"Travel is not a reward for working, it's education for living."
-Anthony Bourdain-

วันหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลายสายพูดมาเข้าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา "มึงไปเปรโต๊ะลอซูไหม" ??? ในหัวคือ blank ไปเลยไม่มีความรู้เกี่ยวกับที่นั้นเลย แต่มันเป็นอะไรที่เร่งด่วน ณ ขณะนั้น แล้วเช็ควันเวลาแล้วคือว่างอะนะ เลย "OK ไปงัฟ"

หลังจากวางสายไป - ฮาโรย - ทำไรลงไปละเนี่ยยย เปิดคอมเช็คข้อมูลหน่อย โอ๊ยยย...ปวดขมับเลย เจอข้อมูลสถานที่...ว่ากันมาว่า

น้ำตกเปรโต๊ะลอซู หรือ น้ำตกปิตุ๊โกร น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500 เมตร เป็น “หัวใจแห่งอุ้มผาง” และยอดของน้ำตกนี้คือ"ดอยมะม่วงสามหมื่น” สูงกว่า 1,600 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เส้นทางการเดินค่อนข้างโหด ทางค่อนข้างชันเเละลื่นมาก ระยะทางประมาณ 7 กิโล ซึ่งซ่อนตัวอยู่ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โค้งที่จะเข้าอุ้มผางทั้งหมด 1,219 โค้ง


ฮาโหลลลลลลลลลลลลล ฉันทำอะไรลงไป (ยิ้มอ่อนๆ)


มาถึงวันเวลาที่จะต้องออกเดินทาง เราก็ผ่านการเรียนรู้มามากมาย ก็เลยทำการบ้านกันสักหน่อย ต้องจัดเตรียมอะไรกันบ้าง เด๋วจะไปยืนงงในดงไผ่ซะเปล่าๆ

Check list สิ่งที่จะต้องนำไป

  • เต็นท์ หรือ เปล
  • เครื่องนอน เช่น ถุงนอน หมอน ชุดนอน
  • เสื้อกันลม กันฝนกันหนาว ชุดเดินป่า รองเท้าเดินป่า
  • ยารักษาโรค (สำหรับคนมีอาการป่วย เผื่อๆเอาไว้)
  • ไฟฉาย และ ของใช้ส่วนตัว ช้อน แก้ว จาน


ผมก็ งงๆ เส้นทางเหมือนกัน ไม่รู้อยู่ตรงไหนของประเทศเพราะออกกันมาตอนค่ำ กะจะมาให้ถึงในตอนเช้า ก็มืดๆ และก็หลับมาตลอดทาง เพราะพวกเราทั้งหมดนั่งรถตู้กันมา เหมาหารเฉลี่ยตลอดทริป( ค่ากิน ค่ารถ ข้ารักเอ็ง ฯลฯ ) ซึ่งหารกัน ค่าเสียหายถ้าจำไม่ผิด ประมาณ 3000 ฿ โดยประมาณ

เช้ามาทีมเราก็ถึง คำสิงห์โฮมสเตย์” ซึ่งหลายๆทีมมารวมกันตรงนี้ เยอะมาก!!! เป็นจุดที่รวมพลน่าจะเป็นแบบนั้นมากกว่า ก็แวะพักกินข้าว จัดข้าวของแบ่งสัมภาระ อาหาร น้ำ ซึ่งเป็นกองกลาง ส่วนอะไรเกินกว่านั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของลูกหาบ


หลังจากทีมพักกินข้าวเช้าและจัดสัมภาระกันเสร็จแล้ว ทีมเราก็ออกเดินทางไปยัง หมู่บ้านกุยเลอตอ ใช้เวลานั่งรถโดยประมาณ 2 ชม เพื่อเดินเท้าเข้าไปอีก

