See Angkor Wat and die” by Arnold Joseph Toynbee

วลีเด็ด ที่บ่งบอกความงดงามของ ของสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ อย่างนครวัด นครธม ที่กล่าวไว้ว่าครั้งนึงต้องได้ชมแล้วจะตายตาหลับ เพื่อให้เราตายตาหลับได้ เราเลยต้องไปดู

ออกเดินทางคนเดียวอีกครั้งหลัง...

ครั้งนี่เราพาออกเดินทางไปเมืองเก่าแห่งอาณาจักรขอม ที่ได้ถูกให้เป็นเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกและเป็นเมืองมรดกโลก เป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกยกย่องไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การสร้าง ความงดงาม

นครวัด นครธม ตั้งอยู่เมืองเสียมเรียบ การเดินทางไปเสียมเรียบจากไทยไปได้หลายเส้นทาง

ทางบก- นั่งรถ บขส. ไปที่ด่านอรัญประเทศ เพื่อนั่งรถต่อไปยังปอยเปตุ และนั่งรถไปเสียมเรียบ

ทางเครื่องบิน - อันนี้เดินทางง่ายมีหลายสายการบินทั้ง air asia และ Bangkok airways เลือกได้เลยค่ะ การเดินทางครั้งนี้ขอไม่ลำบากนะคะ นั่งเครื่องไปจ้า ความบันเทิงเริ่มต้นขึ้น

การเดินทางครั้งนี้ มีกล้องฟิล์ม 1 ตัว หนังสือ 30 ปราสาทขอมในเมืองพระนคร เป็นหนังสือที่ทำให้การเที่ยวครั้งนี้มีความสุขมากๆ ขึ้น ด้วยความที่เป็นคนชื่อชอบประวัติศาสตร์ และ ศิลปะ การเดินทางไปนครวัด นครธมครั้งนี้มีความตื่นเต้นอย่างมาก

ไปจ้า... ออกเดินทาง จาก กทม. ไปเสียมเรียบเดินทางเร็วมากๆๆ แค่ 1 ชม.เท่านั้นเอง เหมือนเดินทางในประเทศอ่ะ ใกล้มากๆๆ

จากสนามบินต้องเข้าเมือง ซื้อตั๋วตุ๊กตุ๊กเข้าเมือง แอบตกใจราคา 9 ดอลลาร์ ทำไมแพงจุง แต่ก็ต้องขึ้นอะนะ ส่วนซิมการ์ด เดินหาซื้อได้เลยในสนามบิน จำชื่อยี่ห้อไม่ได้ รู้แค่ว่าสีเขียว หรือซื้อ ซิม2fly จากไทยไปเลยจ้าสะดวก เน็ตแรงอยู่เด้อ

หลังจากขึ้นรถก็บอกพี่แกไปส่งที่ hostel แถวๆ pub street แหล่งที่อยู่ของนักท่องเที่ยวเลือกได้มากมายหลากหลาย แล้วทีนี้พี่คนนี้ก็ถามว่า เราจะไปไหนบ้าง เราเลยตอบว่าจะไปที่แรก คือ ปราสาทพนมบาเค็ง เพราะที่เราไปถึง ก็เย็นแล้ว มีพี่ที่รู้จักบอกว่าให้ไปปราสาทนี้เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตก สวยมากๆๆ

ก่อนสิ่งอื่นใด เราต้องไปทำการซื้อตั๋วเข้าเมืองพระนครก่อนจ้า เราซื้อแบบ 3 วัน 62 USD ต้องเก็บให้ดีเลยนะ หายมานี่ซวยสุดเพราะมันแพง!!!

