ทริปนี้เดินทางคนเดียวค่ะ ก็ต้องเป็นฉบับกระเป๋าเบา เพราะเสียไปแค่ 200 นิดๆ เองค่ะ สำหรับการเที่ยวแบบวันเดย์อินลำปาง

(ทริปไปเช้า-เย็นกลับ)


ทริปด่วนที่ไม่รู้วันอาทิตย์จะไปไหน คิดออกตอน 4 ทุ่มวันเสาร์ ตี 5 อีกวัน ไปเคาะห้องพ่อ โชคดีแกตื่นแล้ว

"อาปา ไปส่งขึ้นรถไฟหน่อย"

ขณะนั้นฝนตกจั๊กๆ ฟ้ายังไม่สว่าง คือฝนตกทั้งคืนเลยค่ะ ช่วงนี้

แต่เราแอบแพ็คเป้น้อยของเราไว้เมื่อคืนเสร็จแล้ว ขออนุญาตแบบกลัวๆกล้า ๆ กลัวโดนด่า แล้วก็โดนจริงๆ ระดับพอดีๆ



พ่อบอกว่า จะไปทำไม ไม่ดูพยากรณ์เหรอ ฝนตกทั้งวัน

เราเงียบไปสักครู่

แล้วตอบไปว่า

งั้นเดี๋ยวขับรถไปจอดไว้ที่สถานีรถไฟเองละกัน

พ่อเลยบอกว่า ....

เอาไปจอดตากแดดทำไม เดี่ยวไปส่ง



ทริปลุยเดี่ยวเที่ยวลำปาง ก็เลยบังเกิด



ทุกท่านคงแปลกใจใช่ไหมคะ ที่บอกว่า 200 กว่าบาท ทำได้ยังไง

ขาไปขึ้นรถไฟฟรีไปค่ะ เหมือนเดิม

อ่อ ครั้งก่อนเราไปทริปล่องแก่งน้ำเข็กที่พิดโลก ก็นั่งรถไฟฟรีไปค่ะ แต่พ่อขับรถไปสมทบก็เลยไม่ได้นั่งรถไฟกลับ



รอบนี้ลุยเดี่ยว เที่ยวเมืองลำปางคนเดียวเลย เดี๋ยวมาดูกันว่าจะพาไปเที่ยวที่ไหนบ้าง และจะไปเที่ยวแต่ละที่ยังไง ตามไปชมกันเลยค่ะ



เวลา 6:00 เช้า

ฝนเริ่มซา ป้าคนขายอาหารบนรถไฟเริ่มเตรียมตัวประจำการ

เจ้าหน้าที่บอกเหมือนเดิม รถไฟมา 6:10 น.



วันนี้เราก็ลุ้นค่ะ รฟท จะเลทไหม แต่ไม่รีบอะไร ถ้าจะเลทก็ปล่อยไป

วันนี้ รฟท มาตรงเวลาเลยค่ะ ว้าวๆๆๆๆ



รถไฟจอดแป๊บเดียวก็ออกเลยค่ะ



ตอนแรกว่าจะเอาจักรยานมาด้วย ค่าระวาง 90 บาท เท่านั้นเอง แต่ต้องเอาไปใส่ตู้ขนสะเบีบงตู้หน้าเลยค่ะ

แต่ขากลับเราคิดว่าจะกลับรถทัวร์ ไม่จำเป็นก็ไม่อยากถอดล้อค่ะ เพราะถอดไม่เป็น อีกอย่าง รถไฟกลับจากลำปางมาลำพูน จะมีก็เช้าอีกวันค่ะ วันนี้เรากะเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ ไม่ค้างคืน



วันนี้ทั้งโบกี้ คนไม่เยอะ นั่งสบายๆ

ข้างหน้าเป็นลุงก่ะป้า เป็นคนพิจิตรทั้งสองคน แต่ไม่ได้มาด้วยกัน เห็นแล้วอุ่นใจ

อุ่นใจก็หลับสิคะ ตื่นแต่ ตี 4 เราหลับตื่น หลับตื่น ลุง ก่ะ ป้า สองคน ยังคุยกันไม่จบ และไม่มีวี่แววว่าจะคุยจบค่ะ แบบเหมือนคนบ้านเดียวกันมาเจอกัน

เราก็หลับต่อ เป็นคนขึ้นรถแล้วหลับง่ายมาก ยิ่งตื่นเช้ายิ่ง ขึ้นเป็นหลับค่ะ



แต่จริงๆเที่ยวคนเดียวต้องระวังต้วค่ะ สุ่มสี่สุ่มห้าหลับก็ไม่ได้ selfie ก็ต้องระวัง

ทริปก่อนที่นั่งรถไฟไปพิดโลกคนเดียว คนขายของบนรถไฟเดินมากระซิบบอกว่า ให้ระวังผู้ชาย คนที่นั่งเยื้องไปสัก 2 แถวได้ เค้ามองมาทางนี้ตลอด

