" ที่ประภาคารกาญจนาภิเษก แหลมพรหมเทพ วันนี้ดวงอาทิตย์ตกเวลา... " จากประโยคนี้ ที่ได้ยินบ่อย ๆ เวลาฟังวิทยุตอนในเช้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำให้ผมรู้สึกอยากไปดูพระอาทิตย์ตกที่นั่นมาก ๆ จึงทำให้ผมต้องออกเดินทางไปภูเก็ต และทริปนี้ผมตัดสินใจไปคนเดียว เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ แบบไม่ต้องรอใคร หนึ่งในสถานที่ในฝันที่ต้องไปชมพระอาทิตย์ตกให้ได้ในปีนี้ และเพื่อหาประสบการณ์ ความท้าทายใหม่ ๆ อยากพาตัวเองออกจาก comfort zone ด้วย ดังนั้น ไม่ต้องรีรออะไร จองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก แล้วรอวันเดินทาง , ทริปนี้เดินทางวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน.



สวัสดีเพื่อน ๆ ชาว readme.me ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า นี่เป็นการเขียนรีวิวลง social network เป็นครั้งแรกของผม สถานที่และเรื่องราวต่าง ๆ อาจจะไม่น่าสนใจมากนัก การเล่าเรื่องอาจจะไม่สนุก ฝีมือการถ่ายภาพก็ไม่ได้สวยอะไร แต่อยากจะบอกเล่าการเดินทางของผมให้คนอื่นได้ฟังกัน เผื่อเป็นมุมมองใหม่ ๆ และแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากออกเดินทางคนเดียวครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย



Day 1 , 28 กุมภาพันธ์ 2559


ทริปนี้ผมใช้บริการของสายการบินนกแอร์ DD7512 ดอนเมือง-ภูเก็ต เวลา 11.00 น. พอเช็คอิน โหลดกระเป๋าเสร็จแล้ว ก็ไปนั่งที่รอเกทครับ ตอนนั่งรอก็ตื่นเต้นนิดหน่อย เป็นการไปเที่ยวคนเดียวครั้งที่สองเอง คิดไปต่าง ๆ นานา ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทริปนี้จะเป็นไงบ้าง จะเหงามั้ย จะสนุกแบบที่คิดไว้มั้ย จะมีอันตรายอะไรรึเปล่า..

ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาทีครับ รอรับกระเป๋าเสร็จแล้วก็เดินออกมาขึ้นแอร์พอร์ตบัสเข้าเมือง เพราะว่าโฮสเทลที่จองไว้นั้นอยู่ในตัวเมืองภูเก็ตครับ ส่วนเวลานั่งรถเข้าเมืองประมาณชั่วโมงนิด ๆ ครับ ระหว่างทางไปก็นั่งหลับ เลยไม่รู้ว่าระหว่างทางมีอะไรบ้าง แหะ ๆ

โฮสเทลที่ผมจองไว้ตั้งอยู่ที่ถนนดีบุก ทริปนี้ผมเลือก Ai Phuket hostel (อ้ายภูเก็ตโฮสเทล) ครับ คือลองหารีวิวจากในเน็ตนี่แหละครับ ( http://www.aiphukethostel.com/) อ่านจากรีวิวต่าง ๆ แล้ว รู้สึกว่าโอเค เลยตัดสินใจจองที่นี่ไว้ล่วงหน้าหนึ่งเดือน ส่วนห้องที่ผมนอนนี่เป็นแบบเตียงรวมครับ ในห้องจะมีหกเตียง มีล็อกเกอร์ ไฟและปลั๊กที่หัวเตียงครับ ใช้ห้องน้ำรวม มีโซนนั่งเล่นดูทีวี ห้องครัวให้ทำอาหารกันเอง คืนละ 330฿ ส่วนมากจะเป็นฝรั่งครับ ก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน เพราะเพิ่งเคยพักโฮสเทลครั้งแรกในชีวิต ก็แอบกลัวอยู่บ้างนะครับ แต่อีกใจนึงก็อยากได้บรรยากาศใหม่ ๆ ประสบการณ์ใหม่ ๆ มาคนเดียวอยู่ห้องแบบส่วนตัวก็คงเหงาแย่ ห้องเตียงรวมคือคำตอบครับ ฮ่า

(รูปรวมนี้เอามาจากเฟซบุคของโฮสเทลนะครับ ขออนุญาติประชาสัมพันธ์)

นี่ห้องที่ผมนอนครับ ↓

หลังจากเช็กอิน เก็บของ เดินสำรวจภายในเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาหาอะไรกินสักหน่อย บ่ายสองแล้วยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย เยื้อง ๆ กับโฮสเทลก็มีร้านอาหารตามสั่งอยู่ ร้านใหญ่ อาหารอร่อย ไม่แพงด้วย ผมกินข้าวผัดกระเพราจานละ 40฿ เอง พอเติมพลังอิ่มแล้วก็แพลนไว้ว่าจะไปวัดฉลองครับ สถานที่ควรไปอันดับแรก ๆ ของภูเก็ต

