ล่าสุด อาทิตย์ที่ผ่านมาพึ่งไปเข้าป่ามาค่ะ

ที่บอกว่าล่าสุด ก็เพราะก่อนหน้านั้นก็เข้ามารีวิวในพันทิพรัวๆในห้องบลู 4-5 เรื่องติดภายในระยะเวลาเดือนเดียว

เพราะ 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เคยอยู่นิ่งเลย เที่ยวติดกันจนแทบจะทำงานอาทิตย์ละแค่ 4-5 วันก็ว่าได้ ไม่ว่าจะไปล่องแก่งน้ำเข็กที่พิดโลก เที่ยวอช.ภูหินร่องกล้า ทะลุไปภูทับเบิก นอนเขาค้อแวะเที่ยวเมืองเก่าสุโขทัย ทั้งหมดแบบ 3 วัน 2 คืน

เตร็ดเตร่เดี่ยวๆที่เขลางค์นครแบบนั่งรถไฟฟรี one day trip ก็ไป

อีกทริปก็ ปาย-แม่ฮ่องสอน3 วัน 2 คืน เชียงราย 3วัน 2 คืน

และล่าสุด อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ก็เพิ่งไปกางเต้นท์นอนบนภูสอยดาวมาสดๆร้อนๆ เรียกได้ว่า ไปทริปที่ว่ามาทั้งหมดได้ภายในระยะเวลา 33 วัน

อาจมีคนเคยอ่านรีวิวของชิผ่านๆตาบ้าง แว้บๆ ก็อาจจะเบื่อหน้าเราบ้างแล้ว แต่ไม่เป็นไร เอาอีกสักเรื่องละกันนะคะ



ทริปสุดท้าย ของเดือนกันยานี้ นับเป็นทริปโหดที่สุดในชีวิตของผู้หญิงคนนี้เลยก็ว่าได้ จะโหดยังไงบ้าง เดี่ยวเข้าเรื่องให้เลยละกัน อิอิ

ฟังดู ก็แค่ เดินขึ้นภูสอยดาว ใครๆเขาก็ไปกันปกติใช่ปะ

ความลำบากมันก็แค่ช่วงที่เดินขึ้น-ลง ที่มีระยะทางเพียง 6.5 กม แต่กลับใช้เวลาถึง 4-6 ชั่วโมง

ขึ้นอยู่กับความปราดเปรียว กำยำ ต้านลม ของแต่ละคน



แต่ความบ้าระห่ำของพวกเราอยู่ที่ว่า

จะวัดใจกันด้วยการแบกสัมภาระร่วม 7-9 กิโล แบบไม่ง้อลูกหาบ

กับความท้าทายที่ต้องเดินไปให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตก พวกเราจะแบกเป้รอดกันไปถึงยอดป่าว

และลุ้นมันกับฟ้าฝน ที่ว่าเราจะเอามันอยู่หมัดไหม เอาไงดีล่ะ


ชาย 1 หญิง 2 (รวม จขกท)



แรกเริ่มเดิมที ผู้ชายร่วมทริปซึ่งเป็นเจ้าถิ่นที่ไม่ได้เจอกัน 3-4 ปีและไม่ได้สนิทกันมากมาย ไลน์มาชวนว่า เดี่ยวจะมีทริปไปภูสอยดาวกับเพื่อน สนใจจะไปไหม

ไอ่เราก็เคยแพลนและสนใจจะไปที่นี่อยู่นานแล้ว ตอบแบบไม่คิดเลยว่า "ไป" (ไม่สนเลยนะ สนิทกันไหมอะ ฮ่าๆๆๆๆๆ )

เค้าบอกว่า จะไปสมทบกับเพื่อนเค้าอีก 3-4 คน อาจจะไม่มีผู้หญิงนะ

ไอ่เราเลยจัดการโพสชวนเพื่อนในเฟส ปรากฏว่า เหยื่อติดเบ็ดอย่างรวดเร็ว เพื่อนสนิทชิคนนึงทักแชทมาบอกว่า "ไปด้วยยย"

.....ฮี่ๆๆๆๆ

เพื่อนคนนี้ทำงาน 6วันต่อสัปดาห์ แทบไม่ได้เที่ยวเลยและเป็นแบบฉบับมนุษย์ของเงินเดือนที่ทำงานเกินเงินเดือนและไม่ได้โอทีหรือโบนัสเลย มันน่าไหม (เจ้านายนะ) แทบไม่ลาถ้าไม่มีใครตาย

คราวนี้เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ขอเจ้านายลาหยุดแล้วไปเที่ยวกับเราได้