แต่เราไม่ได้สังเกตเลย หลังจากนั้นก็เก็บของใส่กระเป๋าหมดเลยค่ะ มือถือ กล้อง นั่งกินคอนเน่แบบกินลมชมวิว เก็บให้หมด

ลืมตัว ว่าเห้ย มาคนเดียว ฮ่า ๆๆๆๆ

หลับตื่นๆ ยังไม่ถึงอีก



ใช้เวลา 2 ชั่วโมง จากลำพูน ก็มาถึง สถานีรถไฟลำปางแล้ว เย้ๆ

บรรยากาศอึมครึม ครึ้มๆ ฟ้าไม่สวยเลย



เดินออกจากสถานีมา ก่อนอื่น ต้องไปหาตั๋วรถกลับก่อนค่ะ

ถามพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นว่า สถานีขนส่งไปทางไหน ดูในกูเกิ้ลแมพก่อนมาแล้ว ดูไม่น่าไกล

เราก็เปิดในมือถืออีกที เดินตาม GPS เลยค่ะ



จากรูป ออกมาจากหน้าสถานีรถไฟ ให้เลี้ยวขวาตรงแยกวงเวียน

ในรูป อยู่อีกฝั่งถ่ายเข้าหาสถานีรถไฟ เพราะฉะนั้น ให้เดินไปทางซ้ายมือที่รถสีขาวจอดค่ะ



เดินประมาณ กิโลกว่าๆ ก็ถึงค่ะ



ทริปนี้ concept คือ เดิน วิ่ง ปั่น รถสองแถวสีเหลืองของเมืองรถม้าไม่ได้แอ้มค่ะ เพราะเป็นฉบับกระเป๋าเบา



เดินมา สักแป๊บ ก็ถึงแล้ว ทั้งเดินทั้งวิ่งค่ะ

เป็นคนใจร้อน ชอบวิ่งด้วย อยากให้ถึงไวไวก็ใส่เกียร์สุนัขเลยค่ะ ตลอดทริป



มาถึง กรีนบัสบอกมี 1 ทุ่ม

ส่วน บขส บอกว่า ยังไม่รู้ว่ารถกรุงเทพ จะมาถึงกี่โมง ตอนเย็นให้เข้ามาเช็คอีกที

เราตัดสินใจว่าไม่ซื้อดีกว่า เพราะโปรแกรมสุดท้ายของวันนี้จะเดินถนนคนเดิน กลัวจะเหาะมาไม่ทัน เอาเป็นว่า รถมีตั้งแต่ ทุ่มเป็นต้นไปละกัน วัดดวงๆอิอิ



จากนั้นเดินไปขอแผนที่ที่จุดให้บริการข้อมูลในสถานีขนส่งนั่นแหล่ะค่ะ

เอามากางๆ ดู เห้ย แต่ละที่ มันก็ไกลกันอยู่นา



ตัดสินใจว่า จะไปเช่าจักรยานปั่นค่ะ

ตอนแรกก่ะเดินเที่ยว ทั้งวัน ฮ่าๆๆๆ บ้าปะหล่ะ



เสียเวลาอยู่ที่นี่นานนิดนึงค่ะ เพราะไม่ได้หาว่าเจ้าไหนให้เช่าจักรยานบ้าง

ถามพี่ขายตั๋วแต่ละซุ้มไม่มีใครทราบเลย เราพยายามถามให้แคบลงแล้วว่า ย่านไหนโรงแรม หรือ เกสเฮาส์เยอะสุด เค้าบอกไม่ทราบ...

ถามว่าตัวเมือง ที่คนพลุกพล่านๆ อยู่ตรงไหน ก็ตอบไม่ได้ เห้ยยย ไม่รู้ได้ไงเนี่ย เรา งง มาก

แล้วก็มีน้องอีกคน เป็นคนขายตั๋ว เค้าบอกเป็นคนลำปาง เค้ามาตอบให้ว่า ลำปางไม่มีที่ให้เช่าจักรยานหรอกค่ะ



เชื่อน้องก็บ้าแล้ว



เพราะพี่อ่านในเว็บ มันมีอะจ่ะ ( แต่ไม่เยอะนะ )

สรุปเรานั่งเปิดเน็ตหาข้อมูล ใช้เวลาไป สัก 20-30 นาที หิวก็หิว แต่อดทนว่า ถ้าได้จักรยาน เดี๋ยวเราจะปั่นไปหาที่อร่อยๆทานกัน



เจอแล้วววว

อาร์ลำปาง โทรไปสอบถาม เค้าบอกว่า มีราคา 50 กับ 80 บาท จุดๆ นี้ราคาเท่าไหร่ไม่ว่า ขอให้มีเถอะ

เกสเฮาส์ อยู่แถวถนนตลาดเก่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ตลาดกองต้า ถนนคนเดินที่เราจะเดินเย็นนี้พอดิบพอดี



