สวัสดีค่ะ กระทู้เที่ยวกระทู้แรกของเรา ที่มาพร้อมกับความ 'งง' ที่ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้วก็ยังงงอยู่



รีวิวความเป็นอยู่โดยรวม

ทริปนี้รวมทั้งหมด 5 วัน 5 คืนเต็ม

- กินปานกลาง อยู่ปานกลาง

- ดริ้งค์ทุกคืน (มีบาร์แนะนำด้วยนะ)

- เดินทางโดย เครื่องบิน-รถตู้-รถบัส-แทกซี่-ตุ๊กตุ๊ก และเดินเท้า

- ซื้อเดย์ทริป 1 วัน


รูทการเดินทางดังนี้: กรุงเทพฯ-อุดรธานี-เวียงจันทน์-วังเวียง-เวียงจันทน์-หนองคาย-อุดรธานี-กรุงเทพฯ
มีเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน (แต่อยู่แค่ 4 วัน 4 คืน)

สรุปค่าใช้จ่ายแปะไว้ข้างบนเลยแล้วกัน

ฮัลโหลลลลลลล

6,933 บาท ใช่ค่ะ 6,933 บาท

เหยียบ 7,000 บาทค่ะ

แพงกว่าไปเที่ยวมาเลเซียอีกอ่ะแกร๊



ด้วยความที่มั่นใจว่าปกติเที่ยวตามโปรตั๋วเครื่องบิน นอนธรรมดา แต่กินดีมาโดยตลอด

จึงชะล่าใจจากกระทู้วังเวียง 2,500-3,000 บาทก็เที่ยวได้สบายๆ

แถมเพื่อนยังมาบอกว่า เราเอาไป 2-3,000 นะ โรงแรมก็จองไปแล้ว(เหลือคืนสุดท้าย) ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อแล้ว งานนี้สบายชัวร์

แต่ก็มีอะไรดลใจให้หยิบไป 5,000 เถอะ ไหนๆ ก็ถอนมาแล้วเผื่อฉุกเฉินและเผื่อเพื่อนยืม ซึ่งจริงค่ะ 555555

แกกกกกก คือแบบว่า อาหารที่ลาวแพงมาก แพงไปอิ๊ก แพงจนเจ้งง

แต่เอาเถอะ เราจะหยุดการบ่นเรื่องเงินไว้เพียงเท่านี้แล้วไปเที่ยวกันค่ะ



สิ่งที่จะได้จากกระทู้นี้

- รายละเอียดการเดินทางและการท่องเที่ยวแบบที่เราไป + ทางเลือกอื่นอีกนิดหน่อย

- แผนที่คร่าวๆ แบบที่เราไปเที่ยวมา (เดินเที่ยว เวียงจันทน์-หนองคาย-อุดร)

- รูปสวยๆ (รึป่าว) จากกล้อง Xiaomi Yi Camera | Fuji X-A2 | iPhone6 เผื่อใครกำลังตัดสินใจอยู่ พกไปเที่ยว 3 ตัว เอาอยู่

- วันแรก หนีออกนอกกรุงเทพฯ -

ย่นระยะเวลาเดินทางด้วยเครื่องบิน ออกจากดอนเมือง ไฟลท์ 20.30 ถึงอุดรธานี 21.35 น.

Taxi ที่อุดรฯ ราคาอยู่ที่ 200 บาทรอบเมือง

เราออกจากสนามบินช้าเพราะทำเรื่องเคลมกระเป๋ากันอยู่ เป็นไฟลท์สุดท้ายของวันนั้นด้วย แทกซี่เลยหมดแล้ว

เจ้าหน้าที่สนามบิน เรียกรถกระบะมาให้ พี่แกเรียกมา 300 บาท ตกคนละ 100 ไม่มีสิทธิ์ต่อรองเนอะ



เราเลือกพักที่ 'โรงแรมเจริญ' เพราะ

1. ใกล้ บขส. และเดินไป UD Town ได้

2. มีอาหารเช้า

3. ราคาและห้องไม่แพงเกินไป



พอถึงโรงแรมจัดการอะไรเรียบร้อยแล้วก็จัดตามแผนค่ะ ไปดริ้งค์



อ่ะ ลายแทง

พุ่งเป้าไปที่ร้าน Wine Society ที่ UD Town เพราะก่อนนี้เคยมานั่งชิลคนเดียวแล้วประทับใจ

อาหารอร่อยมาก คอกเทลก็ราคาปกติ ดนตรีโอเค ไม่พลุกพล่านจนเกินไป

ก่อนมาถึงร้านก็เดินส่องมาตลอดทางนะ มีร้านเหล้าอยู่ฝั่งตรงข้าม 2-3 ร้านน่าสนเหมือนกัน



จัดเบาๆ ตามนี้ โรเซ่ กับคอกเทลอะไรมิ้นๆ สะระแหน่สักอย่างนึง

ลาซานญ่าเนื้อมั้ง จำไม่ได้ แต่อร่อยมาก

สปาเกตตี้คาโบนาร่าก็อร่อยลึ้มค่ะ ไม่มีภาพประกอบแต่ 3 คนพูดเป็นเสียงเดียวกัน

(เพื่อนฝากบอกว่าพนักงานน่ารัก แอร๊ย)



หลังจากนั้นก็แวะเซเว่นซื้อของที่ลืมนิดหน่อย แล้วเดินกลับโรงแรมกันค่ะ

- วันที่ 2 เตรียมหนีออกนอกประเทศ -

เช้าวันนี้บอกเพื่อนไว้ว่า 6 โมงเช้าต้องออกไปแย่งตั๋วนะแก
แล้วค่อยกลับมากินข้าวละขนกระเป๋าไป บขส. โรงแรมใกล้ก็งี้ สบายๆ
สรุปได้ออกไปราวๆ 6.30 น. ค่ะ และไม่ทันรถไปวังเวียงค่ะ
ถามจากพี่ๆ กลุ่มสุดท้ายที่ได้ไป นางบอกว่า มาต่อคิวตั้งแต่ตี 5 ค่ะ #ยอมใจ
พี่ได้ไปต่อค่ะ เดี๋ยวพวกหนูไปตายเอาดาบหน้าเอง
งานนี้ต้องหูผึ่งไว้ก่อนนะคะ หรือนับคนดูก็ได้ว่ากี่คนถึงเต็ม ถ้าเต็มรีบตัดแถวแย่งชิงมาที่รถเวียงจันทน์เลยค่ะ
ถามกับทางเจ้าหน้าที่ดูก็ได้ค่ะ จำไม่ได้เหมือนกันว่ากี่คน

การขายตั๋ว จะขายตั๋วรอบแรกก่อน ถ้าตั๋วรอบแรกไม่เต็ม นางไม่เปิดขายเที่ยวต่อไปด้วยนะ
เราเลือกรอบ 9 โมง เพราะไม่งั้นข้าวไม่ได้กินแน่จ้า
นี่เลยช่วยยืนเรียกลูกค้ากันใหญ่ ใครจะไปๆ คือจะรีบกลับไปกินข้าวไง 5555

รถบัส อุดร-วังเวียงตอนนี้มี 2 คันแล้วค่ะ (ไม่รู้ทุกวันมั้ยนะ) แต่ออกรอบเดียวกัน คือ 8.30 น. ราคา 320 บาท
ส่วนรถบัสอุดร-เวียงจันทน์ มีเรื่อยๆ ค่ะ รถจอดที่ท่ารถขัวดิน ฝั่งตรงข้ามตลาดเช้า ราคา 80 บาท

ภาพปลากรอบ อ่านยากนิดนึงนะคะ ตอนแรกกะว่าถ่ายเก็บไว้ดูเองเฉยๆ เอาอ่านออกพอ 5555

สำหรับรถระหว่างประเทศทั้ง 2 เส้นทาง ต้องไปยืนจองเองค่ะ

เจ้าหน้าที่ จะขอพาสปอร์ต พร้อมกับให้มาแสดงตัวตอนออกตั๋วให้ด้วย

(จะจ้างใครมาเข้าคิวก่อนแล้วสลับตัวอันนี้ทำได้อยู่นะ แต่คนข้างหลังด่าป่าวไม่แน่ใจ 55555)



