เมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2019 เป็นช่วงที่ผมเพิ่งจะเรียนจบปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษมาหมาดๆ จึงอยากจะใช้ช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่จะเริ่มทำงาน แบคแพคเที่ยวยาวๆในยุโรปครับ

แต่ความจริงอันน่าเศร้าคือเที่ยวในยุโรปยาวๆมันใช้เงินเยอะมากกก ดังนั้นผมตั้งเป้าว่าจะหาเส้นทางเที่ยวในยุโรปที่ไม่แพง (มาก) และ มีอะไรแปลกๆใหม่ๆให้เที่ยว เพื่อเปิดโลกสักนิดก่อนจะกลับไทยครับ

ทริปแบคแพคในคาบสมุทรบอลติกจึงเกิดขึ้นมา เนื่องจากในเวลานั้นตั๋วเครื่องบินถูกมากๆ และค่าครองชีพในแถบนั้นไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป การเดินทางไปมาระหว่างกันก็สะดวก แถม Baltic states ค่อนข้างขึ้นชื่อในเรื่องความปลอดภัย และยังทำให้ผมมีโอกาสพ่วงประเทศแถบ Nordic อย่างฟินแลนด์ และสวีเดนเข้าไปในทริปด้วยครับ

เนื่องจากทริปค่อนข้างยาวจึงขอแบ่งเป็น 3 ภาคดังนี้นะครับ

Part 1: ภาพรวม และ Day 1-4 ประเทศลิทัวเนีย🇱🇹

Part 2: Day 5-9 ประเทศลัตเวีย🇱🇻 และเอสโตเนีย🇪🇪

Part 3: Day 10-13 ประเทศฟินแลนด์🇫🇮 และสวีเดน🇸🇪 (ประเทศกลุ่ม Nordic)



มาทำความรู้จัก Baltic states กันก่อน

หัวข้อนี้จะค่อนข้างยาว ใครมาเพื่อทำแพลนทริป ข้ามไปหัวข้อถัดไปได้เลยครับ

เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินชื่อของคาบสมุทรบอลติกกันมาบ้างนะครับ พื้นที่แถบนี้อยู่ในยุโรปตะวันออก ซีกซ้ายติดกับทะเลบอลติก และทางขวาติดกับประเทศรัสเซียครับ อีกด้านของทะเลบอลติกจะเป็นสวีเดนและฟินแลนด์ ทำให้เราสามารถนั่งเรือเฟอรี่ข้ามไปเที่ยวสองประเทศได้อย่างง่ายดาย

แถบนี้ประกอบไปด้วย 3 ประเทศที่เรียกตัวเองว่า Baltic states อันประกอบไปด้วย ลิทัวเนีย 🇱🇹 ลัตเวีย🇱🇻และ เอสโตเนีย 🇪🇪 (Lithuania, Latvia, Estonia) ไล่จากล่างขึ้นบน โดยลิทัวเนียจะติดกับโปแลนด์ และเอสโตเนียจะอยู่ใต้ฟินแลนด์พอดีครับ

(ที่มา: Baltic Nations)

คนในแถบนี้คือชาวบอลติกที่เรียกกันว่า Balts ครับ โดยจะมีอีกหลายชนเผ่าย่อยๆอีก พวกเค้าอยู่ในแถบนี้มาตั้งแต่อดีตไม่ได้อพยพย้ายถิ่นมาจากที่ไหน ประวัติศาสตร์ของชาวบอลติกเต็มไปด้วยการถูกยึดครอง และการปฏิวัติครับ ทำให้คนในแถบนี้มีความรักในชาติของตัวเอง และรักในอิสรภาพที่ได้มามากๆ อาจจะเพราะถูกยึดครองมานานผู้คนรุ่นใหม่ๆ จึงมีความสุขกับทุกสิ่งอย่างที่มีในชีวิตปัจจุบันครับ

ประวัติแต่ละประเทศโดยละเอียดสามารถหาอ่านได้ตามอินเตอร์เนตนะครับ หรือจะตามรอยผมและเข้าไปเห็นของจริงที่ประเทศเค้าเลยก็ได้ครับ

ผมจะบรีฟประวัติศาสตร์ในแถบนี้อย่างคร่าวๆให้นะครับ ข้อมูลอาจจะไม่แม่นยำ 100% เพราะฟังมาจากไกด์บวกกับหาเพิ่มเติมเองนิดหน่อย แค่อยากให้ทุกคนได้รู้จักกับประเทศแถบนี้ก่อนจะเริ่มเดินทางครับ

  • แรกเริ่มเลย คนแถบนี้อยู่กันเป็นอาณาจักรย่อยๆ (ก่อนจะรวมเป็นประเทศ) และในช่วงศตวรรษที่ 13 ก็เริ่มถูกแทรกแซงโดยอาณาจักรใหญ่ๆอย่างเดนมาร์ค-นอเวย์ และเยอรมันด้วยเหตุผลเพื่อเผยแพร่ศาสนา (เรียกว่า Norhern Crusade)
  • ในช่วงนั้นมีลิทัวเนียอาณาจักรเดียวที่ต่อต้านการยึดครองได้ รวมถึงยังขยายอาณาเขตไปถึงบางส่วนของประเทศรัสเซียในปัจจุบัน ยาวไปจนถึงยูเครน และทะเลดำ ทำให้ในเวลานั้น (ศตวรรษที่ 13-15) ลิทัวเนียมีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในยุโรปและเรียกตัวเองว่า Grand Duchy of Lithuania [ 1 ] (ดูรูปประกอบข้างล่างนะครับ)
  • ต่อมาลิทัวเนียไปรวมร่างกับโปแลนด์ทำให้อาณาจักรทั้งคู่ใหญ่ขึ้นไปอีกเรียกว่า Polish–Lithuanian Commonwealth ซึ่งตอนนี้อาณาเขตของอาณาจักรขยายขึ้นไปถึงทางใต้ของเอสโตเนีย และรวมกับอาณาเขตของโปแลนด์ครับ [ 2 ]
  • ในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 ทางตอนเหนือของอาณาจักร (เอสโตเนียและลัตเวียในปัจจุบัน) ก็ถูกบุกยึดโดยอาณาจักรรัสเซีย (Tsardom) เกิดเป็นสงคราม Livonian war ซึ่งมีอาณาจักรใหญ่อย่าง Kingdom of Sweden กระโจนเข้ามาร่วมสงครามนี้ด้วย ค่อนข้างจะวุ่นวายมากช่วงนี้ สงครามยืดเยื้อกว่า 20 ปี และจบลงที่รัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และสวีเดนก็ยึดส่วนที่เป็นเอสโตเนียและลัตเวียไปจากลิทัวเนีย [ 3 ]
  • 20 ปี ต่อมาเกิดสงคราม Great Northern War ในศตวรรษที่ 17 ครับ สงครามใหญ่ที่ทำให้ Kingdom of Sweden ที่กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดหมดอำนาลงไป โดยสงครามนี้หลักๆคือ อาณาจักรรัสเซียพยายามที่จะยึดบอลติกอีกรอบนั่นแหละ เพราะทั้งเมืองทาลินน์ (Tallinn) ของเอสโตเนีย และ ริก้า (Riga) ของลัตเวียต่างเป็นเมืองท่าหลักของคาบสมุทรนี้ สงครามนี้สวีเดนโดนรุมจากทั้งรัสเซีย เดนมาร์ค-นอเวย์ และโปแลนด์-ลิทัวเนีย หรือง่ายๆคือเคยไปยึดพื้นที่ใคร เค้าก็มาตามเอาคืนหมด สงครามจบลงที่สวีเดนเสียพื้นที่แถบบอลติกให้รัสเซีย โดยรัสเซียก็ได้ให้อำนาจแก่ชาวเยอรมันที่อยู่ในบอลติก หรือ Baltic-German nobility (พวกนี้อยู่มาตั้งแต่ช่วง Norhern Crusade แรกสุดโน้น) ทั้งในด้านการปกครอง การเงิน ภาษา และศาสนาครับ ในตอนนี้แม้แต่ลิทัวเนียก็ตกอยู่ใต้อาณาจักรรัสเซียไปด้วย [ 4 ]