ตอนนี้เริ่มจับจุดได้ละว่า แถวนั้นต้องมีที่พักเยอะแน่นอน



เปิด Google map ดูระยะทาง



2.8 กม



โอเค เดิน+วิ่ง แป๊บๆ ก็คงจะถึง



วันนี้อากาศไม่ดีสุดๆ ยังคิดในใจเลย เห้ย มาแบบไม่ดูพยากรณ์ วันนี้จะเฟลไหมเนี่ย

แต่ฟ้าฝนก็เท่านั้น ลองเสี่ยงมาละนี่ ออกมาแล้วเดี่ยวเราก็จะรู้เอง ฝนตกเราจะเที่ยวยังไง

เดินมาเรื่อยๆ โค้งซ้าย โค้งขวา ร้านรวงยังไม่เปิด บ้างก็หยุดวันอาทิตย์ ช่างเป็นวันที่เงียบเหงาจริงๆ

เมืองลำปางนะคะ นอกจากจะใช้บริการรถสองแถวสีเหลืองที่เขียนว่ารอบเมืองแล้ว ก็สามารถใช้บริการรถสามล้อแต่เป็นสามล้อมอไซต์ แบบนี้ก็ได้ค่ะ



อุ้ย เดินมาเจอเซนทรัลด้วย ปักไว้เป็นตัวเลือกตอนไม่มีที่ไป ฮ่าๆ



ถนนเงียบจริงๆ ค่ะ โชคดีว่า ตอนเดินๆ ยังไม่มีฝน

เริ่มเจอย่านที่มีโรงแรมเยอะๆแล้วค่ะ

ที่นี่ ก็คิดว่า ถ้าวันนี้ไม่มีรถกลับ อาจจะมานอนที่นี่ ถูกสุดๆไปเลย



กระทู้นี้ ออกจะยืดเยื้อนิดนึงนะคะ เพราะเดินเที่ยว เราจะเจออะไรหลายๆอย่าง รายละเอียดที่เราได้รับรู้ก็มากด้วย อิอิ



เดินมาถึงถนนตลาดเก่าแล้ว เกือบ 3 โล จะมีแยกซ้ายกับแยกขวา เราเลือกไปทางขวา เพราะทางซ้ายดูทึบๆ



จุดๆนี้ หิว และกระหายมาก เหงื่อแตกค่ะ เพราะใส่เสื้อยีนส์ กางเกงขายาว สะพายเป้เล็ก แถมเดินแกมวิ่งมาด้วย เวลานี้เกือบๆ 10 โมงแล้วค่ะ

หันไปเจอร้านขายน้ำจับเลี้ยงพอดีเลย

แวะอุดหนุนแล้วจะได้ถามทางไปเกสเฮาส์ที่ให้เช่าจักรยานด้วย

ปรากฏว่า คนแถวนี้ไม่รู้จักเลยว่า แถวนี้มีให้เช่าจักรยานด้วย

เราจึงต้องโทรไปถามที่เกสเฮาส์เลย เค้าบอกว่า ให้เดินกลับมา ตรงที่เราเลือกเลี้ยวขวานั่นแหล่ะ ให้เลี้ยวซ้าย ..



เจอแล้วค่ะ อาร์ลำปาง

เป็นเกสเฮาส์ดัดแปลงเล็กๆ ตอนแรกนึกว่าเข้าผิดหลัง

ไม่มีใครอยู่ค่ะ ถือวิสาสะเดินสำรวจซะเลย

รูปแรกของการมาเที่ยวคนเดียว

เหนื่อย และ ร้อนมาก ขอถอดเสื้อนอกแป๊บ



เจ้าของมาแล้ว !

จักรยานมีอยู่ 4-5 คัน มีที่เราต้องการอยู่คันเดียว คือแบบปั่นมีเกียร์ นอกนั้น จักรยานอาม่าหมดแบบไม่มีเกียร์ และโชคดีอีกที่คนที่จองไว้ก่อนหน้านั้นแคนเซิลพอดี มันจึงเป็นของเราาาาาา ฮ่าๆๆ

จ่ายไป 80 บาท มัดจำด้วยบัตรประชาชนอย่างเดียว เราถามว่าไม่ต้องวางมัดจำเหรอคะ เค้าก็บอกว่าไม่

เราคิดในใจว่า เห้ย ไม่เรื่องมากแฮะ หน้าตาเราคงน่าเชื่อถือด้วย ฮ่าๆๆ



นั่งดูแผนที่ วางแผนแป๊บนึง ลากๆเส้น ไปไหนก่อนหลัง

พร้อมแล้ว ลุ้ยยยยยยย ((หิวมากๆ))



ปั่นจักรยานออกมาจากเกสเฮาส์ปุ๊บ ฝนลงปั๊บ



จุดๆนี้ คงต้องคิดแล้วหล่ะว่า จะไปข้างหน้า หรือหลบฝนในเกสเฮาส์



คนบ้าอย่างเรามีหรือจะรอฝนหยุด



ก็หิวมากน่ะสิ



สรุป ปั่นกลับไปทางที่เดินผ่านมามะกี๊ จำได้ว่าเดินผ่านร้านนึง คนเยอะมากๆ ปั่นไปสักแป๊บก่อนฝนจะลงหนัก ก็ถึงละค่ะ



ร้าน รสนานา สั่งข้าวหน้าหมูผัดเห็ดหอมน้ำแดง ดูชื่อ หรูหราไฮโซ น่าทานปะ จัดมาเลย!!!

