ซูมเทเล ที่สามารถถ่ายป่า ถ่ายวิว ถ่ายสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่ได้ดีเลยทีเดียว



คิดอยู่นานเลยว่าจะไปไหนดี? ดูไปดูมา สุดท้ายก็มาสรุปว่าจะไป…..ดูทะเลหมอกที่พะเนินทุ่ง พอเริ่มหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่าพะเนินทุ่งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ก็มีสถานที่เที่ยวมากมายให้เราไป แผน backpack ของเราในทริปนี้ เราจะนอนเต้นท์ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานหนึ่งคืน เเล้ว ไปนอนเต้นท์ที่พะเนินทุ่งอีกหนึ่งคืน ระหว่างทาง เราจะแวะไปชมผีเสื้อที่เเคมป์บ้านกร่าง และ เดินป่าไปดูน้ำตกทอทิพย์ (ขอบอกไว้ก่อน การเดินป่าไปน้ำตกครั้งนี้เป็นจุดพีค เเละสนุกที่สุดของการเดินทางครั้งนี้เลยค่ะ) รวมเเล้วการเดินทางทริปนี้ เราจะไปกัน 3 วัน 2 คืน เฮ่!! โดยเราลองสรุปเป็นแผนคราวๆ ดังรู้ข้างล่างนี้ค่ะ

พอคิดได้เเล้วอยากจะไปไหน เราก็ได้ชวนน้องที่สนิทและเพื่อนไปด้วยหนึ่งคน โดยบอกว่าจะไปแก่งกระจาน จะไปดูหมอกฝนที่พะเนินทุ่งนะ

น้องและเพื่อน ก็โอเคตอบตกลงเรามา ปรากฎว่าถึงวันจะไปจริงๆ เรามีผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ รวมเราด้วยทั้งหมดถึง 6 คน แบบงงๆ 5555555 นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริปแก่งกระจาน - พะเนินทุ่ง ของคนที่ไม่เคยเดินทางไปไหนด้วยกันเลย 6 คนค่ะ


ในส่วนของการเดินทาง เราจะเดินทางโดยนั่งรถตู้ไปลงที่ บิ๊กซี จ.เพชรบุรี และต่อรถตู้ไปยังอุทยานฯ ความพีคอยู่ที่วันที่เดินทาง...เราได้นัดทุกคนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิประมาณ 10 เช้า และทุกคนมาตรงเวลามาก แต่แต่แต่ !! จากการสอบถามพี่พี่เเถวนั้นเเล้ว รถตู้ทั้งหมดที่ลงใต้ได้ย้ายไปที่ สถานีขนส่งสายใต้ใหม่เเล้วค่ะ นั่นนนนนนนน!! เริ่มต้นทริป ก็เอาซะหลงแล้ว และที่สำคัญเราพาทุกคนหลงตั้งเเต่เริ่มทริปค่ะทุกคน

คนที่ไม่เคยเดินทางร่วมกัน กำลังหลงทางไปด้วยกัน 55555555 พอได้สติเราก็ได้นั้งรถเมล์สาย 539 ฝั่ง รพ.ราชวิถี เพื่อเดินทางกันต่อไปที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ จัดการตีตั๋วรถตู้ กระโดดขึ้นรถ และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของพวกเรา ระหว่างทางที่นั่งมาก็พูดคุยกันตามประสาคนพึ่งเคยเจอกันค่ะ



นั่งไปแป๊ปๆ ต่อรถอีกหน่อย บ่ายๆ เราก็เดินทางมาถึงที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน วินาทีแรกที่เปิดประตูลงมาจากรถ คือ ร้อน และ ร้อนมากค่ะ ร้อนแบบ พระอาทิตย์ต้องโกรธใครมาแน่ๆเลย 5555555555555 


เเต่อากาศก็ไม่เป็นอุปสรรค์ มาถึงทั้งทีร้อนก็ร้อนเถอะ พวกเรา 6 คนจัดการติดต่อเรื่องเต็นท์ที่จะนอนในคืนนี้ เเละก็รถที่จะไปพะเนินทุ่งในพรุ่งนี้ พี่ๆ ที่ศูนย์นักท่องเที่ยวที่อุทยานฯ ก็ใจดีมากๆ ช่วยเหลือทุกอย่างเลย ทั้งนี้มีปัญหาอะไรในการเดินทาง ในการท่องเที่ยวสามารถติดต่อพี่พี่ได้ตลอดเลยนะคะ

จัดการเรื่องเต็นท์เสร็จเเล้ว ก็ได้เวลาไปหาอะไรกินกัน ที่อุทยานจะมีร้านอาหารค่ะ เวลาปกติถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวก็จะปิดราวๆ 4 โมงเย็น เราก็ซื้อข้าวไว้ตุนเพื่อนที่จะกินในตอนเย็น กินข้าวเสร็จนั่งๆ คุยๆ กันไป พระอาทิตย์ก็เริ่มจะตกดิน ก็เลยชวนกันไปเดินเล่นบริเวณอุทยาน พร้อมกับถ่ายรูป ชมวิวและบรรยากาศที่นั่น