การเดินทางทั้งหมดในทริปนี้ ผมเช่ามอเตอร์ไซกับทางโฮสเทลเลย วันละ 250฿ ไม่ต้องมัดจำ ไม่ต้องใช้บัตรประชาชน พอได้รถแล้วก็เปิด google map เลยครับ เพื่อนำทางไปวัดฉลอง


- วัดไชยธาราราม หรือ วัดฉลอง -

วัดฉลองเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของภูเก็ต ต้องมานมัสการหลวงพ่อแช่มกันก่อนจะไปเที่ยวที่อื่น ๆ ตอนที่ผมไปนั้นเวลาประมาณสี่โมงเย็น ก็มีคนไปพอสมควร แต่ไม่ถึงกับแออัด ส่วนมากจะเป็นฝรั่งกับทัวร์จีน มีคนไทยบ้างประปรายครับ





เดินต่อไปเป็น พระมหาเจดีย์ พระจอมไท ขึ้นไปด้านบนสุดจะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นพระธาตุเพียงแห่งเดียวของไทย ณ ริมฝั่งอันดามันครับ

ส่วนด้านนอกเจดีย์ก็ออกมาชมวิวรอบวัดได้ครับ ลมเย็นสบาย แต่ตอนที่ผมไปนั้นฟ้าไม่โปร่ง ลมแรง เมฆเริ่มก่อตัว เหมือนจะมีฝน

↓ นักท่องเที่ยวจีนไหว้พระบรมสารีริกธาตุ พอไหว้เสร็จก็เอาเงินสอดเข้าไปในช่องประตูเพื่อทำบุญ

หลังจากไว้พระและเดินชมบรรยากาศเสร็จ เป้าหมายต่อไปคือแหลมพรหมเทพครับ จากวัดฉลองวิ่งไปตามถนนหมายเลข 4024 เพื่อไปแหลมพรหมเทพครับ ระยะทางก็ประมาณ 2 กิโลเมตร


- แหลมพรหมเทพ -

ในที่สุดก็มาถึงแหลมพรหมเทพครับ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของภูเก็ต แหลมพรหมเทพจัดเป็นหนึ่งในจุดชมอาทิตย์ตกก่อนใครที่สวยที่สุดในเมืองไทย เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต ห่างจากหาดราไวย์แค่ 2 กิโลเองครับ

วันนี้สภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ครึ้มฟ้าครื้มฝน มีฝนตกกลางทะเลอีกด้วย แต่ก็ดีใจที่ได้มาสถานที่ในฝัน



บรรยากาศตอนนั้น ลมเย็นสบายครับ ผมก็เดินชมบริเวณนั้น ถ่ายรูปไปเรื่อย มีคนภูเก็ตขึ้นมาเยอะเหมือนกัน มีวัยรุ่นมาถ่ายรูปกัน รวมไปถึงนักท่องเที่ยวคนไทย ฝรั่ง ทัวร์จีน ช่างภาพมืออาชีพ ครบทุกแบบเลยครับ





คือคนเยอะนะครับแต่ก็ไม่แออัดจนเกินไป พอมีที่ให้นั่งให้เดิน แต่ถ่ายรูปบางจังหวะอาจจะมีคนติดมาบ้างถึงจะไปคนเดียวก็ไม่เหงาเลย ก็คิดในใจนะว่าอยากพาครอบครัว หรือไม่ก็อยากพาแฟนมาที่นี่ด้วย คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่ในสถานที่ที่สวยงาม


ใช้เวลานั่งเล่น เดินถ่ายรูปไปประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ฝนเริ่มลงเม็ดปรอย ๆ แล้ว เลยต้องรีบออกจากที่นั่น ระหว่างขี่มอเตอร์ไซค์กลับเข้าเมืองฝนก็ตกปรอย ๆ เป็นระยะ เปียกนิดหน่อย รถก็เยอะครับ ต้องขับขี่กันอย่างระมัดระวัง

กลับมาถึงที่พักก็ประมาณหนึ่งทุ่มครับ ตอนเข้าไปเก็บของ พนักงานโฮสเทลก็บอกว่า ถนนใกล้ ๆ นี้ มีถนนคนเดินด้วย ของกินเยอะมาก ก็เลยตัดสินใจเดินไปหามื้อค่ำกินที่นั่นเลย


- หลาดใหญ่ -

ถนนคนเดินภูเก็ต หรือ หลาดใหญ่นี้จะมีทุกวันอาทิตย์ครับ สี่โมงเย็นถึงสี่ทุ่ม ตั้งอยู่ที่ถนนถลาง ส่วนมากจะเป็นของกินครับ คือของกินเยอะมากจนเลือกไม่ถูก ส่วนมากกลุ่มคนที่มาเดินจะเป็นคนในพื้นที่แล้วก็ฝรั่งครับ ที่นี่มีดนตรีเปิดหมวกด้วย เดินฟังเพลงเพลิน ๆ ข้างทางก็เป็นร้านที่อยู่ตึก เปิดร้านถึงดึกเลย ส่วนร้านนั่งชิลกินเบียร์ก็มีครับ

