กรุงเทพ” สวรรค์ของนักช้อปปิ้ง ที่มีทั้งตลาดนัดแบบติดดินอย่างตลาดนัดจตุจักร ตลาดนัดรถไฟ ตลาดนัดกลางคืน อัพระดับไปจนถึงห้างสรรพสินค้าหรูๆ มากมาย เป็นเมืองที่มีความหลากหลายของอาหารการกินที่สามารถหาทานกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งแบบ Street Food ข้างทาง หรือจะตามตลาดสด รวมถึงภัตตาคารหรูเลิศบนยอดตึกสูงระฟ้า ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต้องการมาเยือนและพักแรมมากที่สุด แซงหน้าเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างภูเก็ตและพัทยาด้วย และที่สำคัญยังเป็นการครองแชมป์อันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แล้ว (จากผลการสำรวจของ Mastercard Global Destination Cities Index, GDCI 2018)

จากที่ผมได้ตะเวนเที่ยวกรุงเทพในครั้งก่อน https://th.readme.me/p/20777 ทำให้รู้เลยว่า กรุงเทพ ยังมีอะไรให้เที่ยวชมอีกเยอะแยะเลย เพราะ 2 วันในครั้งก่อน ผมยังเก็บสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจไปได้ไม่เท่าไรเอง ครั้งนี้มีโอกาสเหมาะ เลยขอมาสำรวจเมืองกรุงกันอีกสักครั้งครับ

ขอเริ่มที่ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นวัดโบราณ เดิมชื่อว่าวัดสามจีน เชื่อกันว่าชาวจีน 3 คนร่วมกันสร้างพระอารามเพื่อเป็นวิหารทานการบุญครับ ต่อมาในปี พ.ศ.2477 พระมหากิ๊ม สุวรรณชาต รักษาการเจ้าอาวาสเป็นผู้ริเริ่มปรับปรุง จนเมื่อปี พ.ศ.2480 ได้รับอนุมัติจากมหาเถรสมาคมให้ปรับปรุงวัดให้ดีขึ้น ปี พ.ศ.2482 พ่อค้า ประชาชนได้ร่วมกันปฏิสังขรณ์และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นชื่อ “วัดไตรมิตรวิทยาราม” ซึ่งมีความหมายว่าเพื่อน 3 คน ตามความหมายเดิมที่ชื่อ วัดสามจีน


สิ่งที่สะดุดตาผมที่สุด เห็นจะเป็นพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา นับเป็นพระมหามณฑปที่ใหญ่มาก ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นมณฑปที่ใหญ่ขนาดนี้ สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่ชั้นที่ 4 เป็นที่ประดิษฐานพระสุโขทัยไตรมิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยทองคำที่มีหน้าตักกว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก จนได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ องค์พระถอดได้ 9 องค์ จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40% พระพักตร์มีเนื้อทอง 80% ส่วนพระเกศเป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ 99.99% หนักถึง 45 กิโลกรัม นับเป็นสิริมงคลและบุญตาของผมจริงๆ ที่ได้มีโอกาสมาสักการะขอพรองค์พระสุโขทัยไตรมิตร องค์พระดูเปล่งปลั่งมาก เห็นแล้วอิ่มเอิบใจอย่างบอกไม่ถูกครับ

นอกจากพระสุโขทัยไตรมิตรแล้ว ยังมีพระพุทธทศพลญาณ พระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระปูนปั้นลงรักปิดทอง ประชาชนทั่วไปเรียกว่า หลวงพ่อโต บ้างก็เรียก หลวงพ่อวัดสามจีน รัชกาลที่ 5 ได้เคยทรงเสด็จพระราชดำเนินมานมัสการ และได้ตรัสยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพุทธลักษณะที่งดงามยิ่งนัก

สังเกตว่ามีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาสักการะขอพรพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์อย่างไม่ขาดสายเลยครับ หากเพื่อนๆ คนใดจะไปชมความงดงาม สามารถไปสักการะขอพรได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ครับ

จากวัดไตรมิตรวิทยาราม จุดหมายต่อไปอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหารครับ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เดิมชื่อ วัดแหลม หรือ วัดไทรทอง ภายหลังรัชกาลที่ 4 ทรงพระราชทานนามใหม่ให้ว่า “วัดเบญจมบพิตร” มีความหมายว่า วัดของเจ้านาย 5 พระองค์ ที่ทรงร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างสวนดุสิตขึ้น พระองค์ทรงทำผาติกรรมสถาปนาวัดขึ้นใหม่และพระราชทานนามว่า “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” ซึ่งหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 ครับ

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นตามศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณที่มีความวิจิตรงดงาม พระอุโบสถทรงจัตุรมุข หลังคาซ้อนกัน 5 ชั้น มุงกระเบื้องกาบูสีเหลือง ลักษณะเป็นกาบโค้ง ที่สำคัญ พระอุโบสถตกแต่งด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากอิตาลีทั้งหลังครับ นักท่องเที่ยวจะรู้จักวัดเบญจมบพิตรในชื่อ “Marble Temple” ครับ




ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธชินราช (จำลอง) รัชกาลที่ 5 โปรดให้หล่อเมื่อปี 2444 ซึ่งเป็นพระประธานของวัด จำลองมาจากพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลกครับ




บริเวณพระระเบียงด้านหลังพระอุโบสถ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรวบรวมพระพุทธรูปโบราณปางต่างๆ มาจากหัวเมืองต่าง ๆ และต่างประเทศ นับรวมๆ แล้ว 52 องค์ อิริยาบถนั่งและยืน สลับกันไปครับ


ไม่ไกลจากพระอุโบสถ จะมีคูน้ำเล็กๆ สำหรับแบ่งระหว่างเขตพุทธาวาสกับเขตสังฆาวาสครับ โดยจะมีสะพานข้ามคูอยู่เป็นระยะๆ เห็นว่าสะพานเหล็กหล่อ โครงเหล็กทำจากประเทศอิตาลีเลยครับ สะพานจะมีทั้งหมด 3 แห่ง แต่ละแห่งจะมีชื่อด้วย คือ สะพานพระรูป สะพานถ้วย และสะพานงา และที่ริมคูจะมีศาลาทรงไทย 2 หลัง เรียกว่าศาลาตรีมุขสะพานน้ำ มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีครับ


พระที่นั่งทรงธรรม สร้างขึ้นเมื่อปี 2445 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระประสงค์ใช้เป็นที่ประทับทรงศีลในวัดอุโบสถ ปัจจุบันใช้ในกิจกรรมของวัดและตั้งพระศพหรือศพบุคคลสำคัญครับ


พระวิหาร ส.ผ. สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี 2445 เป็นอาคารจัตุรมุข 2 ชั้น ทรงสร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 ที่จะให้เป็นหอธรรม หรือหอสมุดประจำวัด ชื่อว่า หอพุทธสาสนสังคหะ ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และตู้พระธรรมเป็นส่วนใหญ่ มีพระพุทธรูปสำคัญ ได้แก่ พระฝาง และพระพุทธนรสีห์จำลอง ซึ่งยังมีการถวายพุ่มพรรษาสักการะในเทศกาลเข้าพรรษาครับ


พระที่นั่งทรงผนวช เดิมพระที่นั่งแห่งนี้อยู่ในพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงผนวชในปี 2416 ต่อมาโปรดให้รื้อมาสร้างถวายวัดเบญจมบพิตร ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระราชกรณียกิจและเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ผมไม่แน่ใจว่าปกติเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมด้านในหรือเปล่านะครับ เพราะวันที่ผมไปพระที่นั่งปิดครับ


หอระฆังบวรวงศ์ เป็นหอสูง ประดับดัวยแผ่นหินอ่อน สร้างขึ้นเมื่อปี 2445 มีมุข 2 ด้าน หน้าบันทั้ง 2 ด้านจำหลักตราพระราชลัญจกร พระนารายณ์ทรงปืน ซึ่งเป็นตราประจำในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และตราพระราชลัญจกร พระลักษณ์หรือพระอรชุนทรงหนุมานของสมเด็จพระมหาอุปราช ระฆังนำมาจากวัดบวรสถานสุทธาวาส ในพระราชวังบวรสถานสุทธาวาส ในพระราชวังบวรสถานมงคลครับ



ศาลาบัณณรศภาค เป็นอาคารทรงจัตรมุขชั้นเดียว ใช้เป็นโรงฉัน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณ 8 องค์ ปัจจุบันใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศลในโอกาสต่างๆ ครับ


ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้มีอายุกว่า 100 ปี ที่นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาจากเมืองพุทธคยาเลยครับ


พื้นที่ส่วนนี้คือ สังฆเสนาสน์ หรือหมู่กุฏิสำหรับพระภิกษุสามเณรครับ ปลูกเป็นเรือนแถวเป็นระเบียบเลยครับ

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมมากมาย ถ้าใครชอบทำบุญหรือชอบเที่ยวแบบไม่ชะโงกทัวร์ แนะนำว่าให้เผื่อเวลาในการเข้าชมวัดสักหนึ่งชั่วโมงครับ

จากนั้นไปต่อที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารครับ



วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นวัดที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อปี 2412 มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก โดยลักษณะภายนอกจะเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบและตกแต่งแนวตะวันตก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง วัดนี้นับเป็นพระอารามหลวงสุดท้ายที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาลครับ



อย่างที่เล่าไปในตอนต้นว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามมีการผสมผสานของสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตกเข้าด้วยกัน โดยภายในพระอุโบสถตกแต่งแนวตะวันตก จึงทำให้บรรยากาศด้านในดูหรูหรา ไม่ไทยจ๋าเหมือนอุโบสถวัดที่เราเห็นกันทั่วไป บอกเลยว่าเมื่อผมก้าวเท้าเข้าไปในพระอุโบสถ ถึงกับตะลึงในความหรูหรางดงามเป็นอย่างมาก ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธอังคีรส ซึ่งเป็นพระประธานที่ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อนจากประเทศอิตาลี หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อต้นรัชกาลที่ 5 กะไหล่ทองคำเนื้อแปดหนัก 180 บาท เป็นทองที่รัชกาลที่ 5 ทรงใช้เมื่อยังทรงพระเยาว์ ที่ฐานบัลลังก์กะไหล่ทองเนื้อหกหนัก 48 บาท ภายในบรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2 ,3, 4, 5, 7 และรัชกาลที่ 9 ครับ






ภายในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามยังมีสุสานหลวง ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตกำแพงมหาสีมาธรรมจักรของวัด รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นที่บรรจุพระอัฐิ และพระสรีรางคาร (เถ้ากระดูก) ไว้เพื่อเป็นพระบรมราชูทิศพระราชกุศลแก่พระบรมราชเทวี พระราชเทวี เจ้าจอมมารดา พระราชโอรส และพระราชธิดาในพระองค์ รวม 34 องค์ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั้งพระเจดีย์ พระปรางค์ วิหารแบบไทย แบบขอม และแบบโกธิคโดยรอบปลูกต้นลั่นทมและไม้พุ่มพรรณต่างๆ ดูแล้วสวยงาม ไม่ได้น่ากลัวตามวลีว่า “สุสาน” เลยครับ

ไปต่อกันที่ วัดสุทัศน์เทพวรารา ครับ

หากจะบอกว่าวัดสุทัศน์เทพวรารามเป็นวัดที่ใช้เวลาสร้างถึง 3 แผ่นดินก็คงไม่ผิดนัก เพราะเริ่มสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ในชื่อ วัดมหาสุทธาวาส จากนั้นรัชกาลที่ 2 ทรงสานต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ จนวัดมาแล้วเสร็จในรัชกาลที่ 3 และพระราชทานนามว่า วัดสุทัศน์เทพวราราม ครับ



ภายในพระวิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 3 วา 1 คืบ นับเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บริเวณใต้ฐานที่ผ้าทิพย์บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 8 ครับ


ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 8 ครับ



สำหรับพระวิหารคดสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ล้อมพระวิหาร มีเสารายรับหลังคาเฉลียงลดเป็นห้องๆ เสาทุกต้นเป็นสี่เหลี่ยม เพดานทาสีแดงมีลายกรอบแว่นประดับดาวทองล้อมเดือนทุกห้อง ขื่อทาสีเขียวปิดทองประดับลายกรวยเชิง มีพระพุทธรูปปางสมาธิเรียงกันอยู่โดยรอบพระวิหารคดครับ