แผนที่แต่ละช่วงของ Baltic states นะครับ เขตแดนอาจจะไม่แม่นมาก ผมระบายให้พอเห็นภาพครับ
สีแดงอ่อน/เข้ม - Grand Duchy of Lithuania & Polish–Lithuanian Commonwealth
สีเหลืองอ่อน/เข้ม - Swedish Empire & The Dominions of Sweden
สีม่วง - Russian Empire
  • ต่อมาในในสงครามโลกครั้งที่ 1 พื้นที่แถบบอลติกถูกยึดโดยเยอรมันระหว่างสงคราม แต่ในตอนท้ายเกิดช่วงว่างในช่วงที่เยอรมันที่แพ้กำลังถอยทัพออก และรัสเซียยังไม่ได้ยกทัพกลับมาเป็นโอกาสให้เอสโตเนียและลัตเวียทำการสู้กลับเพื่อประกาศอิสรภาพ โดยอาศัยความช่วยเหลือจาก รัสเซียฝ่ายที่ต่อต้านคอมมิวนิส (ช่วงสงครามกลางเมืองรัสเซีย) และอาสาสมัครจากหลายประเทศ เช่น ฟินแลนด์ และสวีเดน โดยมีสหราชอาณาจักรคอยซัพพอร์ต ขณะเดียวกันลิทัวเนียต้องเปิดศึกกับศัตรูถึง 3 ฝ่าย (โปแลนด์, Bolshevik และ Bermontians) เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพ เป็นที่มาของชื่อสงคราม "Freedom Struggles"
  • ช่วงนี้เองที่ทำให้เกิดคำว่า Baltic states ขึ้นมาใช้เรียกแทนประเทศที่ได้รับอิสรภาพในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งตอนนั้นมีฟินแลนด์พ่วงมาด้วย (ประเทศนี้ก็โดนชาวบ้านแย่งกันไปแย่งกันมาไม่แพ้กัน)
  • แต่แล้วสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มขึ้น กองทัพแดงของโซเวียตเริ่มบุกยึดพื้นที่ใน Baltic states อีกครั้งหลังจากเป็นอิสระได้ไม่ถึง 20 ปี ภายใต้การปกครองอันโหดร้ายของโซเวียต ชาวบอลติกจำนวนมากถูกสังหาร อีกหลายแสนถูกเนรเทศไปยังค่ายกักกัน เรียกว่าแทบจะทุกครอบครัวจะต้องมีญาติอย่างน้อยหนึ่งคนที่โดนส่งไปไซบีเรีย และมีส่วนน้อยที่ได้กลับมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น (รวมถึงคุณยายของไกด์ชาวเอสโตเนียที่นำทางผมด้วย)
  • ต่อมาเยอรมัน(นาซี) ได้ยกทัพบุกยึดพื้นที่ของโซเวียตยาวขึ้นไปจนถึงเลนนินกราด (St.Petersburg) ในช่วงแรกชาวบอลติกเชื่อว่าเยอรมันยกทัพมาปลดปล่อยพวกเค้าจากโซเวียต แต่สิ่งที่นาซีทำกับชาวบอลติกก็ไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่กองทัพแดงทำเลย และในท้ายสุดเมื่อสงครามจบลงที่เยอรมันพ่ายแพ้ Baltic states ก็ถูกยึดครองภายใต้สหภาพโซเวียตอีกครั้ง
  • ในขณะที่เยอรมันถอยทัพออกจากเอสโตเนีย และกองทัพแดงยังยกทัพลงมาไม่ถึงนั้น ชาวเอสโตเนียได้ถือโอกาสประกาศอิสรภาพอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้จะยาวนานเพียงแค่ 16 ชั่วโมงเท่านั้นเอง เพราะว่าชาวเอสโตเนียแทบไม่เหลือกำลังใจที่จะสู้เพื่อประเทศแล้ว จากการที่ถูก Baltic-German nobility ยึดครองทั้งที่ดินและทรัพย์สินมาหลายสิบปี รวมถึงปฏิบัติกับชาวเอสโตเนียเหมือนทาส แต่ที่ต่างกันคือทาสสามารถซื้อขายถ่ายโอนได้ แต่ชาวเอสโตเนียไม่มีสิทธ์แม้แต่จะเปลี่ยนเจ้านาย
  • เกือบ 50 ปีผ่านไป ประเทศต่างๆภายใต้สหภาพโซเวียตเริ่มแข็งข้อไม่เว้นแม้แต่รัสเซีย ประเทศ Baltic states เองก็ใช้วิธีการประท้วงอย่างสันติหลายต่อหลายอย่าง เพื่อฟื้นคืนความหวัง และความรักในประเทศของตัวเองขึ้นมา เช่น Singing Revelution ในเอสโตเนีย ที่ทุกคนมารวมตัวกันร้องเพลงชาติ (ประเทศนี้รักเสียงดนตรีมาก) การนำกางเขนหลายหมื่นต้นมาปักที่ Hill of Crosses ในลิทัวเนีย และอีเว้นที่ยิ่งใหญ่มากอันหนึ่งคือการทำ human chain "The Baltic Way" ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 2 ล้านคน จับมือกันเป็นโซ่มนุษย์ยาว 600 กิโลเมตรจากทาลินน์เมืองหลวงของเอสโตเนียไปยังวิลนีอุส (Vilnius) เมืองหลวงของลิทัวเนีย และสุดท้ายแต่ละประเทศก็ทยอยประกาศอิสรภาพไปพร้อมๆกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991

"The Baltic Way" ที่มา : Courtesy Image

จะเห็นได้ว่า Baltic states นั้นถูกยึดครองหลายต่อหลายครั้งเป็นระยะเวลาเกือบ 7 ศตวรรษ โดยเฉพาะเอสโตเนียและลัตเวีย ทั้งจากเพื่อนบ้านอย่าง ลิทัวเนีย สวีเดน ตามด้วยรัสเซีย เยอรมัน และสหภาพโซเวียต

Baltic states ได้รับการยอมรับว่าเป็นอิสรภาพในปี 1991 แต่เป็นอิสระจากกองทัพและการสอดส่องของรัสเซียจริงๆในปี 1998 เรียกว่าได้ชาวบอลติกได้ประเทศของตัวเองคืนมาเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้นเอง เรามาดูกันนะครับว่าตอนนี้สภาพบ้านเมืองในแถบนี้ที่ความเจริญถูกแช่แข็งไว้กว่า 50 ปีเป็นอย่างไรบ้าง


แผนทริป Baltic & Nordic

การท่องเที่ยวในแถบ Baltic states จะเดินทางเป็นเส้นตรงครับ โดยเราจะต้องเลือกว่าจะเริ่มจากบนลงล่าง หรือล่างขึ้นบนครับ และเราสามารถเพิ่มประเทศติดๆกันได้ตามเวลาที่เรามีครับ เช่นเพิ่มโปแลนด์ เบลารุส หรือเที่ยวในฟินแลนด์และสวีเดนให้นานขึ้น โดยผมใช้เวลา 13 วันเดินทางดังนี้ครับ

  • Day 1: 🇱🇹 UK - Vilnius (Old Town)
  • Day 2: 🇱🇹 Vilnius (Trakai Castle & Užupis)
  • Day 3: 🇱🇹 Klaipėda
  • Day 4: 🇱🇹 Šiauliai
  • Day 5: 🇱🇻 Riga (Old Town)
  • Day 6: 🇱🇻 Riga (Ķemeri National Park)
  • Day 7: 🇱🇻🇪🇪 Riga - Tallinn
  • Day 8: 🇪🇪 Tallinn (Old Town)
  • Day 9: 🇪🇪 Tallinn (Lahemaa National Park)
  • Day 10: 🇫🇮 Helsinki (Old Town)
  • Day 11: 🇸🇪 Stockholm (Old Town)
  • Day 12: 🇸🇪 Stockholm (Vasa Museum & Skanken)
  • Day 13: 🇸🇪 Stockholm - UK

จริงๆแล้วทริปนี้สามารถจะจบลงได้ที่ฟินเเลนด์ครับ และหลายๆทัวร์ก็ตัดจบแบบนี้ การข้ามไปสวีเดนทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพราะค่าครองชีพที่นั่นสูงมากๆ แต่เหตุผลที่ผมเลือกจะเดินทางไปสตอกโฮล์มนั้นมีสี่ข้อคือ หนึ่งไฟลท์บินกลับอังกฤษ(แมนเซสเตอร์)จากเฮลซิงกิ ราคาแพงมากครับ แพงจนรวมค่าเรือแล้วบินไปจากสตอกโฮล์มก็ยังถูกกว่า สองคือผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่นถ้าไปก็ถือโอกาสได้ไปเยี่ยมซะที สามผมอยากลองนอนบนเรือดูสักครั้งแต่ไม่อยากนอนหลายๆวัน เส้นนี้ทางจึงดูเหมาะ แถมได้เห็นวิวชายฝั่งสวีเดนด้วย และสุดท้ายสวีเดนเป็นประเทศที่สร้างแบรนด์ที่ผมชอบหลายอย่าง เช่น Fjällräven, IKEA, H&M/COS, Spotify, Daniel Wellington, Volvo, Thule, Minecraft และ PewDiePie ผมจึงอยากมาสัมผัสประเทศนี้ดูสักครั้งครับ