ได้ตั๋วเรียบร้อยก็กลับโรงแรมค่ะ โอ๊ย อาหารเช้าดีงามมาก เปรมมาก ฟินไปอิ๊ก ฟินจนเกือบตกรถ

เมื่อจัดการอาหารการกินทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปคว้ากระเป๋าที่เก็บไว้แล้วไปท่ารถค่ะ

ยื่นกุญแจเช็คเอ้าท์เรียบร้อยแล้วก็ วิ่งสิคะวิ่ง อีกห้านาทีรถออกค่ะ

ไปถึง 3 คนสุดท้ายพอดี ขึ้นปุ๊ปรถออกปั๊ป แต่ไม่เลทน้า พวกหนูมาทันเวลาพอดี #หอบแฮ่กๆ

ขอโทษเพื่อนร่วมทางด้วยนะคะที่แอบนิสัยไม่ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเลทรถจะรอหรือเปล่า



ปล. ชื่อทริปนี่เพื่อนคิดให้นะ ไม่ได้คิดเอง ใสใสค่ะ 5555555

- วันที่ 2 หนีออกนอกประเทศ -

หลังจากนั่งรถกินลมชมวิวมาได้พักใหญ่ๆ

3 ชะนีถึงด่านแล้วจ้า

พอขึ้นรถ พนักงานจะนำบัตรขาออกมาให้กรอกค่ะ แนะนำว่าพกปากกามาด้วย ถ้าไม่ได้พกมาก็ขอคนข้างๆ นั่นแหละ

เขียนรอไว้ให้เสร็จจะได้ไม่วุ่นวายตอนลงไปต่อคิว

ประทับตราอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาขึ้นรถคันเดิมค่ะ จำรถกันด้วยนะคะ เพราะมีอยู่หลายคันทีเดียว

นั่งอีกสักพักก็มาถึงด่านลาวค่ะ

คำข้างหลังอ่านว่าอะไร ใครรู้บ้าง ข้องใจ



มาถึงด่านลาวประทับตราอะไรเสร็จยังเข้าไม่ได้นะคะ

ต้องมาที่นี่ก่อน ต้องเซ็นเซ่อหน้าเพื่อนหน่อย นางง่วงเลยเดินหลับอยู่ : D

มาจ่ายเงินค่าธรรมเนียม 5 บาท แล้วก็รับบัตรพลาสติกอ่อนๆ มาเสียบตรงประตูที่ต้องเดินผ่านเข้าไปค่ะ



ซื้อซิมสิคะ จะรออะไร?

100 บาท ได้ซิมกับบัตรเติมเงินค่ะ 10,000 กีบค่ะ แนะนำแพคเกจ 7 วัน Data 1,500 MB

งานโซเชียลต้องมา งานอัพรูปต้องมา

แต่นั่นไม่สำคัญเท่า google ต้องมา

ต่างบ้านต่างเมือง wifi หาจากไหนได้ เกิดหลงจะทำยังไง ถึง google map จะใช้งาน offline ได้

แต่จะหารีวิว หาอะไรแบบด่วนๆ เม้ากับเพื่อนแก้เหงาก็ต้องพึ่งเน็ทอยู่ดี

แพคเกจอื่นๆ ค่ะ เห็นมีวางขายเจ้าเดียวนะตรงด่าน

นั่งรถมาอีกสักพักใหญ่ๆ เลยกว่าจะมาถึงท่ารถขัวดิน

ท่ารถขัวดินเป็นศูนย์รวมค่ะ มีรถเมล์อะไรพวกนี้ด้วยใครอยู่เที่ยวเวียงจันทน์ก่อนก็เลือกรถได้เลย

มีของกิน มีร้านขายของชำ รวมถึงที่ขายตั๋วค่ะ

อยู่ห่างจากตลาดเช้าที่ทุกคนพูดถึงแค่ถนนคั่น

ตอนนี้กลับมาแล้วยังงงอยู่ว่า ตลาดเช้ามีอะไร เพราะตั๋วกลับเราก็ซื้อที่ขัวดินนี่แหละ

เพื่อนอ่านรีวิวก่อนไปแล้วเขาบอกว่าว่าต้องไปตลาดเช้าเวลาซื้อตั๋ว

- หารถต่อไปวังเวียง -

เพื่อนบอกว่าไม่ขึ้นรถตู้นะ มีคนโดนหลอกบ่อย เก็บข้อมูลมาจากในพันทิปนี่แหละ
เราก็อือๆ แล้วจะไปไงอ่ะ "ตลาดเช้า!" นี่คือคำตอบของเพื่อน
ระหว่างหาทางไปตลาดเช้า ก็ทนลูกตื้อของพี่ๆ รถตู้ไม่ไหว เพื่อนเลยบอกว่าจะไปตลาดเช้า เขาบอกว่าตลาดเช้าปิดแล้ว
แต่! แกกกกกก มันเป็นห้างอ่ะ มันเปิดทั้งวันมั้ยยังไง (เพิ่งมารู้ตอนกำลังจะกลับ สรุปโดนหลอกใช่ป่ะ 5555)
พี่รถตู้มาด้วยประโยคว่า "300 บาทวังเวียง คนไทยทั้งคัน เหลืออีก 3 ที่" ทุกเจ้าเลย

สุดท้ายก็นั่งรถตู้ค่ะ โอเคไม่โดนหลอก ไม่ปล่อยกลางทาง ส่งถึงที่โดยสวัสดิภาพ
ระหว่างทางมีแวะปั๊ม 1 ครั้งค่ะ ปตท. มีคาเฟ่อะเมซอนด้วย เมนูเหมือนกัน ราคาแพงกว่าที่ไทยนิดหน่อย ประมาณ 10 บาท
มีมินิมาร์ท ขนมขบเคี้ยวที่นำเข้ามาจากไทยเรานี่แหละ และข้าวเหนียวหมูปิ้งที่แพงมาก

รถตู้นั่งสบายนะคะ กว้างมาก สบายกว่ารถบัสเยอะ
แต่ระดับความสั่นไหวของเส้นทาง ตามภาพเลยค่ะ

นั่งรถมาราวๆ 3-4 ชั่วโมง (จำไม่ได้ แฮ่) ก็มาถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือ วังเวียง

ภาพแรกที่ลงมาจากรถตรงปากทางเข้าวังเวียง

เห้ยแกมันถึงแล้ว เมืองเล็กๆ น่ารัก ก้อนเมฆระภูเขาสวยงาม

แต่... ก้มมองดูพื้นสิคะ มิน่าล่ะ ทำไมผู้คนไม่เดินไปสักที ยืนกันอยู่ตรงป้ายรถเมล์หมดเลย

เนื่องจากประเมินด้วยสายตาแล้วพื้นไม่เละ แค่น้ำท่วม

จึงถอดรองเท้า เดินลุยน้ำก่อนที่ทุกคนจะตามๆ กันมา รวมถึงฝนก็ตกปรอยๆ อยู่ด้วย เปียกก็เปียกค่ะ สบายๆ



จากนั้นก็เดินมาโรงแรม เมลานี่ 1 ซึ่ง location ดีมากๆ เดินไม่กี่ก้าวถึงซากุระบาร์เลยค่ะ

เพื่อนเลือกมาให้ แหม่ จุดประสงค์ชัดเจนนะคะ 5555



พูดถึงโรงแรมสักหน่อย

ไม่มีอาหารเช้า พนักงานน่ารักดี พูดได้ไทย-ลาว-อังกฤษ

เราพักห้อง 3 คน ห้องดีเลยทีเดียวกว้างมาก โปร่งสบาย

แต่เดินผ่านห้อง 2 คน ตรงชั้น 1 นี่เฉยๆ นะ

ที่โรงแรมมี one day trip และตั๋วรถขายค่ะ ซื้อจากโรงแรมได้เลย


- คืนแรกที่วังเวียง -


แถมวิววังเวียง ณ ตอนที่มาถึงอีกภาพ

ส่วนรูปนี้เป็นวิวจากระเบียงห้องพักเราเอง ที่มองเห็นอยู่ไกลๆ นั่นมีเพลงจากบาร์ขับกล่อมแก้เหงาด้วย 55555

