บึงกาฬ...คุ้นชื่อจังหวัดนี้กันบ้างไหมคะ จังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือแยกตัวออกมาจากจังหวัดหนองคาย


เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว พวกเราได้ดูละครจากช่อง 3 อยู่เรื่องนึงแล้วมีฉากที่ถ่ายทำบริเวณหินสามวาฬ ถึงกับต้องไปหาข้อมูลเลยว่าไอเจ้าหินสามก้อนนี้มันอยู่ที่ไหน มันน่าไปมากเลย หาข้อมูลครบเสร็จสรรพจึงเกิดทริปบึงกาฬขึ้น จริงๆบึงกาฬไม่ได้มีที่เที่ยวที่น่าสนใจแค่หินสามวาฬนะ ยังมีอีกหลายแลนด์มาร์คที่ต้องไปโดนลองไปกันดูน้า


🚗 ภูสิงห์ บึงกาฬ

อยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู ครอบคลุมพื้นที่อำเภอศรีวิไล กับอำเภอเมืองบึงกาฬ โดยในภูสิงห์นี้ก็มีแลนด์มาร์คหลายจุดที่ไม่ควรพลาด หนึ่งในนั้นก็คือหินสามวาฬนั่นเองค่ะ การเดินทางในภูสิงห์นี้จะต้องนำรถยนต์มาจอดที่จุดบริการ และใช้รถของทางพื้นที่เข้าไปชมจุดต่างๆ เพราะทางค่อนข้างที่จะวิบากพอสมควรเลยค่ะ รถธรรมดาไม่น่าจะรอดได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้ชำนาญเส้นทาง ค่าบริการคันละ 500 บาท/เที่ยว สามารถนั่งได้ไม่เกิน 10 คน


โดยมีจุดเด่นๆที่พี่เขาพาเราไปมาดังนี้ค่ะ

📍 ลานธรรมภูสิงห์

เป็นลานกว้างอยู่ด้านทิศเหนือของภูสิงห์ มีหินทรายแดงขนาดใหญ่มองดูคล้ายสิงโตมอบอยู่ข้างลาน จึงเป็นที่มาของชื่อ “ภูสิงห์” และ มีพระพุทธรูป ”หลวงพ่อพระสิงห์” ประดิษฐานอยู่เป็นสถานที่พระสงฆ์และฆราวาสใช้เป็นที่สวดมนต์ภาวนาและจัดกิจกรรมทางศาสนา





(หินที่มาของชื่อภูสิงห์จ้า)






📍 หินสามวาฬ


เป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกเป็น 3 ก้อน ถ้ามองในมุมสูงจะมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ พ่อ แม่ ลูก กำลังว่ายน้ำกันอย่างสนุกสนาน จึงเป็นที่มาของชื่อ ”หินสามวาฬ” เวลาที่ควรมาคือช่วงเช้า เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่เขาว่ากันว่าสวยมากก แต่พวกเราไปไม่ทันค่ะ55 เราสามารถไปได้แค่ วาฬพ่อ และ วาฬแม่ เนื่องจากวาฬลูกทางไม่ชัดเจนทางเจ้าหน้าที่จึงไม่ให้เดินไปค่ะ


📍 หินช้าง



มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่คล้ายช้างครึ่งตัว อยู่ติดหน้าผาสูง บริเวณรอบๆ มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด มองเห็นวิวพื้นที่สวนยางพาราอำเภอเมืองและอำเภอศรีวิไล




📍 ส้างร้อยบ่อ



มีลักษณะเป็นหลุมขนาดใหญ่-เล็ก จำนวนมากโดยคำว่า ส้างร้อยบ่อมีความหมายว่า บ่อน้ำร้อยบ่อ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา การเซาะกร่อนของลม ฝน อยู่ติดหน้าผาด้านตะวันตก ในฤดูฝนมีน้ำขัง จุดนี้มองเห็นศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ เหมาะแก่การดูพรอาทิตย์ตก