↓ คนมาเดินค่อนข้างเยอะครับ แน่น ไม่ค่อยมีพื้นที่ให้ถ่ายรูปมากนัก

↓ นี่น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นมาเล่นดนตรีเปิดหมวกด้วยครับ มีคนยืนฟังพอสมควร

พอเดินหลาดใหญ่เสร็จก็กลับที่พัก เก็บของ อาบน้ำ ระหว่างตอนที่เก็บของอยู่ ก็มีคนเข้ามาพักใหม่ครับ อยู่ห้องเดียวกัน เป็นพี่ผู้ชายคนไทย พี่เขาเพิ่งมาจากเกาะตาชัย แล้วจะเที่ยวภูเก็ตพรุ่งนี้ก่อนกลับกรุงเทพ ก็เลยนั่งคุยกันแป๊บนึง พี่เขาถามว่าพรุ่งนี้จะไปไหนบ้าง ผมเลยตอบไปตรง ๆ ว่ายังไม่รู้เลยครับ (ก็ยังไม่ได้คิดนี่นา) เลยแก้เหงาไปได้คืนแรกครับ แล้วก็ได้คำแนะนำการเที่ยวนิดหน่อยด้วย นอนเล่นมือถือ หาข้อมูลไปเรื่อย ประมาณห้าทุ่มกว่า มีฝรั่งผู้หญิงมาสองคน แล้วประมาณเที่ยงคืนก็มีมาอีกคนนึง คนเต็มห้องเลยครับ ไม่เหงาแล้ว ฮ่า





Day 2 , 29 กุมภาพันธ์ 2559


เช้าวันที่สอง วันนี้ตื่นประมาณเจ็ดโมงครับ เมื่อคืนหลับ ๆ ตื่น ๆ บ่อย อาจเพราะแปลกที่ นอนรวมกับคนอื่นด้วยมั้ง เลยหลับไม่สนิท ก็ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนชุด ออกไปหาซื้ออะไรกินที่เซเว่น แล้วเอามอเตอร์ไซไปเติมน้ำมันด้วย หลังจากนั้นก็กลับมาที่โฮสเทล เพื่อตั้งหลักก่อนว่าวันนี้จะไปไหนดี แต่บังเอิญเจอพี่คนเมื่อวานน่ะครับ เลยนั่งคุยกันที่ห้องดูทีวี แกก็เอารูปที่ถ่ายมาให้ดู คือตอนเช้าพี่เขาออกไปถ่ายรูปตั้งแต่ตีห้า ตอนแรกแกเดินถ่ายรูปตึกโบราณ ชิโน-โปรตุกีส บริเวณถนนแถวนั้น แล้วแกก็ไปกินติ่มซำที่ร้านจ่วนเฮี้ยง แกแนะนำให้ไปกิน บอกว่าอร่อยแล้วราคาไม่แพงด้วย พอกินเสร็จแกก็ไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่สะพานหิน พอคุยกันเสร็จ ผมก็สนใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะออกไปตามแพลนนี้บ้าง ระหว่างที่นั่งคุยกันอยู่นั้นแม่บ้านก็เดินผ่านมา แจมวงสนทนาด้วย ป้าบอกว่าเขารังก็น่าไปนะ ไปตอนกลางคืนสวยดี มองเห็นไฟในเมือง ป้าไปมาแล้ว สวยมากๆ แล้วป้าก็เปิดรูปที่แกเคยไปเขารังให้เราดูด้วย คุยได้ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็แยกย้ายครับ

ผมก็ขี่มอเตอร์ไซออกมา เพื่อมุ่งไปยัง หอชมวิวเขาขาด อันนี้หาข้อมูลคร่าว ๆ เมื่อคืนก่อนนอน ระหว่าทางไปตอนเช้าในเมืองรถติดคล้ายกรุงเทพเลยครับ รถเยอะมาก

จากในเมืองก็ไปตามถนนหมายเลข 4023 เลี้ยวเขาไปตามเนินเขา จะมีป้ายบอกทางไปหอชมวิวเขาขาด ระหว่างทางมีชาวบ้านอาศัยประปรายครับ เวลาประมาณเก้าโมงครึ่งก็ถึง จุดชมวิวเขาขาด


- จุดชมวิวเขาขาด -



บรรยากาศโดยรอบก็ลมเย็นสบายดี ตอนแรกที่ผมมาถึงมีฝรั่งนั่งอยู่สองคน แล้วสักพักก็มีสามคนนี้มา ที่นี่ไม่ค่อยมีคนขึ้นมา เลยเงียบเหงาจริง ๆ




ตรงจุดนี้ไม่ค่อยมีอะไรครับ จะมองเห็นวิวประมาณ 180 องศา ข้างหน้ามีต้นไม้สูงขึ้นมาบดบังวิวบางส่วนครับ ถ่ายรูปยากนิดหน่อย แต่ได้เห็นทะเลอันดามันแบบเต็มตา นี่สวยจริง ๆ คือผมไม่เคยมาเที่ยวทะเลฝั่งอันดามันเลยรู้สึกว่ามันสวยมาก