บรรยากาศช่างเต็มไปด้วยหมอก ฝน และลมที่เย็นแบบชื้นๆ ชวนให้ป่วยได้เลย เส้นทางรถ ก็จะเป็นทางลาดยาง สลับกับดิน บางช่วง หลุมเยอะมาก พขร คันที่ผมนั่งสงสัยเพิ่งกลับมาจากกองถ่าย Fast and Furious คือแบบ ซิ่งอย่างเมามันส์ แล้วคิดภาพหลุมไงครับ เบรคแต่ละที หยอดหลุมกัน (ไม่ใช่หยอดมุขนะ) เขิลจนจะอ้วกแตกกันให้ได้ทั้งคัน แต่ ด้วยความชำนาญ ผมเชื่อใจ

ขนาดตัวผมเองนั่งหน้ายังรู้สึก ท้องไส้ปั่นป่วน หันกลับไปดูคนนั่งกระบะหลัง เหลือเพียงเศษสะเก็ดวิญญาณเล็กๆน้อยๆ ที่ยังประคองสติให้อยู่ ณ ตอนนั้นได้ เลยแวะพักกลางทางให้หายใจหายคอกันสักหน่อย


สักพัก.......เราก็มาถึงจุดที่เริ่มเดิน และได้เจอลูกหาบของทีม 2 คน เลยจัดแบ่งสัมภาระกันให้เรียบร้อย ลงทะเบียนและเริ่มเดิน แบ่งน้ำให้เพียงพอ สำหรับการเดินนะครับสำคัญเลย

พอเริ่มผ่านสะพานไม้ไผ่เท่านั้นแหละครับ ก้าวแรกไม่เป็นไร ก้าวต่อไป "จุ๋ม" เดินไปได้สัก 200 เมตร ก็ต้องลุยน้ำ ลุยโคลนเลยครับ ฝนก็ตกตลอดทั้งทาง สภาพดูไม่จืดกันเลย


เส้นทางค่อนข้างจะเดินง่าย แบบชิวๆ ถ้าไม่ติดตรงฝนตกและลื่นในบางจุด แค่ลื่นยังทดสอบความแข็งแกร่งไม่พอ บางจุดเป็นโคลน ย่างเท้าเข้าไป หายไปทันที ผลที่เกิดขึ้นมา คือ การใช้แรง ดึงรองเท้าให้หลุดออกจากโคลน จังหวะนรกนี้แหละครับ บางคนพื้นรองเท้าไม่ขึ้นมาด้วย ประหนึ่งว่าพื้นรองเท้า บอกว่า "ฉันอยู่ในโคลนนี้ ฉันมีความสุขดีแล้ว" ลาก่อยยยย




ทีมเราก็ได้เดินกันมาเรื่อยๆ เดินกันมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มองดูนาฬิกาแทนท้องฟ้า ที่ตอนนี้มืดและปกคลุมไปด้วยเมฆฝน พร้อมทั้งหยดฝนปรอยๆ ให้พอชุ่มชื่น รู้สึกตัวอีกที ก็เที่ยงแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียก ชนิดที่ว่าไม่รู้จะเปียกตรงไหนได้อีก มีอีกไหมอะ เอามาอีกสิ อยากเปียกกกก ยอมใจ


ณ เวลาเที่ยงวัน กลางทุ่งแห่งหนึ่ง กลุ่มนักเดินทาง ผู้แสวงหาเพื่อเสพความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ได้อิงตัวพักใต้กอไผ่ พร้อมข้าวห่อน้อยๆ ทุกคนรู้เหมือนกันว่า กองทัพนั้นต้องเดินด้วยท้อง เขานั้นได้ทำการสำรวจร่างกาย ในหัวเขานั้นมีเสียงหนึ่งลอยมาว่า "OMG" เละเทะมากๆ ถ้าใครคิดว่า ไม่ได้ ฉันอยู่แบบนี้ไม่ได้ กินสภาพนี้ไม่โอเค แนะนำว่าพอถึงตากก็แวะลงหาที่พักในเมืองดีกว่าครับ ยังไงก็เละ หนีไม่พ้น