หลังจากเข้าห้องพักกันแล้วฝนปรอยๆ ก็ยังไม่มีวี่แววจะหยุดตก

พอค่ำๆ เราเลยตัดสินใจลงไปเดินหาของกินริมแม่น้ำซองกันค่ะ



จำชื่อร้านไม่ได้ แต่พอถึงแยกทางลงแม่น้ำซองเลี้ยวไปทางขวา ประมาณ 2-3 ร้านค่ะ

ตัวอย่างหน้าตาอาหาร

ราคาค่าเสียหาย มีอาหาร 3 จาน เครื่องดื่มมี น้ำผลไม้, โกโก้ปั่น แล้วก็คอกเทล

รวม 120,000 กีบ คิดเรทวันที่เราไปคือ 510 บาทค่ะ


ขอกระซิบบอกดังๆ เราสั่งคอกเทล Gin อะไรสักอย่าง โอโห้ กลิ่นและรสชาติแบบกลิ่นไม่ได้เลยค่ะ ยอมใจ

พยายามกลั้นใจกินอยู่ 4-5 ครั้ง เราว่าเรากินไม่เลือกแล้วนะ สุดท้ายยอมแพ้ค่ะ



หลังกินข้าวก็มาหาซื้อ One Day Trip กัน

ตกลงเป็นร้านนี้ค่ะ ชื่อร้านไม่ต้องถามนะคะ จำไม่ได้อีกเช่นเคย อยู่ตรงกลางๆ ซอย

แพคเกจที่เราเลือกคือ ทูบบิ้งที่ถ้ำน้ำ ดูถ้ำช้าง พายคายัค 10 กม. แล้วจบที่บลูลากูน

นัด 9 โมง กลับ 6 โมงเย็น กลับถึงจริงๆ น่าจะประมาณทุ่มนึงค่ะ

ราคา 150,000 กีบ หรือ 600 บาทต่อคน

จ่ายเงินไทยสิคะ จะรออะไร ถูกกว่าตั้งคนละ 40 บาทแหนะ มือถือนี่ต้องจิ้มเครื่องคิดเลขให้ไวค่ะ 5555

ลืมบอกว่าเราไม่ได้แลกกีบไปค่ะ แต่เพื่อนแลกไป ส่วนเราถือเงินไทยกับเงินกีบนิดหน่อยที่เขาทอนมาค่ะ

อันไหนถูกกว่าก็จ่ายอันนั้นเอาละกัน ง่ายดี ค่าเงินลาวนี่ขึ้นๆ ลงๆ ทุกวันเลยราวๆ 10-30 กีบ/บาท ณ วันที่เราไป



ระหว่างเดินกลับโรงแรมเตรียมมาซิ่งซากุระบาร์

เพื่อนก็จัดโรตีค่ะ ตอนเย็นๆ จะมีรถเข็นที่จอดนิ่งขายโรตีเยอะมาก

ราคา 10,000 กีบ

เมื่อได้มื้อดึกแล้วเราก็แวะกลับโรงแรม

แต่โดนเพื่อนชิ่งค่า เลยออกมาซากุระบาร์คนเดียว

อ่ะอันนี้ ราคาเหล้าเบียร์ และมีฟรีบาร์ ตอน 2-3 ทุ่มด้วยค่ะ

คืนแรกจัดเบียร์ น้ำโขง มาค่ะ เพราะบาร์บอกว่าเบียร์ลาวยังไม่เย็น เอาน้ำโขงไปก่อนเนอะ

จ่ายเป็นเงินไทย 60 บาท อันนี้เงินลาวถูกกว่า แต่ประเด็นคือมีไม่พอค่ะ 5555

ก็ชิลๆ ไปเก็บบรรยากาศ ด้อมๆ มองๆ อยู่โซนข้างนอก ก่อนคนจะเริ่มทยอยออกเลยเข้าไปข้างใน

ที่นี่มีครบ ไทย เกาหลี และฝรั่ง เน้นหนักไปทางสองชาติแรก

จริงๆ ถ้าใครไม่ดื่มก็มาได้นะคะ มาเต้นๆ เอามันส์ได้เลย ไม่ต้องห่วง

พอร้านปิดเราก็กลับโรงแรมค่ะ โลเคชั่นดีจริงๆ เดินครึ่งนาทีถึงประตูโรงแรมเลย



- เช้านี้ที่วังเวียง -

อรุณสวัสดิ์ยามเช้า เดินชมเมืองกันสักหน่อย
เพื่อนไม่ตื่นหรอ เออช่างมัน ไปเดินชมสายลมแสงแดดและหาของกินดีกว่า
ฝนยังตกปรอยๆ เหมือนเมื่อวาน
เช้าๆ แบบนี้ถนนโล่งเชียว มีรถเครื่องของชาวบ้านขับผ่านไปมาบ้างนิดหน่อย

จะวุ่นวายหน่อยก็เพราะคนกำลังขนเรือคายัคขึ้นบนหลังคารถสองแถว สำหรับนักท่องเที่ยวในช่วงสายๆ

ภารกิจหลัก คือ ของกินค่ะ ของกิน เพราะหิวมาก

มีคนบอกว่าร้านอาหารเยอะแยะ แต่ทำไมเดินมาเจอแต่รถเข็นขายเหล่านี้ล่ะ

ไม่มีให้เลือกด้วยนะ กี่เจ้าๆ เหมือนกันหมดเลย

ราคาก็ประมาณนี้

เราสั่งตามคนข้างๆ ค่ะ เพราะเห็นน่ากินดี

มารู้ที่หลังว่ามันคือใส่ทุกอย่างที่มีในเมนูรวมกัน

คุณป้าคนขายบอกตอนแรกว่า 110 บาท แต่พอทำเสร็จเราก็จ่ายไป 120 ป้าก็งงๆ

แล้วป้าก็ไม่ทอนนะ เราก็ไม่ได้อะไร เพราะมันน่ากินมาก

ไม่ได้คำนวนราคาเงินกีบด้วย เพราะไม่ได้หยิบมือถือไป พกกล้องไปกับเงิน แค่นั้น 555555555555


เมื่อได้ของกินแล้วก็เลยถือโอกาสเดินชมเมืองต่อ เดินมาชิลๆ ริมแม่น้ำซอง

บรรยากาศยามเช้ากำลังดี แปลกใจที่เมืองเงียบมาก เดินมาริมน้ำคือไม่เจอใครเลย


มายืนชมวิวถ่ายรูปสักพักก็เดินกลับที่พัก ด้วยความซ่าอยากเห็นเมืองเยอะๆ เลยเดินไปอีกซอย

โอ้โห อ้อมไกลมากข่าาาา นึกภาพของการที่มีแค่กล้องออกมั้ย

นาฬิกาก็ไม่มี วันเดย์ทริปก็นัดเก้าโมง แล้วทางเดินไปอีกแค่ไหนก็ไม่รู้ถึงจะได้เลี้ยว แผนที่ก็ไม่มีไปอิ๊ก

เจอคนสวนมามีนาฬิกานี่รีบถามอย่างไว เดินกลับโรงแรมแทบไม่ทัน


- ONE DAY TRIP -

9 โมงเช้า ทุกคนมาพร้อมกันตามนัด ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย
ตามที่บอกไปแล้วว่าแพคเกจที่เราเลือกคือ ทูบบิ้งที่ถ้ำน้ำ-ดูถ้ำช้าง-คายัคแม่น้ำซอง-โดดน้ำบลูลากูน

ฝนตกปรอยๆ มาแต่เช้า และเริ่มทริปจากการนั่งสองแถวมาปล่อยไว้

อันนี้คือรถที่พาเราระหกระเหินมา คิดว่าถ้าฝนไม่ตกทางน่าจะดีกว่านี้เยอะเลย

พอลูกทัวร์มากันครบถ้วน พี่ๆ ก็เริ่มแจกน้ำดื่ม และไม้พายค่ะ เอามาโพสต์ท่าซะหน่อย : P