📍 กำแพงหินภูสิงห์

อยู่ทางด้านทิศเหนือของภูสิงห์ มีลักษณะเป็นกำแพงหินสูง ซึ่งเกิดจากการเซาะกร่อนของลม ฝนและ เรียงซ้อนกันของชั้นหินตามธรรมชาติ เกิดเป็นลวดลายแปลกตา


นอกเหนือจากที่เราไปมา จริงๆแล้วภูสิงห์ยังมีจุดเด่นที่สำคัญอีกหลายจุดที่เพื่อนๆไม่ควรพลาด ถ้าต้องการสอบถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่นย์บริการข้อมูล ฝ่ายบริหารทั่วไป โทร. 088-536-2717

การเดินทาง : ใช้ทางหลวงหมายเลข 212 ไปทางอำเภอบุ่งคล้า ประมาน 20 กิโลเมตร จนถึงแยกตำบลโคกก่อง ให้เลี้ยวขวาและตรงไปอีก 5 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลาฯ


🚗 น้ำตกถ้ำพระ


หรือน้ำตกถ้ำพระภูวัว อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับหินสามวาฬ ตั้งอยู่บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มีจำนวน 3 ชั้น โดยน้ำไหลอยู่บนภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังนิยมมากในช่วงนี้ เพื่อนๆอาจจะเห็นในข่าวว่าเป็นน้ำตกที่มีสไลเดอร์ธรรมชาติให้เล่น แอบเสียดายเบาๆ ขนาดเรากลับมาเป็นครั้งที่2 วันนี้น้ำก็ยังไม่ได้เยอะอย่างที่เราหวัง แสดงว่าเราต้องไปเป็นรอบที่3 แหละ55 น้ำตกจะมีน้ำมากในฤดูฝนช่วงเดือนกรกฎาคม-ต้นตุลาคมค่ะ


การเดินทาง : เพื่อนๆจะต้องนำรถมาจอดที่ท่าเรือ เนื่องจากน้ำตกอยู่กลางภูเขาจะต้องนั่งเรือเข้าไปประมาณ 15 นาทีและเดินต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตร ถึงจะถึงน้ำตกชั้นที่ 1









บรรยากาศระหว่างทางเดินไปน้ำตกชั้นที่ 1 ช่วงต้นเป็นบันไดแอบชัน หลังจากนั้นจะเป็นทางเดินในป่า บรรยากาศสบายๆค่ะ









แต่ แต่ พอพ้นป่าแล้วเจอน้ำตกเท่านั้นแหละ เป็นลาดโล่งๆ กว้างๆๆ ร้อนมากจ้า 55 ระหว่างทางที่เดินมา แอบสงสัยว่าทำไมคนที่นี่เขาใส่เสื้อผ้ากันแบบบางๆกันทั้งนั้น แถมแต่ละคนหิ้วเสบียงกันมาเต็ม พอเจอบรรยากาศเท่านั้นแหละ ถึงกับบางอ้อเลย เพราะอากาศมันร้อนและโล่งมากกก แบบนี้นี่เองเลยใส่เสื้อผ้าแบบสบายๆ ระบายอากศได้ดีๆ



ในสมัยก่อนน้ำตกถ้ำพระเป็นวัดป่า มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บริเวณผา ปัจจุบันวัดป่านี้ได้ย้ายไปแล้ว และได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ภายใต้การดูแลของเขตรักษาฯแทน


อย่างที่เกริ่นกันไปข้างต้น น้ำตกนี้มีทั้งหมด 3 ชั้นนะคะ รูปที่เห็นกันมาเป็นผาสูงๆแล้วมีมวลน้ำตกลงมา นั่นคือชั้นที่3 แหละ แต่วันที่เราไปอย่างที่เห็นในรูปคือน้ำน้อยมาก พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าน้ำยังน้อยอยู่ เลยตัดสินใจไม่เดินขึ้นไป แล้วเดี๋ยวกลับมาเก็บที่นี่ใหม่อีกครั้งดีกว่า