พระอุโบสถของวัดสุทัศน์ เป็นพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทยเลยครับ พระประธานภายในพระอุโบสถคือพระพุทธตรีโลกเชษฐ์ ในวันที่ผมไปมีการสวดมนต์ใหญ่ เลยไม่มีโอกาสได้เข้าไปชมความงดงามด้านในเลย คงจะต้องหาโอกาสกลับไปเยี่ยมชมที่วัดแห่งนี้อีกเป็นแน่ เพราะหลังจากที่กลับมาศึกษาข้อมูลในภายหลัง รู้เลยว่าผมพลาดจุดสำคัญไปหลายจุดเลยทีเดียว เช่น ด้านหลังบัลลังก์ของพระศรีศากยมุนีจะมีแผ่นศิลาสลัก ศิลปะแบบทวารวดี ปางยมกปาฏิหาริย์และปางประทานเทศนาในสวรรค์ ซึ่งเป็นของเก่าและหาดูได้ยาก และน่าจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลก อีกทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปเปตรวัดสุทัศน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ

จากวัดสุทัศน์ ไปต่อที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารครับ

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 3 แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็สวรรคตเสียก่อน จากนั้นราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2458 รัชกาลที่ 6 โปรดให้รวมวัดรังษีสุทธาวาสเข้าหาวัดบวรนิเวศวิหารครับ


พระประธานที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จะพิเศษกว่าวัดอื่นๆ ตรงที่ภายในพระอารามจะมีพระประธาน 2 องค์ ซึ่งทั้ง 2 องค์เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่โบราณ โดยองค์ด้านหน้าคือพระพุทธชินสีห์ ซึ่งอัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (จ.พิษณุโลก) โดยได้มีการอัญเชิญมาทั้งองค์เมื่อปี พ.ศ.2373 และอีกองค์คือพระสุวรรณเขต หรือ พระโต หรือ หลวงพ่อเพชร แห่งวัดสระตะพาน (จ.เพชรบุรี) พระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานไว้เบื้องหลังพระพุทธชินสีห์ ซึ่งเป็นพระประธานองค์แรกของอุโบสถวัดนี้ ใต้ฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธชินสีห์ เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 6 ผู้ทรงเคยผนวช ณ วัดนี้เมื่อยังทรงดำรงพระอิสริยยศที่สยามมกุฎราชกุมาร นอกจากนี้ยังเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 9 ผู้ที่เคยประทับขณะทรงพระผนวชเมื่อพระชนมพรรษา 29 พรรษา ครับ


ด้านข้างพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเป็นพระพุทธบาทโบราณตั้งแต่สมัยสุโขทัย


วัดบวรนิเวศราชวรวิหารเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9 และยังเคยเป็นประทับของสมเด็จพระสังฆราชถึง 4 พระองค์เลยครับ นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของสงฆ์แห่งแรกในประเทศด้วยครับ


สถาปัตยกรรมของวัดบวรนิเวศเป็นแบบไทยผสมจีน ภายในบริเวณกลางวัดถัดจากพระอุโบสถออกไปจะเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่ สร้างในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 องค์เจดีย์หุ้มด้วยกระเบื้องสีทอง รอบฐานพระเจดีย์มีศาลาจีนและซุ้มจีน ถัดออกไปเป็นวิหารจีนครับ


ถัดจากเก๋งจีนเป็นวิหารพระศาสดา วิหารแห่งนี้จะแบ่งเป็น 2 ห้อง ด้านหน้าประดิษฐานพระศาสดา รัชกาลที่ 4 โปรดให้อัญเชิญมาจากวัดสุทัศน์เทพวราราม


ส่วนห้องด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ สมัยสุโขทัย ภายในห้องนี้มีจิตกรรมฝาผนังสวยงามมากๆ ลวดลายเขียนบอกเล่าเรื่องราวพระพุทธประวัติและชาดกครับ


นับเป็นอีกหนึ่งวัดที่มีความสำคัญมากๆ หากเพื่อนๆ มีโอกาสมาไหว้พระในกรุงเทพฯ แนะนำอย่าพลาดมาทำบุญที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารนะครับ

จากวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ผมมุ่งหน้าสู่ถนนราชดำเนินครับ ขอถ่ายภาพร่วมกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกันสักหน่อย

เดินเท้าต่ออีกนิดหน่อยเพื่อไปชมความงามของโลหะปราสาท หนึ่งเดียวในเมืองไทย และตอนนี้เป็นหนึ่งเดียวในโลกด้วยครับ

โลหะปราสาทวัดราชนัดดาราม เป็นโลหะปราสาทแห่งแรกของเมืองไทย และเป็นแห่งที่ 3 ของโลก แห่งแรกอยู่ที่อินเดีย แห่งที่สองอยู่ที่ศรีลังกา ณ ปัจจุบันโลหะแห่งแรกและแห่งที่สองถูกทำลายไปแล้ว หากใครต้องการมาชมความงดงามของโลหะปราสาท คงต้องมาที่วัดราชนัดดารามเท่านั้นครับ




วัดราชนัดดาราม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี พระราชนัดดาของรัชกาลที่ 3 ซึ่งคำว่า “ราชนัดดา” หมายถึง “หลาน” นั่นเอง พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโลหะปราสาทไว้ภายในวัดแทนการสร้างเจดีย์ ซึ่งปัจจุบันนับเป็นสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าจริงๆ ครับ





โลหะปราสาทจำลองแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตามโลหะปราสาทของศรีลังกา แต่ยังคงออกแบบตามสถาปัตยกรรมไทยที่มีการผสมผสานพุทธศิลป์ได้อย่างงดงาม ตัวปราสาท 3 ชั้น มียอด 37 ยอด ซึ่งหมายถึงโพธิปักขิยกรรม 37 ประการ กลางปราสาทเป็นช่องกลวงจากฐานตลอดยอด มีซุงต้นใหญ่สูงถึงยอดปราสาทเป็นแกนกลาง เจาะลำต้นเป็นบันไดเวียนขึ้น 67 ขั้น