วีซ่า

แถบนี้ใช้วีซ่าเชงเก้นเข้าประเทศได้หมดครับ ผมยังไม่เคยลองขอจากสถานทูตของประเทศแถบบอลติกในไทยเพราะมีเชงเก้นฝรั่งเศสอยู่แล้วครับ แต่คิดว่าวิธีการคงไม่ต่างจากการขอวีซ่าไปฝรั่งเศสหรือเยอรมันสักเท่าไหร่ครับ

สกุลเงิน

Baltic states ใช้เงินยูโรครับ โดยที่แทบจะทุกที่สามารถใช้บัตรเครดิต Contactless จ่ายได้หมดครับ ดังนั้นจึงไม่ต้องแลกเงินสดไปเยอะ ตอนผมไปใช้วิธีแลกเงินใส่ในบัตร KTB Travel Card เป็นระยะๆครับ แล้วก็พกเงินในกระเป๋าแค่ 50 ยูโรเท่านั้นเอง แต่ถ้าข้ามไปฝั่งสวีเดนแล้ว จะต้องใช้สกุลเงินโครนานะครับ ซึ่งเราสามารถกดเงินยูโรไปแลกก่อนเข้าประเทศ แต่จริงๆแล้วในสวีเดนก็แทบจะไม่ใช้เงินสดแล้ว พูดให้ถูกคือใช้เงินสดยากด้วยครับ อย่างตั๋วรถต่างๆก็เป็นตู้ให้เสียบบัตรเครดิต ตัวผมนั้นตอนอยู่สต๊อคโฮล์มใช้บัตรเครดิตของไทยรูดทุกอย่างเลยครับ เพราะไม่อยากแลกเงิน

อาหาร

ความหลากหลายของอาหารน่าจะเป็นจุดด้อยของ Baltic states เพราะที่นี่ทรัพยากรค่อนข้างจำกัด อาหารหลักของประเทศแถบนี้จึงเป็นพืชผักที่ทนๆอย่างมันฝรั่งครับ เรียกว่ามีในทุกเมนู ทั้งทอด ต้ม นึ่ง บด ขนาดซุปยังใส่มันฝรั่งครับ ส่วนเนื้อสัตว์แถบนี้จะเน้นกินปลาเป็นหลักครับ โดยเฉพาะปลาแฮริ่ง ที่กินได้ทั้งแบบดิบ และทอดสุกครับ จริงๆผมชอบเมนูนี้มากๆ แต่พอวันหลังๆก็เริ่มเอียนเหมือนกัน อีกอย่างที่อร่อย และพวกเราน่าจะชอบๆกันก็คือหูหมูทอดครับ

แต่นอกจากอาหารพื้นเมืองแล้ว ที่นี่จะมีอาหารอิตาลีเยอะครับ พวกพิซซ่าและพาสต้า คนแถบนี้ชอบมาก และที่น่าสนใจคือคนลิทัวเนียชอบอาหารญี่ปุ่นครับ ซึ่งก็เป็นโชคดีของเราเช่นกันเพราะจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่แทบทุกเมืองเลยครับ แต่แน่นอนว่ารสชาดก็ไม่เหมือนอาหารญี่ปุ่นในไทยครับ นอกจากนั้นตามเมืองใหญ่ๆอย่างทาลินน์ก็จะพอมีร้านอาหารไทยและจีนอยู่บ้านครับ แต่ร้านไทยส่วนใหญ่จะราคาแพงครับ

บน: มันฝรั่งอบสอดไส้เนื้อ (Cepelinai) ทานกับซุปบีทรูทเย็นที่ใส่มันฝรั่งบด (Saltibarsciai)
และมันฝรั่งอบที่ไม่สอดไส้เนื้อ
ล่างซ้าย: Potato pancakes (Kartupeļu pankūkas) กับปลาแฮริ่งดอง
ล่างขวา: ปลาแฮริ่งทอดกับมันฝรั่ง

สภาพอากาศ

สภาพแถบ Baltic states จะแบ่งเป็นสามช่วงครับ คือหน้าร้อน มิถุนายน-สิงหาคม เป็น High-season ที่อากาศอบอุ่นครับท้องฟ้าสดใส อุณหภูมิตั้งแต่ 12-25 องศาในทาลินน์ ส่วนในวีลนิอุสอุณหภูมิสามารถขึ้นไปได้ถึง 30 ครับ แต่เนื่องจากแถบนี้อยู่ริมทะเลสภาพอากาศจะเปลี่ยนง่ายมากครับ เราอาจจะเจอลมหนาวพัดมาเฉียบพลัด วันนี้ 25 องศา พรุ่งนี้เหลือ 12 ก็มีครับ ขณะเดียวกันกลางวันในช่วงนี้ก็จะยาวมากครับ ตั้งแต่ตีสี่จนถึงสี่ทุ่ม ทำให้เรามีเวลาเที่ยวเยอะเทศกาลต่างๆก็จะจัดในช่วงนี้ครับ แต่ถ้าชอบดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตกก็จะเหนื่อยนิดนึง

Fall หรือฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นช่วง กันยายน-พฤศจิกายน และมีนาคม-พฤษภาคม ครับ ช่วงนี้อากาศจะแปรปรวน ฟ้าครึ้ม และมีฝนประปราย ซึ่งผมก็ไปในช่วงนี้เพราะว่าทุกอย่างจะเริ่มราคาถูกลงครับ แต่ที่เที่ยวบางที่ก็จะปิดเร็วขึ้นด้วย อากาศจะวิ่งไปมาระหว่าง 0-20 ครับ โดยเฉพาะช่วง พฤศจิกายน และมีนาคมอาจจะเจอติดลบได้ แต่ข้อดีของช่วงนี้คือเราอาจจะได้เจอใบไม้เปลี่ยนสี และคนไม่เยอะครับ

หน้าหนาวที่นี่ค่อนข้างจะหนาวมากครับ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ -8 ถึง 0 ครับ แต่ก็ยังไม่เท่าแถบสแกนดิเนเวีย ทำให้แถบนี้กลายเป็นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ต้องการจะทำกิจกรรมหน้าหนาว เช่น เล่นสกี นั่งหมาลากเลื่อน และขับรถบนถนนที่ยาวที่สุดในยุโรป (บนทะเลน้ำแข็งที่ทาลินน์) รวมถึงแถบนี้ก็เริ่มจัด Christmas Market กันแล้วด้วย ที่สำคัญคือราคาถูกกว่าที่สแกนดิเนเวียมากๆครับ แต่แม้เเต่เรือเฟอรี่ก็ยังเปิดบริการในหน้าหนาวครับ เรียกว่าเเล่นไปบดน้ำแข็งไปเลยทีเดียว

ที่พัก

ที่พักในแถบนี้มีให้เลือกหลากหลายครับ ตั้งแต่โรงแรมหรูไปจนถึง Hostel ราคาถูก แต่ที่สังเกตคือ Air BnB จะยังไม่ค่อยเยอะครับ จุดที่ผมพักในแต่ละเมือง ถ้าเป็นเมืองหลวงอย่างวิลนีอุส ริก้า และทาลินน์ ผมจะพักในย่าน Old Town เป็นหลักครับ เพราะที่เที่ยวส่วนใหญ่อยู่ในนั้น เราจะได้เดินเท้าเที่ยวได้ ไม่ต้องเสียค่ารถเพิ่ม รวมถึงพวกสถานีรถไฟ และบรรดาร้านอาหารต่างๆก็มักจะอยู่ในเขต Old Town ครับ

ส่วนของเมืองเล็กๆระหว่างทางผมจะยึดกับสถานีรถไฟ หรือรถบัสเป็นหลักครับ เพราะเราอยู่ไม่นาน และอาจจะเปลี่ยวได้ถ้าเกิดออกไปไกลมาก แต่ก็ต้องเทียบกับระยะทางไปถึงที่เที่ยวเช่นกันครับ แต่จากประสบการณ์ที่เดินเที่ยวในแถบ Baltic states ไม่ค่อยรู้สึกถูกคุกคามเท่าไหร่ครับ แม้บางเมืองจะเงียบมาก แต่ก็ดูไม่มีอันตรายใดๆมากไปกว่าขอทานที่นานๆทีจะเจอครับ แต่ยิ่งเมืองใหญ่ยิ่งต้องระวังตัวให้มากขึ้นอยู่ดีครับ โดยเฉพาะทาลินน์ที่คนพลุกพล่านมาก