ตั๋วพร้อม ตัวพร้อมไปเล๊ยยยย

ที่แรก

ปราสาทพนมบาเค็ง (Phnom Bakheng) ตัวแราสาทยอดตั้งอยู่บนเขาพนมบาเค็ง ปราสาทมีทั้งหมด 5หลังตามหลักศูนย์กลางจักรวาล เป็นศาสนสถานที่สร้างตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์นิกายไศวนิกาย นับถือพระศิวะ และเขาพนมบาเค็งเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุที่ประทับของพระศิวะ สภาพโดยรอบผุพังไปมาก และเหตุที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้พังได้ขนาดนี้คือสงคราม ถ้าเดินดูรอบๆจะเก็บ รอยกระสุน รอบปืนใหญ่อยุ่รอบๆ เลยค่ะรูปสลักนางอัปสร อันเป็นสิ่งที่เราเห็นตามปราสาทขอม อยากให้สังเกตุตรงรูตรงกลางอก ลักษณะของนางอัปสรเป็นศิลปะแบบบางเค็ง อยู่ราวๆช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่15 จะมีรูปร่างอ้วนหน้าแป้น ใส่กระโปรงพลีตมีจีบรอบ และนี่คือวิวพระอาทิตย์ตกของข้าพเจ้าเอง ปักหมุดเลยค่ะ ตรงนี้ยามเย็นจะมีผู้ชายหล่อๆ ถือกล้องและขาตั้งกล้องมากองกันตรงนี้เพื่อรอถ้ายรูปอาทิตย์ตกกันจ้า

และแล้วเสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด

หลังจากชมผู้ชายได้ไม่นาน ฟ้าดินก็ลงโทษ ทุกอย่างแตกกระจายจ้าฝนตกหนักมากก ไม่มีร่มแลเมื้อกันฝนใดๆๆ นี่ยืนอยุ่ร่มเดียวกับยาม คือข้างบนนี่ไม่มีที่หลบได้เลย


นี่คือสภาพทางลงเขา น้ำป่าไหลหลากมากเลยจ้า

แต่วิวมุมนี้สวยดี เลยขอแวะถ่ายรูปแปปนึง

สภาพฝนตกหนักเช่นนี้ ไปเที่ยวไหนต่อไม่ได้เลย ต้องกลับไปนอนค่าา

นอนตื่นมาฝนหยุดตก ก็หิวเริ่มออกมาหาอะไรกิน ย่านของกินมีอยู่รอบๆเลย ย่านนี้เรียก pub street แน่นอนมีแต่ผับและของกิน ซื้อของที่นี่ควรแลกเงินแบงค์ 1 USD มาเยอะๆ ทุกอย่างเริ่มต้นที่ 1 USD หรือถ้าใช้เงินไทยคือใช้แต่แบงค์ 20 นะ ทุกอย่างจ่าย 40 บาท แม้แต่โค้กกระป๋อง ทุกอย่างจะปัดเป็นเลขกลมๆ

จะบอกว่าที่นี่ชอบกินไอติมผัดมากๆ เรียงติดกันเป็นตับ เหมือนกันทุกอย่าง ห่างกัน 2 เมตร

คืนนี้เราไม่ได้เที่ยวไหนตากฝนมาเลยรีบกินยาแล้วนอนเพราะพรุ่งนี้จะต้องเดินทางออกนอกพระนคร ไปดูชุดปราสาทยุคก่อนนครวัด

ตื่นแต่ 6 โมงเช้า เลยจ้าวันนี้

ปราสาทพระโค เป็นปราสาท 6หลัง สร้างในสมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่1 3 หลังด้านหน้าถวายบรรพบุรุษ 3หลังด้านหลังถวานเทพสตรี ภาพของทวารบาลของที่นี้จึงเป็นทวารบาลเทพสตรี ไฮไลท์ของที่นี่ที่ทำให้เราอยากมาคือ มาดูศิลปะแบบพระโคมีการแกะสลักหินเป็นทับหลัง เป็นรูปหน้ากาลคายพวงมาลัยม้วนเป็นลายกนก ซึ่งสวยงามอ่อนช้อยมากกกกก ด้วยความที่ตรงนี้ออกมาไกลจากพระนครคนไทยเลยไม่ค่อยนิยมมาที่นี่ ปราสาทที่อยู่ใกล้ๆ และอยู่ในยุคเดียวกันก็มี ปราสาทบากอง และ โลเลย อีก2 แห่งแต่ดันปิดซ่อมตอนที่เราไปเลยแวะดูนิดหน่อย