เพื่อนคงจะจินตนาการไม่ออกหละสิว่าความโหดร้ายของทริปนี้คืออะไร อิอิ



เดี่ยวมาดูกันว่า ความมั่นใจของพวกเราจะทำสำเร็จกันไหม


แอบรบกวนฝากแฟนเพจท่องเที่ยวแนวยาจก ลำบากลำบนก็คนจะไปหน่อยนะค่ะ

มาเป็นเพื่อนกัน หากมีคำถามก็inboxได้เลยค่ะ

เที่ยวหัวหกก้นขวิด

https://www.facebook.com/gotravelgotri

สำหรับใครที่ชื่อชอบการท่องเที่ยวเหมือนกัน ใช้เวลาว่างวันหยุดแม้จะแค่วันสองวันเที่ยวให้คุ้มค่ามากที่สุด มาทางนี้เลย

รีวิว หรือ อัพเดทเรื่องท่องเที่ยว ต่างๆ ทั้งแบบโซโล่ เน้นพักแบบโลโซ ไม่หรูหรา งบน้อยๆแต่เที่ยวแบบจัดเต็ม ไม่ง้อทัวร์

มีสาระและไร้สาระ สนุกๆ มาเป็นเพื่อนกันค่ะ เราจะได้ใกล้ชิดกันไปอีก อิอิ

พวกเราออกเดินทางจากลำพูนเช้าวันเสาร์ ..... ตี 4

ยังไม่มีใครมาเลยค่ะ



ใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมงครึ่ง 7:30 น . ก็ถึง ขนส่งจังหวัด อุตรดิตถ์



เพื่อนเจ้าถิ่นก็มารับแล้วก็แวะไปซื้อกับข้าวกัน

ได้มาเป็นพวกหมูปิ้ง ตับปิ้ง ข้าวเหนียว ช็อกโกแลต และขนมขบเคี้ยวอื่นๆ

ก่อนหน้านั้นก็ได้ซื้อ ขนมปัง ขนมกรุบกรอบต่างๆก่อนมาแล้วด้วย



พวกเราแพลนกันว่า ข้าวเหนียวหมูปิ้ง เอาไว้กินกันกลางทางตอนเดินป่า

ตอนเย็น กินมาม่าคัพ เพื่อนผู้ชายเตรียมมา ส่วนเช้าอีกวันจะทานขนมปังกัน



ซื้อของเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทาง ไปทางอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึง

แวะจอดรถให้เพื่อนอ้วกอยู่ 3-4 รอบด้วยกัน



มาถึงก็เจอกับรถที่จอดทิ้งไว้ด้านล่างกันเยอะมาก



ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกของ ชิที่จะไปกางเต้นท์นอนบนเขากัน หลังจากที่ล่าสุดก็ไปกางเต้นท์มา

ไม่นานหรอก

แค่เข้าค่ายเนตรนารีเอง



ทุกท่านต้องจอดรถตรงนี้แล้วเดินขึ้นไปที่จุดบริการท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวค่ะ

พวกเราก็เดินไปชำระเงินค่ามัดจำขยะ ค่าเข้า อช.

ด้านข้าง ก็จะมีกลุ่มลูกหาบนั่งกันอยู่ เหมือนรอให้นักท่องเที่ยวที่แบกสัมภาระมา มาจ้างพวกเค้าหาบขึ้นไป



เหล่าลูกหาบ พ่อหาบ แม่หาบทั้งหลายเห็นพวกเราแบกเป้มากัน 3 คน 3 ใบ ก็ตะโกนถามว่า

ไม่จ้างลูกหาบเหรอพี่

พวกเราก็บอกว่า กลัวไม่ได้ฟีลอะค่ะ จะแบกขึ้นไปเอง

เค้าตอบกลับมาว่า

หากเปลี่ยนใจให้หาบระหว่างทาง คิดกระเป๋าใบละ 500 นะ

สุดท้าย ความมั่นใจ ชนะเลิศ

พวกเราคิดว่า พวกเราทำได้ และมันต้องสนุกแน่ๆ (คงมีแต่ชิคิดกับเพื่อนผู้ชาย 2 คน เพื่อนผู้หญิงอีกคนคงคิดในใจแบบ ถามชั้นบ้างอะไรบ้าง)



ไม่พูดพล่ามทำเพลง จัดการแบกสัมภาระของใครของมันขึ้นหลัง แล้วก็เริ่มเทรคเลย

เวลา ณ ตอนนั้น เที่ยงวันพอดิบพอดี

ถือเป็นฤกษ์งามยามดีเหมาะแก่การทรมานตัวเอง

พวกเราต้องเดินตามทาง ที่ตอนแรกยังดูฟรุ้งฟริ้ง ดูเป็นรีสอร์ทตรงนี้ไป

มีลูกหาบคนนึงเดินสวนมา

เพื่อนบอก เห้ยๆๆ ดูลูกหาบดิ แบกกันงี้เลยเหรอ

ข้างในมีไรบ้างวะเนี่ย



อ่อ ในเป้ของพวกเรานะคะ

ที่มันพองๆ เป็นเพราะพวกเรายัดถุงนอนเข้าไปค่ะ แล้วก็จะมีของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงพวกครีม เมคอัพเบาๆต่างๆ

ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเอาไปเผื่อ แต่เราก็รู้มาว่า ด้านบนไม่มีน้ำ มีแต่ลำธาร ไม่คิดจะอาบน้ำเลยค่ะ จะใช้ทิชชู่เปียกอาบแห้งเอา


ของกิน โทรศัพท์ power bank ผ้าพันคอ ชุดลองจอนใส่นอน 1 ชุด หมวกไหมพรม และถุงพลาสติกเอาไว้ใส่เสื้อผ้าใช้แล้ว



ส่วนเพื่อนผู้ชายแบกเต้นท์ไปค่ะ



ขาขึ้น พวกเราไม่ได้ชั่งน้ำหนักกระเป๋าก่อนขึ้นไป จึงไม่รู้ว่า ไอ้ที่ยัดใส่หลังแบกเดินๆขึ้นเขากันมาเนี่ย มันหนักกี่กิโล

แต่ตอนวันหลัง เดินลงมา แล้วลองเอากระเป๋าแต่ละใบไปชั่ง ก็ แทบช็อค

ของชิ กับเพื่อน คนละ 7 โล ของเพื่อน ผู้ชาย 9 โล ค่ะ บ้ากันไปแล้ว



นอกเรื่องละ ปะๆๆ ต่อ

ระหว่างทางเดิน ก็จะมีไม้ปักบอกระยะทางอยู่ เป็นระยะ ๆ



ทางเริ่มแคบลง และชันไปตามระเบียบ

ก็กำลังเดินขึ้นเขานี่นา

สักพักก็มีลุงคนนึง บอดี้นี่ฟิตเปรี๊ยะ เหมาะจะไปแสดงพวกสุริโยทัย หรือ พระนเรศวรมหาราชมากๆ หาบของเดินขึ้นมา

เพื่อนอีก 2 คนที่เดินตามข้างหลังก็ตะโกนว่า เห้ย หลบๆ ลูกหาบมา

เราก็ปล่อยเค้าไปก่อน คิดในใจ ให้ลุงไปก่อนละกันเดี่ยวซักพักหล่ะหนูจะแซง ฮ่าๆๆๆๆ

ช่วงกิโลเมตรแรก ก็จะเป็นป่าไผ่ ป่าดงดิบ ตะไคร่เยอะๆ ดิบๆเขียวๆ มีน้ำตกขนาบข้าง

แต่ไม่ได้เป็นทางเรียบนะคะ ก็กำลังไต่เนินขึ้นไปอยู่

หันมาอีกที เพื่อนผู้หญิงร้างท้ายแล้ว เพื่อนผู้ชายกลายมาอยู่ตำแหน่งที่สอง

พวกเราตามหลังแกมาทันแล้ว

ทางเริ่มชันขึ้นไปอีก เวลาเดินก็ต้องดูเท้าด้วย ว่าเหยียบลงถูกที่ป่าว เหยียบผิดมีสิทธิหน้าคะมำ ไถลชนเพื่อนที่เดินตามด้านหลังได้เลย

เดินตามๆๆ ลุงมาได้สักพัก แกก็มาหยุดตรงเนินส่งญาติ

พวกเรา ก็เบรครอเพื่อนคนสุดท้าย แล้วก็ขอเดินนำแกไปก่อน



ถ้าแกว่า ไอ้ที่อยู่ข้างหลังน่ะกี่โล

แกบอกว่า 30 โล

จ๊ากกก

บางช่วงก็จะเป็นบันไดเหล็กสีเขียวๆ ให้เราสาวราวขึ้นไป

ส่วนใหญ่ทั้งหมดจะชันมากๆ เล่นเอาหอบกันไปสุดทาง



พวกเรามานั่งพักกันที่จุดนี้จุดแรก ที่พักยาวสัก 2-3 นาที

ก็เจอพี่ๆ ลูกหาบ และนักท่องเที่ยวท่านอื่นมานั่งพักด้วยเหมือนกัน



จากจุดนี้ หากเดินต่อไปอีก จะเป็นเนินปราบเซียน

ซึ่งจะมีระดับความชันมากขึ้นไปอีก



จะทำป้ายมาสปอยซ์กันทำม้ายยยยย



พอพักดื่มน้ำดื่มท่า รู้สึกว่าร่างกายโอเคแล้ว ก็ไปต่อ



การดื่มน้ำ ให้ดื่มพอจิบๆนะคะ ด้านบนไม่มีน้ำกิน จะมีก็แต่ลำธารและน้ำฝน

อ่อ พวกเราแบกน้ำขวดลิตรกันขึ้นไปกันคนละ 2 ขวด ให้แค่พอดื่มตอนอยู่บนภูค่ะ

กว่าจะมาถึงเนินปราบเซียน ก็เอาเรื่องอยู่

ตอนนี้เดินมาได้ 2 ชั่วโมงแล้วค่ะ ผ่านมาแค่ 2 โลเอง



หนักข้างหลัง ยังต้องมามาหนักข้างหน้าด้วยการแขวนกล้องเจ้ากรรมนายเวร มาด้วยค่ะ

ก็ได้ทำให้ได้รูปสวยๆจากทริปนี้มา



พวกเราตัดสินใจกันว่า

จะแวะทานข้าวกันตอนครึ่งทาง

ซึ่งก็คือ ระยะ 3 กม นั่นเอง



แต่ก่อนหน้านั้น ก็หิวแบ้ววน้าา ดูท่าคาโบที่อัดมาเมื่อวานจะใช้ไปเกือบหมดแล้วใน 2 กิโลแรก