โลหะปราสาทผ่านการบูรณปฏิสังขรณ์มาหลายครั้ง และมีการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.2506 โดยได้พยายามรักษาแบบแผนดั้งเดิมของโลหะปราสาทในสมัยรัชกาลที่ 3 ไว้ให้มากที่สุด จากนั้นเมื่อปี พ.ศ.2539 ก็มีการบูรณะอีกครั้ง โดยมีการปฏิสังขรณ์เริ่มจากยอดมณฑปกลาง เปลี่ยนวัสดุมุงและเครื่องประดับหลังคาเป็นโลหะและทองแดงรมดำและในปี พ.ศ.2555 ได้มีการบูรณะโลหะปราสาทอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้ทำการปิดทองคำเปลวบนยอดทั้ง 37 ยอด โดยเริ่มดำเนินการจากชั้นบนสุดลงมาแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2560 ครับ

สำหรับด้านในโลหะปราสาท ชั้นล่างจะมีการจัดแสดงนิทรรศการโลหะปราสาท ส่วนด้านบนจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เสียดายในวันที่ผมไปชมความงดงาม ผมไม่สามารถขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุด้านบนของยอดปราสาทได้ เนื่องจากมีขบวนเสด็จ เห็นว่าด้านบนสามารถชมวิวได้ 360 องศาเลยครับ


ส่วนด้านข้างของโลหะปราสาทเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ โดยรอบพระอุโบสถล้อมรอบด้วยแท่นซุ้มสีมา 8 ซุ้ม ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธเสฎฐตตมมุนิทร์ พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 3 ให้ขุดแร่ที่ อ.จันทึก จ.นครราชสีมา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ หล่อพระพุทธปฏิมากรและนำมาประดิษฐานยังวัดราชนัดดารามวรวิหารครับ

ผมมาปิดท้ายโปรแกรมเที่ยววัดที่ภูเขาทองแห่งวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตั้งใจมาเก็บบรรยากาศช่วงเย็นด้วยวิว 360 องศา บนยอดภูเขาทองครับ

ภูเขาทอง หรือ บรมบรรพต เป็นเจดีย์บนภูเขาจำลอง ตั้งอยู่ใน วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จากพระราชประสงค์เดิมของรัชกาลที่ 3 ที่ทรงดำริให้สร้างพระปรางค์ย่อมุมไม้สิบสองขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกของพระนคร คล้ายพระเจดีย์วัดภูเขาทองที่กรุงศรีอยุธยา แต่เนื่องจากโครงสร้างมีน้ำหนักมาก ดินเลนในบริเวณนั้นไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ องค์ปรางค์จึงทะลายลงมา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าให้สร้างขึ้นใหม่โดยเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นภูเขาจำลองสูง แล้วมีเจดีย์อยู่ด้านบนแทน พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปวางศิลาฤกษ์ด้วยพระองค์เอง และเปลี่ยนชื่อจากภูเขาทองเป็นพระบรมบรรพต ยังไม่ทันที่จะก่อสร้างพระบรมบรรพตเสร็จ พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาในรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์


การเดินขึ้นไปด้านบนภูเขาทอง จะมีบันไดเวียนขึ้นลง 2 ทาง โดยจะต้องเดินไปตามบันไดเล็กๆ ทั้งหมด 344 ขั้น ซึ่งทางขึ้นหลักจะอยู่ติดกับส่วนของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จากฐานจนถึงยอดเจดีย์มีความสูง 77 เมตร ขอบอกว่าค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ เดินขึ้นไป ชมวิวไป จะได้ไม่เหนื่อยครับ


ด้านบนภูเขาทองประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดีย ซึ่งบรรจุอยู่ในผอบที่มีอักษรพรามี จารึกไว้ว่าพระบรมสารีริกธาตุนี้เป็นของพระพุทธเจ้า (สมณโคดม) ตระกูลศากยราช ได้รับแบ่งปันในเวลาถวายพระเพลิงพุทธสรีระ มีการขุดพบเมื่อ พ.ศ.2441 ณ เมืองกบิลพัศดุ์ ประเทศอินเดีย และรัฐบาลอินเดียได้น้อมเกล้าถวายแด่รัชกาลที่ 5 และในช่วงเทศกาลลอยกระทง จะมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ปฏิบัติสืบกันมาจนกลายเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุภูเขาทองครับ


นอกจากพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ด้านในของพระบรมบรรพตยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ พระพุทธรูปปางทรงเครื่องจักพรรดิ์สีทอง ซึ่งเป็นพระประธาน และโดยรอบยังมีพระพุทธรูปที่สำคัญอีกหลายองค์เลยทีเดียว








ต้องบอกเลยว่าด้านบนสุดของบรมบรรพตสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว มองเห็นยอดพระปรางค์วัดอรุณ พระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โลหะปราสาท สะพานพระราม 8 และวิวสวยๆ ของกรุงเทพแบบสุดลูกหูลูกตาเลยครับ


ก่อนกลับไม่ลืมที่จะถ่ายภาพป้อมมหากาฬ 1 ใน 14 ป้อมที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันรักษาพระนคร ซึ่งปัจจุบันป้อมแห่งนี้เป็น 1 ใน 2 ป้อมที่ยังคงเหลืออยู่ในกรุงเทพครับ (อีกหนึ่งป้อมที่เหลือคือป้อมพระสุเมรุ)

หลังจากทัวร์วัดกันมาทั้งวันแล้ว คืนนี้ขอพักผ่อนแบบสบายๆ ในย่านสุขุมวิท ผมเลือกเข้าพักที่ Dream Bangkok Hotel ซึ่งตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 15 ครับ

ภายนอกโรงแรม Dream Bangkok Hotel อาจจะดูไม่ค่อยเท่าไร แต่เมื่อก้าวเข้ามาภายในเท่านั้นแหล่ะ มองเห็นถึงความทันสมัย หรูหราแต่ไม่ทิ้งความเป็นไทย ใน Concept แฟชั่นสไตล์โฮเทล สไตล์การตกแต่งของ Dream Bangkok Hotel จะเน้นความหรูหรา ด้วยสีสันที่สดใส