พอตก 8 โมงเช้า รีบให้พี่คนขับตุ๊กตุ๊ก ไปส่งเราที่ที่เราอยากมาที่สุดในทริปนี้และเราต้องการให้1 วันนี้เป็น 1 วันของเขาคนเดียวนั่นคือ

นครวัด Angkor wat


นครวัดสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่2 ปราสาทล้อมรอบไปด้วยคูน้ำซึงกว้างด้านละ 1 กิโลเมตร ด้านหน้าปรากฏทางเดินยาวนำเข้าสู่ปราสาทซึ่งตั้งอยู่บนฐานสามชั้น แต่ละชั้นมีระเบียงคดล้อมรอบ มีโคปุระที่ด้านทุกด้านและมีปราสาทที่มุมทุกมุม ด้านบนสุดประดิษฐานปราสาทประธานจำนวนห้าหลัง


ด้านนอกสุดของนครวัด ก่อนเข้าถึงระเบียงคดชั้น2

ระเบียงคดของนครวัด ความน่าสนใจอยู่ที่ภาพสลักหินทั้งสี่ด้าน เป็นเรื่องราวน่าสนใจมากๆ เราอยู่กับระเบียงคดทั้งสี่ด้านราวๆ 2 ชม. ได้ มีเรื่องราวของรามเกียรติ์ ฉากสนามรบ

ความน่าสนใจคือศิลปะ การสลักหินให้เป็นคาแรกเตอรฺตัวละคร รามเกียรติ์ ฝั่งไหนยักษ์ ฝั่งไหนลิง ลิงจะไม่มีอาวุธการต่อสู้จะใช้การกัด ยักษ์ถือหอก ถือทวน

นอกจากเรื่องรามเกียรติ์แล้วยังมีเรื่อง มหาภารตะ เรื่องราวของกษัตริย์สุริยวรมันที่2 ผู้โปรดให้สร้างนครวัดแห่งนี้ ในกำแพงฝั่งนี้มีภาพสลักที่เรียกกันว่า "เสียมกุก" ที่เป็นที่สงสัยน่าจะเป็นทหารจากสยาม เพราะการแต่งตัวผิดแผกไปจากทหารขอม และถูกขนานนามว่าเสียมกุก

ภาพเสียมกุก ที่มีทรงผมเก๋ไก๋ คล้ายเดดร็อค

อีกสิ่งนึงที่แนะนำให้ดูแล้วจะบันเทิงมาก คือรูปสลักนางอัปสร ดูทรงผมเธอเหล่านี้ได้ เก๋ไก๋คล้ายเซเลอร์มูน เป็นความบันเทิงอีกอย่างนึงของเราคือการตามถ่ายรูปนางอัปสรในนครวัด

ดูทรงผมซะก่อน แบ๊วมาก นางอัปสรยุคนี้ผอมลงกว่าที่เห็นที่พนมบาเค็ง เอวคอด มีสรีระความเป็นผู้หญิง แถมยังมีจมูกโด่งขึ้นมาประดุจว่าไปเกาหลีมา

นครวัดมุมนี้สวยมาก องค์ประกอบเณรน้อยเดินผ่าน background เป็นระเบียงคดนครวัด

**มุมนี้คือมุมจากห้องน้ำอยู่นอกระเบียงคดชั้น 2 แนะนำให้เข้าก่อนเลยเพราะถ้าปวดขี้อยุ่ข้างในต้องวิ่งออกมาไกลประมาณนึงเพราะข้างในไม่มีแล้วนะ

เข้ามาถึงข้างในนครวัดซะทีภาพนี้เป็นปราสาทประธาน ของนครวัด มีทางขึ้นเพื่อขึ้นไปดูวิวข้างบนได้อีก