หลังจากหนังท้องตึง หนังตาก็จะหย่อน ม๊ายด๊ายยยยยยย ทำอย่างงั้นไม่ได้ เราต้องเดินกันต่อ เดินไปเรื่อยๆ เส้นทางที่เดินก็ตื่นตาตื่นใจดีครับ อาจจะเพราะผมเพิ่งเคยมาครั้งแรกด้วยแหละ

สภาพเส้นทางก็จะประมาณนี้นะครับ


เดินสักพักก็แบบ เฮ้ออ เมื่อไหร่จะถึงนะ วิ่งๆ เดินๆ ก็แล้ว และแล้ว และแล้ว ในที่สุดก็ถึงจุดกางเต็นท์

กลุ่มเราค่อนข้างช้ากว่ากลุ่มอื่นมากๆ (ช้าแต่ชัวร์) มาถึงที่กางเต็นท์ก็ถูกจับจองกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่ตรงหน้าทางเข้าเป็นพื้นที่ว่างๆ ดีที่ลูกหาบขึ้นมานั่งจองไว้ก่อน เราเลยคุยกันว่างั้นตั้งแค้มป์กันตรงนี้

ลูกหาบก็ได้จัดตั้งฐานบัญชาการกองโจรเสร็จเป็นที่เรียบร้อย กองโจรอย่างเราๆ เลยต้องมาพึ่งพาความร้อนจากไฟ ที่หวังลึกๆว่า จะบรรเทาความอับชื้นจากรองเท้าได้บางไม่มากก็น้อย

ไว้อาลัยแด่รองเท้าที่ตัวรองเท้าและพื้นรองเท้าไม่สามัคคีกัน


เมื่อจัดกองกลาง กองโจร กองหน้า กองหลัง เรียบร้อยแล้ว สมาชิกทั้งหมดก็มารวมกัน เพราะกลิ่นของอาหารเย็นในวันนี้ สามัคคีชุมนุมก็เกิดขึ้น ภายใต้ความเรียบง่ายที่สุด


ผมพนมมือขึ้นมา จะขอบคุณเชฟมินสักหน่อย หลับตาท่อง

"พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง"

ลืมตาขึ้นมา ผ่ามๆๆๆ!!!!! ????? อยู่ๆตาก็ใสเหมือนน้ำคลั่งในลูกตามันจะไหลออกมาเอง T_T


หลังจากทีมกินอิ่มกันแล้ว ก็นั่งเม้ามอยคุยกัน เรื่อยๆ ฮั๋นแน๋ แต่ว่าบรรยากาศตอนนี้ประมาณว่า อากาศก็หนาว มะนาวก็มี

เอ้ามาละเว้ย เอ้ามาละเว้ย เอ๋ยมาละวา เอ๋ยมาละวา
มาแต่ของเขา ของเราก็ไม่มา ต๊ะลาลา

[พิธีกรรมละลายพฤติกรรมก็เริ่มต้นขึ้น]


จริงๆมันคงเป็นส่วนที่ผมชอบที่สุดเลยก็ได้มั่ง การนั่งคุยกันแบบนั้น เป็นการล้วงความลับกันที่ค่อนข้างจะกลมกลืนไปกับบรรยากาศ แต่มันก็แปลกที่เราเล่าออกไป มันสบายใจกว่าการบอกกล่าวคนรอบข้างเราเองในชีวิตประจำวันซะอีก ซึ่งก็ประมาณว่า เล่าไปเพื่อความสบายใจ รู้ไปเขาก็ไม่ได้มีส่วนให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหรอก ซ้ำเราอาจจะยังได้มุมมองดีๆ จากบางคนอีกด้วย คิดถึงแล้วชอบตอนนั้นจัง

ดึกแล้ว ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอนในเต็นท์ของตัวเอง เพื่อเอาแรงไปเดินพรุ่งนี้ต่อ และผมก็คิดก่อนนอนแล้วว่า ตอนเช้ามาอาการออกแน่ๆ เลยซัดยาคลายกล้ามเนื้อไปสักเม็ดเผื่อจะไม่ทรมานมาก สำหรับคืนนี้....จบด้วยคำว่าฝันดีครับ เจอกัน พรุ่งนี้