บริเวณ Lobby มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอ Check in / Check out ด้วยชุดโซฟาหลากหลายสไตล์ ลวดลายของพรมให้อารมณ์อยู่ในห้วงจักรวาล ด้านข้างของจุดพักผ่อนมีเจดีย์องค์ใหญ่ๆ 3 องค์ สื่อให้เห็นถึงความเป็นไทยได้อย่างดีมากๆตอน Check in จะมีการเรียกเก็บ Deposit 1,000 บาทครับ (เก็บใบเสร็จไว้ให้ดีๆ นะครับ ตอน Check out ต้องนำมาแสดงเพื่อขอ Deposit คืนครับ)

Dream Bangkok Hotel มี 2 อาคาร มีถนนสายเล็กๆ คั่นระหว่างทั้ง 2 อาคาร โดยการเข้าพักของผมในครั้งนี้อยู่ที่อาคาร 1 ครับ

ไปดูห้องพักกันบ้างดีกว่า คืนนี้ผมเข้าพักในห้องแบบ Bronze King ซึ่งคำว่า King ก็พอจะเดาออกว่าเป็นเตียงแบบ King Size ห้องพัก type นี้ไม่มีเตียง Twin นะครับ พื้นที่ภายในห้องขนาด 25 ตารางเมตร อัดแน่นด้วยเฟอร์นิเจอร์หลายอย่าง เช่น โซฟานั่งเล่น มุมโต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกตามมาตรฐานของโรงแรมทั่วไป เช่นทีวีแบบ LCD ตู้นิรภัย ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เสื้อคลุมอาบน้ำ รองเท้าผ้าสำหรับเดินในห้องครับ

สำหรับพื้นที่ห้องน้ำ ขนาดพอเหมาะ ไม่เล็กไม่ใหญ่ แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยผนังกระจกแบบครึ่งบาน โถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระให้พร้อม นอกจากนี้ยังมีเครื่องชั่งน้ำหนักไว้ให้ด้วยครับ


Minibar ราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

ห้องพักที่นี่ไม่เก็บเสียงครับ ใครเดินผ่านไปผ่านมาได้ยินหมด แต่ทางโรงแรมได้เตรียม Ear plug ไว้ให้ที่หัวเตียง ผนังกระจกเป็นแบบปิดตาย ไม่สามารถเปิดรับอากาศภายนอกได้ เตียงและหมอนนุ่ม นอนสบายมาก หมอนใบใหญ่มีให้ 4 ใบ ใบเล็กอีก 2 ใบ

Flava Restaurant & Bar อยู่ที่ชั้น 2 ของอาคาร 1 เช้านี้ผมตื่นสาย ลงมาถึงห้องอาหารพบว่าแขกมาใช้บริการกันค่อนข้างหนาแน่น เลยไม่กล้าที่จะเก็บบรรยากาศภายในห้องอาหารมาฝาก เนื่องจากเกรงจะเป็นการรบกวนแขกท่านอื่นๆ ครับ สำหรับอาหารเช้าผมว่ายังไม่ค่อยหลากหลายสักเท่าไร รสชาติอาหารถือว่ากลางๆ อาจเนื่องจากเน้นบริการชาวต่างชาติเสียมากกว่า เพราะแขกที่เข้าพักส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ห้องอาหารเช้าเปิดให้บริการตั้งแต่ 06.30-11.30 น. ครับ

สำหรับด้านข้างของห้องอาหารเป็นบาร์ ตกแต่งด้วยสีสันที่สดใสมากๆ การเล่นสี แสง มันทำให้พื้นที่ตรงนี้สะดุดตามากๆ ครับ

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้กับแขกที่เข้าพัก มีทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ซึ่งอยู่ในอาคาร 2 นอกจากนี้ยังมี Spa ซึ่งอยู่ในอาคาร 1 ครับ

การเดินทางมาที่ Dream Bangkok Hotel ก็สะดวกมากๆสามารถนั่ง BTS มาลงที่สถานีอโศก หรือ นานา ก็ได้ แล้วเดินเท้านิดหน่อยมายังปากซอยสุขุมวิท 15 จากนั้นเดินเข้าซอยมาเล็กน้อยก็ถึง Dream Bangkok Hotel แล้วครับ

สำหรับการเที่ยววันที่สองในเมืองกรุง ผมขอเปลี่ยนแนวการเที่ยวบ้าง เมื่อวานเน้นเที่ยววัดแบบเต็มๆ วันนี้ขอเปลี่ยนไปหาความเสียว ความตื่นเต้น หาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ตัวเอง กับการลองฝึกขับเครื่องบิน ที่ Flight Experience Bangkok ครับ

จากสถานี BTS อโศก นั่งไปลงสถานี BTS เอกมัย จากนั้นเดินเข้าไปใน Gateway Ekamai เลยครับ Flight Experience Bangkok จะอยู่บนชั้น 2 หาไม่ยาก เพราะจะมีหัวเครื่องบินลำเบ้อเร่ออยู่ด้านหน้าเลยครับ

ผมเองเคยนั่งเครื่องบินมาก็พอสมควร นึกสงสัยทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินว่า เครื่องบินลำโตๆ มันจะบังคับยากขนาดไหน ขนาดขับรถยนต์ธรรมดายังต้องอาศัยเป็นคนหูตาไว แล้วเครื่องบินลำใหญ่มันต้องใช้ความสามารถมากแค่ไหนถึงจะพาผู้โดยสารนับร้อยชีวิตเดินทางถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย และวันนี้แหล่ะ ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงวิธีการขับ รวมถึงได้ทดลองขับเครื่องบินด้วยตัวเองครับ

Flight Experience Bangkok ให้บริการด้านการบินในห้องจำลองการบิน (Simulator) แบบ Fixed-Base เสมือนเครื่อง Boeing 737-800 ครับ มีน้องๆ นักบินที่ได้รับใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรีเป็นผู้สอนและจะคอยแนะนำข้อมูลต่างๆ ให้เรา สำหรับแพคเกจมีให้บริการตั้งแต่แบบพื้นฐาน คือการบินชมทิวทัศน์ 30 นาที เป็นการฝึกฝนเบื้องต้นในการบินเครื่องบินพาณิชย์ การนำเครื่องขึ้น-ลง และการบินในวงจร โดยจะทำการบินวนเป็นระยะสั้นๆ หรือจะเป็นแพคเกจสมจริงที่จะสอนตั้งแต่การวางแผนก่อนการบิน การศึกษาห้องนักบิน การ Checklist ต่างๆ ของสายการบินก่อนนำเครื่องขึ้นและลงครับ