ตอนแรกนึกว่าเสิร์ฟผิดโต๊ะ แต่ดูไปดูมาเออ มันมีเห็ดหอมเว้ยเห้ย คงใช่แหล่ะ

สรุป

ความรวดเร็วให้ 10

ความอร่อยให้ 1

แต่ตอนนั้นหิวมากๆ เอาไปเลย 2

มื้อนี้ค่าเสียหาย 35 บาท



แต่ไม่เป็นไร นั่งหลบฝนแพล๊บๆ พร้อมกางแผนที่ เอาไงต่อ

ที่แรกที่จะไปคือ สะพานรัษฏาภิเษก หรือ สะพานขาวนั่นเอง



ฝนหยุดละ ปั่นกลับไปเส้นถนนตลาดเก่าที่เดิม

ปั่นไปจนสุดถนนตลาดเก่าก็จะเจอเลยอยู่ซ้ายมือ

ฟ้าไม่เปิดเลย ช่างเหอะ ปั่นข้ามไป ไปวัดปงสนุกต่อ

แคบ แต่ เป็นส่วนตัวดี ฮ่าๆๆๆๆ

คุ้งน้ำวัง น้ำไหลแรงมาก

น่าฮักอะ มีใครเรียกน้องแมว ว่า อีเหมียว เหมือนเราบ้าง ฮ่าๆๆๆๆๆ ชอบแมวๆๆๆๆ แต่บ้านมีหมาอะ 2 ตัวแน่ะ เคมีมิเข้ากัน

แล้วก็เก็บมือถือ เอากล้องคล้องคอ แล้วจับจักรยานปั่นไปต่อจนสุดสะพาน

สะพานประวัติศาสตร์แห่งนี้ อยู่รอดปลอดภัยหลังผ่านสงครามโลกทั้ง 2 สมัยมาแล้ว เนื่องจากถูกทาสีอำพรางและ อ้างว่า สะพานแห่งนี้ไม่มี

ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ ฝ่านสัมพันธมิตรปักใจเชื่อ เลยคงอยู่มาถึงทุกวันนี้ สมัยร.6 ได้สร้างคอนกรีตเสริมเหล็กให้มั่นคง แข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ

ลงสะพานมา ก็ปั่น ไปเที่ยววัดปงสนุกต่อ



ดูครึ้มมากกว่าเดิม



จอดรถที่ศาลา หน้าวัด พลางบอกให้ลุงมัคทายก (น่าจะใช่) ว่า ฝากจักรยานหน่อยนะลุง ( ในวัดคงไม่มีคนขโมย เลยไม่ได้ล็อคค่ะ )

ดูเก่าแก่และโบราณมาก



เดินวนรอบเจดีย์เสร็จ ก็เข้าไปชมวิหารพระนอน

มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพร้อมกัน เค้ามาได้สักพักก็ออกไปแล้ว เหลือเราอยู่ในวิหารเพียงคนเดียว



สักพัก ฝนก็เทกระหน่ำลงมาหยั่งก่ะฟ้ารั่ว โชคดี ที่มีวิหารพระให้ได้นั่งหลบฝน

นั่งรอ เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วฝนไม่หยุดสักที ถ้าตกแบบนี้ไปครึ่งวัน เราคงไม่ได้เที่ยวแน่ๆ

ตัดสินใจ เอาเสื้อกันฝนที่พ่อเอาให้ตั้งแต่ทริปก่อนออกมา



กำลังเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ แคว่ก ! แขนขาดจ้า เสื้อกันฝนรุ่นบางเฉียบ Made in China

เอาไงดีว้าาาา

ขยำๆ เก็บใส่กระเป๋าเหมือนเดิม

ตัดสินใจกางร่มแล้วเดินไปเอาจักรยาน ยังดีที่เรามีหมวก และใส่เสื้อยีนส์แบบหนาด้วย เอาไงเอากัน



เอาจักรยานเสร็จ แพลนต่อไป ไปวัดพระแก้วดอนเต้าต่อค่ะ

ก่อนถึงวัดแอบแวะซื้อขนมเซเว่นแป๊บบบ กักตุนไว้ เผื่อเราติดฝนแบบนี้อีก



ช่วงปั่นไปวัดพระแก้ว ฝนเป็นใจ หยุดให้แป๊บนึง



ล็อคจักรยานกับรั้วเลยค่ะ



ท้องฟ้าเริ่มสดใส

แวะเข้าห้องน้ำและมา นั่งทานขนมที่ศาลาก่อน ด้วยความที่อาหารเช้าไม่ฟินเท่าไหร่เลย

แต่ปกติ ก็กินขนมเยอะกว่าข้าวอยู่แล้วค่ะ



เป้คู่หู พามันไปหลายประเทศแล้วค่ะ อิอิ

มันคือของขวัญวันเกิดที่เพื่อนๆ รวมเงินกันซื้อให้ คือมันใช่อะ



วัดพระแก้วดอนเต้าค่ะ



ครั้งนี้มารอบที่ 2 แล้ว

เราก็ไม่อิดออดนะที่จะไปสถานที่ซ้ำๆ ก็ชอบไปดูมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง คือแบบ เที่ยวไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปหย่อนใจไงคะ อิอิ