จากจุดที่เรากางเต็นท์ เราสามารถมองวิวที่เขื่อนได้แบบ 230 องศาเลยทีเดียว ยิ่งในช่วงที่เราไปไม่ค่อยมีคนมาพัก มาเที่ยว บรรยากาศ ก็จะเงียบๆ สงบ เรา 6 คน เหมือนคนที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ระหว่างทางที่เดินชม ก็จะมีเสียงแบบ โหววว ดูนั่นสิ โหววว ตรงนู้นๆ สวยมากกกกกกกกกกกกกกก นั่นนก นั่นเรือ โน่นพระอาทิตย์ สะพาน หญ้า แมว สุนัข และอีกมากมาย



เราได้เก็บภาพบรรยากาศมาให้ทุกคนได้ชมกันด้วย



ความสงบ เรียบง่าย กำลังทำพวกเราทั้ง 6 คนตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้อย่างช้าๆ



ไฮไลท์ของเขื่อนแก่งกระจานอยู่ที่การชมพระอาทิตย์ตกดินที่ทอแสงส่องกระทบพื้นน้ำ และมีฉากหลังเป็นสะพานเเขวนขนาดใหญ่



น้องปีโป้ ผู้ร่วมเดินทาง


รูปนี้เราถ่ายลงมาจากบนสะพานเเขวน วิวที่สะพานเเขวนเมื่อมองลงมา จะเห็นเป็นเวิ้งน้ำกว้างๆ ของเขื่อน



เจนนี่ สาวน้อยลูกครึ่ง ที่เราพึ่งรู้จัก



พระอาทิตย์กำลังเริ่มตกดินเเล้ว เหมือนวันนี้กำลังจะหมดลง พวกเรา 6 คนกำลังซึมซับบรรยากาศแห่งนี้ไปพร้อมๆ กัน

ด้วยความที่เป็นเลนล์ระยะ 55-200mm ทำให้เราสามารถซูมถ่ายอะไรก็ได้จากระยะไกลๆ ไม่ว่าจะเป็นเรือที่เเล่นไปแล่นมาที่เขื่อน นกที่บินไปบินมา หรือจะถ่ายภูเขาที่สลับสับซ้อนที่อยู่หลังเขื่อน ก็สามารถถ่ายได้อย่างคมชัด เป็นความฟินมากๆ สำหรับเรา



ในช่วงที่พระอาทิตย์ตกดินเราก็เลยให้พี่บิว พี่นึงในทริปมาลองยืนถ่ายย้อนเเสงดู 
ก็ได้ฟีลที่ดีไปอีกแบบ

ความงามของท้องฟ้าในยามที่พระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนสีท้องฟ้าอมส้มในวันนั้นเลย
ค่ะ



เดินถ่ายอะไรไปเรื่อยเปื่อย พวกเราก็กลับมานั้งดูวิว บริเวณเต๊นท์ของพวกเรา แปลกมาก ช่วงเวลาทุ่มนึงของที่นี่ เรายังสามารถมองเห็นวิวภูเขา วิวเขื่อนได้ชัดมาก พูดง่ายๆ คือที่นี่ ค่อนข้างมืดช้ามากๆ 


พอถึงช่วงเปลี่ยนเวรของพระอาทิตย์กับพระจันทร์ จากท้องฟ้าสดใสก็เริ่มมีหมู่ดวงดาวขึ้นมาให้เห็น พวกเราก็ได้นั่งกินข้าวที่ซื้อไว้เมื่อตอนสี่โมง

ตอนนี้มีเรื่องพีคอีกเช่นเคย ด้วยความที่บริเวณนั้นมีสุนัขค่อนข้างเยอะประมาณ 7-8 ตัวค่ะ บางทีถ้าวางอาหารทิ้งไว้นอกเต้นท์ เผลอๆ น้องสุนัขเค้าก็แอบขโมยไปกิน น้องในทริปเราโดนเเย่งขนมปังไป 55555555 ตอนนั้นก็นั้งหาว่าตัวไหนเอาไป ขำขำกันไปค่ะ

กินข้าวเสร็จก็พากันไป อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องน้ำที่นี้ดีมากค่ะ สะอาด สะดวก .... คืนนี้พวกเราจะมานอนดูดาวกัน 
 ><

ช่วงประมาณ 4 ทุ่ม เป็นครั้งเเรกของเรา ที่มีโอกาสได้เห็นดาวเยอะมากๆ ไปเที่ยวมาหลายครั้งไม่เคยเห็นดาวเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย อารมณ์เหมือนเรานอนอยู่ในโดมดาวอย่างไงอย่างงั้น บริเวณเต็นท์ที่เรานอน มืดพอจะทำให้แสงสว่างจากดาวดวงส่องประกาย สวยงามน่ามอง 