สำหรับผมวันนี้ ผมเลือกแพคเกจ Scenic Flight ซึ่งเป็นแพคเกจเริ่มต้น แพคเกจนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที คือจะเริ่มตั้งแต่การฟังบรรยาย การฝึกบังคับเครื่องตั้งแต่ Taxiway , Takeoff, การบินรอบๆ สนามบิน และการ Land ครับ และในการฝึกบินไฟล์ทนี้ของผม มีกัปตันไตเติ้ลเป็นนักบินผู้ช่วยครับ

ก่อนอื่นเราต้องมาฟังคำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับการบินกันก่อน กัปตันไตเติ้ลแนะนำเกี่ยวกับวิธีการนำเครื่องขึ้นและลง แนะนำเส้นทางการบินว่าเราจะทำการบินวนรอบสนามบิน 2 รอบ และอะไรอีกมากมาย ผมเองได้ความรู้ใหม่ๆ จากคำแนะนำของกัปตันไตเติ้ลมาเยอะเลยครับ ก่อนจะจบการฟังบรรยาย ผมแอบกระซิบถามกัปตันว่า เคยมีคนทำเครื่องตกไหม กัปตันบอกว่าไม่มี เต็มที่ก็แค่ไถลออกนอกรันเวย์ ผมหวังลึกๆ ว่า กัปตันมือใหม่ที่ขับไถลออกนอกรันเวย์ คงไม่ใช่ผมอย่างแน่นอน เมื่อฟังบรรยายจบ ก็เตรียมบินกันเลยครับ

ภายใน Simulator ออกแบบให้เสมือนจริง อุปกรณ์ส่วนใหญ่ใช้ได้จริง จอหน้าปัดต่างๆ ละลานตาไปหมด และมีจอภาพ 180 องศา ระบบภาพแบบ Hi-Definition ครับ

การฝึกบินจะมีสนามบินให้เลือกกว่า 24,000 สนามบินทั่วโลก และสนามบินที่คนนิยมมาฝึกบินกันจะมีประมาณ 4 สนามบิน คือ สนามบินสุวรรณภูมิ, สนามบินภูเก็ต, London Heathrow Airport, New York JFK Airport ผมแอบถามกัปตันว่า สนามบินไหนสวย กัปตันเลยแนะนำว่าสุวรรณภูมินี่แหล่ะ เพราะอย่างน้อยเราก็จะคุ้นกับสภาพสนามบินที่สุด ผมเลยเลือกที่จะหัดนำเครื่องขึ้นลงที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ

กัปตันไตเติ้ลแนะนำถึงอุปกรณ์สารพัดอย่างในห้องบังคับการบินและวิธีใช้เครื่องจำลองการบิน มันยากเกินที่ผมจะจำได้ ณ เวลานั้น ปุ่มไหนเป็นปุ่มไหน จำแทบไม่ได้เลย อาจจะเพราะมัวแต่ตื่นเต้นก็เป็นได้ เอาเป็นว่าน้องกัปตันจะให้กดปุ่มไหน ให้เลือกบินระดับไหน ก็บอกมาละกัน ผมพร้อมจะทำตาม 555


ขับไปก็อายกัปตันไป ตอนที่กัปตันสอน ผมก็พยักหน้างกๆ ทำท่าเหมือนจะเข้าใจ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กัปตันสั่งให้ลดกำลังเครื่องบินลง ผมก็ดันไปโยกคันเร่งผิด กลับไปเร่งกำลังมากขึ้น แถม Land ไถลออกนอกรันเวย์จนต้องเทคตัวขึ้นฟ้าอีกรอบ ดีนะที่เป็นเครื่องบินจำลอง ไม่อย่างนั้นเครื่องบินคงระเบิด ไฟลุกท่วมสนามบินเป็นแน่ๆ ท้ายสุดน้องกัปตันเลยโชว์บินนำเครื่องลงด้วยความนุ่มนวล เวลา 30 นาที ผ่านไปเร็วมากเลยครับ ยังเสียว ยังสนุกอยู่เลย หมดเวลาซะแล้ว ตอนลุกจากเก้าอี้นี่ขาสั่นเลย เพราะเกร็งงงงซะ กลัวเครื่องบินตก 555

หลังจากบินเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถมาซื้อของที่ระลึกได้นะครับ มีทั้งเสื้อ หมวก เข็มกลัด และสิ่งล่อตาล่อใจอีกมากมายเลย สำหรับการฝึกบินอย่างที่ผมมาฝึกในครั้งนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นผู้ใหญ่นะครับ เด็กๆ ก็สามารถมาฝึกบินได้เช่นกัน ผมว่าให้เด็กๆ ได้มาลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ดี เพราะมันเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ อาจจะทำให้เด็กมีฝันที่จะเป็นนักบินก็ได้ครับ

สำหรับใครสนใจจะลองไปหัดขับเครื่องบินดู ลองเข้าไปดูข้อมูลที่ https://www.facebook.com/FlightExperienceBangkok/ ดูแพคเกจที่สนใจพร้อมราคาได้เลย ราคาอาจจะสูงสักหน่อยนะครับ เพราะหนึ่งช่วงเวลาที่เขาให้บริการเรา คือจะให้บริการเราได้แค่คนเดียวเท่านั้น เห็นว่าช่วงนี้มีโปรฯ ด้วย แต่ถ้าไม่ได้ราคาโปรฯ สามารถแสดงบัตร KTC ใช้เป็นส่วนลดได้ถึง 30% เลยนะครับ ใครจะไปใช้บริการคงต้องโทรจองรอบไว้ก่อน จะได้ไม่เสียเวลาไปรอ เปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00 – 21.00 น. ทางที่ดีโทรสอบถามก่อนได้ที่ 02-0489922, 092-5294616