วัดพระแก้วตอนเต้านะคะ ที่นี่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตมาก่อน จากที่อัญเชิญมาจากเชียงราย ทั้งๆที่เจ้าสามฝั่งแกนอยากให้ประดิษฐานอยู่เชียงใหม่ จู่ๆช้างก็เปลี่ยนทิศมาที่นี่ซะงั้น พระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ที่นี่จนกว่าถูกอัญเชิญไปลาวโดยพระเจ้าไชยเชษฐาต่อค่ะ

ไหว้พระ เดินเล่น ถ่ายรูปสักพัก ก็เดินลงมาจะเอาจักรยานไปต่อ

ถุงเงินนนน ชอบเล่นอมเชือกค่ะ อายุ 7 ปีแล้ววว



คุยกับคนขับรถม้าซะเพลินเลย

ตอนแรกจะไป วัดศรีชุมต่อ แต่พี่คนขับม้าแนะนำให้ไปไหว้หลวงพ่อเกษม เพราะห่างออกไปจากตรงนี้แค่ไม่ถึง 2 โล

พ่อโทรมาถามว่าอยู่ไหนแล้ว แกก็แนะนำให้ไปด้วย เราก็ไปตามที่เค้าบอกเลย

ร่ำลาพี่คนเลี้ยงม้าเสร็จก็ออกเดินทางต่อเลยย

ปั่นออกมา จวนจะถึงประตูม้าแล้ววว

ตอนนี้ก็ยังเอากล้องห้อยคอปั่นอยู่ ดูๆ รอบๆแล้ว ไม่น่าอันตรายค่ะ คนพลุกพล่าน



เลี้ยวขวาเข้าวัดไปได้เลยย



มีที่จอดมอไซต์ค่ะ เอาไปล็อคไว้กับเสาได้เลย

นั่งพักใต้ร่มไม้ และขอ selfieสักหน่อย ตอนนี้แดดจ้ามาก

ทริปแรกที่แทบไม่มีรูปตัวเองเลยค่ะ ปกติจะมีรูปเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกก บังคับพ่อให้ช่วยถ่าย 55555555

เดี๋ยวเข้าไปกราบหลวงพ่อเกษมในโถงศาลานี้กันค่ะ



สาธุ



นั่งพักให้หายร้อนสักนิด อย่าลืมว่าเราใส่เสื้อยีนส์ที่หนามากๆ ร้อนมากๆเลยค่ะ



มาถึงวัดนี้ ค่าใช้จ่ายวันนี้ ยังแค่

จักรยาน 80 บาท

อาหารเช้า 35 บาท

ขนม เซเว่น 32 บาท



เดี๋ยวมีอีกวัดที่คนท้องถิ่นแนะนำว่าควรจะไป ซึ่งอยู่ถัดจากวัดหลวงพ่อเกษม เขมโกไปอีก 2-3 ก.ม. ค่ะ

ไหนๆ ก็มาแล้ว มีหรือ เราจะพลาด

วัดนี้ชื่อว่า วัดเจดีย์ซาวค่ะ ( เดวว่าต้องมี เจดีย์ 20 องค์แน่ๆ 5555 )

อากาศมันเริ่มร้อนมาก ระยะทางไกลออกไปจากตัวเมืองเรื่อยๆ ถนนเป็นถนนเส้นใหญ่ รถเยอะ

เราจึงเก็บกล้อง ร่ม มือถือ ทุกอย่างใส่กระเป๋า แล้วก็ปั่นขาลากอย่างเดียว ซึ่งตรงมาจากวัดหลวงพ่อเกษมค่ะ มาง่ายมาก

มองซ้ายมือจะมีป้ายให้เลี้ยวเข้าไปในซอยไม่เล็กมาก

ตรงมาอย่างเดียว เห็นไกลๆ เจอแล้วค่ะ วัดเจดีย์ซาว

ท้องฟ้า ฉากหลังตัดกับเจดีย์สวยมาก

ชอบท้องฟ้าแบบนี้ที่สุดเลย มันสดใสดี ไม่หดหู่



วัดเจดีย์ซาว มีประวัติความเป็นมาว่า สมัยหลังจากที่พระพุทธเจ้านิพพานไปได้ 500 กว่าปีแล้ว

ก็ได้มีพระอรหันต์ 2 รูปเดินทางมาพำนักที่นี่ พระเจ้าผู้ครองนครก็มีความเลื่อมใส หลังจากนั้นก็ได้พระเกศาธาตุจากพระทั้ง 2 รูป รูปละ 10 เส้น