ที่พักในทริปนี้ส่วนใหญ่จะเป็น Hostel นะครับ เนื่องจากผมเดินทางคนเดียว นอนใน Dorm จะประหยัดที่สุดและช่วยให้ไม่เหงาด้วย และเนื่องจากแถบนี้ชาวยุโรปจะมาเที่ยวกันเยอะ ใน Dorm จึงจะไม่เสียงดังเท่าไหร่ เพราะสองชาติหลักๆที่มักจะช่างคุยช่างจ้อคือชาวอเมริกันกับอังกฤษครับ แต่ชาวยุโรปก็ยินดีที่จะคุยกับเรานะครับ แต่เค้าจะไม่ค่อยเข้าหามาก มักจะนอนอ่านหนังสือบนเตียงมากกว่า

ค่าใช้จ่าย

มาถึงเรื่องสำคัญแล้วนะครับ ค่าใช้จ่ายในแถบ Baltic States เรียกว่าถูกอันดับต้นๆในยุโรปครับ โดยค่าครองชีพจะสูงขึ้นเมื่อเราขึ้นเหนือไปเรื่อยๆครับ โดยลิทัวเนียจะค่าครองชีพถูกที่สุด (แต่ก็ยังแพงกว่าไทยนะ) เราสามารถกินข้าวในร้านอาหารหนึ่งมื้อในราคาไม่ถึง 300 บาทได้ครับ ขณะที่ประเทศอย่างอังกฤษ หรือฝรั่งเศสจะต้องจ่ายอย่างต่ำ 400-500 บาทครับ แต่มาขึ้นมาถึงทาลินน์แล้วช่วงราคาก็จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่มื้อละ 300-400 ครับ แต่ถ้าอยากประหยัดจริงๆ ให้ใช้วิธีซื้อของจาก Super Market มาทำกินบ้าง กินร้านอาหารดีๆในตอนเที่ยงเพราะราคาจะถูกกว่าตอนเย็น สลับกันกินข้าวใน Pub Restaurant (ร้านอาหารที่มีบาร์อยู่ด้านหน้า ขายอาหารง่ายๆเช่น เบอร์เกอร์ และของพื้นเมือง) ซึ่งจะราคาถูกลงมาหน่อยครับ

งบประมาณที่ผมใช้ทั้งหมดในทริป 13 วันนี้อยู่ที่ประมาณ 36,000 บาท 'ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและวีซ่า' นะครับ เพราะผมบินไปจากอังกฤษค่าตั๋วเลยจะอยู่ที่ 2 พันนิดๆเท่านั้นครับ แต่ถ้าบินไปกลับจากกรุงเทพจะอยู่ที่ประมาณตั้งแต่ 15,000-30,000 อยู่ที่ช่วงเวลาครับ

โดยค่าใช้จ่ายแจกแจงรายละเอียดได้ดังนี้ครับ

ดูเร็วๆจะเห็นว่าค่าใช้ จ่าย 3 วันใน Nordic countries (เฮลซิงกิ, สต๊อคโฮล์ม) สูงมากๆ เทียบกับ Baltic States ที่อยู่ถึง 10 วัน แต่สาเหตุหลักๆที่ทำให้ค่าใช้จ่ายงอกคือค่าเรือเฟอรี่ครับ แต่ถ้าหาเพื่อนมาแชร์ห้อง 4 คนได้ ตรงส่วนนี้จะลดเหลือคนละพันนิดๆเท่านั้นครับ

ถ้างบประมาณไม่เยอะมาก แนะนำให้ตัดจบทริปที่ทาลินน์ หรือที่เฮลซิงกิถ้าอยากนั่งเรือดูวิวครับ ทริป 10 วันค่าใช้จ่ายจะลดลงเหลือประมาณ 25,000 เท่านั้นเอง และถ้าจะไปปี 2020 ผมดูเร็วๆแล้วราคาตั๋วไปกลับในช่วงเดียวกันกับที่ผมไปจะอยู่ที่ประมาณ 19,000 เท่านั้นเอง บวกกับค่าวีซ่าเชงเก้นประมาณ 4,000 บาท ทั้งทริปก็จะจบลงที่ประมาณ 50,000 ถ้วนๆสำหรับ 10 วันใน Baltic States + 1 วันในเฮลซิงกิ ครับ




การเดินทาง

เครื่องบิน

ใช้แค่ตอนเดินทางเข้าและออกจากประเทศแถบนี้ครับ โดยผมบินไปลงที่เมืองวิลนีอุสในลิทัวเนีย และบินกลับทางสตอกโฮล์มในสวีเดนครับ การเดินทางระหว่างเมืองในแถบนี้ใช้เวลาไม่นานครับ ไม่จำเป็นจะต้องบินในประเทศแต่อย่างใด (ยกเว้นจะบินจากฟินแลนด์ไปสวีเดนแทนการนั่งเรือเฟอรี่)

รถบัส & รถราง

สองอย่างนี้ทำหน้าที่เดียวกัน และใช้งานเหมือนกันครับ โดยรถบัสและรถรางจะวิ่งภายในเมือง จอดทุกป้าย และตรงเวลาครับ ลิทัวเนียจะมีแต่รถบัสนะครับ ส่วนลัตเวียกับเอสโตเนียจะมีรถรางด้วย แต่จริงๆแทบไม่ได้ใช้ครับ เพราะทุกที่เดินทางไปได้หมด

รถไฟ

รถไฟจะใช้สำหรับเดินทางภายในประเทศเป็นหลัก โดยทั้งลิทัวเนียและลัตเวียมีระบบรถไฟที่ดีมากๆ ทุกอย่างสามารถจะจองออนไลน์ไได้หมดเลย และในสถานีเองก็มีเครื่องออกตั๋วอัตโนมัติที่จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือจะขึ้นไปซื้อตั๋วเอาบนรถไฟก็ได้ครับ (แต่ไม่ได้ใช้บัตรเครดิตได้ทุกขบวน) แต่ต้องระวังขบวนที่วิ่งเส้นหลักเพราะบางทีมันจะเต็ม และอีกอย่างที่ต้องระวังคือแม้ทั้งระบบออนไลน์และป้ายต่างๆจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่พนักงานที่เคาเตอร์ไม่ได้พูดอังกฤษได้ทุกคนครับ เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้เวลาที่ต้องการเดินทางแน่ชัดให้จองไปก่อนเลยเพิ่อความไม่วุ่นวาย ถ้าต้องไปหน้าเคาเตอร์จริงๆ ให้แคปรูปชื่อเมืองหรือที่ๆจะไปเอาไว้ เผื่อจะต้องใช้ภาษามือกับเจ้าหน้าที่ และภาษาที่นั่นเราเอาไม่ค่อยออกด้วยครับว่าออกเสียงยังไง (เช่น ถ้าจะไป Hill of Crosses ต้องโชว์คำว่า Kryžių kalna อ่านว่ายังไงก็ไม่รู้เหมือนกันครับ)

เว็บไซต์จองตั๋วรถไฟ - ลิทัวเนีย

เว็บไซต์จองตั๋วรถไฟ - ลัตเวีย

แท๊กซี่

ที่นี่สามารถโบกเรียกแท๊กซี่ หรือจะใช้แอปอย่าง Uber หรือ Bolt ครับ ราคาสูงกว่าการนั่งบัสพอตัว แต่ถ้าแชร์กันหลายคนก็พอรับราคาไหวแลกกับความสบายครับ

รถบัสข้ามเมือง

เหมือนรถทัวร์ VIP ในไทยครับ ใช้เวลาเราจะข้ามประเทศ โดยผมใช้แค่ตอนข้ามจากลิทัวเนียไปลัตเวียครับ เพราะยังไม่เคยเห็นรถไฟที่ข้ามประเทศได้ รถบัสพวกนี้ก็จะมีหลายเจ้าให้เลือก เราสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า ซื้อที่สถานี หรือจะซื้อบนรถก็ได้ครับ แต่ต้องระวังเรื่องภาษา และรถเต็มเช่นเดียวกันกับรถไฟครับ เพราะรอบรถไม่ค่อยถี่เท่าไหร่ครับ รถบัสที่ผมใช้ในลิทัวเนียมี 2 เจ้าครับคือ Autobus และ Ollex ครับ

เรือเฟอรี่

และเส้นทางนี้จะมีการใช้เรือเฟอรี่ 2 ครั้งครับ คือช่วงเดินทางจากทาลินน์ในเอสโตเนียข้ามไปยังเฮลซิงกิในฟินแลนด์โดยจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งครับ และอีกครั้งคือจากเฮลซิงกิไปยังสตอกโฮล์มในสวีเดนครับ โดยเส้นนี้จะต้องนอนค้างบนเรือคืนนึงครับ โดยเรือเฟอรี่ผมแนะนำให้จองตั๋วออนไลน์ไปก่อนนะครับ เพราะมันจะคล้ายๆเครื่องบินคือเราต้องไปถึงก่อนเวลาเรือออกครับ และเรือมักจะออกแต่เช้า จะตื่นเช้ามากๆเพื่อไป walk-in ซื้อตั๋วคงจะไม่สะดวกเท่าไหร่