และ... เป็นครั้งเเรกที่เราได้เห็นทางช้างเผือกแบบเต็มสองตา คือสามารถมองได้ด้วยตาเปล่าจริงๆ เป็นกลุ่มฝุ่นที่สวยงามมาก แอบเก็บภาพมาให้ชมกันด้วย ))



เราที่ไม่เคยถ่ายดาวมาก่อน ก็ได้พี่พีช พี่ในกลุ่มที่ไปเที่ยวด้วยกันสอนให้



ตอนนั้นช่วงประมาณเที่ยงคืนค่ะ กลางคืนอากาศที่เริ่มหนาวๆ เย็นๆ พวกเรา 6 คนก็เอาที่ปูเต็นท์ออกมาปูข้างนอก แหงนหน้านอนดูดาวด้วยกัน พร้อมกับคุยเรื่องทั่วไปตั้งเเต่ต้นกำหนดดาว จนถึงเรื่องตัวตนของแต่ละคน เรียกได้ว่าวันนี้เราสนิทกันขึ้นอย่างรวดเร็ว คืนนี้มีดาวเป็นเพื่อนกัน






DAY 2



เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เราจะเดินทางไปพะเนินทุ่ง การเดินทางอาศัยการเหมารถขึ้นไปค่ะ พี่อุทยานที่ติดต่อเรื่องให้เรา โดยได้นัดกับคุณลุงคนขับไว้

ตอนประมาณ 11 โมง



หมายเหตุ :
การขึ้นลงเขาพะเนินทุ่งแบ่งออกเป็น 2 ช่วง


ขาขึ้นจากแคมป์บ้านกร่าง เวลา 5.30 - 7.30 น. และ 13.00 - 15.00 น.


และ ขาลงจากแคมป์พะเนินทุ่ง เวลา 09.00-10.00 น. และ 16.00-17.00 น.



ออกจากอุทยานตอน 11 และขึ้นพะเนินทุ่ง ช่วงบ่ายสามโมงค่ะ 


ก่อนที่คุณลุงขับรถจะมา เราก็ไปกินข้าว พร้อมกับเดินเล่นที่อุทยานไปเรื่อยค่ะ

บางคนในกลุ่มก็ไปถ่ายรูป นั่งดูวิว แล้วก็มีน้องในกลุ่มก็หยิบกระดาษมาวาดรูปเล่นไปพลางๆ 
ก็มีค่ะ



จากหน้าอุทยาน จะสามารถถ่ายจุดที่พวกเรากางเต้นท์ได้ด้วย

ช่วงกำลังเดินไปกินข้าว

น้องปีโป้ ><

บริเวณเขื่อน

จะเห็นว่าร่มรื่นมาก ๆ

ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่น้ำแห้ง เราสามารถเดินลงไปเล่นที่ ริมเขื่อนได้ 


โควต้าตัวอักษรหมดเเล้ว เดียวเราไปต่อที่คอมเม้นนะคะ ><

ระหว่างที่กำลังเดินๆ เล่นอยู่ ก็จะมีนกน้อยๆ ที่วิ่งไปมา เราเลยใช้โอกาสนี้หยิบเลนล์เผลอลองถ่ายภาพนก จากระยะไกลๆ ดู
 


ลองถ่ายภาพจากพื้นถนนแล้ว ลองถ่ายไปบนต้นไม้บ้าง ก็เจอกับเจ้ากิ้งก่าตัวน้อย 
 
คมกริบมากเลยค่ะ ><



เมื่อถึงช่วง 11 โมง ลุงโกศน คุณลุงที่จะมารับพวกเราไปเที่ยว ได้บอกกับพวกเราว่าระหว่างทางที่จะไปพะเนินทุ่ง คุณลุงจะพาพวกเราไปดูผีเสื้อที่บ้านกร่างกันก่อน รถที่พวกเรานั้งเป็นรถกระบะที่เปิดท้ายสามารถนั้งรถไปชมวิวไปได้ตลอดทาง



อากาศดีจนคุณลุงก็เปิดกน้าต่างขับรถเช่นกัน



ก่อนจะขึ้นไปพะเนินทุ่งเราจะเจอจุดตรวจที่เราต้องเสียค่าบริการคนละ 100 บาท


เราชอบข้อความ ที่จุดตรวจมากเลย เขาบอกว่า “เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้ นอกจากรอยเท้า เราจะไม่เก็บอะไรไป นอกจากภาพถ่าย“

ความรู้สึกรักและอยากดูแลธรรมชาติเกิดขึ้นกับเรา ทุกครั้งที่เราจะเดินทางเข้าป่า หรือเข้าไปเที่ยวในอุทยานต่างๆ