Top view จ้า จะเห็นว่าหลังคาของระเบียงคดทำจากหิน แต่แกะให้เป็นคทรงกระเบื้อง เพราะที่นี่ไม่มีกระเบื้อง แถมทำเป็นทรงโค้งไปอี๊กก โอ้ววมายก๊อด เก่งไปเด้ออออ

มุมบนอีกมุม


เราล่ำรานครวัดกันที่มุมนี้เพราะจะเป็นมุมที่เห็นยอด นครวัดครบ 5 ยอด แถมยังซ่อมอยู่ยอดนึง และจริงๆจะเห็นเงาที่สะท้องน้ำแต่ฝนตกปรอยๆ เลยไม่ค่อยเห็นเงา เราใช้เวลาอยุ่นครวันเกือบ 8 ชม. เพราะชื่นชมในความสวยงาม ทึ่งกับฝีมือของช่าง ไม่แปลกใจที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

***** กลับจากนครวัดมีเรื่องพีคในพีคอีกจ้า*****

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันแรกเราตกลงกับรถตุ๊กตุ๊กว่า 2 วันมารับเราพาเราไปที่ที่เราบอก รอเราจากนครวัด ตกลงไว้ที fifteen เขาพยายามพูดงงๆ ระหว่าง fifteen กับ fifty เราเลยถามว่า one-five นะ เขาก็โอเค และจ่ายมัดจำไปก่อน 7 USD พอวันต่อมาเขาเปลี่ยนคนมารับเรา ให้อีกคนมารับแทนเราก็ไม่ได้อะไร พอเสร็จจากนครวัดนี่แหละ เขาบอกว่าเรายังต้องจ่ายอีก 23 USD อ้าววว งงไปเด้ ตกลงไปอีกราคา เอ้าบอกว่าคุยกับเพื่อนเขาได้ แล้วทำท่าโวยวาย จะแจ้งตำรวจ บลาๆๆ ถ้าไม่จ่ายครบ 50 USD เอดรอกกก!!!!! สุดท้ายต้องจ่ายมันค่ะ เตือนภัย!! ถ่ายวีดีโอเอาไว้เลยเด้อออ หงุดหงิดพอสมควรเลยรีบหาข้าวกินแล้วรีบนอนเซ็ง พรุ่งนี้ค่อยว่ากันว่าจะเอายังไงต่อ

วันต่อมาเรามีแพลนไปเที่ยวรอบนอกอีกแล้ว นั่นคือปราสาทบันทายศรี เราออกเสียงผิดไปถามเขาบันทายศรีเขางงจ้าต้องออกเสียง บันต๊ายสะหรี่ นะคะซึ่งอยุ่ไกลถึงไกลมากก บอกเลยว่าเข็ดกับตุ๊กตุ๊ก เลยตัดสินใจเช่ามอไซ ขี่มันเลยค่ะ ประหยัด 15 ดอลลาร์ ไม่รวมน้ำมันต้องเติมเพิ่มอีก 1 ลิตร

ไปค่ะ ไปท่องพระนคร โดยขี่มอไซกันค่ะ เพื่อนร่วมทางของข้าพเจ้า

วิวข้างทาง บ้านสวยชนบทสวยมากกกก

เรื่องพีค พีค ยังไม่จบ!!! ด้วยความขับเพลินกับบรรยากาศค่ะ หลงทางค่ะท่านผู้ชมม หลงแบบไกลมาก เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยนค่ะ ขนาดมี google map ยังหลง กว่าจะหาทางเลี้ยวเจอเกือบ 20โล ไปถึงที่หมายคือปราสาทบันต๊ายสะหรี่ ปาไปบ่ายโมงค่ะ หิวข้าวมากด้วย

ปราสาทบันทายศรี

เป็นปราสาทยุคก่อนครวัด ปราสาทหินที่สวยงามและสมบูรณ์ หลังคาที่ทำจากหินศิลาแลง มีความชื้นจนมอสขึ้น ทำให้สวยงามมากขึ้น