ใครที่จะมาที่น้ำตกถ้ำพระ แล้วอยากได้บรรยากาศน้ำตกที่น้ำเยอะๆแบบในรูปที่เห็นในเน็ต แนะนำมาปลายๆเดือนกรกฎาคมแต่ไม่เกินเดือนตุลาคมน้า น้ำน่าจะเยอะและกำลังสวยเลย ถ้ามาปลายมิถุนายน-กรกฎาคม น่าจะได้แบบในรูปที่เราเจอมา


🚗 วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก)


ตั้งอยู่ที่ บ้านคำแคน อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ อยู่ในซอยที่ไปน้ำตกถ้ำพระ แต่มีทางแยกไป เส้นทางค่อนข้างชัดเจน มีป้ายบอกทางชัดเจนค่ะ

วัดนี้เป็นวัดป่าที่ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้มาสร้างไว้ในปี พ.ศ. 2512 เพื่อเป็น “รุกขมูลเสนาสนัง” สถานที่ปฏิบัติธรรม ปลีกวิเวก จากโลกภายนอก โดยภูทอกใน ภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว อยู่ในเขตมีลักษณะเป็นภูเขาหินทรายประกอบด้วย ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย






โดยทางวัดมีลาดจอดรถค่อนข้างกว้าง จากลานจอดรถไปจุดขึ้นภูทอก มีป้ายบอกทางที่ชัดเจนค่ะ







ตลอดทางจากลานจอดรถไปจุดเริ่มต้นขึ้นภูทอก เส้นทางค่อนข้างร่มรื่น มีพระพุทธรูปและเจดีย์กลางน้ำให้แวะค่ะ






โดยการแต่งกายขึ้นภูทอก มีป้ายประกาศชัดเจนนะคะ ว่ารบกวนแต่งกายให้สุภาพก่อนขึ้นพิชิตภูทอก เพื่อนๆที่จะขึ้นข้างบน แนะนำพกน้ำดื่มขึ้นไปด้วยนะคะ แต่ที่ชั้น 5 มีตู้น้ำดื่มบริการค่ะ


โดยท่านพระอาจารย์จวนเริ่มก่อสร้างบันไดไม้สำหรับไต่ขึ้นไปในปี พ.ศ. 2512 มีทั้งหมด 7 ชั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปีเต็ม บันไดทั้ง 7 ชั้น แต่ละชั้นมีลักษณธสำคัญดังนี้




ชั้นที่ 1,2,3,4 : มีลักษณะคล้ายๆกันคือเป็นบันไดไม้ยาวขึ้นเขา และในชั้น 3,4 จะเริ่มเป็นการเวียนรอบเขา มีต้นไม้ให้ความร่มรื่นตลอดทาง

(ในสายตาเราว่า 4 ชั้นนี้ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่นะ)





ชั้นที่ 5 : จะมีศาลากลางและกุฏิที่อาศัยของพระ และเป็นที่เก็บศพของพระอาจารย์จวน พอผ่านทางศาลากลางมาจะเจอลานกว้างๆ หินสีชมพู สวยงามมากค่ะ




ใครเป็นเหมือนเราบ้าง มาภูทอกเพราะอยากที่จะไปภูทอกน้อยๆๆ ที่แยกออกมา ทางแยกไปบริเวณนี้จะอยู่ที่ชั้น 5 พอเดินผ่านโซนที่เป็นลานกว้างๆของหินสีชมพูตามรูปบนแล้ว จะมีทางแยกเดินไปทางพุทธวิหารแบบในรูปและเดินตามทางรอบเขามาเรื่อยๆนะคะ





เดินวนมาเรื่อยๆก็จะเจอภูทอกน้อย ลักษณะจะเป็นเหมือนทางเดินหินที่แยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่ และมีสะพานไม้เชื่อมกับทางเดินหินอีกที โดยเป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่พระอริยหลายองค์มาพักผ่อนและละสังขารที่นี่ มีลักษณะที่แปลกและน่าอัศจรรย์ที่สุด คล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่ประเทศพม่า