ผ่านจุดตรวจมาเเล้ว ก็เดินทางกันต่อ ระหว่างทางก็จะเจอกับอุโมงค์ต้นไม้


ลมปะทะหน้า


ขับรถมาไม่นานเราก็ได้เดินทางมาถึงแคมป์บ้านกร่าง ที่บริเวณบ้านกร่างสามารถที่จะพักแรมได้เห็นมีคนมาพักค่อนข้างเยอะเหมือนกันค่ะ บริเวณนี้จะมีลำธาร ที่เป็นที่อยู่อาศัยของผีเสื้อเป็นจำนวนมาก เห็นเค้าเอาน้ำปลาหรืออะไรมาเทให้ผีเสื้อได้ตร่อม เราได้เก็บภาพผีเสื้อมาให้ทุกคนได้ชม เป็นการถ่ายจากระยะใกล้ ที่อาศัยช่วงซูมของเลนล์เผลอ ทำให้เกิดภาพแหล่านี้



ด้วยความที่เลนส์มีระบบกันสั่น เวลาที่เราซูมเยอะๆ ภาพก็ยังคมชัดอยู่เลย



บริเวณลำธาร



เป็นความฟินมากๆ หลังจากกดถ่ายไป เพราะตัวเราเองก็ไม่เคยได้เห็นผีเสื้อเยอะและใกล้ขนาดนี้มาก่อน ความน่ารัก น่าทะนุถนอม ทำให้เราหลงรักผีเสื้อโดยไม่รู้ตัว.... เดินถ่ายผีเสื้ออยู่ไม่นาน คุณลุงโกศนก็ถามพวกเราว่าเบื่อหรือยัง ลุงจะพาไปดูอะไรนี่ ตามมาเร็ว ด้วยความอยากรู้ ก็ทำให้พวกเราเดินตามลุงไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เห็นคือ ค่างแว่น ค่างแว่นเต็มไปหมด ตัวเล็กตัวน้อยกำลังห้อยโหนไปมาอยากสนุก


บางตัวกำลังแทะโป่ง ไม่สนใจใคร



บางคู่สองแม่ลูกที่กำลังหาเห็บให้กัน ก็ส่งยิ้มมาให้ด้วย



เรายืนดูอยู่นาน พร้อมกับถ่ายรูปไปด้วย ความรู้สึกชอบเลนส์ตัวนี้จัง

ชอบตรงที่ตัวเลนส์เองทำให้เราสามรถได้ถ่าย ภาพสัตว์โดยที่เราก็ ไม่ต้องเข้าไปรบกวน สัตว์เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ



เมื่อดูค่างแว่นเสร็จเเล้ว เราก็พักกินข้าวกลางวันที่บ้านกร่าง ก่อนจะเดินทางต่อ

ระหว่างทางจะเป็นถนนลูกรัง สลับกับถนนดิน เราเเนะนำให้ทุกคนติดผ้าปิดจมูกไปด้วยตอนที่เดินทาง เพราะฝุ่นค่อนข้างเยอะ

เรานั่งรถไปเรื่อย ชื่นชม ธรรมชาติที่เปลี่ยนไปตลอดทาง



ระหว่างทางไปพะเนินทุ่ง ตรงไหนที่สวยๆ น่าสนใจ คุณลุงโกศนชอบจอดเเวะให้พวกเราตลอดทาง จากที่รถของพวกเราขึ้นพะเนินทุ่งมาคันเเรกๆ ของรอบเที่ยวบ่าย ตอนถึงพะเนินทุ่ง เราเป็นรถคันสุดท้ายขอบรอบนั้นค่ะ 5555555555 เรียกได้ว่าลุงเเวะให้ทุกที่ อยากถ่ายรูปตรงไหน ลุงเเวะหมดเลยค่ะ >< ถึงตอนนี้ยังมีผีเสื้อให้เห็นอยู่นะคะ บางคนที่ไม่ได้มาถ่ายผีเสื้อ ก็มาถ่ายนกตามทางไปพะเนินทุ่งค่ะ ชาวต่างชาติบางคนก็เดินชมวิวจากข้างบนพะเนินทุ่งลงมาข้างล่าง ย้ำค่ะ เดิน ฮ่าๆ เก่งมากๆ เลย นับถือความเเข็งเเรงของชาวต่างชาติจริงๆ



ลุงโกสนของพวกเราค่ะ ><



ความพีคอีกครั้ง ของการเดินทางไปพะเนินทุ่ง คือ ระหว่างทางที่พวกเราขับผ่านจะมีจุดๆ หนึ่งที่เป็นแหล่งที่มี ผีเสื้อเยอะๆ เหมือนมีคนเทน้ำอะไรทิ้งไว้ให้ผีเสื้อมาตอม คุณลุงโกศน ชวนเราลงมาถ่ายรูปผีเสื้อ พวกเราก็ไม่รอช้า กระโดดลงจากรถมาถ่ายอย่างรวดเร็ว เราถ่ายอย่างเมามันส์ เพราะตรงนี้คนไม่เยอะ เหมือนที่บริเวณบ้านกร่างค่ะ เเล้วผีเสื้อก็บินไป บินมาให้เราถ่ายด้วย ทำให้เราได้ภาพที่เป็นโมเมนต์ที่ผีเสื้อบินซะมากกว่า