หลังจากหายใจหายคอไม่ทั่วท้องกว่าครึ่งชั่วโมง คงต้องหาวิธีผ่อนคลายให้สบายอก สบายใจ สบายตัวบ้างแล้ว ช่วงบ่ายผมเลือกไปให้รางวัลกับตัวเองด้วยการทำสปา ที่ The Oasis Spa ครับ

The Oasis Spa มีอยู่หลายสาขาเหมือนกันครับ มีทั้งสาขาที่เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และที่กรุงเทพ ในแต่ละจังหวัดก็จะมีสาขาย่อยอีกหลายแห่งเลยครับ แต่ใน กรุงเทพ จะมีสาขาย่อย 2 สาขา คือสาขาสุขุมวิท 31 และสุขุมวิท 51สำหรับการใช้บริการในครั้งนี้ผมเลือกไปใช้บริการที่สาขาสุขุมวิท 31 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Flight Experience Bangkok จากสถานีเอกมัย นั่ง BTS ย้อนกลับมาเพียง 2 สถานี (ลงสถานีพร้อมพงษ์) จากนั้นให้โทรไปที่ สปาเพื่อให้ส่งรถมารับได้เลยครับ บริการรับส่งฟรี จากสถานีพร้อมพงษ์ไป The Oasis Spa ระยะทางประมาณ 1.5 กม.ครับ

The Oasis Spa Bangkok สาขาสุขุมวิท 31 ลักษณะเป็นบ้านสองชั้น สีขาว ดูสะอาด ในสวนเขียวที่แวดล้อมไปด้วยตึกสูงย่านสุขุมวิท ตัวบ้านอาจจะดูออกแนวโบราณนิดๆ แต่มีการต่อเติมเพิ่มในลุคที่ดูสมัยใหม่ ซึ่งดูแตกต่างแต่ไม่แตกแยก ผมว่าลงตัวดีครับ เห็นแล้วอดใจที่จะหยิบกล้องมาถ่ายภาพไม่ได้ อ้อ สำหรับใครที่ขับรถมา ด้านในรั้วมีที่จอดรถให้ด้วยครับ





เข้ามาด้านในปุ๊บ พนักงานจะพามานั่งพักผ่อนที่โซฟา จากนั้นจะนำผ้าเย็นพร้อมน้ำขิงอุ่นๆ มาให้จิบเพื่อให้แขกได้รู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นจะมีแบบฟอร์มให้เรากรอกรายละเอียดต่างๆ เช่น ต้องการให้นวดน้ำหนักขนาดไหน และเรามีโรคประจำตัวอะไรบ้าง หลังกรอกแบบฟอร์มเสร็จ ผมยังมีเวลาเหลืออีกพอสมควร เนื่องจากผมมาก่อนเวลาที่นัดหมายไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง จริงๆ ถ้าไม่มีแขกท่านอื่นๆ ก็สามารถนวดได้เลย แต่เนื่องจากช่วงก่อนหน้าผมนัดหมายไว้มีแขกใช้บริการอยู่ ผมเลยต้องรอจนถึงเวลานัด ช่วงระหว่างที่รอก็ไม่ปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ขอเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบมาฝากเพื่อนๆ ครับ






ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศที่นี่ดีจริงๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ดูแล้วไม่รู้สึกเลยว่านี่เรากำลังอยู่ในย่านเศรษฐกิจสำคัญของเมืองไทย



สำหรับการมาใช้บริการในครั้งนี้ ผมเลือกการนวดแบบ King of Oasis ซึ่งเป็น 1 ใน Signature ของ The Oasis spa ครับ การนวดแบบ King of Oasis เป็นการนวดที่แสดงถึงความแข็งแรง หนักหน่วง เหมาะสำหรับคนที่ชอบนวดไทย นวดประคบเป็นการนวดน้ำมัน ช่วยลดอาการปวดตึงของกล้ามเนื้อและเน้นหนักเฉพาะจุดบริเวณส่วนหลัง บั้นเอว และไหล่ ผมว่าการนวดแบบนี้เหมาะกับพนักงานออฟฟิส ที่ต้องนั่งทำงานท่าเดิมๆ ให้คลายจากอาการ Office Syndrome ครับ

สำหรับการนวดอีกแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ King of Oasis นั่นก็คือการนวดแบบ Queen of Oasis ซึ่งมีเทคนิคการนวดท้องเพื่อจัดระบบสมดุลของร่างกาย เป็นการนวดผ่อนคลายแบบผสมผสานการนวดแบบสวีดิช อโรมาเทอราปี และบำบัดด้วยหินร้อน การนวดแบบนี้เหมาะกับผู้มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหัว โรคเครียด และนอนไม่หลับครับ

ภายในห้องนวด ประกอบไปด้วย 2 เตียง และจะมีพื้นที่สำหรับใช้อาบน้ำ ซึ่งเป็นห้องอาบน้ำแบบ outdoor มีทั้งอ่างอาบน้ำ และ Rain Shower น้องพนักงานจะให้เวลาอาบน้ำ 15 นาที ก่อนทำการนวด

นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยืนแก้ผ้าอาบน้ำกลางกรุงแบบนี้ ถึงแม้ว่าเมื่อมองออกไปนอกห้องอาบน้ำ (แบบ outdoor) จะมองเห็นเพียงยอดตึกสูงอยู่ลิบๆ แต่ความรู้สึกเขินอายมันก็ยังมีอยู่นะ ผมนี่รีบอาบน้ำแล้วรีบไปนั่งรอน้องพนักงานในห้องนวดภายใน 5 นาทีครับ

เวลา 2 ชั่วโมงในการนวด ผ่านไปด้วยความรวดเร็ว อยากบอกว่าน้ำหนักมือของน้องพนักงานดีมาก แถมน้องพนักงานจะคอยถามตลอดว่าน้ำหนักนวดโอเคไหม ลูกประคบร้อนไปไหม และน้องพนักงานจะขอบคุณทุกครั้งที่เราตอบ ต้องบอกเลยว่า 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา เป็นการพักผ่อนที่ดีงามมากๆ ครับ