เดินมาเรื่อยๆ จากป่าดิบ ทึบๆ ตอนนี้ เริ่มเห็นท้องฟ้า โปร่งๆ กว้างๆ สูดอากาศหายใจกันได้สะดวกแบบนี้แล้วหล่ะค่ะ

ราวกับว่า พวกเราไต่ขึ้นมาอยู่บนที่สูงกันแล้ว



เดินมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็เหนื่อย ไม่มีคนสวนเราลงมาเลย แม้แต่คนขึ้น ก็มีแต่กลุ่มเรา พวกเราอาจจะขึ้นไปสายที่สุดเลยก็ว่าได้

ขณะนี้ เกือบๆบ่าย 3 แล้ว

คาดว่าหลักกิโลเมตรที่ 3 คงอยู่ใกล้ๆนี้

พวกเราตัดสินใจเดินเลยไปอีกนิดเพื่อหาที่นั่งทานข้าวสบายๆ ไม่ร้อน

ก็มาเจอกับก้อนหินก้อนใหญ่ๆ และเหล่าลูกหาบซึ่งกำลังนั่งพักเหนื่อยกันอยู่นั่นเอง



ทิ้งกระเป๋าลงใต้ต้นไม้แล้วบรรเลง จกข้าวเหนียวกันอย่างเมามัน ไม่มีใครยอมใคร จขกท ก็สู้ค่ะ เลยไม่มีภาพปรากรอบบ

วินาทีนี้ มันคือหมูปิ้งตับปิ้งที่อร่อยมากน้ำตาไหลเลยแหล่ะ ทานเสร็จขอซัดโฮกน้ำไปสักครึ่งขวดเล็กหน่อย แบบทั้งแก้กระหายและจุกข้าวเหนียว

อันที่จริง เป้ของชิ ดอยเตอร์สีแดงใบนี้ มันใหญ่ไปสำหรับแบกเดินป่านะคะ อยู่ที่ความจุ 40+10 ลิตร ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดแล้วมั้งสำหรับผู้หญิง

ทางที่ดี ถ้าเดินป่า ควรมองหาเป้ที่มีขนาดสัก 30-35 ลิตร ประมาณนี้จะพอดิบพอดีค่ะ

บังเอิญว่า เป้เทพๆ มีอยู่ใบเดียว ใบอื่นก็โอเคอยู่ แต่จะไม่มีสายรัดเอว ซึ่งมันสำคัญมากๆ

เดี่ยวจะเล่าให้ฟังค่ะ ว่าสำคัญยังไง


หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน

แต่ ไม่ได้ๆๆ

ต้องเดินต่อไป และต้องรีบเดินด้วย

หากพวกเราเดินกัน ชั่วโมงละ 1 กิโล คำนวณดูแล้ว คงจะถึงในเวลา 6 โมงเย็น

ซึ่ง เกือบๆจะมืดไม่มีแสงแล้วแน่ๆ แล้วดูเส้นทางที่พวกเราเดิน

หากเหยียบพลาด ก็ทำให้สไลด์ล้มลงได้ พวกเราจึง พยายามแวะข้างทางให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้



เดินมาเรื่อยๆๆ ไต่ความสูงมาเรื่อย

ก็มาเจอป้าย ลานสน 2.5 กม แล้ว

แสดงว่า พวกเราเดินมา 4 กิโลแล้วสิเนี่ย โหวววว สุดยอดดด ภูมิใจจัง (คิดในใจ)

กำลังเจ้าสู่เนินป่าก่อ

ทางเดินง่าย แต่ชัน !!