ภาพใบนี้เรากดมาแบบไม่ได้ตั้งใจ กลับมาดูรูปหลังจากจบทริป ก็ตกใจกับความชัดของภาพ ที่ซูมให้เห็นถึงรายละเอียดของดินที่ติดกับตัวผีเสื้อ ><



ถ่ายภาพอยู่สักพัก ด้วยความสงสัยว่าเขาเอาน้ำอะไรมาเททิ้งไว้ เราก็เลยถามคุณลุงว่า

“คุณลุงโกศนค่ะ นี้เขาเอาน้ำอะไรมาเท ผีเสื้อจึงมาตอมเยอะขนาดนี้”

คุณลุงตอบกลับมาว่า

"คนเขาจะมาปัสสาวะทิ้งเอาไว้ ผีเสื้อเขาชอบ..." 


หลังจากนั้นเราก็เลย กระโดดขึ้นรถเดินทางต่อค่ะ ฟีลแบบเรากำลังฟินกับการถ่าย พร้อมกับได้กลิ่นตุตุ เเต่เรานึกว่ากลิ่นดิน อะไรแบบนี้ ฮ่าๆ 5555555555
 เป็นเรื่องที่น่าจำของทริปนี้อีกเรื่องหนึ่ง ดีนะที่เราไม่เผลอเอามือไปจับเดินขึ้นมา ><



ขับรถมาไม่นาน เราก็ถึงพะเนินทุ่ง ถึงปุ๊บ ส่วนหนึ่งก็จัดการเรื่องกางเต็นท์ ช่วงจังหวะที่เรากำลังกางเต๊นท์เอง ฝนก็ตกลงมาแป๊ปนึงให้เราได้ตกใจเล่นๆ ค่ะ ด้วยความที่เต็นท์เราค่อนข้างเล็ก ไม่มีผ้าใบหรืออะไรมาคุม พี่บิวหัวหน้ากลุ่มที่ดูจะโตที่สุด แก้ไข้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ได้จัดแจ้งให้ทุกคนพวกเราส่วนหนึ่งไปหลบฝน อีกส่วนก็นอนในเต็นท์เฝ้าของกลางเสียงฝนที่ตกลงมา แปะๆ



ข้างบนนี้มีผู้คนมาค้างแรมเป็นจำนวนมาก บางคนก็เอาอาหารมาทำ มาแคมป์ปิ้งกัน เห็นพวกพี่ๆ นั่งทำอาหารกัน ก็เลยขอถ่ายรูปมา บรรยากาศตอนนั้นคือกลิ่มหอมมากๆ พวกเราที่ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์อะไรไป ก็ไปขอเช่าชุดอุปกรณ์ติดไฟ และ หม้อต้ม นั่งต้มมาม่ากินกันตอนดึกแทน



ในช่วงที่ติดถ่านต้มมาม่าในตอนกลางคืน น้ำค้างจะลงค่ะ ทำให้การจุดไฟของเราลำบาก ต้องขอบคุณพี่ผู้ชายและ ผู้หญิงเสื้อขาวเสื้อดำจากภาพข้างบน ที่ให้ถ่านที่ติดไฟแล้ว มาเป็นต้นเพลิงให้พวกเรา แถมพี่เขายัง แบ่งไข่ไก่มาให้พวกเราได้ต้มกินพร้อมกับมาม่าอีก ใจดีและน่ารักมากๆ 


จริงๆ ระหว่างที่เราตั้งเต็นท์หรือทำกิจกรรมข้างบน ก็มีผู้คนเเวะมาส่งยิ้มทักทายพวกเราบ่อยค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะพวกเราไปกันเยอะ เเล้วก็ซนๆ โก๊ะๆ ทำอะไรกันไม่เป็น พี่ๆ ลุงๆ ป้าๆ ก็ลงเเวะมาให้ยืมนู่นยืมนี่บ่อยๆ ค่ะ 5555555555555 ทุกคนน่ารักและเป็นมิตรมากๆ เลย ทำให้เราอยากจะมาตั้งแคมป์ แบบจริงๆ ดูอีกซักครั้ง



ส่วนความน่ารักของเย็นวันนั้นคือ พวกเราก็ได้เดินไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ จุดชมวิ่งพะเนินทุ่ง ได้เห็นแสงที่กำลังรอดผ่านเมฆส่องลงมาบนยอดเขา วินาทีนั้น มันสวยมากๆ เหมือนเรากำลังยืนอยู่ในวิมานอะไรซักอย่าง แสงมันวาบๆ สว่าง เป็นชั้นเลเยอร์ของแสงที่ตัดกับภูเขาซับซ้อน 




เราอยากให้ทุกคนมาเห็นด้วยตามากเลย เพราะของจริงสวยมากๆ เป็นความฟินอีกครั้งในทริปนี้ที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ 