หลังนวดเสร็จ น้องพนักงานจะนำผลไม้และน้ำชามาให้ทานอีกครั้ง และจะเข้ามาสอบถามความพึงพอใจ โดยให้เรากรอกแบบสำรวจเป็นอันเสร็จพิธีครับ จากนั้นก็จะมีรถยนต์ส่วนตัวพาไปส่งยังสถานี BTS พร้อมพงษ์ ฟรี (แจ้งความประสงค์ที่จะให้รถไปส่งตอนเรา Check in) ต้องขอชมเชยน้องพนักงานทุกคนเลยครับ น้องๆ สุภาพ อ่อนโยน มี Service mind มาก ทำให้คนธรรมดาอย่างผมรู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญขึ้นมาเลยครับ เหมาะสมแล้วที่ The Oasis Spa Bangkok สุขุมวิท 31 คว้ารางวัล Hall of Fame Day Spa ยอดเยี่ยมจาก Thailand Tourism Awards 2019 ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศที่ยกย่องและเชิดชูผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย และรางวัล Award of Excellence Day Spa ด้วย ถือเป็นการการันตีคุณภาพการให้บริการด้วยมาตรฐานเลยครับ

ผมนั่งรถ BTS ย้อนกลับมายังสถานี BTS อโศกอีกครั้ง คืนวันที่ 2 ผมเข้าพักที่ U Sukhumvit Bangkok ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักคืนแรกของผมครับ เมื่อลง BTS มา ก็โทรหาโรงแรมเพื่อให้โรงแรมส่งรถตุ๊กๆ มารับ โดยรถตุ๊กๆ จะมาจอดรับที่ประตู 2 Terminal 21 ครับ





ถึง Lobby จะดูเรียบง่าย แต่การให้บริการของน้องพนักงานนี่ซิครับ เอาใจไปเลย ยิ้มแย้มและยกมือไหว้ทุกครั้งที่ผมเดินเข้าออกโรงแรมเลยครับ เอกลักษณ์ของโรงแรม U คือ Check in เวลาไหน Check out เวลานั้น เรียกได้ว่า สามารถใช้ห้องได้ 24 ชั่วโมงเลยครับ


ระหว่างรอ Check in น้องพนักงานจะนำสบู่มาให้เลือกตามกลิ่นที่เราชอบ กลิ่นที่ให้เลือกมีทั้งไม้ไผ่ ตะไคร้ กล้วยไม้ และมะลิครับ





ผมเข้าพักห้องพักแบบ Superior room รูปแบบเน้นความเป็นไทย มีการใช้ wallpaper รวมถึงเพดานห้องมีการติดลายไทย การออกแบบห้องและจัดวางเฟอร์นิเจอร์ถือว่าทำได้ดี ทำให้ห้องมีพื้นที่ใช้สอย ดูไม่อึดอัดครับ ห้องอาจจะไม่ค่อยเก็บเสียงสักเท่าไร สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกก็ตามมาตรฐานของโรงแรมครับ ตู้นิรภัย ร่ม เสื้อคลุมอาบน้ำ เครื่องชงกาแฟ ทีวี เครื่องปรับอากาศ และอื่นๆ ครับ



ห้องน้ำกว้างขวางเลยทีเดียว แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยห้องกระจก โถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระให้พร้อมครับ


มินิบาร์ สามารถเลือกดื่มได้ฟรีคนละ 1 กระป๋อง ถือเป็น Welcome Drink สำหรับน้ำดื่มตรา U เป็น Complimentary ครับ


ชา กาแฟก็ Complimentary แถมยังมี Welcome Fruit เป็นแอปเปิ้ลให้ 2 ผลครับ

ดูห้องพักมาแล้ว ผมขอพาไปดูบริการอื่นๆ ที่ทาง U เตรียมไว้ให้บ้าง ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 8 เลยครับ ชั้นดาดฟ้านี้เป็นที่ตั้งของสระว่ายน้ำ, Roof Top Pool & Bar และมุมห้องอ่านหนังสือครับ


ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ จึงทำให้พื้นที่บริเวณสระว่ายน้ำดูอึดอัดไปบ้าง แต่ถ้าถามเรื่องวิว ผมให้ผ่านเลยครับ มองออกไปเห็นตึกสูงอยู่รายรอบ




ติดสระว่ายน้ำเป็นพื้นที่ของ Roof Top Pool & Bar ในช่วงเวลา 17.00-20.00 น. จะเป็นช่วง Happy Hours สั่งเครื่องดื่ม 1 แก้ว แถมฟรี 1 แก้วครับ



ติดกับ Roof Top Pool & Bar เป็นมุมอ่านหนังสือ พร้อมมี internet ให้ใช้ครับ

ไปดูอาหารเช้ากันบ้างดีกว่าครับ ห้องอาหาร UZZIE อยู่ชั้น 2 ให้บริการตั้งแต่ 06.00-11.00 น. บริการแบบ Buffet แต่ถ้าหากว่ามาใช้บริการไม่ทัน สามารถจะสั่งทานเวลาไหนและที่ไหนก็ได้ภายในโรงแรมครับ





พื้นที่อาจจะดูคับแคบไปสักนิด แต่ก็ไม่ดูอึดอัดจนเกินไป





นอกจากอาหารในไลน์ buffet แล้ว ยังสามารถสั่งอาหารเพิ่มเติมจากเมนูได้ด้วยครับ

สำหรับการใช้บริการโดยรวมของ U Sukhumvit Bangkok ถือว่าคุ้มค่ากับราคาครับ ถึงแม้ว่าโรงแรมอาจจะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ทำให้ทุกส่วนของโรงแรม เช่น Lobby ห้องพัก ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ อาจจะเล็กไปสักหน่อย ห้องพักไม่เก็บเสียง แต่เรื่องการให้บริการนั้นถือว่าดีเลยทีเดียว อีกทั้งคอนเซปของทางโรงแรมคือ Check in เวลาไหน สามารถ Check out ได้ในเวลานั้น ทำให้เราสามารถใช้ห้องพักได้เต็มที่ เตียงนอนนุ่มสบาย ถึงแม้ว่าที่ตั้งของโรงแรมจะอยู่ในซอยลึก แต่ทางโรงแรมมีบริการรถรับส่งไปยัง สถานี BTS พร้อมพงษ์ฟรี ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น.ครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 12.53 น.

ความคิดเห็น