เรามาต่อกันกับทริป เยือนเมืองจีน..เที่ยวชมมรดกโลก “อู่อี๋ซาน” กันนะคะ จากรอบที่แล้วเราได้เล่าเรื่องราวของช่วงวันที่ 1- 2 ของทริปกันไปแล้ว (สามารถติดตามได้ที่ https://th.readme.me/p/27160) ยังเหลืออีก 2 วันจ้า สำหรับการมาเที่ยวในครั้งนี้ โดยในช่วง 2 วันสุดท้ายนี้เราจะพาทุกคนไปดูสุดยอดแห่งชาอู่หลง "ต้าหงเผา" ชมต้นชาโบราณ ที่มีอายุมากกว่า 340 ปี และมีมูลค่า(ประกัน) ถึง 500 ล้านบาท !! OMG

Day 3 วันนี้ตอนเช้าอากาศเย็นขึ้นจากเมื่อวานมากเลย อาจจะเป็นเพราะมีฝนตกลงมาในช่วงเช้ามืด พอฝนตกยิ่งทำให้บรรยากาศรอบ ๆ สวยขึ้นไปอีก เพราะมีหมอกลงมาตรงยอดเขาที่อยู่ล้อมรอบ ๆ โรงแรม เราทานมื้อเช้าที่โรงแรมเหมือนเดิมจ้า เมื่อเติมพลังกันแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางเพื่อไปที่ “ไร่ชาต้าหงเผา” ที่นี่จะให้เราเดินชมแปลงเพาะปลูกใบชาอันลือชื่อของฮกเกี้ยน เช่น ต้าหงเผา, อู่หลง, เถี่ยกวนอิม และสุ่ยเซียน พอมาถึงทางเข้าตรงประตู เราชอบมากเลย จะมีต้นไม้ที่ใหญ่มากอยู่ต้นหนึ่ง (ไม่รู้เรียกต้นอะไร) ต้องขอบอกว่าฟอร์มของต้นไม้ต้นนี่สวยมากจริง ๆ แล้วเราก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพไว้เป็นความทรงจำซะหน่อย


เริ่มออกเดินกันอีกครั้ง!! ทริปนี้คือเราเดินกันเยอะมาก ๆ เมื่อยนะ แต่ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ เพราะบรรยากาศร่มรื่น และก็อากาศเย็นสบาย มีจุดให้เรานั่งพักขากันเยอะมากค่ะ ไปชมความงามของไร่ชากันเลย งานนี้เราจะพาทุกคนไปดูสุดยอดแห่งชาอู่หลง "ต้าหงเผา" ชมต้นชาโบราณกัน ขึ้นชื่อว่าต้นชาโบราณก็ต้องเดินกันไกลหน่อยนะคะ ไปกันเลย!!



ตลอดเส้นทางที่เราเดินเข้ามาจะเห็นเลยว่าเป็นการเดินค่อนข้างสมบุกสมบันพอสมควรเลยนะคะ เดินขึ้นเนิน ปีนบันได เดินข้ามลำน้ำ เอ้า!!เรายอมเพื่อที่จะได้เข้าไปชมต้นชาโบราณมีอายุมากกว่า 340 ปี และมีมูลค่า(ประกัน) ถึง 500 ล้านบาท !! และแล้วเราก็มาถึงตรงจุดชมต้นชาโบราณแล้วนะคะ ต้นชาโบราณจะขึ้นอยู่บนหน้าผา ตอนนี้มีเหลืออยู่แค่ 6 ต้นเท่านั้น ลืมบอกเพื่อนๆ ไปอย่างนึงสำหรับคนที่จะมาเที่ยวที่นี่ เค้ามีกฏห้ามเด็ดใบชาตามรายทางที่เราเดินมานะคะ ถ้าใครฝ่าฝืนจะโดนปรับค่ะ