คืนนี้ท้องฟ้าที่นี้ก็ยังมีดวงดาวเยอะ ทว่าพวกเราทั้ง 6 ชีวิตไม่ได้ถ่ายดาวเหมือนคืนก่อน กลับมานั่งผิงไฟ พร้อมพูดคุยกันแทน เราชอบการที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้มานั่งแลกเปลี่ยนทัศนคติการดำเนินชีวิต เล่าประสบการณ์ชีวิต สอนนู่น สอนนี่ซึ่งกันและกัน มันทำให้เรารู้สึกสนิทกันขึ้นมากๆ 
 


————————————————————————————————————————

DAY 3



ที่จุดชมวิวเดิมในตอนเช้ามืดประมาณตี 5 ครึ่ง พวกเราทั้ง 6 คนได้ตื่นมาดูหมอกตามเป้าหมายที่เราอยากดู วิวจากเมื่อเย็นกับตอนเช้าวันนี้ มันช่างต่างกัน เราเห็นภูเขาชัดขึ้น ได้วินาทีเเรกที่เห็นหมอกที่กำลังเคลื่อนตัว ลอดผ่านเขาแต่ละลูก มันสวยมากๆ มันสุขใจ มันสบายใจ จนบอกไม่ถูก เป็นความฟิน และ เรารู้สึกการตื่นเช้ามาดูอะไรแบบนี้ มันคุ้มมากๆ



หมอกที่กำลังลอยขึ้นจากทิวเขา



ปะทะกัน ระหว่างเขา

ในตอนเช้าที่จุดจมวิวนั้นเอง ก็ได้มีน้ำคางเกาะยอดหญ้า ลองใช้เลนส์ตัวนี้ถ่ายใกล้ๆ ก็ยังสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีทีเดียว



พอประมาณ 7 โมง คนเริ่มเยอะ พวกเราก็แยกย้ายกันไป เก็บของ เก็บเต็นท์ เพื่อที่จะไปน้ำตกทอทิพย์กัน ระหว่างกลับเต็นท์ เจอพุ่มไม้ขนาดใหญ่ก็เลยให้น้องเจนนี่ลองไปยืนถ่าย ระยะของเลนส์ทำให้เราสามารถถ่ายภาพบุคคล ได้ระยะกำลังพอดีเลยค่ะ


ระหว่างทางที่จะไปน้ำตกทอทิพย์คุณลุงก็ให้เราแวะ จุดชมวิวที่ กม 36 คุณลุงบอกว่าถ้ามาในตอนเช้าก็จะได้เห็นหมอก ที่สวยไม่แพ้จุดชมวิวที่พะเนินทุ่งเลย


อ่อลืมบอกค่ะ... จากตรง กม 36 ทางไปน้ำตกค่อนข้างที่จะทุลักทุเลหน่อยนะคะ ต้องจับเชือก หาที่ยึดบนรถ ตัวเราตอนนั้นโยกไปโยกมา เหมือนกำลังอยู่ในสวนสนุกอย่างไงอย่างงั้น 55555555


ขับมาไม่นาน และเเล้วเราก็มาถึง จุดเริ่มต้นของการเดินทางเข้าป่าไปน้ำตกทอทิพย์ 
 น้ำตกทอทิพย์ เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่อยู่ ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ไปกลับระยะทางรวมกัน 8 กิโลเมตร การเดินทางเราต้องเดินดิ่งลงเขาตลอดระยะทาง 4 กิโลเมตร ในทางกลับกันตอนกลับ ก็ต้องเดินขึ้นเขาตลอด 4 กิโลเมตร เส้นทางในการเดินค่อนข้างชันและชันมากๆ ช่วงหนึ่งของ ทางจะมีเชือก 1 เส้นให้เราจับเเล้วค่อยๆ ไต่ลงไป ระหว่างทางจะมีตัวทาก ตัวเล็กตัวน้อยมากมาย สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มของเราโดนกัดไป เลือดนี้กระฉุดไม่หยุดไหลค่ะ แนะนำให้ใส่ที่กันทาก พวกเราหลายคนเดินป่าเป็นครั้งเเรก และไม่รู้ว่าที่ป่าแห่งนี้มีน้องทากอยู่ค่ะ เลยไม่ได้เตรียมอะไรกันไปเลย คุณลุงโกสนที่ขับรถให้พวกเรา ใจดีให้ยาหมองมาเวลาที่ทากกัด ก็หยดลงไป ตัวทากก็จะคายฟันที่กัดหลุดออกมาจากผิวหนังค่ะ



อันนี้เป็นป้ายจุดเริ่มต้นที่เราจะเดินกัน



หมวกที่เห็นอยู่นี่เดินเข้าไปข้างใน ก็ถอดหมดนะคะ 555555



ทางจะเป็น ทางเดียวๆ ให้เดินแบบนี้ซะส่วนใหญ่ ข้างๆ ถ้าเดิน

ไม่ดี ก็จะตกลงไปค่ะ ><



เราหยิบกล้องถ่ายระหว่างทางอยู่ได้ไม่นาน แบตกล้อง ของเราดันเกิดหมดค่ะ TT #รู้สึกเศร้ามาก แบบเข้าป่าทั้งทีไม่มีรูปเลยไม่ได้นะ เราก็เลยขอยืมกล้อง DSLR + เลนส์ 50mm ของเพื่อนรวมทริป มาถ่ายเล่นก่อน
 