พร้อมกับบรรยายเรื่องความปลอดภัยต่างๆ วิธีการพาย และกำชับว่าให้ใส่ชูชีพไว้

ก่อนจะให้เราพายเรือไป... อีกฝั่งแม่น้ำ

ค่ะ ใช่ แค่อีกฝั่งแม่น้ำค่ะ โธ่ อุตส่าห์ฟังตั้งนานแหนะ


เมื่อข้ามมาแล้วฝั่งนี้จะมีห้องน้ำห้องท่าให้เข้ากันได้

ก่อนที่จะเดินต่อไปยังถ้ำน้ำเพื่อไปทูบบิ้งกันนนน ^^


หนทางมันไม่ง่ายอย่างที่คิดนะสิ ด้วยความที่ฝนตกมาตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า

พูดได้คำเดียวจริงๆ ว่า เละ! ดูได้จากหลังขาเพื่อนเราเลยค่ะ

ซูมดูสภาพพื้นกันให้ชัดๆ ค่ะ อื้อหืออออ

เราต้องเดินบนคันนานี้ไปด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลทีเดียว

แต่วิวสวยมากจริงๆ

ด้วยความที่ทางเดินทั้งลื่นทั้งแคบ กำลังเดินๆ อยู่ ก็ลงไปอยู่ในนาได้ยังไงไม่รู้


ไปจนถึงถ้ำน้ำ ด้วยความที่เป็นเทศกาลทำให้มีคนเยอะมาก พี่ไกด์ที่พามาจึงบอกเราว่า

ไปถ้ำหลุบกัน ถ้ารอทูบบิ้งอีกเป็นชั่วโมงแน่ๆ ฮือออ เค้าอยากทูบบิ้งอ่าา เสียใจ TT

แต่ก็เปลี่ยนก็ด้ะ เดินไปถ้ำหลุบต่อ ทางก็ลื่นๆ เหมือนที่ผ่านมา แต่ดีกว่าเยอะ

ไม่รู้มีสกิลดีขึ้น หรือฝนมันหยุดตกด้วยทางเลยแห้งมาหน่อย รวมถึงตรงนี้คนเดินผ่านไม่เยอะเท่า

ในถ้ำหลุบ จะเป็นลักษณะหินๆ ถ้ำมืดมากๆ

เราเดินเข้าไปไม่สุดค่ะ ยอมแพ้ เนื่องจากพื้นถ้ำเปื้อนโคลนๆ ไฟฉายแบบติดหัวก็หมด

คนที่เข้าไปรอบเรา คือ ใช้แฟลชมือถือส่องกันค่ะ

พี่ไกด์เล่าว่า มีผู้หญิงฝรั่ง 2 คนเข้ามาในถ้ำแล้วไฟฉายถ่านหมด กลับไปข้างนอกไม่ได้

แล้วก็เสียชีวิตอยู่ด้านในค่ะ เพื่อนเราบอกว่า ฟังประโยคนี้จบนางเดินหันหลังกลับก่อนเลย 555

สรุปคือถ้ำนี้ งั้นๆ ค่ะ ไม่มีอะไร


ส่วนด้านหน้าถ้ำจะมีพระพุทธรูปอยู่ค่ะ

เสร็จจากถ้ำนี้ ก็เดินกลับค่ะ

อ่ะ ปีนรั้วกันหน่อย โปรดสังเกตเพื่อนคนข้างหลัง : P

แล้วก็เดินมาจนถึงทางที่ต้องผ่านทุ่งนาอีกครั้ง แม่เจ้า ทางเละกว่าเดิมอีกจ้ะ

ไม่มีทางเลือกค่ะ ทางเดียวที่เลือกได้ คือ เดินค่ะ


หลังจากเดินมาจนเกือบสุดทางแล้วไกด์ก็พาแวะไปที่ถ้ำช้างค่ะ

เราไม่ได้ถ่ายรูปมา ก็จะมีหินที่มีลักษณะเป็นเหมือนหัวช้างอยู่ที่ผนังถ้ำ


แล้วก็ได้กินสักทีอะแกรรรรร

หิวมาก วันนั้นน่าจะประมาณบ่ายกว่าๆ หรือบ่ายสองแล้วน่าจะได้ค่ะ

เป็นข้าวผัด บาบีคิวสองไม้ ที่อร่อยมากๆ และขนมปังปลาค่ะ

เพื่อนเราเรียกแบบนั้นเพราะมันแข็งมาก แต่มันก็อร่อยนะ มีเรากินอยู่คนเดียว ><"

พักครึ่งเช้าไว้เท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมาต่อ คายัค และบลูลากูนค่ะ : )

ONE DAY TRIP ครึ่งบ่าย

หลังจากนั่งพักผ่อนอิริยาบถกันสักหน่อยเรียบร้อยแล้ว
เราก็จะได้พายคายัคกันจริงๆ แล้ว เย้!!!
มองเห็นสะพานด้านหลังมั้ย? นั่นแหละเมื่อเช้าเขาให้พายแค่จากตรงนั้นข้ามมา
เลยอดไปถ่ายรูปบนสะพานเลย แงงงง T T

ล่องแม่น้ำซองนำขบวนมาเลยจ้า มองเห็นเมฆระภูเขาตลอดทาง

สำหรับช่วงหน้าฝน พี่ๆ ไกด์จะไม่ให้สาวๆ พายเรือกันเองค่ะ เพราะว่าน้ำเชี่ยว

จะต้องมีพี่ไกด์นั่งหางเรือไปด้วย 1 คนค่ะ

แล้วก็วักน้ำสาดแกล้งกันอย่างสนุกสนาน นี่พยายามวักบ้าง แต่ไม่รอดค่ะ วักน้ำไม่ขึ้นเลย 5555

สำหรับใครที่กลัวคว่ำ เราว่ามันมีเปอเซ็นต์การคว่ำค่อนข้างน้อยเลยนะ

แต่ถ้าเกิดคว่ำจริงๆ แล้วแนะนำให้ออกมาจากตัวเรือค่ะ จริงๆ มันจะมีเชือกอยู่ด้วย

แต่ยังไงก็อย่าไปคว่ำอยู่ใต้ท้องเรือนะคะ จะไม่มีอากาศหายใจเอาเนอะ



ช่วงคลื่นลมสงบก็พาโนรามากันหน่อยยยย

คือไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพอหยิบไอโฟนออกมาทีไร น้ำนี่กระฉอกใส่ทุกที

เริ่มขี้เกียจ เลยปล่อยให้คนอื่นพายนำไปก่อนบ้าง

ได้อีกบรรยากาศนึง สนุกสนานมากๆ

จริงๆ แล้วที่ตัวเองพายนี่น่าจะไม่ช่วยเท่าไหร่

การพายหลักๆ นี่มาจากพี่ไกด์ด้านหลังเลยค่ะ จะซ้าย จะขวา ยกให้พี่เขาเลย 555555

พอมาใกล้ๆ ถึงจุดจอดเรือของพวกเรา ก็จะเป็นช่วงน้ำเชี่ยวมาก และมีคนคว่ำตลอดจ้า

แต่ไม่ต้องห่วง เพราะพี่ๆ เขาจะคอยดูและตามไปช่วยอยู่ตลอดค่ะ


แล้วเราก็นั่งสองแถวกันอีกยาวไกลเพื่อไปบลูลากูนกันต่อ เย้!