เราไปจุดหมายต่อไปกันเลยคือ “วัดเทียนซิงหย่งเล่อ” เป็นวัดพุทธที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุด วัดนี้สร้างในราชวงศ์ถังตั้งอยู่ใจกลางเขาอู่อี๋ซาน ปัจจุบันได้สร้างและขยายเพิ่มเติมเรื่อยๆ จนเป็นวัดที่สวยงาม การขึ้นไปที่วัดทำได้ 2 ทางคือนั่งรถไป หรือจะเดินขึ้นบันไดไปก็ได้ค่ะ ส่วนพวกเราฟิตกันทุกคน เลยตัดสินใจเดินขึ้นไปกัน เพื่อชมวิวและถ่ายภาพไปด้วยระหว่างทางค่ะ


หลังจากเดิน เดิน นั่ง นั่ง กันมาไกล เราก็มาถึงวัดเทียนซิงหย่งเล่อสักที เพิ่งจะมีการเดินของที่นี่ที่แรกเลยที่ทำให้เราเดินแล้วได้เหงื่อกันจริง ๆ ขอบอกว่าขาสั่นเลยจ้า 55 แต่สวยมากจริง ๆ ไม่เสียแรงที่เดินขึ้นมา (ขาสั่นเนื่องจากขั้นบันไดมันถี่มาก)


วัดที่นี่มีที่ให้เราเดินชม 2 ส่วน คือส่วนที่สร้างขึ้นมาใหม่ กับส่วนที่เป็นสิ่งก่อสร้างเดิมที่มาอยู่มายาวนาน แล้วเราก็เลือกที่จะเดินขึ้นไปบนเขาอีกนิดเพื่อดูของเดิมกันก่อนค่ะ (ห่ะ!!เดินขึ้นเขาอีกแล้ว!!) เอ้าเดินก็เดิน ไปกันเลยค่ะ พอมาถึงตรงประตูทางเข้าส่วนนี้ เราก็เจอกับน้องคนจีนที่เค้าใส่ชุดจีนย้อนยุคมายืนถ่ายรูปอยู่พอดี เราก็ไม่พลาดที่จะขอถ่ายรูปคู่สักหน่อย เราไปชมความสวยงามกันค่ะ



ไหว้พระขอพรกันเสร็จแล้วเราก็เดินเก็บภาพบรรยากาศกันไปมากพอสมควร และก็ได้เวลาเดินลงมาเพื่อเที่ยวชมด้านล่างกันบ้างพอลงถึงด้านล่างเราก็ไปสักการะขอพรกันอีกครั้ง แล้วเตรียมเดินกลับลงไปทางด้านล่างที่รถเราจอดรออยู่ค่ะ



พอเราลงถึงด้านล่าง ทางไกด์ก็พาเราทุกคนไปทานอาหารเที่ยงกันที่ภัตตาคารอาหารจีนค่ะ โดยมื้อนี้จะเน้นไปทางผักพื้นบ้านและเห็ดซะส่วนใหญ่ รสชาติอร่อยมากเลย (น่าจะเป็นเพราะที่อู่อี๋ซานตั้งอยู่ในธรรมชาติเป็นหลัก และอากาศดี ผักที่นี่เลยค่อนข้างมีรสชาติอร่อย) และยังมีทั้งเป็ดและไก่เหมือนเดิมค่ะ


จุดหมายต่อไปของเราคือ “เขาหยู่หนี่ฟง (เขานางฟ้า)” เขาเป็นสัญลักษณ์ของอู่อี๋ซานเพราะรูปทรงของเขาเหมือนสาวสวยที่ยืนอยู่ริมลำธาร ยอดเขามีต้นไม้เหมือนผม หน้าผาเนียนเหมือนผิวสาว เลยได้ชื่อว่า “เขานางฟ้า” จริง ๆ เมื่อวานตอนที่เราได้ล่องแพไม้ไผ่ เราก็ผ่านมาได้เห็นกันไปแล้ว แต่วันนี้เราจะมาดูเขากันแบบใกล้ ๆ ค่ะ (เขานางฟ้าจะเป็นเขาที่ไม่มีทางขึ้น เราจึงได้แค่มองจากทางด้านล่างขึ้นไป)