พอได้มาจับกล้องใหญ่ แล้วรู้สึกว่ากล้องและเลนส์ที่เราเอามาดูน้ำหนักเบาหวิวไปเลยค่ะ แถมไฟล์ที่ได้จากเลนส์เผลอ ยังมีคุณภาพ ความคมชัดพอๆ กันกับกล้องใหญ่เลย เรารู้สึกเลยว่าพกตัวเล็ก ตัวเดียวก็สามารถถ่ายอะไรได้เยอะมากพอๆ กัน ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัด มันทำให้เราพกพาสะดวกด้วยเเล้ว เรื่องโฟกัสก็มีความดีงามทีเดียวเชียว ตอนถ่ายด้วยเลนล์เผลอมันโฟกัสเร็วมากค่ะ เดินป่าเร็วๆ เจอสัตว์ตัวเล็ก ตัวใหญ่ ก็กดโฟกัสได้เลย กดปุ๊บได้ปับ เร็วมากกกกกกกก หยุดแวะถ่ายอะไร ก็ยังเดินตามเพื่อนๆ ทัน



เชือก หนึ่งเส้นตลอดทางลง

เดินมาไม่นานเราก็มาถึงน้ำตกทอทิพย์ค่ะ บรรยากาศคุ้มกับที่เราเดินเข้าป่ามา มันสวยมากๆ น้ำเองก็ใสเเละเย็นมากๆ เราพักเล่นน้ำและกินขนมปังที่นี้กันอยู่ ชั่วโมง สองชั่วโมง ก่อนที่จะเดินทางกลับออกไปข้างนอก


ในช่วงที่เดินกลับ ระหว่างทางก็ยังต้องค่อยระวังน้องทากกันอยู่ ตลอดเวลา 555555

(อันนี้เป็นรูปตัวทาก ที่กำลังจะจ้องดูดเลือดที่ขาของพวกเราค่ะ )



อย่างที่เราได้บอกไปเมื่อต้นกระทู้ที่ว่าการเดินป่าไปน้ำตกนี้ เป็นจุดพีคเเละสนุกที่สุดของการเดินทาง
เพราะว่าแต่ละคนไม่เคยเดินป่ามานี้แหละค่ะ เลยทำให้เกิดเรื่อง ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าเพื่อนในกลุ่ม เดินสะดุดไม้เเล้วเข่าแตก หรือ จะเป็นการที่พวกเราพกน้ำ 1.5 ลิตร ไปแค่ขวดเดียวเข้าไปในป่า ตอนเดินไปว่าเหนื่อยเเล้ว 
การเดินกลับออกมา โดยที่หิวน้ำมันมันเหนื่อยมากๆ กว่าเดิมไปอีกค่ะ เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเราต้องยิ่งพยายามช่วยเหลือกัน ดูแลกัน เพื่อให้ออกจากป่าไปให้ได้ วิกฤตถึงขั้นน้องในกลุ่มคนหนึ่งลงไปนอนกับพื้นที่มีทาก แบบไม่เอาเเล้ว เหนื่อย จะกัดก็กัดมาเลย 55555555 หรือ จะเป็นการให้กำลังใจผ่านคำพูดแบบว่า ถ้าคุณหยุดเดินเราก็หยุดเดินก็มี หรือจะเป็นการร้องเพลงให้กำลังใจกันก็มีนะคะ หลายครั้งที่คนใดคนหนึ่งไม่ไหว เราก็พยายามบอกให้เขาสู้ แล้วก็พยายามจูงมือประคองกันกลับมา



แปลกมากที่ช่วงที่เราไป ไม่มีใครไปเที่ยวน้ำตกแห่งนี้เลยค่ะ ในป่ามีแต่พวกเราหกคน มีแต่พวกเรา 6 คนแค่นั้นจริงๆ ค่ะ การเดินป่าเที่ยวน้ำตกครั้งนี้ เรียกได้ว่าออกจากป่าไปได้ทุกคนนี้ซี้ปึกกันมาก และมีเรื่องให้เล่าไปจนแก่เลย



เมื่อออกจากป่าได้เเล้วก็โหยหาน้ำกันใหญ่ คุณลุงโกสนที่รออยู่ข้างนอก ก็ถามพวกเราเป็นไงบ้าง 
น้องในกลุ่มบอกว่าไม่เอาเเล้ว รองจากเขาชนไก่ ก็ขอยกให้เป็นที่นี่ไปเลย 5555 ไม่เดินเเล้ว ไม่มาที่นี่เเล้ว 555555555555 คุณลุงหัวเราะชอบใจ พร้อมกับถ่ายรูปให้พวกเราเป็นที่ระลึก