ฝนยังคกตกอย่างต่อเนื่อง ทางที่ทั้งโคลน ทั้งหลุมจัดเต็มมาก

เห็นคนขับ ATV กันนี่เละแบบ เละทั้งตัว เหลือพื้นที่ร่างกายไว้เพียงแค่ ตา 2 ดวงแค่นั้นเอง

พวกเราก็ภาวนากันไปตลอดทางว่าสิ่งที่จะเจอนั้นจะเป็น

บลูลากูน หรือ บราวน์ลากูน กันแน่ ขอให้บลูแล้วกันเน้อะ

นั่งรถไปสักพักแอบเห็นธารน้ำใสๆ ให้ชื่นใจค่ะ ชาวบ้านกำลังซักผ้ากันอยู่



พอไปถึงบลูลากูนก็โอเค รับได้ค่ะ มันบลูค่ะเทออออ มันยังบลูอยู่ ถือว่าโอเค

ชูชีพ-ห่วงยางมีให้เช่าค่ะ แต่จริงๆ ถ้าว่ายน้ำเป็นอยู่แล้วจะไม่ใส่ก็ได้นะ

เพราะว่ามันจะค่อนข้างน่ารำคาญ ใส่สักพักก็ส่งต่อเลย 5555

ที่ไปเอามาใส่เพราะจะกระโดดน้ำแล้วไม่มั่นใจในความลึกเฉยๆ กลัวจม

สำหรับบางกรุ๊ป ทัวร์จะมีชูชีพมาให้ด้วย

วันที่เราไปน้ำแรงมากๆ แรงแบบปลิวเลย ว่ายทวนน้ำขึ้นมาแทบไม่ได้เลย ต้องปล่อยไหลไป

เรามาถึงบลูลากูนน่าจะสี่โมงครึ่ง พอช่วง 5 โมงคนก็เริ่มโล่ง เพราะบางกรุ๊ปกลับกันแล้ว

เราอยู่ถึง 6 โมงเย็นค่ะ น้ำเย็นมากก ฟินนนนนนน ^^


พอได้เวลากลับก็นั่งสองแถวคันเดิมกลับมาพร้อมกับชมวิวสวยๆ ยามเย็นมาตลอดทาง

ยอมรับให้ควมถึกทนของโช้ครถค่ะ ดีมาก ดีแบบดีไปอิ๊ก กระแทกมาตลอดทางเลยทีเดียว


สรุปทั้งวันวันนี้ ก็จะได้ เดินไปถ้ำน้ำ (แต่ไม่ได้ทูบบิ้งและไม่ได้เข้า)

เดินไปถ้ำหลุบแทน เดินกลับมาถ้ำช้าง กินข้าวเที่ยง พายคายัค และไปเล่นน้ำที่บลูลากูน


- คืนสุดท้ายที่วังเวียง -

กลับมาจาก Day trip เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมซิ่งต่อสิค้าาาา
มาเที่ยวนะคะ พักผ่อนคืออะไรหนูไม่รู้จักจริงๆ จ้าา
2-3 ทุ่ม ซากุระ ฟรีตริ้งค์นะจ๊ะ ทุกคนนน
รีบไปให้ไว้ อยากผสมอะไรสั่งโลด มีสไปรท์ โค้ก น้ำส้ม น้ำมะนาว เก๋ๆ

บาเทนเดอร์ก็แซ่บ ฮี่ๆ แวะไปหยิบ ไปสั่งได้เลยจ้า

เรากับเพื่อนแวะไปหยิบมาก่อนคนละแก้ว แล้วก็ยืนถ่ายรูปกินบรรยากาศแป๊บนึง

เวลาตอนนี้คนยังไม่เยอะมาก แล้วเราก็หยิบอีกแก้วกันก่อนจะออกไปกินข้าว แหะๆ

ออกมากินร้านตรงหัวมุมถนนซอยข้างๆ (เดี๋ยวหาชื่อมาให้)

เขาบอกว่าอาหารร้านนี้อร่อย คนเต็มตลอดเลยตอนเย็นๆ

อ่ะ อันนี้เพื่อนร่วมทาง บังเอิญเจอหน้าซากุระบาร์ พี่เขาไปทริปด้วยกันมา

แต่เพิ่งได้มาทักทายกันจริงจังก็ตอนเย็นนี่แหละ เป็นชาวฮังการีค่ะ

ราคาอาหารโดยประมาณค่ะ มื้อนี้รวมน้ำตกคนละประมาณ 150 บาท

มาดูหน้าตาอาหารกันบ้างครัชช

เฝอเนื้อ

คาโบนาร่า รสชาติธรรมดา

หลังจากทานข้าวปลาอาหารเรียบร้อย เราก็กลับมาซิ่งที่ซากุระบาร์กันต่อ

คนเริ่มเข้ามาเยอะแล้วช่วงประมาณเกือบสี่ทุ่ม เรายังดำรงชีวิตจากฟรีดริ้งค์ที่เหลืออยู่ค่ะ 5555

อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้าแล้วว่าทางร้านไม่ได้ซีเรียสเท่าไหร่

จะสั่งไม่สั่ง จะให้เพื่อนกินแล้วตัวเองเข้าไปเต้นเฉยๆ ก็สบายมาก

จัดเบียร์ลาวสักหน่อย เพิ่งได้สัมผัสเบียร์ลาวที่ลาวก็วันนี้แหละ

จะว่าไปร้านอาหาร ผับ บาร์ที่นี่ชาร์จไม่แพงนะคะ ราคาถือว่าถูกและสบายกระเป๋ามากๆ สำหรับคนไทย

หลังจากร้านปิดเราก็เดินกลับโรงแรมกันอย่างครื้นเครงครัช

คืนสุดท้ายที่วังเวียงก็ประมาณนี้

อ่อออ อย่าลืมซื้อตั๋วรถกลับด้วยนะคะ เรามาซื้อที่โรงแรมค่ะ

ได้ราคาประมาณ 195 บาทค่ะ เป็นรถบัสปรับอากาศ ส่งถึงในตัวเมืองเวียงจันทน์ค่ะ


- ครึ่งวันสุดท้ายที่วังเวียง -

เช้าวันนี้เรากับเพื่อนตื่นลงมาหาของกินกันช่วงสายๆ ค่ะ
กะว่าเก็บของอะไรเสร็จแล้ว เดินเล่นรอบเมือง ถ่ายรูปแล้วมาเช็คเอ้าท์กลับเวียงจันทน์สบายๆ

เช้าวันนี้เลยขออรุณสวัสดิ์ยามเช้ากับโจ๊กใส่ไข่ ราคา 10,000 กีบ หรือประมาณ 42 บาท
ถือว่าแพงเหมือนกันนะ เพราะอยู่ไทยนี่ 25 บาทก็อิ่มแล้ว
แต่มีเครื่องค่อนข้างหลากหลายอยู่ในโจ๊กและอร่อยค่ะ โอเค ถือว่าผ่าน


หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราก็พาเพื่อนมาที่สะพานเล็กๆ ตรงแม่น้ำซองค่ะ เพราะเมื่อวานเดินมาคนเดียว 5555

มีคนพายคายัคและทูบบิ้งกันมาแต่เช้า ทูบบิ้งแม่น้ำซองนี่ดูชิลมาก

วางเบียร์คนละกระป๋องบนห่วงยางละก็ไหลไป เดี๋ยวคราวหน้ากลับมาซ่อมแน่ค่ะ น่าจะฟินลึ้มมม


ถึงจะเป็นช่วงสายๆ แล้วอากาศตรงนี้ก็ยังดีและฟินมากค่ะ วิวสวยทั้งวันเลยจริงๆ

ถ่ายรูปกันจนจุใจแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลากลับไปแพคกระเป๋า เช็คของให้เรียบร้อยก่อนเช็คเอ้าท์ค่ะ



ระหว่างเดินทางกลับอดใจไม่ไหวเมื่อเดินผ่านร้าน "หลวงพระบางเบเกอรี่"

แต่เวลาจะนั่งไม่มีแล้วไง ก็ซื้อกลับเอาละกัน ได้คุกกี้มา 4 ชิ้น ด้วยความหวังว่าเพื่อนจะกินด้วย

ชิ้นใหญ่มาก หนักมาก อร่อยมาก ชิ้นละ 15,000 กีบ 4 ชิ้น 260 บาท (จ่ายเงินไทยแพงกว่า)

แต่ปรากฎว่าเพื่อนไม่กินนะ คือกินคนเดียว แทนข้าวได้หลายมื้อจริงๆ เพราะอิ่มและอร่อยมาก

หิ้วกลับมาถึงไทยเลยขอสารภาพ กินไม่หมดข่าา 55555555



เดินตามเพื่อนมาที่โรงแรมเช็คเอ้าท์อะไรเรียบร้อยแล้วก็นั่งรอรถสองแถวมารับไปที่ท่ารถ

ก่อนจะต้องนั่งรอกันเป็นชั่วโมงครัชชช เนื่องจากวันนี้รถที่วิ่งจากเวียงจันทน์มาช้า (หรือมาปกติไม่รู้)