พอช่วงบ่ายทางไกด์ก็พาทุกท่านไปช็อปปิ้งกัน วันนี้เราไปกัน 2 ร้าน คือโรงงานที่ผลิตผลิตภัณฑ์จากยางพารา ทั้งหมอน ที่นอน ผ้าห่ม ราคาโอเคเลยสำหรับสินค้าเกรดดีแบบนี้ แล้วไปกันต่อที่ร้านขายผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจื่อ เราไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ทุกท่านชมกันนะคะ พอดีซื้อของกันเยอะไปนิด เลยไม่มีเวลาถ่ายภาพกันเลย หลังจากนั้นก็กลับที่พักของเรา แต่ก็เหมือนเดิมค่ะ เราเอาของขึ้นไปเก็บ แล้วก็ลงมาเดินสำรวจเมืองอู่อี๋ซานยามค่ำคืนกันต่อ รวมทั้งหาอาหารพื้นเมืองทานกันเหมือนเดิม แต่ต้องบอกก่อนว่าคนจีนที่นี่จะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษไม่ได้เลย งานนี้เราเลยต้องเพิ่ง App แปลภาษากันจ้า ถึงจะสั่งของกินกันเข้าใจ 55



Day 4 สวัสดียามเช้าวันสุดท้ายสำหรับทริปนี้จ้า เช้านี้เราลงมาทานอาหารกันข้างล่างที่เป็นร้านอาหารที่อยู่หน้าบริเวณโรงแรมกันค่ะ (ไม่ได้ทานบนห้องอาหารของโรงแรม) มาเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง ก็จะเป็นพวกน้ำเต้าหู้ ซาลาเปา บะจ่าง อะไรประมาณนี้ค่ะ เพราเดี๋ยวช่วงสาย ๆ ของวันนี้ทางไกด์จะพาเราไปร้านใบชา ให้เราได้ลองชิมชาที่มีชื่อเสียงของประเทศจีนหลากหลายชนิดกันไปค่ะ


พอประมาณ 11 โมง เราก็เดินทางสู่สนามบินกันค่ะ ต้องบอกก่อนว่าที่สนามบินอู่อี๋ซาน เป็นสนามบินขนาดเล็กที่ยังไม่เคยมีคนต่างประเทศมาขึ้นเครื่องเท่าไหร่ ดังนั้นจึงทำให้เวลาที่เราตรวจสิ่งของและเอกสารต่าง ๆ จะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าปกติ ทุกคนที่มีโอกาสได้มาก็เผื่อเวลากันนิดนึงนะคะ และเหมือนเดิมแครื่องบินออกเวลาประมาณช่วงเที่ยง บนเครื่องบินก็จะมีอาหารมาบริการให้กับทุกท่านค่ะ


เราเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิกันตอนประมาณ 4 โมงเย็นเอง ต้องบอกว่าทริปนี้เราใช้ช่วงเวลาเดินทางที่ไม่ค่อยเหนื่อยเลยค่ะ คือไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมาขึ้นเครื่อง หรือกลับมาถึงกรุงเทพแบบเกือบเที่ยงคืน สำหรับเรา เราคิดว่าโปรแกรมที่จัดช่วงเวลามาแบบนี้จะดีกว่ามากค่ะ มันทำให้เราไม่เหนื่อยมาก ส่วนทริปเที่ยวในรอบนี้ประทับใจมากจริง ๆ กับการเที่ยวประเทศจีนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเรื่องของสถานที่ ห้องน้ำ อาหารการกิน ต้องขอบอกว่าที่นี่เป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนที่สนใจจะไปพักผ่อนในที่ที่บรรยากาศดี ๆ อาหารอร่อย ห้องน้ำสะอาด(มีจริงที่นี่ค่ะ)

。^‿^。... ASAVa ชีวิตคือการเดินทาง ...。^‿^。

ขอบคุณทริปดี ๆ จาก Double Enjoy Travel นะคะ และติดตามเรื่องเล่่าดี ๆ อีกหลากหลายทริปของเราได้ที่นี่ต่อไปค่ะ

Asavaree Bunnate

 วันพฤหัสที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 16.11 น.

ความคิดเห็น