คาดว่าต้นไม้เหล่านี้เป็นต้นก่อ

และนี่ก็ลูกของมัน (เดาส่งเดช)

(ใครทราบข้อเท็จจริงคอมเม้นได้นะคะ)

ไต่ระดับมาที่ความสูง 850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลแย้ววว

เดินมากันได้ขนาดนี้

ถามว่าแต่ละคนมีการเตรียมพร้อมร่างกายทริปนี้อย่างไร

เพื่อนผู้ชาย : ปั่นจักรยาน วันละ 30-50 โล

เพื่อนผู้หญิง: เพิ่งกลับมาเข้าฟิตเนสได้ 2 อาทิตย์ก่อนมา

จขกท : วิ่ง รวมๆแล้วอาทิตย์ละ 25 โล ไม่ทุกวันนะคะ ต่ำสุดวันละ 3-4 โล สูงสุด 8-9 โล

ขาฟิต น่อง เปรี้ยะ จัดปายยยยยยยยย



ใกล้เข้ากิโลที่ 4 นั่งพักก่อนค่ะ ให้ขามันไม่ล้ามาก

จุดๆนี้ ยังไม่มีใคร แอบโยนของทิ้งข้างทางเลยสักคนนะคะ

มีแต่การจิบน้ำ ไปเรื่อยๆ อิอิ

เริ่มเห็นวิวมุมสูงเข้าแล้ว



ตอนนี้ ก็สูดหายใจเข้าลึกๆค่ะ

เพราะเหนื่อยมากกกกกกกกก



เดินมาจะ 4 ชั่วโมงแล้ว

เริ่มรู้สึกว่า ขาล้า และ เป้มันหนักขึ้นๆ



ถ้าใครสังเกตดีดี จะเห็นว่า ชิจะรัดเป้ที่เอว และหน้าอกด้วย

ข้อดีของเป้ที่มีสายรัดเอวคือ

เมื่อเรารัดเป้กับเอวเราแน่นๆ แล้วปลดสายสะพาย 2 ข้าง ซ้ายขวานะ ที่เราสะพายอยู่ ให้เป้เราเอนไปข้างหลัง แทนที่มันจะแนบชิดกับแผ่นหลังเรา กลับเป็น ปล่อยให้มันเอนออกจากหลัง แต่ข้างล่างเป้ชิดเอวเราแทน

มันจะทำให้การระบาย ถ่ายน้ำหนักสัมภาระที่หลังเรามาอยู่ที่เอวหรือสะโพกเราแทน ทำให้ไม่ปวดบ่า และใหล่สองข้าง

ข้อดีมันอยู่ตรงนี้ค่ะ เดินสบายมากๆ



เรื่องน้ำหนักเป้ ก็หายห่วง แต่เกินกว่านี้ก็ไม่ไหวค่ะ ไม่ดีต่อเอว

สุดท้ายมาลุ้นกันว่า ขาเรา แข็งแรงแค่ไหน

ลองนึกสภาพนะคะ ว่าเดินห้างสรรพสินค้า หรือเดินไปไหนเยอะๆ เรายังปวดน่องตุบๆ เลย

นี่เดินมา 4 ชั่วโมงแล้ว รีเฟรคคงเกิดตอนพวกเราจะนอนแน่ๆ



ที่สำคัญ ไม่ควร ปล่อยน้ำหนักให้ถ่ายที่เอวหรือสะโพกติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆนะคะ ปรับสายสะพายให้มาชิดหลังบ้าง

ไม่งั้นจะปวดเอวและสะโพกแทนค่ะ เพราะรับน้ำหนักอยู่จุดเดียว

หน้าตายังระรื่นได้อยู่

ผ่านไปแล้ว 4 กิโล 4 ชั่วโมง

เป็นการเดินเท้าแบบมีสัมภาระที่หลังที่ต้องใช้ความอึดบวกความอดทน เอามากๆ

เพราะพวกเราล้มเลิกกลางทางก็ไม่ได้ ใครจะมาช่วยก็ไม่ได้

วัดใจกันสุด ๆ ไปเลย



พักกันอีกแล้ว

มานั่งดูรูปตอนนี้ เป้ใหญ่จุงเบยยย

มาถึงเนินมรณะแล้วค่ะ อยู่ที่ความสูง 1,410 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล

เนินวัดใจสุดท้าย

ที่อีกแค่ โลกว่าๆ ก็จะถึงภูสอยดาว

ตอนนี้ 5 โมงกว่าแล้ว ถ้าไม่รีบ ต้องมืดเอากลางทางแน่ๆ



คนตั้งชื่อด่านนี้ก็ตั้งกันได้โหดมาก "เนินมรณะ"

ก็จะมรณะกันจริงๆ ทั้งชัน ทั้งแคบ เพราะเป็นสันเขา หากใครเคยไปเขาช้างเผือกก็จะบอกว่า คล้ายๆกันเลย

แต่วิวนี่สิ สวยมากกกกกก

เดินไปเหลืออีกแค่กิโลเมตรสุดท้าย

ฝนเจ้ากรรมก็ดันมาตก ลงเม็ดแบบห่าใหญ่ โชคดีที่เตรียมเสื้อกันฝนมากันทุกคน ก็รีบ คลุมเป้ แล้วก็ใส่เสื้อกันฝนเดินกัน

ความทุลักทุเล ก็บังเกิด ไอ้ที่ยิ่งสูงยิ่งหนาวก็เริ่มจะจริง บวกกับฝนตก เสื้อกันฝนหดเพราะพวกเราใส่คลุมเป้ด้วย ขากางเกงเลยเปียกกัน