ส่วนรถที่จอดอยู่ที่ท่ารถก็ไม่มีขนขับจ้า ต้องรอรถมาแล้วตีกลับอย่างเดียวเลย

งอแงมาก เอาเวลาเที่ยวของหนูคืนมาค่ะ ถ้าเจ๊จะรู้อยู่แล้ว เจ้ปล่อยหนูไว้ในเมืองอีกสัก 1-2 ชั่วโมงก็ได้นะคะ TT



อ่ะเอาตารางมาฝากด้วยค่ะ ระหว่างนั่งเซ็ง

อยากไปหลวงพระบางมาก แต่เวลาไม่พอ

ค่ารถจากวังเวียงไปหลวงพระบางประมาณ 90,000 กีบ ประมาณ 400 บาท

อันนี้ถามพี่มา บังเอิญเดินเจอละเค้าชวนไป กะว่าคราวหน้าต้องมาซ่อมเหมือนกันค่ะ 5555


สำหรับรถบัสเที่ยวนี้รถออกมาช้าน่าจะเกือบ 2 ชม. ได้มั้งคะ เราไม่แน่ใจเหมือนกัน

แต่มาถึงเวียงจันทร์ประมาณทุ่มครึ่งน่าจะได้ คนที่ต้องข้ามกลับด่านไทยวันนี้ คือไปไม่ทันแล้ว

รถคันนี้จอดที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติค่ะ


ลุ้นตลอดว่าเขาจะปล่อยลงไหน ขอลงกลางทางได้มั้ย

โชคดีมากที่จุดจอดรถใกล้โรงแรมพอดี เดินไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงเลย

3 ชะนีเดินจ้ำอ้าวออกมาโดยทิ้งเพื่อนร่วมทางมองงงๆ อยู่ด้านหลัง

ก่อนจะไปเช็คอินที่โรงแรมค่ะ


- ราตรีนี้ที่เวียงจันทน์ -

แปะแผนที่ก่อนละกันเนอะ
จะได้เดินตามมาเที่ยวกันถูกไม่หลงทางค่ะ

ไม่มีรีเสิร์จใดๆ ทั้งสิ้นสำหรับเวียงจันทน์ค่ะ สิ่งเดียวที่คิดมาคือ ประตูชัย


หลังจากจัดแจงอะไรที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว

เป้าหมายแรกของเรา คือ ริมแม่น้ำโขง

ตลอดทางก็จะพบกลุ่มวัยรุ่น และหนุ่มสาวลาวเดินเล่นชมวิว ชมบรรยากาศกันค่ะ

ที่นี่คือสวนสาธารณะเจ้าอนุวงศ์นั่นเอง จึงมีผู้คนและไฟส่องสว่างตลอดทาง


เดินมาเรื่อยๆ จะถึงอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ วีรกษัตริย์ของลาว ที่ได้ทำพิธีเปิดไปช่วงปลายปี 53

อนุสาวรีย์หันหน้ามาทางประเทศไทย และผายพระหัตถ์ขวามายังฝั่งไทย

สื่อว่า พระองค์ได้ให้อภัยแก่ผู้รุกรานที่เคยกระทำ ตามประวัติศาสตร์ของประเทศลาว ไม่ดราม่าโน้ะะะะะะ

มาถึงตรงนี้เดินต่อไปก็เป็นทางเรื่อยๆ ไม่มีอะไรดึงดูด พวกเราก็เดินย้อนกลับทางเดิมค่ะ

เพื่อไปตามหา บาร์ จ้าา : D


ระหว่างทางเดินกลับเราจึงพบทางเดินลงแบบไม่ต้องปีน 5555

เหยยย มีไนท์มาเก็ตด้วยอ่ะแกกกกก ตลาดนัดค่ะ ตลาดด ช้อปปิ้งกันหน่อยมั้ยสาวๆ

สำหรับสินค้าต่างๆ หน้าตาก็คล้ายๆ ของบ้านเรา ราคาพอๆ กัน

ของที่ขายก็อารมณ์ตลาดกลางคืนแถวๆ บ้านเรานั่นแหละ เสื้อผ้า พรอพ ของเล่น เคสมือถือ บลาๆ

ตลาดค่อนข้างยาวเหมือนกันค่ะ เดินได้เรื่อยๆ เลย


เดินตามแสงไฟมาจนถึงใต้ตึก ก็พบป้ายชื่อร้าน "บ่ เป็น หยัง"
เรากับเพื่อนๆ จึงตัดสินใจลองเดินขึ้นไปค่ะ

สำหรับนักชิมคงสนใจเมนู Viantiane Sling และ Hello Bor Pen Yang กันสินะ

เราก็สายลองอยู่ละ จัดค่ะ จัดดดด!

สำหรับ Hello Bor Pen Yang - 30,000 กีบ (แก้วขวา) เป็นเมนูที่ถามแล้วพี่บาเทนเดอร์ตีหน้ามึนใส่นานมาก

เพราะหาคำอธิบายเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษไม่ถูก รสชาติจะออกมิ้นๆ มิ้นแบบสะระหน่

ส่วน Viantiane Sling - 25,000 กีบ

จะคล้ายๆ กับ Singapore Sling ต่างกันที่อะไรสักอย่างนี่แหละ ถามแล้วลืมแล้ว 55555

พูดถึงอาหารกันบ้าง ที่ร้านนี้มีเมนูอาหารค่อนข้างหลากลายทีเดียว

แต่ถ่ายรูปมาอย่างเดียวเช่นกัน แหะๆ อันนี้เป็นเบอร์เกอร์ไก่ ราคา 35,000 กีบ

หน้าตาว่าดีแล้ว รสชาตินี่ขอบอกว่าดีกว่าหน้าตานะคะ

ตัวแป้งขนมปังจะเป็นลักษณะแบบขนมปังกระเทียม ฟินมาก อร่อยมาก เรื่องอ้วนค่อยว่ากันเนอะ


ตอนแรกนั่งอยู่หน้าบาร์เพราะว่าโต๊ะติดริมระเบียงไม่เหลือเลย พอเริ่มดึกๆ โต๊ะว่างจึงย้ายไปนั่ง

วิวริมระเบียงก็ชมแม่น้ำโขงสีดำ ก็ดำสิ มันมืดนี่หว่า กับแสงไฟเรียงรายโค้งไปจนสุดสายตา

มาว่าที่ Cocktail กันต่อ

Sex On The Beach - 30,000 กีบ

ปกติค่ะ Cocktail สำหรับสาวๆ หลายคน เปรี้ยวหวานตามประสา


ถ้าจะถามว่ารสชาติเหมือนกับร้านทั่วๆ ไปในเมืองไทยเรามั้ย ขอไม่ตอบแล้วกัน

ปกติเราจะเลือกสั่งอะไรที่ไม่เคยกิน ไม่ค่อยกินอะไรซ้ำๆ เท่าไหร่ กินแล้วจำไม่ค่อยได้อีกตะหาก 55555

ส่วนราคาอยู่ที่แก้วละ 105-150 บาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับรสชาติ ราคา และหน้าตาแล้ว ถูกกว่าเห็นๆ



ค่าเสียหายสำหรับคืนนี้

ทางร้านรับบัตรเครดิต เงินกีบ เงินบาท และ USD ค่ะ คิดมาให้เสร็จในใบเสร็จเลย ไม่ต้องคำนวณวุ่นวาย

ร้านปิดประมาณตี 1 ค่ะ

มีผับยังไม่ปิด ผับแนะนำอยู่ห่างไปประมาณ 2-3 กิโล ค่ะ เราเลยบายค่ะ ขี้เกียจไป เพราะเป็น Walking trip จริงๆ ไม่มีตังค์ 5555


- อรุณสวัสดิ์เวียงจันทน์วอคกิ้งทริป -

เริ่มที่มาถ่ายรูปริมแม่น้ำโขงก่อนเลยอย่างแรกเพราะใกล้สุด

ระหว่างทางก็พบวิวทิวทัศน์ประมาณนี้

ลานโล่ง ที่ชุ่มฉ่ำสายฝน

ธงชาติลาวที่ประดับอยู่บนขอบทางที่ยกขึ้นมาริมแม่น้ำโขง สลับสีสวยงาม

เก็บบรรยากาศกันพอประมาณแล้ว ต้องตามหาตั๋วกลับไทยและมื้อเช้าแล้วแหละ

ก่อนจะออกจากโรงแรม ขอรีวิวโรงแรมกันหน่อย

เรทราคาสำหรับวอคอินค่ะ

เราจอง agoda ไปสรุปว่าแพงกว่าวอคอินนะ เป็นห้องแฟมิลี่ 555555

ห้องพักถือว่าดีเลยทีเดียวในราคาประมาณ 1400 ห้องกว้าง โปร่ง สบายตา ให้ 9/10 เมื่อเทียบกับราคาห้อง