ปราสาทนี้สร้างด้วยขุนนางซึ่งต่างจากปราสาทอื่นที่เป็นกษัตริย์ สร้าง ดูความละเอียดของการแกะสลักหิน ลักษณะนี้แสดงถึงฐานนันดรศักดิ์ด้วย

พอกำลังจะซึมซับความงามของปราสาท แต่ชิบหายยังไม่หมดค่ะ ฝนตก!!!! ไม่มีที่หลบด้วยจ้า ต้องเอาเสื้อกันฝนมาใส่แล้วเดินไปที่มอไซ ขี่มอไซตากฝนกลับ ฝนตกหนักมากก ขี่ไปเรื่อยๆก็เห็นบ้านหลังนึงมีที่หลบฝน แล้วป้าเขาก็บอกให้เข้ามาหลบในบ้าน

นี่คือบ้านของเขาค่ะ พื้นเป็นดิน เขาให้มาหลบฝนในนี้ก่อน ที่เขามีไม้รองแบบนี้เพราะตอนฝนตก น้ำไหลเข้ามาในบ้านเขาเหมือนกัน ไม่ได้พูดอะไรกับเขาเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ได้แต่ยิ้มให้กัน พอฝนเริ่มซาเราก็ขอตัวกลับพอจะขอถ่ายรูปเขาไม่ยอมให้ถ่าย ได้แต่ขอบคุณอย่างเดียว

บ้านริมทาง หลังคายังเป็นหลังคาไม้อยู่เลย

ร้านขายน้ำตาลริมทาง ที่นี่มีชุมชนท่องเที่ยว ที่ทำน้ำตาลขายด้วยนะ ทำแบบดั้งเดิมเลย

กำลังต้มน้ำตาลเลย


บรรยากาศร้านขายน้ำตาล มีเรียงรายเลือกเอาโลด

ที่ต่อไปที่จะไปเราคงเห็นกันคุ้นตาตามรีวิวต่างๆ นั่นคือปราสาทตาพรหม ที่ใช้ถ่ายหนังเรื่อง ทูม ไรเดอร์ ตอนที่แองเจลิน่า โจลี่แสดง

คุ้นตาหรือยัง มีต้นไม้งอกมากมาย ที่นี่เขาไม่ได้บูรณะแบบปราสาทอื่นๆ เพราะเขาต้องการให้ความรุ้สึกเดิมๆ เป็นธรรมชาติ

มุมมหาชนต้องต่อคิวถ่าย และคนผลัดกันวิ่งเข้าไป แต่เราไม่ต่ออาศัยจังหวะตอนคนเดินออกก็กดถ่ายเลย นี่ก็มุมมหาชน ใช้วิธีเดิม

นางอัปสรยุคนี้ จมูงโด่งมาก และปากใหญ่ไม่จิ้มลิ้มเหมือนที่นครวัด

ปราสาทหินที่นี่พอมีพระอยุ่ในเฟรม ภาพสวยขึ้นทันตา

ภาพนี้คือองค์ประกอบภาพดีที่สุดค่ะ ^^

**เตือนการเข้าออกปราสาทตาพรหม ต้องจำทางออกให้ได้นะ เพราะเข้าทางไหนต้องออกทางนั้น ถ้าหลงเดินออกอีกทาง คือไกลมากเลยนะ เพราะหลงมาแล้ว

ที่สุดท้ายของทริปนี้คือ

นครธม Angkor Thom ที่เป็นชื่อเรียกติดปากคู่กับนครวัด แต่มันคือคนละที่ เปรียบเทียบง่ายๆคือ นครวัดคือบ้านคนรวยมากๆๆ 1 หลัง แต่นครธม เนี่ยหมู่บ้านจัดสรร ที่มีบ้านคนรวยอยุ่หลายๆหลัง การสร้างนครธมสร้างเพื่อให้ยิ่งใหญ่กว่านครวัด เพรากษัตริย์ชัยวรมันที่7 ที่สร้างนครธม นับถือพุทธ ปราสาทที่มีชื่อเสียงในนครธม มากๆคือ ปราสาทบายน