ตอนนี้รองเท้าทุกคน เริ่มเน่าแล้ว

สภาพเป็นแบบนี้เลยค่ะ เสื้อกันฝนหดขึ้นมา ทั้งๆที่ก็ใช้พลาสติกคลุมเป้ไว้แล้ว แต่ก็กลัวถุงนอนข้างในเปียก เปียกหล่ะยุ่งเลย

ก็เลยคลุมมันด้วยเสื้อกันฝนอีกชั้นนึง ขาเปียกไม่เป็นไร



สักพัก เริ่มเห็นต้นสนเยอะๆ เดาว่าเป็นลานสน เมฆฝนก็เริ่มคล้อยตัว พัดผ่านไป

และในที่สุดพวกเราก็พิชิตภูสอยดาวได้แล้วด้วยเวลา 5 ชั่วโมง 40 นาที ยังไม่ถึง 6 โมงดีและยังไม่มืดด้วย เย้ๆ



(รูปนี้ถ่ายตอนเช้าๆ)

ขึ้นมาถึงลานสนก็มาตามหาเพื่อนของเพื่อนที่เราไม่รู้จักหรอก อีก 4 คนค่ะ

ต้องไปแง้มๆ ดู ว่าเค้าอยู่เต้นท์ไหนกัน


ส่วนเราเหนื่อยมาก เลยไปนั่งพักกับเพื่อนที่จุดบริการนักท่องเที่ยว จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ 24 ชั่วโมง



พอหาเจอแล้วก็ไปช่วยกันกางเต้นท์ค่ะ เอาแบบ เปิดประตูเต้นท์หันหน้าชนกันเลย เต้นท์เราก็นอนกัน 3 คน



ใกล้จะมืดแล้ว เพื่อนก็บอกว่า ไปอาบน้ำเถอะ

เราส่ายหัว ไม่ไป หนาววว

มันบอกว่า ถ้าไม่อาบจะไม่ให้นอนด้วย กรรมเลย



วิธีอาบน้ำบนภูสอยดาว

ให้ไปเช่าถังน้ำและขัน ชุดละ 20 บาท จากเจ้าหน้าที่ แล้วไปตักน้ำในลำห้วยข้างๆห้องน้ำมาอาบ

น้ำลำห้วย บับว่า น้ำในช่องฟรีซซซซซซ เลยอะ

นี่เป็นห้องน้ำค่ะ ดูไกลๆ น่ารักดี ดูใกล้ๆ ประตูสนิมกินแล้วค่ะ มีอยู่ 5-6 ห้อง จะเป็นห้องส้วม อาบน้ำก็ได้ มาอึก็ได้ =_=

ลำธารก็อยู่ใกล้ๆ ค่ะ

(ภาพส่วนใหญ่ถ่ายกันตอนเช้าค่ะ ตอนเย็นมืดแล้ว ไม่เห็นอะไรเลย)

เช่ามาสองชุด ขันน้ำกับถังน้ำ

คือตอนนี้ล้ามากๆ แม้แต่ตักน้ำในลำธาร หิ้วมาที่ห้องน้ำแทบไม่มีแรงเลยค่ะ

และแล้ว ด้วยเหตุห้องน้ำที่มีจำนวนจำกัด จึงต้องบรรจงอาบห้องเดียวกัน หัวเราะคิกคักๆ สดชื่นสบายอุรา

ซึ่งก่อนหน้าที่ตักขันแรก แทบกรี๊ดดยังกะโดนข้าวสารเสก



อาบน้ำเสร็จ เริ่มหิว



มันเป็นสเตปค่ะ

เต้นท์เพื่อนของเพื่อนที่มากัน 4 คน เค้าเตรียมพร้อมกันมาก

กำลังตั้งไฟจะทำไข่เจียวกันพอดิบพอดี

พวกเรามีแต่มาม่าคัพกับขนมปังที่คาดจะเอาไว้กินพรุ่งนี้เช้า ก็เอาไปร่วมวงกับเค้า ทั้งๆที่เค้ายังไม่ได้อันเชิญ



รอค่ะ รอกิน

ไม่ช่ายยยยยย



ยังมีจิตสำนึกช่วยเค้าทำไข่เจียวอยู่น้าาา

สรุปมื้อนี้ อิ่มแปร้ด้วยข้าวเหนียวที่เหลือตอนกลางวันและอาหารที่พวกน้องๆ ทำ



พวกเค้าเที่ยวป่าแบบมืออาชีพจริงๆค่ะ มีกระทะปิกนิก หม้อต้มน้ำ ถ่านก็ขนมา คือ ทุกอย่างที่พวกเราไม่มี