เตียงนอนสบาย มีทีวี ตู้เย็น แอร์เย็นสบาย ห้องน้ำสะอาด แต่เราไม่ค่อยชอบห้องน้ำสไตล์นี้เท่าไหร่ ให้ 7/10 เมื่อเทียบกับราคา

แต่ แต่ แต่ ที่นี่ไม่มีอาหารเช้านะคะ ไม่มีห้องอาหารด้วย เป็นโรงแรมเล็กๆ มีให้แค่ ชา-กาแฟยามเช้า เดินมาขอได้ที่ลอบบี้ค่ะ

โลเคชั่นโรงแรมดี เดินไปไหนไม่ไกลมาก พนักงานน่ารัก บริการดีค่ะ : )

ทิ้งกระทู้ไปนาน แต่กำลังมาต่อให้จบละน้าาา : )

ขอโทษสำหรับคนที่รออยู่ด้วยค่า


- ตามหาแลนด์มาร์ค -

ได้เวลาตามหา Landmark ของลาวกันแล้ว
วันนี้ฝนปรอยๆ ตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่หยุดตกเลย
ออกเดินทางตามรูทมาที่ถนน(ย้อนไปดูภาพด้านบน) สิ่งแรกที่ผ่าน คือ Presidential Palace ค่ะ อาคารสวยดีเลยทีเดียว
เด่นตระหง่านอยู่ตรงกับประตูชัยค่ะ แต่อยู่คนละฝั่งถนน ไม่ใช่ฝั่งตรงข้ามนะ สุดปลายคนละข้างเลย

วัดระยะความไกล

ก่อนที่จะไปประตูชัย เราต้องแวะมาซื้อตั๋วกันก่อนค่ะ

จากข้อมูลที่ได้มา คือ ให้มาซื้อที่ตลาดเช้า

โอเคค่ะ ไปตลาดเช้า ปรากฎว่า ไม่มีค่ะ ไม่มีที่ขายตั๋ว ต้องเดินไปขัวดินอยู่ดี


ตารางเวลารถ เวียงจันทน์-หนองคาย

ตารางเวลารถเวียงจันทน์-ขอนแก่น

และเรื่องแจ้งให้ทราบต่างๆ

สำหรับการขายตั๋ว เขาจะขายเป็นรอบๆ ค่ะ

ถ้าไปซื้อแต่เช้า จะซื้อรอบบ่ายๆ เย็นๆ ไม่ได้นะคะ

เขาจะขายใกล้ๆ เวลา หรือว่าขายเมื่อรถรอบนี้เต็มค่ะ ถึงจะเปิดขายเที่ยวต่อไป

ตอนแรกเราจะกลับหนองคายตอนเย็น เลยยังซื้อไม่ได้ค่ะ เลยให้เพื่อนที่จะกลับอุดรตอนบ่ายซื้อไว้ก่อน


แวะทานข้าวกันสักหน่อย เดินมานี่ไม่มีร้านข้างทางเลย มีแต่ร้านจริงจังไปหมด

อันนี้เป็นก๋วยจั๊บราคา 10000 กีบ หรือประมาณ 40 บาท ส่วนเฝอน่าจะชามละ 15000 กีบค่ะ

อิ่มท้องเรียบร้อยก็ข้ามกลับไปที่ตลาดเช้า แล้วเดินทะลุไปที่ถนนเส้นที่นำทางไปประตูชัยกันค่ะ


ในที่สุดเราก็มาถึง ประตูชัย Landmark ของเมืองลาวกันแล้ว

ขอ Hipster สักรูปนึงโน้ะ

ถ่ายใกล้ๆ กันบ้าง

ความจริงคือ กลับมาได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วเพิ่งรู้ว่านี่คือด้านหลังค่ะ

โอ๊ย ขำตัวเองมาก รูปด้านหน้าขอบอกว่าไม่มีเลย โถถถถถถถ

สำหรับใครที่อยากขึ้นไปชมวิวบนประตูชัย เสียค่าขึ้นคนละ 3000 กีบ หรือประมาณ 12 บาทค่ะ

เดินขึ้นนะคะ บันไดมีหวาดเสียวเล็กน้อย ถ้าใครเดินรอบเมืองมาแล้วอาจจะถอดใจได้ เพราะเหนื่อย 55555

ชั้นต่างๆ จะมีขายของฝาก ของที่ระลึกอยู่ด้านในประตูชัย

เก็บวิวจากด้านบนมาฝากกันค่ะ ทางด้านหน้ามีน้ำพุด้วย (ทำไมตอนนั้นไม่คิดนะ ว่ามันคือด้านหน้า)


สำหรับชั้นบนสุดของประตูชัย ทางขึ้นจะเป็นบันไดวน

ค่อนข้างแคบเลย เดินสวนกันได้ แต่ไม่เหมาะ ใจจะหวิวๆ แปลกๆ

ไม่รู้เพราะขาสั่นจากการเดินรอบเมืองมาด้วยหรือเปล่า 5555

ด้านบนจะแคบมากๆ มีเหล็กดัดเป็นลวดลาย

ตั้งใจว่าจะลงมาถ่ายรูปกับน้ำพุตั้งแต่มองเห็นจากข้างบน คุยกับเพื่อนไว้ดิบดี

ปรากฎว่าพอเราลงมาถึงข้างล่างปิดน้ำพุซะงั้น งงสิคะ เซ็งเลย งอแง ไม่ถ่ายก็ได้ กลับดีกว่า เดี๋ยวเพื่อนตกรถ

เพราะต้องแวะไปเอาของที่โรงแรมด้วย เนื่องจากขี้เกียจแบกมา


ขากลับเราเลือกเดินกลับอีกทาง อยากเห็นธาตุดำ คือเห็นป้ายชี้มา + พนักงานที่โรงแรมแนะนำมา

ปรากฎว่าพอมาถึงก็อึ้งเลยค่ะ อือ แล้วไงอะ?

เหมือนเป็นวงเวียน แล้วมีเจดีย์อยู่ตรงกลาง อือ แค่นั้นอ่ะ


มาว่ากันที่ Part ประวัติศาสตร์ ธาตุดำ เป็นเจดีย์ที่อยู่กลางเมืองเวียงจันทน์ เมื่อก่อนหุ้มด้วยทอง

เล่ากันว่ามีพญานาค 7 เศียรอาศัยอยู่ คอยรักษาบ้านเมืองให้พ้นจากการโจมตีของไทย

คนท้องถิ่นถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องภัยอัตรายแก่บ้านเมืองค่ะ

ทั้งหมดนี้เพิ่งรู้ตอนกลับไทยละเสิร์จกูเกิ้ลข่า 5555

เมื่อกลับถึงโรงแรมก็จัดแจงกระเป๋ากันอีกนิดหน่อย เพื่อเตรียมพร้อมกลับเมืองไทย

เรากับเพื่อนกลับคนละวันกันค่ะ ตอนแรกเรากะว่าจะกลับจากเวียงจันทน์เย็นๆ เดินเที่ยวต่ออีกหน่อย

แต่บังเอิญพี่ที่รู้จักกันชวนไปเที่ยวหนองคาย เลยเปลี่ยนใจกลับช่วงบ่ายแทน


ส่งเพื่อนขึ้นรถเรียบร้อย ก็ไปลุ้นตัวที่ขัวดิน ได้ 2 ที่นั่งสุดท้ายของรถรอบบ่ายมาพอดีเลย


บ๊ายบายเมืองลาวว กลับไทยกันเนอะ

ตอนลงมาที่ด่านลาวก็แวะซื้อเบียร์ลาวเป็นของฝากเพื่อนนิดหน่อย พอมีเวลาให้ช้อปปิ้งหลังจากผ่าน ตม. ค่ะ