นอนรอไก่ขันยันเช้า ก็ไม่ขันสักตัว ตื่นเองซะเลย ดูนาฬิกาด้วยความเพลียและฟื้นจากอาการนอน ผมรีบลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน ริมน้ำตก ลืมไปเลย จะบอกว่าแคมป์ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับน้ำตก ซึ่งสะดวกสบายในเรื่องน้ำพอสมควร พี่ๆที่มาด้วยกันมีเครื่องกรองน้ำ ทำให้เราไม่ห่วงเรื่องน้ำกันเลย แต่ก็นะ อยากไปล้างหน้าแปรงฟันริมน้ำตกอยู่ดี


หลังจากนั้นเชฟมินก็ทำอาหารเช้า แบ่งๆกันทั้งหมด เพื่อเป็นข้าวเที่ยง อันนี้ต้องเตรียมนะครับ พร้อมกับน้ำ ซึ่งคำนวณให้ดีเลยครับ เพราะวันนี้ โปรแกรมแรกคือ ยอดดอยมะม่วงสามหมื่น จากนั้นลงมาไปต่อที่น้ำตกเปรโต๊ะลอซู ทีมเราก็แน่นอนครับ สุดท้าย เดินกันเรื่อยๆ แต่คงจะเรื่อยๆมากไม่ได้ เพราะเวลาอาจจะไม่พอ ผมกับพี่อีก 3-4 คน ก็เลยเดินสลับวิ่งบางจุดเพื่อขึ้นไปยังยอดดอยก่อน สอบถามลูกหาบ ท้อแท้ตลอด เพราะได้ยินคำว่าประมาณ 5 ชม เอาละเว้ยยยย คือตอนแรกก็คุยละนะครับว่าจะเอากันยังไง ผมซึ่งมาไกลมากๆ ไม่ยอมยังไงก็ต้องขึ้นไปที่สุดให้ได้ จะมาซ่อมวันหลัง มันก็ต้องเดิน เดินวันนี้กับเดินวันหลัง ยังไงก็คือเดิน ฉะนั้นตัดสินใจต้องจบให้ได้ เดินกันเรื่อยๆเลยครับแวะถ่ายรูประหว่างทางไปเรื่อย


สักพักอาการเริ่มออก แบบเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึง เมื่อไหร่จะถึงวะ สุดท้ายทุกคนต้องพักกินข้าวกันก่อน หน้ามืดตาลายไปหมด *น้ำกับข้าวเที่ยงนี่สำคัญมากๆเลยะครับ* ต้องบริหารดีๆนะครับ


อิ่มแล้ว ก็ออกกำลังกันต่อ ยังกะแรงงาน มาทรมาณตัวเองแท้ๆ ยอดหมื่นห้า หมื่นหก อะไรผมไม่รู้หรอก ไม่รู้เขาวัดกันยังไง เดินไปเรื่อยๆตามประสา แวะถ่ายรูป


เห็นยอดนั้นรีบขึ้นพอถึง เจออีกยอด เจออีกยอด ซ้ำอยู่แบบนี้เรื่อยๆ โครตทรมาณใจ แบบเมื่อไหร่จะถึงอะ บททดสอบจะเยอะเกินไปละ ทางเดินก็เริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เป็นสันคมมีด ข้างๆนี่เดินไม่มีสติตกลงไปนี่ หายเลยนะ


จนสุดท้ายผมก้มหน้าก้มตาเดิน ตั้งใจมาดิใครจะไปก่อน ขาหรือใจ แล้วทางชันอยู่พอตัวเลยแหละ เดินไป 5 นาที หยุดพัก 3 นาที น้ำที่เอามาก็เริ่มจะหมด ยอดนั้นก็แล้วยอดนี้ก็แล้ว ไม่เจอยอดสามหมื่นสักที