บริษัทที่เดินเรือในเส้นทางนี้มี 3 บริษัทหลักๆนะครับคือ Tallink-Silja Line, Eckerö Line และ Viking Line โดยตาม TripAdvisor จะบอกว่าสองเจ้าแรกจะดีกว่านิดนึงครับ แต่คิดว่าถ้านั่งสั้นๆคงไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมาก แต่ถ้าจะนอนบนเรือจากเฮลซิงกิไปยังสตอกโฮล์มแนะนำให้เชคพวกห้องพักและ Facilities ต่างๆให้ละเอียดครับ อีกเรื่องที่สำคัญมากๆคือ แต่ละบริษัทออกจากท่าเรือคนละท่ากันนะครับ และท่าเรือปลายทางก็แตกต่างกัน แนะนำให้เชค location ของท่าเรือให้แน่ใจจะได้ไม่ไปผิดท่า และดูด้วยว่าการเดินทางจากท่าเรือไปยังเมืองสะดวกแค่ไหน โดยทริปนี้ผมใช้บริการของ Viking Line ทั้งสองรอบเลย เพราะดูจากท่าเรือที่จอดในเฮลซิงกิแล้วสะดวกต่อการเดินทางเข้าไปเที่ยวในเมืองครับ และท่าที่สต๊อตโฮล์มก็ใกล้กับย่าน Old Town และที่พักผม

ในส่วนของการนอนบนเรือ เวลาเราจองเราจะจองในรูปของเคบินครับ โดยเคบินมีตั้งแต่ถูกสุดที่จะแคบ อยู่ใต้ท้องเรือไม่มีหน้าต่าง แชร์กันสี่คน จนเคบินแพงสุดเป็นห้อง Suite โดยความวุ่นวายอย่างนึงคือห้องที่ราคาถูกส่วนใหญ่จะนอนได้สี่คนครับ ถ้าเราไปคนเดียวก็ต้องจองห้องสี่คนอยู่ดี ดังนั้นถ้ามีเพื่อนไปครบสี่คนค่าเรือก็จะถูกมากๆ อาจจะตกอยู่ที่คนละพันนึงต่อคืนเท่านั้นเอง แต่เนื่องจากผมเดินทางไปคนเดียวเรือจึงกลายเป็นโรงแรมที่แพงที่สุดในทริปไปครับ


Local Tour

จากในแพลนจะเห็นว่าผมมีการใช้ทัวร์สองครั้งคือ Sightseeing Tour จากเมืองริก้าในลัตเวียไปยังทาลินน์ในเอสโตเนีย โดยทัวร์นี้จะพาแวะเที่ยวเมืองระหว่างทางไปด้วยทำให้ช่วยประหยัดเวลาได้มากครับ เพราะแต่ละเมืองในเส้นทางนี้จะค่อนข้างเล็กมีอะไรให้ดูไม่เยอะครับ ถ้าต้องค่อยๆไปทีละเมืองๆคงจะเสียเวลาไป 2-3 เลยทีเดียว

อีกครั้งคือทัวร์เพื่อไป Lahemaa National Park ทัวร์นี้จะพาไปเที่ยวที่สำคัญๆรอบๆ National Park ซึ่งไม่มีรถสาธารณะเข้าถึงครับ ซึ่งที่ไปทัวร์นี้เพราะผมอยากจะเห็นธรรมชาติในแถบนี้ดูครับ และชอบเดินป่าด้วยกลัวเดินเมืองนานๆจะเบื่อ ถ้าไม่สนใจธรรมชาติก็สามารถตัดที่นี่ออกได้เพื่อประหยัดเวลาและค่าทัวร์ครับ

บริษัททัวร์ที่ผมใช้คือ Trveller ครับ เป็นบริษัทที่อยู่ในทาลินน์ มีทัวร์ให้เลือกหลายแบบมากครอบคลุมที่หลักๆทั้งในเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียครับ เค้าเคลมว่าเค้าเป็นคนที่บุกเบิก Free Walking Tour ในทาลินน์ครับ โดยรวมแล้วค่อนข้างโอเคเลยครับ รถดี ขับเรียบร้อย มีน้ำดื่มให้ ไม่บังคับ ไม่เร่งอะไรเท่าไหร่ และไกด์ดีครับ อาจจะไม่ค่อยช่างคุยตามสไตล์คนเอสโตเนีย แต่ก็พร้อมที่จะเล่าประวัติสถานที่ต่างๆให้ฟัง ข้อมูลแน่นเอี๊ยด และส่วนใหญ่ทำงานไกด์เป็นอาชีพเสริมครับ งานหลักทำพวก Start-Up ดังนั้นอย่างตอนผมไป Lahemaa National Park ผมได้ไปกับไกด์ที่จบปริญญาโท Innovation Business เลยดีเทียว



Day 1: Vilnius Old Town 🇱🇹


เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเริ่มทริปกันนะครับ

ผมเดินทางจากประเทศอังกฤษตั้งแต่เช้า บินมาถึงเมืองวิลนิอุสประเทศลิทัวเนียตอนสายๆครับ ลงที่สนามบินวีลนีอุสซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากครับ ไซส์เล็กกว่าดอนเมือง แต่ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองรวดเร็วมากๆ 10 นาทีก็ออกมาได้แล้ว อาจจะเพราะคนไม่ค่อยเยอะด้วยครับ ภายในสนามบินก็จะเต็มไปด้วยร้านอาหาร ที่แลกเงิน และตู้ ATM ครับ

จากสนามบินจะเข้าเมืองได้ 3 วิธีคือรถบัส รถไฟ และ Taxi ครับ ผมเลือกนั่งรถไฟเพราะอยากจะเห็นวิวข้างทางชัด แต่เอาเข้าจริงสถานีมันอยู่นอกสนามบินครับ เดินออกไปประมาณ 300 เมตรเห็นจะได้ ซึ่งช่วงนั้นมีการซ่อมถนนอยู่ด้วยเลยเดินยากนิดนึงครับ

ตัวสถานีรถไฟชื่อว่า Oro Uostas เอาจริงๆเรียกว่าป้ายรถไฟน่าจะดีกว่า เพราะมีแค่ที่นั่งเล็กๆกับป้ายบอกเวลารถไฟมาครับ (แต่เป็นป้ายดิจิตอลนะ) โดยชานชาลาจะอยู่ข้างล่างต้องลงลิฟท์ไปดังรูปครับ เนื่องจากไม่มีที่ขายตั๋ว เราต้องขึ้นไปซื้อบนรถเอาครับ จ่ายเงินสดหรือแตะบัตรเครดิตก็ได้ โดยราคาอยู่ที่ 0.7 ยูโรครับ ถูกกว่านี้ก็ให้ขึ้นฟรีเถอะนะ

เรานั่งรถไฟแค่สิบนาทีนิดๆก็มาถึงสถานีวีลนิอุสครับ (Vilniaus geležinkelio stotis) ตัวสถานีก็ไม่ใหญ่เช่นกันครับ แต่มีพวก ATM และที่ขายตั๋วครบครัน มีกระทั่งเปียโนและบีนแบ็ค ให้ชาวเมืองมานั่งฟังเพลงรอรถไฟด้วยครับ

แต่เราจะยังไม่ถึงย่าน Old Town ครับ ที่นี่เป็นเมืองหลวงเมืองเดียวที่ทั้งสถานีรถไฟและรถบัสอยู่ห่างจาก Old Town ซึ่งเราสามารถเลือกว่าจะเดินเท้าไป หรือนั่งรถบัสไปครับ แต่จากจุดที่ผมพัก ต่อให้นั่งบัสไปก็ยังต้องเดินต่ออยู่ดี ผมก็เลยเดินเท้าเข้าไป และถือโอกาสดูวิวไปด้วย (ผมมีแค่แบคแบค 36ลิตร 1 ใบกับกระเป๋ากล้องสะพายข้างครับ เลยพอเดินเล่นได้ ถ้าเอาของมาเยอะแนะนำให้นั่งบัสไม่ก็เหมาแท๊กซี่ไปครับ)