ฮัลโหลล ไทยแลนด์ ไม่ได้เจอหลายวัน

รถคันนี้ (ที่ซื้อตั๋วจากขัวดิน) จะมาจอดปลายทางที่ บขส. หนองคาย

แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่นั่งมาลงแค่ด่านพรมแดนแล้วก็แยกตัวไปเลย คาดว่าตั๋วน่าจะราคาเท่ากันค่ะ

- สวัสดี หนองคาย -

"วีรกรรมปราบฮ่อ หลวงพ่อพระใส สะพานไทยลาว"
คำขวัญประจำจังหวัดหนองคาย

ฮ่อคือชาวจีนที่เป็นกบฎกับแมนจู
ส่วนหลวงพ่อพระใส อยู่ที่วัดโพธิ์ชัย
และสะพานไทยลาวก็คือสะพานที่เราข้ามไปข้ามมานั่นแหละ

เพิ่งเคยมาจังหวัดนี้เป็นครั้งแรก (ถ้าไม่นับที่นั่งรถผ่านไปลาวตอนขาไป)
แผนที่เมืองหนองคายค่ะ

มาถึงบขส. พี่ก็แวะมารับพาไปจองโรงแรมที่จะพักคืนนี้ค่ะ

ได้มาในราคา 480 บาท เท่ากับใน Agoda เรท Walk-in ของโรงแรมจะแพงกว่านี้นิดหน่อยค่ะ


ยังไม่ได้ขึ้นไปบนห้องพี่ก็พาไปจัดมื้อเย็นเลย

ที่ชาบูอินดี้หนองคาย ราคาน่าจะ 189 ไม่รวมน้ำค่ะ รวมทั้งหมดแล้วตก 200 บาทหน่อยๆ



ร้านอยู่ริมแม่น้ำโขง มองออกไปเห็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาวด้วย

ไม่ได้อยู่ไกลลิบ แต่ไม่ใช่ระยะที่สามารถถ่ายรูปคู่ได้ เอาวิวอีกฝั่งแม่น้ำโขงไปดูแทนละกันเนอะ

หิวแล้วใช่มั้ย สั่งเลยค่ะสั่งเลย จานแรกมาแน่นๆ เขาจะจัดชุดมาให้สวยๆ แค่จานเดียวเท่านั้นแหละ 5555

หลังจากจานนี้ก็จะมาเสิร์ฟเป็นจานคอนโด

ด้วยความหิวหรือด้วยนิสัยก็ไม่รู้ เราและพี่กินโดยการคว่ำทุกอย่างใส่หม้อค่ะ

ไม่มีการบรรจงใดๆ ทั้งสิ้น เอาเป็นว่าให้มันสุกก็พอ 5555555555

หลังจากอิ่มหนำเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกว่าจะไปนั่งชิลยามค่ำคืนค่ะ แต่หมดสภาพ

เนื่องจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมา พอนั่งเคลียร์กระเป๋า แพคของเตรียมขึ้นเครื่องพรุ่งนี้ ก็หลับไปเฉยเลย

ตื่นมาอีกทีสี่ทุ่มกว่าๆ ก็ขี้เกียจออกละมั้ย sync รูปจาก 2 กล้อง นั่งเล่นเน็ตไปอะไรไปก็หมดคืนละ



มารีวิวโรงแรมราคา 480 บาทกันหน่อย

โรงแรมชื่อ โรงแรมหวน-ลาย ใน Agoda ใช้ชื่อว่าา กลางเมือง แอท หนองคาย

อันนี้มีสติ อยู่คนเดียวไม่รีบร้อน ห้องยังไม่รื้อ ไม่รก ถ่ายรูปได้

ห้องกว้างพอสมควร ถ่ายจากสุดฝั่งห้องทั้ง 2 ฝั่งค่ะ

ห้องน้ำโอเคใช้ได้ ขนาดกะทัดรัด แต่ไม่แคบจนเกินไปนักค่ะ ขออภัยไม่มีรูป


- วันสุดท้ายของทริป -

วันนี้ยังอยู่ที่หนองคายค่ะ
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า พี่บอกว่าให้เดินไปกินไข่กะทะที่ร้านนี้ ถามทางจากโรงแรมนะ
โอเคค่ะ ที่โรงแรมเป็นน้องฝึกงานมานั่ง ไม่รู้ทางไปอีกกก ง่อออ
เลยตัดสินใจเดินมาตามความรู้สึกค่ะ ก็ป๊ะกับร้านนี้ตามที่บอก อิ่มเอมไข่กะทะ

หลังจากพยายามค้นหาว่าหนองคายมีอะไรเที่ยวบ้าง ถามคนนู้นคนนี้บ้าง สรุปคือ ไม่ค่อยมีค่ะ TT

เดินไปเที่ยวตลาดอินโดจีนก็ได้ป่ะ มีอะไรบ้างไม่รู้ แต่ต้องไปดู

บรรยากาศประมาณนี้ ของขายก็ทั่วไปของตลาดชายแดน

ของกินของฝาก ของอบแห้งต่างๆ เสื้อผ้าก็มี

สิ่งที่ดึงเงินออกไปจากกระเป๋าตังเราได้ คือ กะทะ ค่ะ ใช่ค่ะ กะทะ กะทะสำหรับทำไข่กะทะนั่นเอง

ซื้อมาฝากแม่ด้วยความรัก 555555555555555


ที่นี่เขามีร้านขึ้นชื่อ คือ กาแฟเวียต หรือร้านกาแฟเวียดนามนั่นเอง

บรรยากาศร้านก็ตกแต่งน่ารักดี เข้าจากทางตลาดได้เลย อีกฝั่งของร้านติดแม่น้ำโขง

ส่วนหนึ่งของตู้ตุ๊กตาเวียดนามน่ารักๆ

ข้าวผัดอะไรสักอย่าง พี่เราสั่งมากิน ก็อร่อยดีนะ ส่วนเราสั่งขาเขียวข้าวคั่วมา เขาบอกว่าเป็นเมนูขายดีของทางร้าน

หมดเวลาสนุกแล้วสิ

ท้องฟ้าสดใส แดดเปรี้ยง บอกลาเราเลยทีเดียว หลังจากที่ฝนตกเกือบตลอดเวลาตอนอยู่ที่ลาว

แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นอย่างนั้นไม่ ตอนเกือบๆ 4 โมงเจอฝนลงหนักมาก ฟ้านี่ดำครึ้มเกือบทั่วเมืองอุดรฯ

ฝั่งสนามบินนี่ครึ้มสุดชนิดที่ว่า พี่มาจอดรถให้ในร่มเดินเข้าเทอมินอลยังเปียกได้ เพราะลมแรงมาก

สำหรับใครที่อยากซื้อแหนมเนืองเป็นของฝาก ที่สนามบินมีขาย

เห็นว่าราคาเดียวกัน คนพื้นที่บอกมา จริงมั้ยไม่รู้ ไม่ได้เช็ค แต่เขาจะแพคกล่องเรียบร้อยสวยงาม

สำหรับใครที่บิน Thai Lion Air ถือขึ้นเครื่องได้เลย บางสายการบินอาจจะถือไม่ได้ เพราะตอนซื้อคนขายถามอยู่ว่าบินอะไร

ระหว่างรอ ก็ดูบรรยากาศกันไป ตอนนี้ฝนซาแล้ว ตกปรอยๆ ได้บรรยากาศญี่ปุ๊นญี่ปุ่น

กางร่มเป็นแถวน่าร๊ากกกกกกกกกก

วันที่ฝนตก ไหลลงที่หน้าต่าง...

เราบินไฟลท์ 5 โมงเย็น แสงอาทิตย์กำลังงดงามเลยทีเดียว วันนี้เมฆเยอะและสวยด้วย ฟินนนน : )


สำหรับทริปเล็กๆ ย่อยๆ รูปเที่ยวอื่นๆ เราอัพลงเพจนี้ค่ะ เผื่อใครอยากตามไป พูดคุยกันได้ค่ะ : )

page: facebook.com/jernaan.journey

ig: https://instagram.com/mmiew


แล้วเจอกันค่ะ : )

เจอนั่น Journey

 วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 21.06 น.

ความคิดเห็น