ผมใช้เวลานั่งเล่นประมาณครึ่งชั่วโมง นั่งไปนั่งมาก็เอะใจขึ้นมาว่า ทำไมที่นี่ไม่เห็นเหมือนที่ดูข้อมูลไว้เลย ในเน็ตบอกว่า จุดชมวิวเขาขาดนี้ มองเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ 360 องศา แต่นี่มันเห็นแค่ด้านเดียวเอง ประมาณ 180 องศา ก็ลองหาข้อมูลในมือถือดูอีกรอบ สรุปว่ามาถูกแล้วครับ แต่ยังไม่ถึง ที่นี่เป็นเพียง จุดชมวิวเขาขาด เท่านั้น ไม่ใช่หอชมวิว เลยเปิด google map นำทางไป จากจุดนี้ขึ้นไปอีกนิดนึงก็ถึงหอชมวิวเขาขาดแล้วครับ


- หอชมวิวเขาขาด -

ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงหอชมวิวเขาขาดซะที กว่าจะมาถึงก็เข้าใจผิดไปรอบนึง มาถึงแล้วต้องเดินขึ้นไปที่หอสีขาวนั่นล่ะครับ ก็สูงอยู่เหมือนกัน เดินขึ้นไปถึงยอดหอนี่ก็หอบเล็กน้อย ตอนที่ขึ้นไปนี่ไม่มีคนเลย ข้างบนนั้นสามารถมองเห็นทิวทิศน์ 360 องศา เห็นทั้งทะเล ต้นไม้ แล้วก็เมืองครับ ระหว่างที่เดินลงมาเพิ่งจะมีครอบครัวฝรั่งเดินขึ้นมาครับ เงียบจริง ๆ

หอชมวิวเขาขาด เป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ตครับ สร้างขึ้นตามโครงการขององค์การบริหารส่วนตำบลวิชิต ตั้งอยู่ในบริเวณอ่าวมะขาม ใกล้กับแหลมพันวา จุดชมวิวแห่งนี้ไม่เป็นที่รู้จักมากนักไม่ว่าจะในหมู่นักท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งคนพื้นที่เอง เพราะที่นี่เพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน แล้วก็ไม่ได้อยู่ในโซนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของภูเก็ต แต่ก็เป็นจุดชมวิวที่มุมมองใหม่ มีเสน่ห์ไม่แพ้จุดอื่น ๆ ของภูเก็ตเลยครับผม

มุมกว้าง ๆ ↓



- แหลมพันวา -

หลังจากนั่งพักเหนื่อยที่หอชมวิวแล้วก็ขับมอเตอร์ไซลงมา ณ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ เหลียวซ้ายแลขวา เห็นป้ายชี้ไปแหลมพันวา คิดว่าคงอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ ก็เปิด google map นำทางไป ตัดสินใจไปที่นั่นต่อค พอไปถึงก็เจอ จุดชมภูมิทัศน์แหลมพันวา บริเวณนั้นจะเป็นทางเดินยาวเลียบชายหาดเลยครับ




หาดทรายขาวละเอียด มองออกไปก็จะเป็นสีฟ้าเขียวสบายตา สุดทางเดินมีบันไดลงไปที่ชายหาดได้ครับ ฝั่งตรงข้ามก็จะมีรีสอร์ท โรงแรมแทบตลอดแนวเลย จะเห็นฝรั่งซะส่วนมากครับ

↓ น้ำใสมาก ๆ จนเห็นปลาตัวเล็กตัวน้อย

เนื่องจากตอนนั้นเวลาเกือบเที่ยงแล้วครับ แดดแรงมากเลย หาที่หลบร้อนหน่อย มองไปเห็นป้ายชี้ทางไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เลยตัดสินใจไปที่นั่นครับ


- พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำภูเก็ต (Phuket Aquarium) -

เข้าไปหลบร้อน เดินดูปลา แอร์เย็น ๆ กันหน่อยคร้าบ

ที่นี่เปิดบริการทุกวันนะครับ เวลา 8.30 - 16.30 ครับ ส่วนค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ก็คนละ 50 บาท

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำภูเก็ตที่นี่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำนาๆชนิด ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม กว่า 130 ชนิดครับ มีปลาหายากให้ดูหลายอย่างเลย มีการแบ่งโซนภายในอควาเรียมตามประเภทที่จัดแสดงครับ โมเดลปลาจำลอง,สัตว์พื้นทะเล,น้ำจืดและป่าดิบชื้น,น้ำกร่อยและป่าชายเลน,ปลาสวยงาม,ปะการัง,ปลาเศรษฐกิจ,สัตว์น้ำลึก สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ตนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นผู้นำถึงการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะสัตว์ทะเลหายาก ความรู้เหล่านี้แหละครับเป็นสิ่งสำคัญที่จะเกิดการกระตุ้นให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อมและท้องทะเลไทย และมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติริมชายหาดด้วยครับ เป็นเส้นทางเดียวกับไปตัวแหลมพันวาเลยครับ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เดินเข้าไปต่อ