พวกเรา เพลียมากๆ แต่ละเต้นท์ก็ ฉิ่งฉาบ เม้ามอย สนุกสนาน

ส่วนพวกเรา 3 ทุ่ม เพลีย แล้วก็ม่อยหลับไปเลย ด้วยความหนาววววว

และนัดกันตื่นมาดูดาวตอนตี 2 เพราะดูตอนนี้ก็ไม่เห็นค่ะ แต่ละเต้นท์ยังเปิดไฟกันสว่างอยู่ นอกเสียจากเดินไปไกลๆจากจุดกางเต้นท์



ทริปนี้พลาดอย่างนึง ลืมรองเท้าแตะค่ะ จึงมีแค่ผ้าใบเปียกน้ำเน่าๆอยู่คู่เดียว

ตอนตี 2 ตื่นมา งัวเงีย แบบ ง๊วงง่วง

แต่เพื่อนเรียกออกมาข้างนอก

แหงนมองท้องฟ้า แทบช็อค

คือ ดาวระยิบระยับเต็มฟ้า สมชื่อภูสอยดาวเลย



ประทับใจมากๆค่ะ คือสวยมากๆ ยืนชี้โบ้ชี้เบ้กันอยู่ตรงนั้น นั่นดาวลูกกบลูกไก่ คันไถ กันอยู่นานเลย คือสวยมากๆ

พยายามถ่ายแต่ ก็ไม่ติดเลยค่ะ กล้องเลเวลอนุบาล ทำได้แค่เก็บไว้ในความทรงจำเท่านั้นค่ะ



พยายามมาก แต่ก็ไม่เป็นผล ก็ยืนดูเฉยๆดีกว่า

ตื่นเช้ามา อากาศดีมาก และหนาวเลยแหล่ะ

เพื่อนบอกเมื่อคืนปวดขามาก เนื่องจากร่างกายอาจจะไม่พร้อมมาก

แต่ชิไม่เป็นอะไรกับขาเลยค่ะ อาจจะเพราะซ้อมวิ่งบ่อยๆ กล้ามขาเลยเป็นมัดๆ อีกอย่างใส่ที่รัดน่องไปด้วย แฮ่ๆ รัดไม่ให้กล้ามเนื้อเคลื่อน ตะคริวก็ไม่กล้ำกลาย



น้องๆเพื่อนๆ ก็ไปตักน้ำมา เตรียมแปรงฟันกันข้างๆเต้นท์ได้เลย

อย่าถามเรื่องอาบน้ำตอนเช้านะ ตอนเย็นยังไม่คิดจะอาบ ตอนเช้ายิ่งไม่มีทาง หึหึ

ระหว่างที่รอเพื่อนตื่น เราก็ไปทำธุระส่วนตัว เดินเตร็ดเตร่เยี่ยมบ้านคนอื่นไปเรื่อยๆ

เช้านี้ก่อนลงภูสอยดาว น้องๆเค้ามีแผนจะไปเดินเล่นที่ทุ่งดอกไม้สีม่วงๆ และไปดูหลักกิโล ไอ่เราก็งง หลักกิโลอะไรมาอยู่ข้างบนนี้

เดี่ยวพาไปดูค่ะ

เดินมาได้สักพัก ก็เจอแล้วค่ะ หลักกิโลที่ว่านี้

หลักกิโลนี้แบ่งอาณาเขตของประเทศไทย และ ลาวไว้ ซึ่งอีกด้านหนึ่งของหลักกิโลนี้ จะเขียนว่า ประเทศลาว ซึ่งถ้าเหยียบข้ามไปก็เป็นประเทศลาวแล้วนั่นเอง



ทุ่งดอกหงอนนาค



เราเอาชุดลองจอนไปชุดเดียวค่ะ คือชุดนี้ใส่นอน ลืมไปว่า ต้องมีอีกชุดเอาไว้ใส่ลงเขา แง่วว

ตอนที่เก็บของใส่กระเป๋าก็คิดในใจว่า แค่ลองจอนชุดเดียวก็คงเอาอยู่แล้ว ไม่น่าต่ำกว่า 15 องศา

ที่ไหนได้ เจ้าหน้าที่บอก 10 องศา



คิดถึงเสื้อกันหนาวที่บ้านเลยทีเดียว

แบบว่า แอบเข้าหน้าหนาวก่อนใคร ทั้งหมวก ทั้งผ้าพันคอ เกือบจัดเต็มแล้วยังไม่นับถุงมือกับที่รัดน่องไหมพรม ห้าๆๆ

แต่ตอนถ่ายรูปนี่เริ่มร้อนแล้วค่ะ ร้อนมาก ข้างในมันบุขน ทำให้อุ่นน เอาไว้ใส่เป็นชั้นในเวลาไปภูเขาหิมะไรงี้

กลับมาเก็บเต้นท์ คืนชุดเซตถังน้ำแล้ว ก็ได้เวลาอำลาภูสอยดาวแล้ววว

เต้นท์ของน้องๆเค้าเช่าอุทยานเอาค่ะ นอนได้ 4 คนเลยทีเดียว

อันนี้จ้างลูกหาบแบกขึ้นมา

ตอนนี้ลูกหาบน้อย อายุ 15 กำลังเตรียมจัดแจงสัมภาระที่จะหาบลงไป ซึ่ง แต่ละคนจะหาบของขั้นต่ำ 20 โล++ จนถึง 50 โล