จากจุดนี้หากหันหลังกลับไปก็จะเจอวิวแบบนี้ค่ะ ท้องฟ้าสวยมากจริงๆวันนี้ ตอนช่วงก่อนที่จะไปฝนตกทุกวันลุ้นมากว่าจะตกวันที่ไปรึป่าวหรือป่าววันที่ไป







ถ้ามองจากข้างในภูทอกน้อยออกมาก็จะได้วิวแบบนี้ค่ะ ใครมาภูทอกแล้วไม่ได้มาดูวิวนี้คือพลาดมากๆเลยน้า








พอขากลับเดินวนอีกฝั่งนะคะ จะได้ดูวิวอีกด้านนึงก่อนขึ้นชั้น 6 ระหว่างทางก็จะเป็นบันไดเดินวนรอบภูเขา แบบนี้ค่ะ






เดินมาเกือบครบรอบจะเจอจุดชมวิวนี้ค่ะ จุดชมวิวลังกา เขาว่ากันว่าทันมาจากคำว่า รังกา เนื่องจากในบริเวณนี้สมัยก่อนมีกามาทำรังจำนวนมาก ต่อมาก็เพี้ยนเป็นคำว่าลังกาค่ะ





ชั้นที่ 6 :
เป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา เป็นชั้นที่สามารถชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอกได้ดีที่สุดและสวยที่สุด และไม่มีหลังคาหรืออะไรบัง ในรูปเราถ่ายภาพพระวิหารจากชั้น 6ค่ะ





ชั้นที่ 7 : จะมีบันไดไม้พาดขึ้นมาจากชั้น6 เป็นเหมือนทางเดินป่าย่อยๆ แนะนำให้มาภูทอกหลังบ่าย 3 นะคะ จะได้วิวที่เหมือนพระอาทิตย์จะตกดิน และไม่ร้อนมากด้วยค่ะ ครบเจ็ดชั้นแล้ว พระอาทิตย์เริ่มจะตกแล้ว ต้องรีบลงค่ะ เนื่องจากมียุงเยอะพอสมควร ที่สำคัญคือตัวใหญ่มากก



วัดนี้สำหรับเราถือว่าได้มุมมองหลายด้านมากๆเลยค่ะ ทั้งความสวยงามของธรรมชาติ ความทึ่งในการสร้างของพระและผู้มีจิตศรัทธา และ ได้ออกกำลังกายเบาๆค่ะ ไม่ควรพลาดเลยถ้ามาบึงกาฬ


🚗 วัดอาฮงศิลาวาส



วัดนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองบึงกาฬประมาณ 21 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดแห่งนึงของจังหวัดบึงกาฬ วัดนี้มีจุดเด่นคื อยู่ติดริมแม่น้ำโขง มีความเชื่อกันว่าบริเวณหน้าวัด คือ จุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงซึ่งมีความลึก 200 เมตร โดยจะมีกระแสน้ำไหลเชี่ยววนจนเป็นหลุมรูปกรวย หากมีพวกเศษไม้ ใบไม้หรือวัตถุเล็กๆ ติดอยู่จะถูกกระแสน้ำหมุนวนเป็นรูปกรวยประมาณ 20-30 นาที แล้วจึงหลุดเคลื่อนไปในที่อื่น เมื่อมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาอีกก็จะต่อตัวเป็นรูปกรวยขึ้นมาใหม่เกิดสลับกันไปตลอดทั้งวัน จึงทำให้เชื่อว่าที่นี่คือ จุดที่เป็น สะดือแม่น้ำโขง

จากมุมหน้าอุโบสถจะเห็นวัดที่ฝั่งลาว สร้างอยู่บนโขดหินลักษณะเหมือนเรือหางยาว



🚗 วัดสว่างอารมณ์ (วัดถ้ำศรีธน)