↓ อุโมงค์อะคริลิคด้วย จำลองใต้ท้องทะเล เพื่อเรียนรู้ชีวิตปลาใหญ่ครับ

ส่วนนี้เป็นปะการังจำลองครับ มีหลายประเภทเลย พอกดปุ่มก็จะมีไฟขึ้นที่ตัวปะการังและคำอธิบาย ↑

ก่อนทางออกก็จะมีโซนขายของที่ระลึก น้ำ ขนมด้วยครับ

พอเดินชมอควาเรียมเสร็จแล้ว ผมก็ขี่มอเตอร์ไซกลับโฮสเทลครับ ใช้เวลาประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง แวะกินหมี่ฮกเกี้ยนแถวนั้น แล้วก็อาบน้ำ นอนพักผ่อน เพราะตอนนั้นเที่ยง ๆ บ่าย ๆ แล้วแดดแรงมาก ออกไปข้างนอกไม่ไหวครับ นอนพักเอาแรงแล้วค่อยออกไปเที่ยวต่อตอนบ่ายแก่ ๆ ดีกว่า


- จุดชมวิวสามหาด karon view point -

เย็นนี้คิดไว้ว่าจะไปแหลมพรหมเทพอีกครั้ง เลยหาว่ามีสถานที่อะไรใกล้แหลมพรหมเทพ บริเวณนั้นก็จะมีหาดกะตะ หาดกะรน แล้วก็มีจะจุดชมวิวที่เห็นทั้งสามหาด ก็ดูน่าสนใจดี เลยตัดสินใจไปที่นั่น เวลาประมาณบายสามก็เริ่มออกเดินทางครับ ออกจากตัวเมือง ก็ไปตามถนนหมายเลข 4021 ตรงไป เมื่อถึงวงเวียน ก็เลี้ยวไปยัง ถนนหมายเลข 4028 ต่อด้วย 4233 ถนนก็จะเริ่มชันเป็นทางขึ้นเขาแล้วครับ ก็มีรีสอร์ทตามทางบ้าง พอไปถึงจุดชมวิวก็มีคนมาพอสมควรครับ

karon view point เป็นจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนเนินเขาทางฝั่งตะวักตก จากจุดชมวิวนี้สามารถมองเห็นวิวถึงสามหาดเลยครับ หาดกะตะน้อย กะตะ กะรน เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

↓ มุมยอดนิยมครับ เห็นนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาต้องถ่ายมุมนี้กันแทบทุกคน


- จุดชมวิวกังหันลม -

ออกจากจุดชมวิวสามหาดแล้ว ก็ไปทางนี้แหละครับ ถนนเส้นเดียวกับตอนมา เลียบเขาไปเรื่อย ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปแหลมพรหมเทพครับ ...แต่ระหว่างทางที่ขี่ไปนั้น ใกล้จะถึงแหลมพรหมเทพแล้ว มองไปเห็นศาลา มีคนยืนถ่ายรูปอยู่ เห็นกังหันลมอันใหญ่ ผมก็ตัดสินใจเลี้ยวมอเตอร์ไซลองเข้าไปดูว่าคืออะไร ที่นี่ก็คือจุดชมวิวกังหันลมนั่นเอง

จุดชมวิวกังหันลมนี้เป็นที่ตั้งของสถานีไฟฟ้าพลังงานทดแทน หรือที่เรียกว่า wind farm โดยอาศัยกำลังลมเป็นตัวขับเคลื่อนทำให้เกิดไฟฟ้าครับ จะตั้งอยู่บนเขาเเดง ก็ห่างจากแหลมพรหมเทพไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร จากจุดชมวิวนี้เราสามารถที่จะมองเห็นทั้งแหลมพรหมเทพ หาดยะนุ้ยและหาดในหานอีกด้วยครับ



ที่จุดชมวิวนี้เป็นที่นิยมมาถ่ายภาพ pre wedding ครับ แล้วก็มีฝรั่งมาเล่นเครื่องบินบังคับ โดรนบังคับด้วย





ที่จุดชมวิวกังหันลมนี้ก็สามารถมองเห็นแหลมพรหมได้ครับ แล้วถนนนั้นก็คือทางไปแหลมพรหมเทพนั่นเอง ส่วนชายหาดที่เห็นในรูปนี้ก็คือหาดยะนุ้ย หลังจากชมวิว ถ่ายรูปเสร็จ เวลาเกือบห้าโมงเย็น ผมก็รีบขี่มอเตอร์ไซไปต่อที่แหลมพรหมเทพเลย สภาพอากาศเป็นใจแล้ววันนี้


- แหลมพรหมเทพ -

เนื่องจากเมื่อวานฟ้าฝนไม่เป็นใจ เลยตั้งใจจะมาแหลมพรหมเทพอีกรอบนึง วันนี้ฟ้าเปิด แดดจ้า คาดว่าวันนี้ต้องได้นั่งชมพระอาทิตย์ตกแน่ ๆ เลย คนมาที่นี่เยอะเหมือนเดิมครับ แดดกำลังแรงได้ที่ มีฝรั่งคนนึงเปิดหมวกเล่นเครื่องดนตรีอะไรสักอย่าง ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เสียงมันจะเหมือนเวลาที่เราเอามือไปลูบฆ้องให้เกิดเสียงน่ะครับ อีกด้านก็มีลุงเล่นกีต้าร์เปิดหมวกเหมือนกัน ฟังเพลงเพลิน ๆ กันไปครับ