จุดเริ่มต้นของ Old Town จะชื่อว่า Gate of Dawn ครับ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 900 เมตร ตัวประตูนั้นมันก็คือโค้งประตูธรรมดาๆนี่แหละ เข้าไปแล้วเราจะอยู่บนถนนเส้นหลักของ Old Town เลยครับ และมันจะพาเราตรงเข้าสู่ Town Hall Square (Rotušės aikštė) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของย่านนี้ และที่พักผมก็อยู่ไม่ไกลครับ


ที่พักสำหรับ 2 คืนในวีลนิอุสของผมชื่อว่า Jimmy Jumps House ครับ เป็น Hostel ตกแต่งแนวๆทหารหน่อย สังเกตว่าที่พักแถบนี้จะมีบริการพาไปทดลองยิงปืน และขับรถถังด้วยครับ คิดว่าคงจะมีของพวกนี้เหลือจากสมัยสงครามอยู่เยอะ โดยผมพักอยู่ในห้องรวม 10 เตียงครับ เตียงมีม่านปิดอย่างดีและ มีตู้ล๊อคเกอร์ให้แต่ต้องเอาล๊อคไปเองครับ มี 1 ห้องน้ำในห้อง(ใหญ่และดีมาก) และมีห้องน้ำรวมเล็กๆสองสามห้องอยู่ด้านนอกครับ มีพื้นที่ส่วนกลางให้นั่งเล่น มี Tap beer ขาย และมีครัว ราคาตกคืนละ 15 ยูโรครับ

ผมแวะมาเก็บของที่นี่ก่อน และโฮสต์ก็แนะนำที่เที่ยวที่กินต่างๆในแถบนี้ให้ครับ สำหรับคนที่อยากเที่ยวแบบเจาะลึกประวัติศาสตร์แถบนี้นะครับ ทุกเมืองจะมีบริการ Free Walking Tour ที่จะมีอาสาสมัครพาเดินไปชมจุดต่างๆ อธิบายความสำคัญและเกร็ดความรู้สนุกๆให้ฟังครับ ในส่วนของเมืองวีลนิอุส ทัวร์ก็จะเริ่มจากที่ Town Hall Square นี่แหละครับเวลาทำโมง แต่ผมไปถึงก็เที่ยงกว่าแล้ว จึงไม่ได้ไปร่วมครับ อีกส่วนคือผมเน้นถ่ายรูปเป็นหลักทำให้ไม่ค่อยถนัดเวลาไปกับทัวร์แบบนี้

จุดแรกสุดที่ผมแวะไปคือร้านอาหารครับ ผมขอให้โฮสต์แนะนำร้านอาหารพื้นเมืองที่คนแถบนี้ทานกันเป็นปกติครับ โดยก็ได้ร้านที่เป็น Pub Restaurant ชื่อ Šnekutis ครับ จะมีหลายสาขาทั้งเล็กและใหญ่ ถ้าไปร้านเล็กเมนูอาจจะน้อยหน่อยครับ และเนื่องจากเป็นร้าน Local มากๆ คนขายก็พูดอังกฤษไม่ได้ครับ เราก็ใช้วิธีจิ้มๆเอา ซึ่งทางร้านก็แนะนำเมนู Cepelinai (มันฝรั่งบดอดไส้เนื้อ) กับ Saltibarsciai (ซุปบีทรูทเย็น) ที่ลงรูปไว้ตอนแรกครับ สองเมนูนั้นรวมกันหมดไป 7 ยูโรครับ ท้องอิ่มไปกับมันฝรั่งสามลูกใหญ่ๆ ร้านนี้มีแผนที่ติดไว้ให้ปักหมุดประเทศที่ตัวเองมาด้วยครับ และผมก็ปักหมุดแรกของประเทศไทยไว้ให้เรียบร้อยแล้ว!

เมื่อท้องอิ่มเราก็เริ่มเดินเที่ยวกันครับ โดยเส้นทางที่ผมเดินไปวนกลับมาที่เดิมดังนี้ครับ
  1. Town Hall Square (กลับมาจุดแรก)
  2. President Palace Viewpoint
  3. Vilnius Cathedral
  4. St. Anne's Church
  5. Gediminas Castle Tower
  6. Three Crosses

แต่ในแผนที่มันจะอ้อมนิดนึงเพราะผมหลงทางครับ ตอนพยายามหาจุดขึ้น Gediminas Castle Tower [5] ผมเดินไปทางขวาของ Vilnius Cathedral [3] ที่เป็นสวนแล้วเจอว่ามันเดินขึ้นไม่ได้ครับ แต่ดันมองไปเห็น St. Anne's Church [4] อยู่ไกลๆ เลยเดินไปดูก่อนครับ แล้วค่อยมาหาทางขึ้นเจอตามเส้นสีฟ้าเลยครับ

อีกจุดนึงคือตรงทางขึ้น Three Crosses [6] นั้นจากแผนที่จะเห็นว่าผมขึ้นลงคนละทางครับ ซึ่งทางขึ้นที่ผ่านดงต้นไม้สีเขียวมันอ้อมมากกกก บรรยากาศดีนะครับ แต่ไม่คุ้มเดินเท่าไหร่ บันไดชันด้วย แนะนำว่าให้ขึ้น-ลงเดียว คือเส้นที่ผมเดินลงครับ (ทางสั้น)

นอกจากนี้จริงๆผมหลงเข้าไปในตรอกย่อยๆหลายอันมาก คือเนตมันไม่ค่อยดี แผนที่กระโดดไปมา และทางมันก็งงๆครับ แต่แลกกับได้เห็นตรอกสวยๆหลายเส้นเหมือนกัน


President Palace Viewpoint

จุดแรกที่มาถึงนะครับ มาเพราะโฮสต์แนะนำมา แต่ก็งงๆว่ามาทำไม มาถึงจริงมั้ย เพราะมันคือช่องรั้วให้มองเข้าไปเห็น President Palace ซึ่งก็คงเหมือนบ้านนายกฯของเค้านั่นแหละครับ ถึงตัวสถานที่จะไม่มีอะไรมาก แต่ถนนแถวๆนั้นสวยอยู่นะครับ


Vilnius Cathedral

จาก President Palace เดินลัดเลาะตามซอยย่อยๆออกมาจะเจอถนนเส้นหลักครับ ที่ตรงมาจาก Town Hall Square เส้นนี้จะเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก ตลาด และร้านอาหารครับ ปลายสุดของถนนเส้นนี้คือ Vilnius Cathedral and Square ครับ เป็นวิหารและหอคอยที่มีลานกว้างให้ชาวลิทัวมาพักผ่อน ขี่จักรยาน เล่นสเกตบอร์ด และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย ข้างๆจะติดกับสวนและ Gediminas Castle Tower ครับ มองดูเหมือนอยู่ใกล้นิดเดียว แต่ทางขึ้นเดินอ้อมไปไกลมากกก


St. Anne's Church

อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกครับ ผมกะจะไป Gediminas Castle Tower แต่ดันไปผิดทาง เลยเดินตรงไปยัง St. Anne's Church ซึ่งจริงๆมันอ้อมครับ เพราะสุดท้ายผมต้องเดินกลับมาที่ Vilnius Cathedral อีกรอบอยู่ดี

St. Anne's Church เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในทริปนี้ครับ เสียดายตอนที่ผมไปมีงานแต่งพอดี คนพลุกพล่านมากจึงได้แต่ยืนดูจากด้านนอกครับ (ไม่รู้เป็นวัฒนธรรมที่นี่หรือผมโชคดีคือ เกือบทุกวันจะต้องเจอคนมาถ่ายรูปพรีเว้ดดิ้งครับ ทั้งในวีลนิอุส ริก้า ทาลินน์ แม้แต่ใน National Park ก็ยังเจอครับ แต่วีลนิอุสนี่จะเยอะสุดแล้ว วันนึงเจองานแต่งและพรีเว้ดดิ้ง 2-3 งานครับ)


Gediminas Castle Tower

ที่นี่ทางเข้าจะหายากนิดนึง ผมจึงมาร์คจุดเอาไว้ให้ในลิ้งนี้ครับ โดยเราจะต้องเดินทะลุผ่าน Vilnius Cathedral และเลาะแนวตึกไปเรื่อยๆครับ ตอนผมไปทางเข้ายังไม่มีป้ายอะไรเด่นๆให้เห็น แต่อาศัยดูจาก Google map เอาว่ามันน่าจะเข้าได้จากแถวๆนี้ครับ โดยเราเดินเข้าไปแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในตึก ละทุออกจะเจอที่ขายตั๋วขึ้น Cable Car ไปยัง Gediminas Castle Tower ครับ โดยค่าตั๋วรอบละ 1 ยูโรครับ แต่ถ้าอยากเดินจะต้องไปขึ้นอีกทางหนึ่ง ส่วนผมเลือกที่จะนั่ง Cable Car ขึ้น และขาลงเดินชมวิวครับ เพราะอยากเห็นวิวทั้งสองแบบ