จึงได้สร้างเจดีย์บรรจุไว้ ค่ะ



ส่วนวิหารหลังนี้ เป็นวิหารพระเจ้าแสนแซ่ พระพุทธรูปประกอบด้วยทองคำน้ำหนักเกือบ 100 บาท ( อันนี้ พี่คนเลี้ยงม้าเล่าให้ฟัง )



ข้างๆวิหารพระเจ้าแสนแซ่ มีบ่อน้ำศักดิ์ให้ไปชมด้วย

หลังจากเดินเล่นบริเวณรอบๆ วัดแล้ว ทำธุระส่วนตัวแล้ว (อย่าลืมชำระหนี้สงฆ์ โดยการบริจาคค่าน้ำค่าไฟ จะได้ไม่เป็นบาปติดตัวไปนะคะ)

ก็คิดว่าจะออกไปหาอะไรกินในเมืองละค่ะ เที่ยวเพลินจนลืมดูเวลา ตอนนี้บ่ายสองกว่าๆ แล้ววว

ทันใดนั้น ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ต้องนั่งรอฝนหยุดที่ศาลาหน้าวัด ใกล้ๆกับที่ที่เอาจักรยานจอดไว้



วัดที่ 3 แล้ว ที่เราติดฝน ห้าๆๆๆ เป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกที่ชิลมากๆ และก็โชคดีที่มาคนเดียว

ถ้าชวนใครอีกคนที่ทัศนคติไม่เหมือนกันมาด้วย จะต้องบ่นแน่ๆ



นั่งรอฝนหยุดตกอยู่นานเลย นั่งคุยกับป้าที่ขายชา กาแฟในวัด

สอบถามทางจะไปวัดม่อนจำศีล เปิดดูในอินเตอร์เน็ต มันสวย และ ดูขลังมาก แต่ดูร้างๆ ขึ้นชื่อว่าม่อน มันคงอยู่สูงน่ะ

ป้าเค้าบอกว่า ไปคนเดียวอย่าไปเลย เปลี่ยว และก็อันตรายด้วย ถ้ามา 2 คนป้าจะไม่ห้ามเลย

เราก็เปลี่ยนแผน กลับเข้าตัวเมือง ไปวัดศรีชุมต่อเลย

สักพักเห็นสมควรแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อ



ปั่นมาเรื่อยๆ จนผ่านวัดหลวงพ่อเกษมแล้ว ผ่านวัดพระแก้วดอนเต้าแล้ว

มาถึงจุดนี้ เห้ยยยยย หลงทางซะแล้ว

ต้องข้ามสะพานรัษฎากลับสิ

ก็เปิดกูเกิ้ลแมพอีกรอบ ปั่นตามจีพีเอสเลยค่ะ ออกมาสัก โลนึงได้มั้งนั่น



In GPS, We trust !!

ฮิฮิฮิ



พักขาแป๊บ ปั่นมา เกือบๆ 5 โลแล้วมั้งน่ะ



คือเราไม่ได้เป็นนักปั่นน่องเหล็ก ขนาดนั้นอะค่ะ ก็มีความรู้สึกเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา

แต่เชื่อมั่นในความอึด และ แข็งแรงของตัวเอง ที่ซ้อมวิ่งอยู่บ่อยครั้ง

ทั้งความกล้า และ ความบ้า ก็ทำให้เราไปเจออะไรใหม่ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้มากกว่าที่จะอยู่บ้านเฉยๆ นะ

(เดือนหน้าจะไปวิ่งงานสิงห์ ที่ไร่บุญรอดวันที่ 20 กย นี้ ยังไม่มีเพื่อนเลยค่ะ ใครไปคนเดียว ทักมาได้นะ)



เจอแล้ว สะพานขาว



ส่วนใหญ่ เราจะเก็บกล้องไว้ในเป้ค่ะ โทรศัพท์ ร่ม ทุกอย่าง เพื่อความคล่องตัว

จะหยิบออกมาใช้ ก็ดูว่าปลอดภัย บ้างนะ ถ้าไม่ลืม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ตอนนี้เริ่มเข้ามาในเมืองละ ( เราคิดว่าตรงนี้เริ่มเป็นในเมืองนะ เพราะดูจากร้านรวงต่างๆ ถ้าเกิดคนลำปางมาอ่าน ถ้าไม่ใช่ขอแนะนำด้วยค่ะ)



ปั่นผ่านศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เลยแวะจอดไหว้สักหน่อยค่ะ

ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย



ทุกวัดที่ไป จะอธิษฐานขอพรให้เดินทางรอดกลับลำพูนอย่างปลอดภัยค่ะ



จุดๆ นี้ หิวจัง เพราะข้าวกลางวันยังไม่ได้ทานเลย



ไปติดฝนแต่ละวัด จ๊อกๆ ละเนี่ย



เปิดดูโบรชัวร์ที่หยิบมาจากเกสเฮาส์ที่เช่าจักรยาน มีแหล่งกินเที่ยวน่าสนใจเยอะค่ะ เลือกที่นี่เลย ก๋วยเตี๋ยวนิยมโอชา หรือ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปู่โย่ง