พวกเรานั่งพักกันอยู่แป๊ปหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางกลับกทม.กัน 
ด้วยความที่เย็นเเล้ว เเล้วก็ไม่มีรถตู้ ที่จะเข้ามาที่อุทยานฯ ตอนขากลับคุณลุงโกสนก็ใจดีพาพวกเราไปส่ง ท่ารถตู้กลับกทม. ที่บิ๊กซี ตัวเมืองเพชรบุรี พวกเรากล่าวขอบคุณคุณลุง ก่อนที่จะแยกกันคุณลุงได้ทิ้งเบอร์ไว้ พร้อมกับบอกว่า

“มาอีกครั้งหน้า ไปเที่ยวบ้านลุงนะ ลุงจะให้แม่ (แฟนของคุณลุง) กับข้าวให้กิน” 


พวกเรารู้สึกดีใจมากเหมือนได้ญาติผู้ใหญ่มาอีกคน 
 เราตอบกลับคุณลุงไปว่า เดี๋ยวพวกเราจะมาอีกแน่นอน คุณลุงไม่ต้องคิดถึงพวกเรานะ ><





นี้ก็เป็นการจบทริปการเดินทางที่เรามีความสุขมากๆ 
คนที่ไม่เคยเจอกันเลย หกคนที่ไม่เคยได้ออกเดินทางร่วมกันเลย ไม่เคยไปเที่ยวไปไหนด้วยกันไกลๆ เลย จะสามารถเข้ากันได้มากๆ ในเวลาไม่กี่วัน



เราคิดว่าชีวิตเรา.. เป็นหนังสือเล่มใหญ่ เล่มหนึ่ง และทุกครั้งที่เราออกเดินทางไปเจอโลกของนอก 
หรือไปเจออะไร ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันเหมือน..มันเรากำลังค่อยๆ เขียน ค่อยๆ เรียบเรียง 
หนังสือเล่มนั้น ทีละบท ทีละบทไป ครั้งนี้เป็นอีกครั้ง ที่เราได้เรียบเรียงบทบทหนึ่งจบลง <3



รูปนี้เป็นรูป สุดท้ายก่อนจบทริป เราให้คนแถวๆ อุทยานถ่ายให้ หลังจากขอชาร์ตแบตให้พอมีแบตถ่ายต่อ เป็นรูปรวมรูปแรก และรูปเดียวจากเลนล์เผลอตัวนี้



สุดท้ายเเล้ว ขอบคุณทุกๆคนมากๆ นะ ที่หลงใจ ตัดสินใจมาเที่ยวกับเรา ขอบคุณน้องเบสท์ที่ตกลงมาด้วยกัน ทำให้เราได้รู้จักกับคนอื่นๆ ขอบคุณน้องเจนนี่ลูกครึ่งที่คอยสร้างเสียงหัวเราะให้ตลอดทริป ขอบคุณพี่บิว พ่อหมี ที่ค่อยดูแลพวกเราทุกอย่าง ให้ความปลอดภัยกับพวกเรามากๆ ขอบคุณพี่พีชที่สอนเราถ่ายดาว และ สุดท้าย ขอบคุณตั้ม ที่ทำให้ทริปมันสมบูรณ์แบบ ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไป ทริปนี้ก็จะไม่สมบูรณ์เลย กลับไปแล้วก็คงคิดถึงทุกคนมากๆ ไว้มาร่วมเดินทางด้วยกันใหม่นะ 



ทริปนี้นอกจากจะได้เพื่อนใหม่ มิตรภาพ ใหม่ๆ แล้ว ต้องขอบคุณ ทาง Canon มากๆ ค่ะ ที่ได้ส่งกล้องและเลนส์ดีๆ มาให้เราได้ลองใช้ และเก็บความความทรงจำในครั้งนี้ ตัวเล็กแต่คุณภาพ คับแก้วมากๆ นี่คิดว่าถ้ากลับไป กทม. อาจจะลองซื้อ มาใช้ติดเป็นกล้องประจำตัวซักหน่อย >///<



ก่อนจบกระทู้นี้จากจะชวนทุกคน ได้ลองไปเที่ยวเมืองไทยของเราดูค่ะ เเล้วจะเห็นว่าเมืองไทยเรามีสถานที่ที่สวยงามและน่าเที่ยว ให้เราออกไปเจอมากมาย อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและเขาพะเนินทุ่งก็เป็นอีกที่ที่อยากให้ทุกคนไป รับลองไม่ผิดหวัง <3



แอบแปะรูปคุณลุงโกศน และ เพื่อนร่วมทริปไว้<3

แล้วถ้ามีโอกาสจะเข้ามาเขียนเรื่องราวการเดินทางใหม่ๆให้ทุกคนได้อ่านกันอีกนะคะ

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - เขาพะเนินทุ่ง - บ้านกร่าง - น้ำตกทอทิพย์

Facebook : Monkey gogo

Rittirong Sanitkum

 วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 16.06 น.

ความคิดเห็น