แค่วันละ 1 เที่ยว แต่ไม่ได้หาบทุกวันนะคะ

นี่คือเหล่าตัวละครลับ ที่เป็นเพื่อนของเพื่อน มาเจอบนภูสอยดาวค่ะ เป็นเพื่อนใหม่เพิ่งรู้จักกันเลย อิอิ



ยังแบกเป้ใบเดิม และไม่ได้จ้างลูกหาบกันเหมือนเดิม

ไต่สันเขาลูกนี้กลับลงไปกัน

คล้ายๆเขาช้างเผือกไหมคะ เดินไต่เลาะๆสันเขาลงไป ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเนินมรณะ ด่านสุดท้ายที่พวกเราโดนฝนกระหน่ำใส่เมื่อวานนี้

ไม่รู้ว่าหลงรักการเดินป่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งๆที่ชั่วโมงบินก็ยังไม่สูง

ปกติก็จะเที่ยวแต่แบบวัดวา ในเมือง ตรอกซอกซอย ร้านอาหารต่างๆ ตอนนี้ เริ่มแบ่งใจให้กับธรรมชาติและโอโซนบริสุทธิแบบนี้ไปบ้างแล้ว

แบบว่าขุ่นน้องเดินลงเร็วมั่ก

นั่นๆๆ หมอกมาแล้ว รีบเรียกเพื่อนไปนั่งเลยค่ะ

ขาลงมา พวกเราทำเวลาค่ะ

ลองดูว่าจะเร็วได้สักกี่ชั่วโมง

ซึ่งก็ทำได้ค่ะ 3 ชั่วโมงไม่ขาดไม่เกิน

สนุกมากๆ วิ่งลงกันจนขาสั่นไปหมด

เหล่าลูกหาบ พ่อหาบทั้งหลาย กำลังนั่งพักอยู่

พวกเราก็ไปนั่งก่ะเค้าด้วย

สรุปตอนสุดท้ายรีบเกิน จนทิ้งห่างเพื่อนผู้หญิงเราไปแล้ว

ก็เลย ลงมากับเพื่อนผู้ชายก่อน อีก 20 นาทีให้หลังเพื่อนก็ลงตามมา อิอิ ส่วนน้องๆคนอื่นๆ 4 คนก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำแล้วก็รีบกลับเพราะรถตู้ที่เหมาไว้เค้ารออยู่ค่ะ

พวกเราไปขอชั่งกระเป๋าที่จุดรวมพลลูกหาบ

ทุกคนชมกันใหญ่เลยว่า ทำไปได้ ...

คำชมปะ

เค้าบอกว่า สุดยอดมากๆ มารับตังค์ค่าหาบทางนี้เลย

ฮ่าๆๆ



สรุปก็นั่นแหล่ะ เพิ่งรู้ว่าตัวเองแบกไปราวๆ 7 โล

รวมขึ้นลง 2 วัน แบกมันอยู่ข้างหลังเดิน 9 ชั่วโมง

ต่อจากนี้ไปเรียก พวกเราว่า สมชาย ละกันครับ



ทริปยังไม่จบ เมื่อเพื่อนขับรถไปส่งพวกเราซื้อตั๋วที่ขนส่งอุตรดิตย์แล้วยังพาไปชิมข้าวพันผัก อาหารพื้นเมืองของชาวอุตรดิตถ์

คราวนี้เราได้ไปชิมร้าน ป้อมข้าวพันผัก ซึ่งคราวก่อนไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหน ดันไปทานบนห้าง Friday ห้างเล็กๆในจังหวัดอุดดิด

อันนี้ข้าวพันไม้ น้ำจิ้มคล้ายรสน้ำจิ้มแจ่วเลย

พาเพื่อนแวะมาไหว้พระยาพิชัยดาบหักด้วย

สุดท้ายก็ได้รถรอบ 6 โมงเย็น กว่าจะถึงบ้านก็ 4 ทุ่มครึ่ง

อิดโรยกันเลยทีเดียว



รีวิวจบแล้วค่ะ

((ออกเสียงแบบ เก็บตกจบแล้วค่ะ ))



ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ

ไม่รู้ว่าอ่านกันจบรึเปล่า เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก และวัดใจมากๆ

ความอดทนนำพาไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างดี



เจอกันทริปหน้าค่ะ



กำลังทำเพจค่ะ

อุดหนุนกันเยอะๆนะคะ สักวันคงได้ร่วมทริปกัน

https://www.facebook.com/theupsidedownbackpacker

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

เที่ยวหัวหกก้นขวิด

 วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.40 น.

ความคิดเห็น