เราก็ปั่นไปเรื่อยๆ



ในเมืองลำปาง ถ้าเอารถมา บางทีอาจจะงงหน่อยนะคะ เพราะทางวันเวย์เยอะมาก แต่เราปั่นจักรยาน ก็ตัดตรงเลย แหะๆ

ดูรถให้ดีก่อนนะคะ



ปั่นไปเรื่อยๆ จนมาเจอร้านนมร้านนึง เห้ย อยากกินอะ

และแล้ว ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปู่โย่งนิยมโอชา ก็อันตระธานหายไปจากความคิด



แวะนั่งพักดื่มกาแฟกับแอร์เย็น ๆ ชิลๆ สักพักดีกว่า

สั่งกาแฟสดนมสด กับขนมปังปิ้งมาทานแก้หิวค่ะ

กินกาแฟนมไปครึ่งแก้ว อิ่มเลยค่ะ ก๋วยต๋งก๋วยเตี๋ยวเดี๋ยวว่ากันใหม่นะ



นั่งถึงสัก สี่โมงกว่า ได้เวลาไปวัดศรีชุมแล้ว



จากร้านบ้านนม ตรงอย่างเดียวเลยค่ะ ง่าย ๆ 500 เมตร ถึง

หยิบกล้องออกมาอีกแล้วค่ะ ฮ่าๆๆๆ เตรียมๆ

เราเป็นคนง่ายๆนะ ไม่ค่อยรักษาของเท่าไหร่ คือ กล้องDSLR ไม่มีฝาปิด ทำหายที่อินเดียค่ะ ก็ช่างมันเหอะ ไม่ใส่

พ่อซื้อมาใส่ตอนอยู่มาเลเซีย ใช้ไม่ถึง 10 นาที หายค่ะ จบ ไม่ต้องใส่แล้ว ห้าๆๆๆๆ



ขณะปั่นก็กดชัตเตอร์ไป

ระวังด้วยนะคะ ถ้าพื้นไม่เรียบ มีหวัง หน้าวัดพื้นกันเลยทีเดียว



ทุกทีถ้าเราจับอะไรมักจะแตก หัก เช่ามอไซต์ก็เอาไปล้มค่ะ

ครั้งนี้ ปั่นจักรยาน ไม่ล้ม ไม่ชน ไม่อะไรเลย มันอัศจรรย์มาก



จอดจักรยาน ล็อคไว้กับป้ายค่ะ ปลอดภัย หายห่วง

ไปเดินเล่นถ่ายรูปต่อ



ไปชมโบสถ์กันก่อนค่ะ

สวยมากๆ ขอบอก



วัดนี้คหบดี ชาวพม่าสร้างขึ้นค่ะ มีอายุร่วม 100 ปีเลยทีเดียว

สถาปัตยกรรมที่นี่ ก็จะมีกลิ่นอายชาว บร๊ะหม่านั่นเอง



เข้าไปไหว้พระประธานกันค่ะ



เราเดินไม่ดูค่ะ หลังคาโบสถ์รั่ว เลยเหยียบน้ำเข้าไปจังๆ

เสียดายเอาถุงเท้ามาคู่เดียว ถอดเลยค่ะ ต้องรักษารองเท้าผ้าใบเราไว้ก่อน แหะๆๆๆๆ

ปราสาทวิหารค่ะ

เห็นพระหล่อรูปทรงแบบนี้นี่ เป็นแบบศิลปะพม่าแน่นอนค่ะ

และก็เกือบๆ 6 โมงแล้ว

แพลนของเราคือ จะเอาจักรยานไปคืน แล้วมาเดินถนนคนเดินที่กาดกองต้า แล้วขึ้นรถกลับบ้านค่ะ

ปั่นกลับทางเดิน ผ่านร้านนม และตรงอย่างเดียวเลยค่ะ จะมาเจอ ซอยที่ทะลุไปถนนคนเดิน ที่มีพ่อค้าแม่ขายเริ่มวางแผงขายของกันแล้ว

แต่ยังไม่เดินค่ะ จะเอารถจักรยานไปคืนก่อน เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอร้านข้าวต้มถ้วยละบาทค่ะ

ถ้ามากับพ่อไม่พลาดแน่ อิอิ

เอาจักรยานคืนพร้อมกุญแจล็อค เปลี่ยนกางเกง อิอิ พร้อมเดินแล้วค่ะ

เอ้า ร้านจับเลี้ยงเมื่อเช้า ยกซุ้มออกมาแล้ว



เมื่อเช้าเดินผ่าน หอศิลป์ยังไม่เปิดค่ะ

ตอนนี้เปิดแล้ว เดี๋ยวเข้าไปชมเลย

ภาพส่วนใหญ่เป็นฝีมือนักเรียนบ้าง คนทั่วไปบ้างค่ะ

ภาพสวยๆ แนวๆ สะท้อนชีวิตบ้าง ภาพฮีโร่บ้าง



ตัดภาพมาที่ตลาดถนนคนเดินกองต้า

หนมถ้วยปะคะ ไม่แน่ใจ

เมือกเซรามิกค่ะ ไม่ถูกคงไม่ใช่

แต่ไม่ได้อุดหนุนนะคะ เป้เต็ม ห้า ๆๆๆๆ ไม่ค่อยชอบซื้อของฝากเท่าไหร่

ส่วนใหญ่ของที่ระลึกที่ชอบซื้อจะเป็นภาพสี เป็นผ้า เป็นกระดาษ ชอบหมดค่ะ สวยๆ เอาไว้ตกแต่งบ้าน รีสอร์ท