พอถึงยอดแล้วเราก็จะเจอจุดชมวิวก่อนขึ้นหอคอยครับ แต่เราจะต้องเสียค่าเข้า Gediminas Castle Tower อีกทีหนึ่ง คนทั่วไปจะเสีย 5 ยูโร นักศึกษาจะเสียแค่ 2 ยูโร แค่โชว์บัตรที่เป็นภาษาอังกฤษให้เจ้าหน้าที่ดูก็พอครับ ไฮไลท์ของ Castle Tower คือวิวเมืองจากยอดบนสุด เราจะเห็นวีลนิอุสทั้งส่วนของ Old Town และย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยตึกสูง รวมถึงมองย้อนไปเห็น Three Crosses ได้อีกด้วยครับ จริงๆใน หอคอยแต่ละชั้นก็เป็นคล้ายๆพิพิธภัณฑ์เล่าประวัติเมืองครับ แต่บรรยาเป็นภาษาลิทัวเนียล้วนเลย ฟังไม่ออก





Three Crosses

ที่สุดท้ายของวันนี้นะครับ ไม้กางเขนสีขาว 3 ไม้บนยอดเขาแลนด์มาร์คประจำเมืองวีลนิอุส Three Crosses ซึ่งอยู่ติดๆกับ Gediminas Castle Tower เลย

ที่นี่ผมก็หลงขึ้นผิดทางอีกแล้ว ทางปกติที่ชาวบ้านเค้าขึ้นกันจะติดกับถนนใหญ่ครับ เราเดินบนทางรถวิ่งขึ้นไปยัง Three Crosses แต่ผมดันไปงงกับป้ายทางตันที่แปะไว้ตรงทางขึ้น เลยอ้อมไปอีกทางนึง (เข้าใจว่าปิดซ่อม) ซึ่งจะเป็นเดินอ้อมไปด้านหลัง ผ่านสวนสาธารณะ และไปขึ้นบันไดชันๆ ดิ่งขึ้นสู่ยอดเขาครับ ซึ่งก็มีผู้ร่วมชะตากับผมหลายคนอยู่ทั้งชาวลิทัวเนีย และนักท่องเที่ยวครับ



หลังจากลงมาจาก Three Crosses แล้วเย็นพอดีครับ ผมก็กลับที่พัก โดยแวะทานข้าวเย็นเร็วๆที่ร้านอาหารจีน-ญี่ปุ่นเล็กแถว Vilinus Cathedral ชื่อว่า Mian ครับ จากนั้นก็แวะ Super Market เพื่อซื้อของไปทำอาหารเช้าทานครับ โดยในแถบบอลติกจะมี Rimi เป็นทั้ง Super Market และ Minimart เจ้าใหญ่ครับ โดยเราสามารถจ่ายทุกอย่างผ่านเครดิตได้ครับ และเหมือนกับทุกๆที่ในยุโรปคือถ้าไม่พกถุงมาจะต้องเสียค่าถุงพลาสติกเพิ่มครับ โดยในร้านจะมีขายพวกเบเกอรี่ด้วย ซึ่งผมก็อาศับพวกครัวซองกับโดนัทของที่นี่เป็นอาหารเช้าครับ


และผมก็ได้มีโอกาสเดินดู Town Hall Square ยามเย็นด้วยครับ ช่วงที่ผมไปพระอาทิตย์จะตกช้า เมืองก็จะคึกคักจนถึงดึกเลยครับ



Day 2: Trakai Castle & Užupis 🇱🇹


ในวันนี้ผมเดินทางไปแลนด์มาร์คชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของลิทัวเนีย นั่นคือ Trakai Castle ครับ ปราสาท/ป้อมแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองชื่อเดียวกันซึ่งอยู่ห่างจากวีลนิอุสไปประมาณ 40 นาที

การจะเดินทางไปเมือง Trakai นั้นเราสามารถไปได้ทั้งทางรถไฟ และรถบัส (ซึ่งจริงๆคือรถตู้)ครับ แต่การจะไปให้ถึงตัวปราสาทนั้นเราจะต้องเดินเท้าต่อไป ซึ่งสถานีรถบัสจะอยู่ใกล้ปราสาทมากว่ารถไฟ ซึ่งคือระยะประมาณ 3 กิโลเมตรครับ

ผมเลือกนั่งรถบัสไป โดยซื้อตั๋วที่สถานีรถบัสที่อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ รถสายนี้ชื่อว่า UAB "Trakų autobusai" ครับ ซึ่งเป็นเราไม่สามารถซื้อตั๋วออนไลน์ทางหน้าเวปได้ ผมจึงลองไปซื้อที่เครื่องอัตโนมัติดู ซึ่งจริงๆมันก็คล้ายๆคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้าเวป Autobus ไว้แหละครับ แต่ง่ายกว่าตรงเราแตะบัตรเครดิตที่เครื่องได้เลย และมันจะปริ้นตั๋วให้เลยครับ เราจะไปซื้อบนรถก็ได้นะครับ แต่ต้องระวังรถเต็ม และจะต้องจ่ายเงินสดครับ ซึ่งค่ารถจะอยู่ 2 ยูโรครับ

พอรถมาถึงสถานี Trakai ผมก็เริ่มเดินเท้าตรงไปยังปราสาทครับ โดยเดินตามถนนเส้นหลักเข้าไปเมืองไปเรื่อยๆ ถ้ามีเพื่อนมาด้วย และขี้เกียจเดินก็สามารถเรียกแท๊กซี่แถวนั้นได้ครับ อย่าลืมดูเวลารอบรถกลับเมืองวีลนิอุสด้วยนะครับ

ในตัวเมือง Trakai ก็มีอะไรให้เราดูเพลินๆระหว่างเดินครับ เมืองนี้เต็มไปด้วยบ้านหลังเล็กน่ารัก และเราจะสามารถเลือกที่จะเดินเลาะทะเลสาบทั้งซีกซ้ายและขวาของเมือง ซึ่งก็จะมีวิวสวยๆให้ดูทั้งสองด้านครับ

โดยผมเลือกเดินเลาะไปทางซีกซ้ายก่อน และขากลับเลาะด้านขวาครับ



บริเวณ Trakai Castle จะมีจุดชมวิวหลายที่ครับ แนะนำให้เริ่มจากฝั่งตรงข้ามปราสาทก่อน ตรงจุดนี้เราจะเห็นวิวตัวปราทสาทบนเกาะและสะพาน และแถบนนี้จะมีทั้งร้านอาหาร และเรือให้เช่าขับเล่นด้วยครับ ถ้ายังไม่ทานข้าวเช้ามาก็มาแวะทานที่นี่ได้ครับ


จากนั้นเราก็เดินข้ามสะพานตรงไปยังตัวปราสาทครับ ระหว่างทางก็จะเต็มไปด้วยเรือรับจ้างที่จะพาเราวนรอบทะเลสาบแห่งนี้ครับ แต่ผมไม่ได้ใช้บริการ เลยไม่ทราบว่าพาไกลแค่ไหน ป้ายบอกว่าใช้เวลาประมาณ 30 นาที ราคา 5 ยูโรครับ

ตัวปราสาทนั้นเราสามารถเดินเข้าไปชะโงกชมด้านในได้ถ้าไม่อยากเสียค่าเข้าครับ แต่ภายในปราสาทก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าประวัติของเมือง Trakai แห่งนี้ ซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงของ the Grand Duchy of Lithuania ที่รุ่งเรืองมากในอดีต แต่มาเริ่มเสื่อมลงในช่วงที่ลิทัวเนียรวมตัวกับโปแลนด์เป็น Polish–Lithuanian Commonwealth

ค่าเข้าชมปราสาทและพิพิธภัณฑ์จะอยู่ที่ 8 ยูโรครับ ถ้ามีบัตรนักเรียนจะลดเหลือ 4 ยูโร โดยถ้าไม่เข้าปราสาทเราจะเห็นปราสาทแค่ตามรูปด้านล่างครับ


ถ้าเลือกเข้าไปชมเราก็จะเข้าไปสองตึกในรูปด้านบนได้ครับ และตรงลานจะมีพวกกรงขัง และเครื่องทรมานให้ไปถ่ายรูปเล่นครับ ซึ่งผมแนะนำว่ามาถึงนี่แล้วให้เข้าไปชมจะดีกว่า เพราะด้านในก็มีจุดน่าสนใจอยู่เยอะครับ และข้อมูลทางประวัติศาสตร์แน่นเอี๊ยดมาก