ปราสาทบายน มองดีๆจะมีรูปหน้าคนอยู่มากมายเลยนะ

เรื่องราวมี่น่าสนใจภาพสลักหินตรงระเบียงคดนี่แหละที่น่าสนใจมากๆๆ เล่าเรื่องราววิถีชีวิต การอยุ่การกิน การคลอดลูก การร้องรำทำเพลงเล่นดนตรี การรบ บลาๆๆ

ภาพนี้แกะเป็นรูปคนจีนที่เข้ามาในสมัยนครธม ดูที่ตาสิ คือจีนชัดๆๆ

แรงงาน ทาส มีเด็กๆขี่คอพ่อแม่

อันนี้ปิ้งปลา แหมๆๆ ทำท่าหอมซะ หิวข้าวด้วยเลย

อันนี้ภาพทหาร จาม ดูทรงผมสิ (จามเป็นดินแดนเล็กๆระหว่าง ไทย เขมร เวียดนาม ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามไปแล้ว)

อันนี้เห็นเป็นอะไร ไม่ดูดก็เป่าอ่ะ น่าจะเป่าเตาไฟ แต่ดูไปดูมาเหมือนสูบกัญชานะ คิดเอาเองกันเด้อ

ความสุกคือการดูเรื่องเราเหล่านี้แหละที่นี่เลยแตกต่างจากภาพสลักหินที่อื่นเพราะจะเล่าวิธีชีวิตซะเป็นส่วนใหญ่ เหมือนเป็นการจดบันทึก บนผนังหินใหญ่ๆ

ยิ้มแบบบายน

ใบหน้าบนปราสาทบายนไม่รู้ว่าเป็นหน้าใคร

ปราสาทบายน ถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม

ถนนตรงนครธม ถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม

เสร็จสิ้นการเดินดูปราสาทต่างๆเราก็จะกลับเข้ามาในเมือง เพื่อเตรียมตัวกลับ แต่ก่อนกลับ ขอแวปไปถ่ายตลาดตอนกลางวัน ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้ไปตลาดเลย อยากรู้จักที่ไหนอย่างลึกซึ้งให้ไปเดินตลาด


ไส้กรอกสีแดงมากกกก

อันนี้มองแวปแรกมองไม่ออกนะ มันคือปลาตากแห้ง ตลาดไม่ต่างจากบ้านเรา ขายของเหมือนกันเด๊ะ

ผับสตรีทในตอนกลางวัน ก็จะเงียบเหงา ไม่ค่อยคึกคัก ถ่ายจากกล้องฟิล์ม

และเราจะบอกลาเมืองโบราณแห่งนี้ด้วยภาพนี้

เป็นภาพที่ทั้งสองคนเรียกให้เราถ่ายให้ และยิ้มให้เป็นการบอกลาเสียมเรียบอย่างมีความสุข

เดินทาง 4วัน3คืน

ตั๋วเครื่องบิน ไปกลับ 3,000 (ตั๋วโปรตามคอนเซ็ป)

ค่าที่พัก 3 คืน 700 บาท

ค่าใช้จ่ายประมาณ 4000 บาท (แพงเพราะเสียค่าโง่รถตุ๊กตุ๊กวันแรก) ต้องกดเงินเพิ่มที่นั่น ปล.ใช้ TMB all free ตอนนั้นกดไม่เสียค่าธรรมเนียมอ่ะ

ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านเรื่องราวนะคะ ติดตามนะคะว่าจะไปที่ไหนต่อ จริงๆอยากเล่าประวัติศาสตร์เยอะกว่านี้แต่เกรงว่าจะน่าเบื่อไป ยังไงติชม พูดคุยกันได้นะคะ

นังทัวร์ดี

 วันพฤหัสที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 23.19 น.

ความคิดเห็น