ตั้งอยู่ที่บ้านโนนศิลา อำเภอปากคาด อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 50 กิโลเมตร โดยวัดนี้อยู่เลย วัดอาฮงศิลาวาสมาประมาณ 30 กิโลเมตร บริเวณที่ตั้งของวัดมีความเป็นมาที่เล่าขานตั้งแต่ครั้งโบราณ ว่า ท้าวศรีธน โอรสของพระเจ้าอาทิตยวงศ์แห่งเมือง ปัญจานคร ต่อมาเรียกว่าเมืองเปงจานนคร ปัจจุบันอยู่ห่างจากถ้ำศรีธนประมาณ 10 กิโลเมตร ท้าวศรีธนได้ติดตามนางมโนราห์ ซึ่งเป็นมเหสีผ่านมาถึงถ้ำฤาษีกัสสปะ พระองค์ทรงรำพึงว่า “เรามีความชำนาญ แต่ด้านยิงธนูควรที่จะเรียนวิชาอาคมอื่นเพิ่มเติมเผื่อใช้ในคราวจำเป็น” จึงได้หยุดเรียน ณ สถานที่ แห่งนี้กับพระฤาษีกัสสปะ หลังจากเรียนอาคมจบ พระองค์ก็อยากทดลองอาคมดู จึงเดินล้อมไปหลังถ้ำ เลือกก้อนหินก้อนหนึ่งเป็นเครื่องมือทดลอง จากนั้นได้ใช้มนต์อาคมเสกเป่าใส่ดาบ เมื่อท่องมนต์จบก็เงื้อดาบฟันลงบนก้อนหินถึงสามครั้ง ทำให้เกิดเสียงดังสะนั่นหวั่นไหว ผลปรากฏว่า หินก้อนนั้นขาดออกเป็นสามท่อน ซึ่งเป็นน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

จากนั้นพระองค์ก็ลาพระฤาษี กัสสปะ ตามหานางมโนราห์ผู้เป็นมเหสี และกลับมาปกครองเมืองเปงจานต่อจากพระราชบิดา จนสิ้นสมัยของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ถ้ำศรีธน” เพราะมีร่องรอย ต่างๆ ตามตำนานปรากฏอยู่ชัดเจน เช่น ตัวถ้ำ สถานที่ศรีธนลองดาบ และยังอยู่ใกล้บ้านเปงจาน หรือเมืองเปงจานในอดีต ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณมาก่อนและมีอยู่จริง

(อ้างอิงข้อมูลมาจาก : https://esan108.com )






หอระฆังที่ทำจากโอ่งมังกร







วิวของเจดีย์เมื่อมองจากหอระฆัง








ทั้ง 5 ที่ ที่เรารวบรวมและไปมา ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดของจังหวัดบึงกาฬ เป็นเพียงจุดที่เราได้ไปในเวลาที่จำกัดของเรามีเวลาอยู่ที่บึงกาฬ 1 วัน และเป็นการไปบึงกาฬ 2 ครั้ง และตีรถมานอนที่นครพนมค่ะ

(วิวนี้อยู่ตรงจุดเริ่มเดินไปน้ำตกถ้ำพระทางด้านซ้าย)

การเดินทางภายในบึงกาฬ : เนื่องด้วยจังหวัดนี้ยังถือเป็นจังหวัดน้องใหม่มากๆของไทย การเดินทางภายในจังหวัดมี 2 วิธี คือ

1. เช่ารถ มีทังแบบรวมคนขับ และขับเอง พวกเราเลือกใช้บริการเช่ารวมคนขับจากพี่สุวิทย์ เพจ "บึงกาฬ รถเช่า ท่องเที่ยวในบึงกาฬแบะจังหวัดใกล้เคียง" ค่าเช่าแบบรวมน้ำมันคือ 2,500 บาท/วัน (อันนี้เป็นราคาตอนธันวาคม 61นะคะ) เป็นรถกะบะ 4 ประตู สาเหตุที่เช่ารถพี่เขาเนื่องจาก ถ้าเราไม่เช่าเป็นรถกะบะที่สามารถลุยได้ ตอนไปที่ ภูสิงห์ จะต้องเสียค่าเช่ารถอีกรอบนึงค่ะ