และแล้วก็เจอยอดที่คนยืมกัน เป็นกลุ่ม ในใจก็เอาละเว้ยยยย ถึงแล้ววว

ถึงจริงครับยอดดอยมะม่วงสามหมื่น แต่พอไปถึง บางคนบอกต้องไปอีก ตรงนี้เขาเรียกหินสามกอง แต่ไปอีกมันเป็นฝั่งประเทศเพื่อนบ้านละ ลูกหาบก็ไม่ให้ไปด้วย ก็เลยจบตรงนั้นแหละ มีป้าย กับหินสามกอง พร้อมลมและฝนที่ตกลงมา

นั่งชมวิวอยู่สักประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ พี่ๆก็ตัดสินใจลงกันเพราะจะไปน้ำตกเปรโต๊ะลอซูต่อ ลมแรงมาก ฝนก็ตก ทางก็ลื่นๆ ขาลงด้วย วิ่งลงกันเลย ตามไม่ทันจ้าาาา พี่ๆลงเร็วมาก แต่ก็ไม่ทิ้งห่างมากนักพอได้เห็นไฟท้ายสลัวๆอยู่บ้าง


เดินลงกันมาสักพักใหญ่ น้ำหมด ลูกหาบเลยอาสาลงไปน้ำตก เติมน้ำมาให้ กินไปอึกแรก โอ๊ย OK เลยอะ หวานมาก ผ่านไรมาบ้างน้า 5555 แต่ไม่เป็นไร ธรรมชาติมายังไงก็แบบนั้นแหละ

ทางที่เดินไปน้ำตกคนละเรื่องกับขึ้นยอดดอยเลย ยอดดอยเหมือนแห้งๆ อากาศน้อยๆ หายใจลำบาก ถ้าแดดออกก็ร้อนเลย เพราะไม่มีไม้ใหญ่ เป็นเขาหัวเกือบล้าน สัก 6 แสนเห็นจะได้ แต่ทางไปน้ำตกชุ่มชื้น หายใจคล่องแปลกไปอีกแบบ และแล้วฮะท่านผู้ชม นางเอกที่ผมตามหา ก็มาอยู่ตรงหน้า ไม่มีคำบรรยายใดๆให้เธอเลย เธอสวยตามที่ทุกอย่างสร้างเธอขึ้นมา ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีการเข้าแทรกแซง เป็นอะไรที่งดงามในแบบของเธอจริงๆ "หัวใจของป่าอุ้มผาง"

"ทีมขาแข็ง" คนแพ้ต้องดูแลตัวเอง


สมาชิกทีมก็ทยอยมากันจนครบ เล่นน้ำตกกันได้สักพัก พอให้ได้หายเหนื่อยล้า เราก็ต้องเดินทางกลับแคมป์ เพื่อ ทำอาหารเย็น และ ไม่ให้ทันฟ้ามืดก่อนจะเกิดอันตรายในระหว่างการเดิน ขากลับ คนละทางกับขาไป

เส้นทางบางจุดชันและลื่นมาก ปราบเซียนกันเลยทีเดียว

เมื่อมาถึงที่ตั้งแคมป์ ทุกคนก็อาบน้ำ หลังจากผ่านอะไรที่หนักหนาสาหัสมา

เออ!!! ลืมไป เส้นทางไปยอดดอยสามหมื่นผมคิดว่าน่าจะมีแค่ประมาณ 50% จากคนทั้งหมดที่ขึ้นไปถึง เพราะเส้นทางมันไกลและชัน บวกกันเวลาที่ใช้เดิน ทำให้บางคนไปได้แค่หมื่นห้าเท่านั้น หากคุณจะไปและอ่านสิ่งนี้อยู่ ตั้งใจ มาวันหลังหรือวันไหน ยังไงก็เดินเหมือนกันครับ ทำเวลา ฟิตร่างกายมาก่อนนะครับ