เย็นวันนี้บรรยากาศรอบ ๆ ดูครึกครื้น อาจจะเป็นเพราะอากาศดี ลมเย็นสบาย ผมก็เดินชมบรรยากาศโดยรอบ มีศาลพระพรหม มีทั้งคนไทยและคนจีนมาไหว้ตลอดเวลา เดินต่อไปอีกนิดก็มีอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ติดกับประภาคารกาญจนาภิเษกแหลมพรหมเทพ (ซึ่งเป็นประภาคารที่ชาวภูเก็ตและกองทัพเรือร่วมกันสร้างถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครับ เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปี เมื่อปีพ.ศ. 2539 ครับ และใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเดินเรือในฝั่งอันดามัน นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่อ้างอิงเวลาพระอาทิตย์ตกดินในประเทศไทยด้วยครับ)












หลังจากนนั้นผมก็เดินไปยังบริเวณผาที่คนไปนั่งรอชมพระอาทิตย์ตก มีคนรอถ่ายรูปเยอะมาก บางคนนั่งเล่นนั่งคุย มีทั้งชาวบ้าน นักท่องเที่ยว มาเป็นคู่ เป็นกลุ่ม หลากหลายมากครับ แต่ทุกคนรอชมอาทิตย์อัสดงที่นี่ เป็นช่วงเวลาที่วิเศษ กับสถานที่และบรรยากาศที่สวยงาม






มองไปที่ทะเล ก็เห็นมีเรือยอร์ชล่องมาชมพระอาทิตย์ตกกันกลางทะเลเลยครับ แอบคิดในใจว่าอยากนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกบ้างจัง แต่คงสู้ราคาไม่ไหวแน่ ๆ



↓ พระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ สี่ปีมีครั้งนึง

หลังจากนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศที่พิเศษพอสมควร พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว ก็ถึงเวลาบอกลาแหลมพรหมเทพ เพราะสิ่งนี้สิ่งเดียวที่ทำให้ผมต้องดั้นด้นมาภูเก็ต สำหรับบางคนอาจจะเป็นสถานที่ที่ไม่น่าสนใจ สำหรับคนภูเก็ตอาจจะเป็นสถานที่ธรรมดา แต่สำหรับผม ผมว่ามันมีความหมาย กับความรู้สึกที่อยากมาที่นี่ตั้งนานแล้ว แล้วก็พยายามหาทางมาจนได้ แบบที่ขัดใจแม่นิดหน่อยละครับ แต่ทำไงได้ ก็ปักหมุดที่นี่ไว้แล้วสำหรับการเดินทางของปีนี้..

หลังจากนั้นผมก็ขี่มอเตอร์ไซกลับเข้าเมือง ตอนแรกว่าจะกลับโฮสเทล นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าแม่บ้านที่โฮสเทลบอกว่าค่ำ ๆ ให้ไปที่เขารัง เป็นจุดชมวิวกลางเมืองภูเก็ต มองลงมาจะเห็นแสงไฟยามค่ำคืนทั้งเมือง สวยงาม ผมเลยตัดสินใจไปที่เขารังต่อเป็นที่สุดท้ายของวันนี้ครับ


- เขารัง -

จากแหลมพรหมเทพกับเข้าเมืองก็ใช่ถนนหมายเลข 4024 ตรงไป ต่อ หมายเลข 4021 ครับ ไปทางถนนปฏิพัทธิ์ ก็ถึงเขารังแล้วครับ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ระหว่างทางขึ้นเขาอาจจะมีบางจุดที่มืด ข้างทางเป็นต้นไม้สูง แต่ก็ขี่ไปได้ครับ ไม่อันตรายเท่าไหร่ ระยะทางจากพื้นถึงยอดเขาประมาณ 1.8 กิโลเมตร ตอนที่ผมขึ้นไปก็ประมาณเกือบสองทุ่มครับ คนน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นคนพื้นที่ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ส่วนบรรยากาศนั้นก็มีการประดับไฟสวยงามครับ มีลมเย็น ๆ เงียบสงบเหมาะแก่การชมวิวเลยครับ

เขารัง เป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่ในตัวเมืองภูเก็ต มีทางรถยนต์ขึ้นไปได้โดยสะดวก ด้านบนเขารังเป็นจุดชมวิวเมืองภูเก็ต มองเห็นบ้านเรือนที่อยู่ด้านล่าง และสามารถมองไปได้ไกลถึงทะเล และบนนั้นยังมี หอเกียรติยศ 100 ปี ถึงแก่อนิจกรรมมหาอำมาตย์โทพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) สมุหเทศภิบาลมณฑลภูเก็ต เพื่อเป็นศาลาและลานชมเมืองภูเก็ต