2. เช่ารถสองแถวหรือสกายแลป แต่เราไม่ได้ลองแบบนี้นะคะ


(วิวนี้มุมกว้างของวัดฝั่งลาวบนโขดหิน ถ่ายจากวัดอาฮงศิลาวาส)

การเดินทางจาก กรุงเทพ : มีหลายวิธีค่ะ แต่เราขอแนะนำแค่ 3 วิธีละกันค่ะ ไม่แนะนำให้ขับจากกรุงเทพไป เพราะเสียเวลาขับรถไป/กลับ ก็เกือบๆ2วันแล้วค่ะ

- วิธีที่ 1 เป็นวิธีที่ไม่ต้องต่อรถอะไรเลยคือ รถทัวร์ค่ะ นั่งจากบขส.ที่หมอชิตใหม่ เราเลือกใช้บริการวิธีนี้และให้พี่รถเช่ามาเจอที่ บขส. ข้อเสียคือ ถ้ารถไปถึงเเลทแบบที่พวกเราเจอคือไปถึงบึงกาฬเกือบๆ 10 โมงได้ ตอนที่มาหินสามวาฬก็จะพลาดพระอาทิตย์ขึ้น แล้วอากาสก็ร้อนมากๆด้วยค่ะ

- วิธีที่ 2 นั่งรถไฟมาลงที่สถานีหนองคาย ถ้าเพื่อนๆจะมาวิธีนี้และมีงบประมาณ แนะนำให้นั่งสายอีสานมรรคา จะออกจากสถานีหัวลำโพงตอน 2ทุ่ม และถึงที่หนองคายตอน 6.45 น. และจากหนองคายไปบึงกาฬจะมีรถตู้ที บขส. วิ่งทุกๆ 40นาทีค่ะ

- วิธีที่ 3 นั่งเครื่องบิน แต่เนื่องจากบึงกาฬยังไม่มีสนามบิน สามารถเลือกลง 3 แห่งคือ อุดรธานี , สกลนคร และ นครพนม แล้วใช้บริการเช่ารถขับเองมาค่ะ ถ้าเพื่อนๆจะมาเที่ยวแค่บึงกาฬ สนามบินที่ใกล้ที่สุดคืออุดรธานีค่ะ แต่ถ้ามีเวลาจะเที่ยวจังหวัดอื่นเพิ่มเติมแนะนำให้ลงจังหวัดสกลนคร หรือนครพนมและใช้บริการรถเช่าของเพจ "กิติพงษ์ รถเช่านครพนม" สาเหตุที่แนะนำเพจนี้เนื่องจากตอนพวกเราไปเราเลือกลงสนามบินสกลนคร และเช่ารถพี่เขาเที่ยวและมาคืนที่สนามบินนครพนมได้ ไม่ต้องย้อนกลับไปที่เก่า คิดค่าบริการคืนรถต่างสถานี 500 บาทค่ะ ค่าเช่าเริ่มที่ 1,000/คัน/วัน


สุดท้ายทริปนี้จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มีพี่ๆทุกคนที่ช่วยเหลือ และไปร่วมงมทางด้วยกัน ถ้ามีโอกาสลองไปดูกันนะจ้า มันสนุกจริงๆ


รีวิวที่สองของพวกเรากับ readme จะพยายามยิ่งๆขึ้นไป 55 ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แล้วจะพยายามฝึกปรือต่อไป ฝากเพจของพวกเราในเฟสบุ๊คกันด้วยน้า https://m.facebook.com/porjaipaii/ แล้วมาเจอกันใหม่ในรีวิวหน้าค่ะ ^^


(วิวนี้มาจากวัดภูทอกชั้น 7 ตอนพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน)


#porjaipai

#บึงกาฬ

Porjaipai : พอใจไป

 วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.12 น.

ความคิดเห็น