เรื่องราวในเย็นวันนั้นบรรยากาศก็ยังคงสนุกสนานไปเหมือนกับคืนแรก เพิ่มเติมอาจจะมีความสนิทสนมจากการผ่านความลำบากมาด้วยกันมาในวันนี้เลยทำให้ทุกคนดูสบายๆกัน กิจกรรมก็เหมือนเดิมละลายพฤติกรรม ละลายจนไม่เหลืออะไรแล้ว 555

และก็แยกย้ายกันเข้านอน เพื่อตื่นเช้า เก็บเต็นท์ เดินกลับ นั่งรถกลับ

*** เห็นอะไรไหมครับ ทุกช่วงในการเข้ามาเที่ยวตรงจุดนี้ มีแค่บางช่วงเวลาเท่านั้นที่รู้สึกได้พักผ่อนจริงๆ เช่นกินข้าว พูดคุย ยืนเท่ๆ บนยอดเขา นอกเหนือจากนั้นคือการเดิน ซึ่งหลายๆคนยอมแลกแม้ทุกคนจะเหนื่อยขนาดไหน คนที่มาเลือกได้เลยครับ ยืดขาพาดโซฟา ดูหนัง ฟังเพลง จ้วงป๊อปคอร์น นอนหนุนหมอนนิ่มๆ เตียงนิ่มๆ อาบน้ำอุ่นๆ แต่ทำไมหลายต่อหลายคนถึงเลือกที่จะ เดินแบกเป้เป็นสิบๆกิโล กินอาหารพอประทังชีวิต (มั่ง บางมื้อดีกว่าด้านล่างอีก) นอนในเต็นท์ ทนเปียก ทนแฉะ เพื่ออะไร ผมก็บอกไม่ได้ ถึงจะถามผมก็บอกไม่ได้หรอก นอกจากคุณลองมาเอง มันเป็น Feeling ความรู้สึกที่ ผมก็ไม่สามารถบรรยายออกมาได้เหมือนกัน อยากให้ทุกๆคนที่กลัว ลองออกมาทำอะไรที่ไม่เคยทำดูนะครับ เราจะได้อะไรที่มากมายกว่าการอยู่กับที่แน่นอน มันคงจะเป็นความรู้สึกที่หาที่ไหนไม่ได้นอกจาก เราต้องออกมาสัมผัสมันด้วยตัวเอง***


และแล้วววววว ก็ถึงเวลากลับกัน ตื่นเช้ามา อย่างสดใสเลย (บ้าบอ) ประชดประชัน ฝนตกครับท่าน ตกแบบพอได้เลยอะ แบบ พร้อมนอนต่ออะ แต่มันไม่ได้ไง เราจะไปไม่ทันรถ ระบบเวลาที่เซตไว้จะเสียหมด ฉะนั้น ลุยฝนลงกันเลย ขากลับเหมือนครับ เดินกลับเบาลงหน่อยเพราะอาหารที่นำมาหมดแล้ว 5555 ขากลับมักจะไวกว่าขาไปเสมอ

แปปๆก็ถึงด้านล่าง ที่เราเริ่มเดินมีทุเรียน น้ำอัดลม โอ๊ยสินค้าขายเยอะไปหมด พี่ๆซัดทุเรียนกันไปเยอะมาก เหมือนไม่เคยกินกันอะ เราก็นั่งรถคันเดิมกลับ ใช่ครับคุณฟังไม่ผิด"คันเดิม" คันนี้นี่แหละ แซงทุกคันที่ออกก่อนหน้าเราไปหมดเลย 10คัน++ คือเราออกมาแทบจะกลุ่มสุดท้าย แต่เราถึง คำสิงห์โฮมสเตย์ เป็นกลุ่มแรกหรือสองนี่แหละ เป็นไงละฮะที่มาของ"ตีนผีแห่งอุ้มผาง"


อาบน้ำกินข้าวกันพร้อมจะเดินทางกลับ แต่ฟ้ายังไม่มืด ก็เลยต้องเจอการเลี้ยวโค้งกว่า 1,219 โค้ง ลาก่อย


...จบบริบูรณ์...


คนตัวดำ

 วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 23.55 น.

ความคิดเห็น