แสงไฟเมืองภูเก็ตยามค่ำคืน ↓

ผมก็นั่งเล่น ชมวิว ถ่ายรูปไปเรื่อย จากจุดชมวิวจะมองเห็นแสงไฟในเมืองสวยงาม ถ้าตอนกลางวันสามารถมองไปเห็นทะเลได้เลยครับ แล้วบริเวณนั้นก็มีร้านอาหาร มีสวนสุขภาพ แต่มองเห็นอะไรไม่ชัดมากเพราะกลางคืนแล้ว หลังจากนั้นผมก็กลับโฮสเทลครับ หาอะไรกินแถวนั้น เก็บของ อาบน้ำ นอน





Day 3 , 1 มีนาคม 2559


เช้าวันที่ 1 มีนาคม สวัสดีมีนาคม.. ตอนแรกวางแผนสำหรับเช้านี้ไว้ว่า จะตื่นตีห้ากว่า ๆ ออกไปเดินถ่ายรูปตึกเก่าแถวนั้น แล้วก็ไปกินติ่มซำที่ร้านจ่วนเฮี้ยง สุดท้ายก็ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สะพานหิน แต่ทุกอย่างล่มหมดเลยครับ เพราะดันตื่นสาย แหะ ๆ ตื่นมานี่เกือบแปดโมงแล้ว ต้องเปลี่ยนแผนใหม่ เลยตัดสินใจเดินออกไปถ่ายรูปตึกเก่าแถวนั้นนิดนึงก็ยังดี แล้วก็หาอะไรกิน


- ตึกเก่า ชิโน-โปรตุกีส -

ตึกเก่าแบบชิโน-โปรตุกีสถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2446 เนื่องจากการทำเหมืองแร่ที่เติบโตทำให้ชาวจีนและชาวตะวันตกต่างหลั่งไหลเข้ามาที่เมืองภูเก็ตเป็นจำนวนมาก เมื่อเข้าสู่เขตเทศบาลเมืองภูเก็ตสิ่งแรกที่ผู้ไปเยือนจะรู้สึกสะดุดตาก็คือตึกเก่าที่ตั้งตระหง่านอยู่ในย่านการค้าเก่าเเก่ของเมือง เป็นอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีส ที่ผสมผสานเอาความเป็นศิลปะตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนจนเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองภูเก็ตและตึกเก่าเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วตัวเมืองภูเก็ต

↓ ท่ามกลางตึกเก่าสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ยังคงมีวัดครับ นี่คือวัดมงคลนิมิตร พระอารามหลวง

ตอนที่ผมเดินออกไปถ่ายรูปก็เวลาประมาณสิบโมง รถเยอะ ทำให้ถ่ายรูปไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ จะหาจังหวะถนนโล่งยากครับ ถ่ายรูปออกมาก็ติดรถซะส่วนมาก บวกกับออกมาสายแล้วทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะเดินชมให้ครบถ้วน จริง ๆ ที่ถนนอื่นยังมีตึกที่สวยกว่านี้เยอะแยะเลยครับ น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาเดินชมให้ครบทุกซอกทุกมุม

หลังจากเดินเล่น ถ่ายรูปเสร็จ ก็แวะกินก๋วยเตี๋ยวร้านแถวโฮสเทลแหละครับ พอกินเสร็จก็กลับโฮสเทลตัดสินใจเช็กเอ้าท์ แล้วไปสนามบินครับ เพื่อจะไปหาดในยาง ส่วนนี้ลองหาข้อมูลในเน็ตคร่าว ๆ ครับ เป็นสถานที่ที่คนนิยมไปถ่ายรูปเครื่องบินแลนดิ้งแบบใกล้ชิดมาก บริเวณหาดมีบางส่วนอยู่หลังรันเวย์ของท่าอากาศยานภูเก็ต ผมว่ามัน unseen ดี เลยทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะไปที่นั่นต่อ ระหว่างทางเดินไปขึ้นแอร์พอร์ตบัสก็แอบหลงนิดนึงนะครับ ต้องไปขึ้นที่บขส. พอไปถึง เป็นคนสุดท้ายรถออกพอดี ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆก็ถึงสนามบินครับ พอถึงสนามบินแล้ว ตอนแรกหาข้อมูล ­ว่าจะเช่ามอไซ แถวสนามบินแล้วขี่ไปหาดในยาง ขี่เล่นแถวนั้น เผื่อมีอย่างอื่ยให้ unseen กันอีก แล้วก็เพื่อฆ่าเวลาด้วย เครื่องออกห้าโมงเย็น ตอนแรกจองตั๋วกลับกรุงเทพไว้ ไฟลท์รอบบ่ายสามครึ่ง แต่ช่วงนั้นนกแอร์ยกเลิกเที่ยวบินกระหน่ำ ไฟลท์ที่ผมกลับก็โดนด้วย เลยต้องเลื่อนเป็นห้าโมงเย็นแทน แต่ก็ดี ได้มีเวลาเที่ยวเพิ่มขึ้นนิดนึง