อาคารบ้านเรือนที่นี่ ตรงกับชื่อถนนเลยค่ะ เก่าแก่ โบราณมาก ดีที่ชาวบ้านยังอนุรักษ์ไว้

เฉาก๊วยหน้าสวยลำปาง

เราชะเง้อแล้วชะเง้ออีก ดูหน้าคนขายค่ะ เค้าไม่หันหน้ามาสักที คนรุมซื้อเยอะมาก สรุปเลย ไม่ได้ถามเค้าเลยว่า เฉาก๊วยหน้าสวย เป็นไง

คนขายสวย หรือ คนซื้อกินสวย อุอิ



ร้านนี้เปิดแต่เช้าเลยค่ะ ตอนที่เราปั่นจักรยานผ่านมา เส้นนี้เพื่อจะไปสะพานขาว ก็เจอเค้าตั้งร้านแล้วน่ะ

อยากกินจังๆๆ ชอบหนมปัง ๆ

ตอนที่เดินเที่ยวไม่หิวนะคะ ตอนโพสเนี่ยแหล่ะ อยากกินเลย ฮ่าๆๆ

ใครว่าลำปางหนาวมาก ขอเถียงค่ะ เดินมาถึงจุดนี้ ร้อนมั่กๆ อิอิ



เย้ๆ เจอร้านขายถุงเท้าด้วย

ซื้อแล้วใส่เลย คู่ละ 10 บาท ถูกมากค่ะ



ใกล้จะได้เวลาไปขนส่งลำปาง แล้วค่ะ



ต้องเผื่อเวลาเดินไปขนส่งค่ะ เกือบ 3 โล



หลังจากนี้ก็เก็บกล้องแล้วค่ะ เก็บทุกอย่างใส่เป้น้อย

เดิน+วิ่งอย่างเดียว มันเริ่มมืดแล้วค่ะ



ซื้อตั่วกลับลำพูน โดยได้รถของ บขส กรุงเทพ-เชียงใหม่ มาราคา 56 บาท ค่ะ

เพื่อนๆคนไหน ได้ตั๋วที่ขึ้นระหว่างทางแบบนี้ อยากให้รีบขึ้นรถไปหาที่นั่งนะคะ เพราะที่เค้าขายตั๋วให้ เค้าไม่ได้เช็คกันหรอกค่ะว่าจะมีที่นั่งเหลือเท่าไหร่ กี่ที่ แต่ก็ขายๆๆๆๆให้เรา น้องบางคนต้องนั่งที่บันได้รถทัวร์ค่ะ



เราเป็นคนไม่รีบ ไม่ชอบแย่ง เลยต่อแถวขึ้นเกือบๆคนสุดท้าย โชดดีมีที่ว่างที่เดียว สุดท้ายพอดี

แล้วก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยค่ะ



รถลงดอยติแล้วก็ให้พ่อมารับกลับบ้าน อิอิ



จบแล้ว สำหรับการเดินทางทริปสั้นวันหยุด ที่ใครๆก็ไปได้

ถ้าไม่ปั่นจักรยาน สามารถ เหมารถเที่ยวก็ได้ นั่งรถม้าชมเมืองก็ได้ ค่ะ มีรถส่วนตัวยิ่งดีไปใหญ่ แต่ก็จะได้อีกคนละฟีลน้าาา



ขอบคุณที่ติดตามจนจบนะคะ



แอดมาเป็นเพื่อนกัน คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเที่ยวได้ที่นี่เลยค่ะ

FB: http://www.facebook.com/achiraya.mahakiattikhun



ขอบคุณอีกครั้งค่ะ



ขอเข้ามาแก้ไขข้อความค่ะ

เนื่องจากหลังจากที่เราโพสกระทู้นี้ไป ก็

มีคนยินดีมาเป็นเพื่อนกับเราเยอะมาก เลยคิดว่าสร้างแฟนเพจแล้วคอยติดตามข้อมูลการท่องเที่ยวด้วยกัน พร้อมๆกันดีกว่า

ด้านล่างนี่เลยค่ะ

https://www.facebook.com/gotravelgotri
เที่ยวหัวหกก้นขวิดจ้า ขอบคุณค่ะ

แถม

เรามีแผนที่ แบบนี้ 2 ใบ อีกใบ ลากเส้น จนเละแล้วค่ะ

ก้อปไปอ่านได้นะคะ มีไรหลังไมค์ได้ค่ะ ถ้ารู้คำตอบจะช่วยทันทีเลย

เที่ยวหัวหกก้นขวิด

 วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 13.13 น.

ความคิดเห็น