- อุทยานแห่งชาติสิรินาถ หาดในยาง -

ออกจากสนามบินก็เลี้ยวขวา เดินตามถนนไปเรื่อย ๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นเซเว่น ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ ๆ เซเว่น พอไปถึงหน้าร้าน ปรากฏว่ารถหมดแล้วครับ รถหมดจะทำยังไงล่ะทีนี้ เดินมาก็ไกล เป็นกิโล ร้อนและเหนื่อยมาก เลยยืนงงอยู่แป๊บนึง ก็ตัดสินใจเดินไปหาดในยางเลยครับ คิดในใจว่าถ้าไม่ได้ถ่ายเครื่องบิน ไม่ได้ขี่รถเล่นแถวนั้นก็ไม่เป็นไร ก็เดิน ๆ ไป เข้าไปถึงอุทยานแห่งชาติสิรินาถ คนไทยเสียค่าเข้า 20฿

หาดในยาง เป็นชายหาดที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ห่างจากสนามบินภูเก็ตเพียง 1 กิโลเมตร อยู่ทางตอนเหนือของเกาะภูเก็ต ชายหาดในยางมีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ส่วนที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติสิรินาถประมาณ 1 กิโลเมตร และ นอกอุทยาน อีกประมาณ 2 กิโลเมตร หาดในยาง เป็นหาดที่เงียบสงบและเป็นธรรมชาติ แตกต่างจากหาดอื่น ๆ แม้แต่คนภูเก็ตเองก็ยังนิยมหนีความวุ่นวายมาพักผ่อนที่หาดนี้ ความโดดเด่นของหาดนี้อยู่ที่น้ำทะเลใส หาดทรายสะอาด มีแนวปะการัง เป็นที่วางไข่ของเต่าทะเล ร่มรื่นด้วยแนวต้นสนครับ


พอเดินเข้าไปถึงตัวอุทยานก็แวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารสวัสดิการของอุทยานแหละครับ กินอิ่ม นั่งพัก ก็ลองเดินไปดูว่าจุดที่ถ่ายรูปเครื่องบินอยู่ไกลแค่ไหน ผมก็กะระยะไม่ถูกนะ แต่ก็ไกลอยู่ แดดร้อนมาก ๆ

อ่อ ลืมบอกไปว่าผมอ่านรีวิวคนที่เคยมาถ่ายรูปเครื่องบินที่นี่ เขาแนะนำให้โหลดแอพ flightradar24 มาดูว่าเครื่องบินจะแลนดิ้งตอนไหน ผมก็โหลดมาใช้ครับ ได้ผลนะ ในแอพมันแสดงผลแบบเรียลไทม์ดีมาก พอเดินไปถึงก็มีคนรอถ่ายรูปอยู่บ้างทั้งคนไทยและฝรั่งครับ

"มาแล้ว มาแล้ว" ระหว่างนั่งรอแถวนั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโตนเรียกเพื่อน ผมก็รีบหยิบกล้องมาเตรียมตัวเลยครับ

ลำแรกของผมมาแล้วววว ↓

ฟิ้วววววววววววว ลมผ่านตัวไปอย่างแรง ↓




ลำแรกผ่านไป ระหว่างรอลำต่อไปก็หันมาดูที่รันเวย์กันบ้าง ดูเครื่องกำลังเทคออฟ แอบถ่ายรูปมาด้วยครับ








จังหวะที่เครื่องบินเร่งความเร็วเพื่อจะบินขึ้นนี่ลมแรงมาก ลมร้อนด้วย แนะนำว่าให้หาที่กำบังซักหน่อยก็ดีครับ หมวก เสื้อ อาจจะปลิวได้




"มาแล้ววว" ได้ยินเสียงนี้อีกรอบ ลำที่สองของผมมาแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมมาอยู่ตรงใต้ท้องเครื่องบ้าง รีบกดชัตเตอร์เลย

ถ่ายได้ไปประมาณสามลำครับ หลังจากนั้นผมก็นั่งดูอย่างเดียว unseen กันให้เต็มตา ไม่ต้องมีกล้องมาขัดจังหวะ แต่นั่งดูได้ไม่นานก็ต้องบอกลา เดินกลับสนามบินครับ เพราะตรงนั้นร้อนมาก แดดเผามาก ๆ

..งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ในที่สุดก็เดินกลับมาถึงสนามบินภูเก็ตครับ เช็คอินโหลดกระเป๋าเสร็จก็ไปนั่งรอที่เกท ด้วยความเหนื่อย ความอิ่มใจ ความเสียดายที่ต้องกลับแล้ว สำหรับทริปที่เพิ่มประสบการณ์ชีวิต มาอีกกี่ครั้งก็คงไม่ได้เรื่องราวแบบนี้

DD7515 ก็พาผมกลับมาถึงดอนเมืองโดยสวัสดิภาพครับ : )


ค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้

ตั๋วเครื่องบิน 2000฿

โฮสเทล 2 คืน 660฿

เช่ามอเตอร์ไซ 2 วัน 500฿

เติมน้ำมัน 50฿

แอร์พอร์ตบัส ไปกลับ 200฿

ค่าเข้าชมอควาเรียม 50฿

ค่ากินโดยประมาณ 600฿

รวม = 4070฿


ขอจบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้นะคร้าบ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่กดเข้ามาชม ^^






tongcucu

 วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 00.12 น.

ความคิดเห็น