นอกจากนี้ด้านนอกปราสาทยังสามารถเดินวนดูวิวรอบๆได้อีกนะครับ

หลังจากเดินเล่นรอบปราสาทแล้ว ผมก็เดินกลับไปยังสถานีรถบัสครับ เพื่อนั่งรถกลับไปยังเมืองวีลนิอุส โดยขากลับรถที่มาเป็นรถบัสคันใหญ่ครับ น่าจะขึ้นอยู่กับรอบเวลาว่าคันที่มารับเราวิ่งมาจากไหน

ในช่วงบ่ายของวันนี้ผมจะไปเที่ยวย่านฮิปสเตอร์ของเมืองนี้ที่ชื่อว่า Republic of Užupis ครับ ซึ่งจะอยู่ทางตะวันออกของ Old Town โดยมีแม่น้ำไป Vilnia กั้นไว้ครับ โดยย่านนี้จะเต็มไปด้วยร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ร้านขายของแฮนด์คราฟต่างๆ ชาวลิทัวเนียมองว่าย่านนี้เป็นย่านแห่งศิลปะเหมือนกับย่าน Montmartre ใน Paris ครับ

พอผมลงรถที่สถานีผมก็นั่งรถต่อเข้า Old Town ครับ ท่าป้ายรถจะอยู่หน้าสถานีรถไฟ ค่ารถ 1 ยูโรครับ ถ้ากะว่าจะนั่งหลายรอบให้ไปซื้อตั๋วเป็นเล่มจากในสถานีรถไฟจะถูกลงครับ รถพาผมไปลงตรงใกล้ๆกับ Vilnius Cathedral แล้วผมก็เริ่มเดินไปทาง St. Ann Church ที่ผ่านไปเมื่อวาน แล้วก็ข้ามสะพานไปยังเขต Užupis ครับ

แต่ก่อนจะถึง St. Ann Church ผมแวะเดินอ้อมไป Literatu street (Literatų gatvė) ก่อนครับ ถนนเส้นนี้มีกำแพงที่เต็มไปด้วยผลงานของศิลปินหลายคนที่อุทิศผลงานของพวกเค้ามาติดไว้ที่กำแพงเพื่อระลึกถึงบรรดานักเขียน และนักกวีหลายยุคหลายสมัยที่ช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานให้แก่ประเทศลิทัวเนียครับ

กำแพงแห่งนี้เป็นแลนด์มาร์คสำคัญแห่งนึงของเมือง และประเทศนี้ เพราะมันแสดงถึงศิลปะวัฒนธรรมที่ได้เบ่งบานขึ้นมาหลังจากที่ประเทศถูกยึดครองมานานแสนนาน

วันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยวมาชมถนนเส้นนี้เยอะมากครับ มีแม้กระทั่งคนมาพรีเวดดิ้งครับ



จากนั้นผมก็ตรงเข้าสู้เขต Užupis โดยจะข้ามสะพานที่อยู่ติดกับ Tibetan Square (Tibeto skveras) จุดเด่นของสะพานนี้คือจะมีกุญแจล๊อคไว้ตลอดราวสะพานครับ และผมก็เจอคนพรีเว้ดดิ้งอีกคู่นึงตรงสะพานนี้ครับ

ข้ามมาที่ Tibetan Square ซึ่งได้ชื่อนี้มาจากธงมนต์สไตล์ธิเบตมากมายที่พันอยู่รอบๆบริเวณนี้ครับ จริงๆข้างๆสวนนี้จะมีสวนอีกสวนนึงเป็นที่จัดแสดงงานอาร์ตครับ แต่วันที่ผมไปมันปิดเพราะมีจองไว้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานครับ

จากนั้นเราก็จะเข้าสู่ถนนเส้นหลักของ Republic of Užupis โดยจะสังเกตได้จากเสาต้นใหญ่ที่ตระหง่านอยู่กลางถนน ซึ่งบนยอดมีรูปปั้นนามว่า Angel of Užupis ครับ

ใกล้ๆกับถนนเส้นนี้จะมีแลนด์มาร์คสำคัญอีกจุดหนึ่งของ Republic of Užupis นั่นคือ Constitution of the Republic of Užupis หรือแปลเป็นไทยว่า รัฐธรรมนูญของสาธารณะรัฐ Užupis

ที่ย่านนี้มีรัฐธรรมนูญเป็นของตัวเองเพราะว่าผู้คนที่นี่มองว่าซีกนี้ของแม่น้ำ Vilnia (Užupis แปลว่า อีกด้านของแม่น้ำ) เป็นเขตปกครองอิสระของพวกเค้าซึ่งแยกกับประเทศลิทัวเนีย ซึ่งเค้ามีการประกาศอย่างจริงจังครับ มีธงชาติ และค่าเงินของตัวเอง มีเขตแดน มีตม. มีกระทั่งนายกฯ และคณะรัฐมนตรี รวมถึงกองทัพที่มีทหาร 11 คนครับ

และถนนเส้นนี้ก็มีรัฐธรรมนูญของสาธารณะติดไว้เป็นภาษาต่างๆ แต่เสียดายที่ไม่มีภาษาไทยครับ ตัวอย่างของรัฐธรรมนูญ 41 ข้อนี้ก็อย่างเช่น

  • Everyone has the right to live by the River Vilnelė, and the River Vilnelė has the right to flow by everyone.
  • Everyone has the right to love and take care of the cat.
  • A cat is not obliged to love its owner, but must help in time of need.
  • A dog has the right to be a dog.

คนประเทศนี้นี่สนุกดีจริงๆครับ

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ Tourist Information ของย่านนี้ครับ ซึ่งจะขึ้นป้ายชื่อว่า Republic of Užupis เลย เราสามารถไปสแตมป์พาสปอตของเราด้วยตราประทับของ Republic of Užupis ในร้านขายของที่ระลึกครับ และถนนรอบๆก็จะเต็มไปด้วยสตรีทอาร์ตและร้านขายของครับ

และเราก็จะลาจาก Republic of Užupis ไปแล้วครับ โดยผมเดินออกตรงด่านตรวจคนเข้าเมืองของย่านนี้พอดีครับ (ห้องเล็กๆทางขวาในรูป) และสะพานที่ผมข้ามกลับจะมีรูปปั้นนางเงือก หรือ Užupis Water Nymph อยู่ และติดๆกันจะเจอกับ Cathedral of the Theotokos ครับ


จริงๆวันนี้ตามแพลนผมไม่มีไปไหนแล้วครับ แต่ดันไปเห็นยอดโบสถ์ไกลลิบๆอยู่ทางใต้ของย่าน Užupis เลยลองเดินไปดูครับ ไหนๆก็มีเวลาเหลืออยู่แล้ว

ซึ่งจุดที่ผมเดินมาถึงก็คือบริเวณ The Bastion of the Vilnius Defensive Wall ซึ่งป้อมนี้ก็เป็นพิพิธภัณฑ์อีกเช่นกัน และเสียค่าเข้า ซึ่งตอนผมไปมันใกล้จะปิดเเล้ว จึงไม่ได้เข้าไปครับ และตรงหน้าป้อมนี่เองผมก็เจอคนมาพรีเวดดิ้งคู่ที่สามครับ


เดินต่อไปจากป้อมอีกนิดนึงผมก็มาถึงโบสถ์ที่มองเห็นไกลๆแล้วครับ ซึ่งเดินมาเกือบกิโลนึงเลย และต้องไต่เนินขึ้นไปด้วยครับ ที่สำคัญที่สุดคือ มันเป็นโบสถ์ร้างครับ!!!

ซึ่งน่าเสียดายเพราะตัวโบสถ์นั้นสวย และอยู่บนเนินสูงทำให้มองเห็นได้จากในตัวเมืองเลย ไม่แน่ใจว่าเค้าอาจจะมีแผนบูรณะในอนาคตก็ได้ครับ



แต่ก็ไม่เสียเที่ยวซะทีเดียว เพราะเส้นทางนี้มาผมมาเจอวิวนี้ครับ.....

ดูเร็วๆเหมือนจะเป็นวิวธรรมดาๆนะครับ แต่ถ้ามองดูดีๆจะเห็นว่า สถานที่สำคัญๆของวีลนีอุสอยู่ในภาพนี้เกือบทั้งหมดครับ ไล่จาก Three Crosses ทางขวาสุด มองต่อไปจะเจอ St. Anne's Church, Gediminas Castle Tower, Cathedral of the Theotokos และ Vilnius Cathedral อยู่ไกลๆครับ

จากจุดนี้ผมก็เดินตรงกลับที่พักครับ เย็นวันนี้ที่ Town Hall Square มีจัดงานคอนเสิร์ตด้วยครับ คึกคักมากๆ มีอาหารพื้นเมืองขายเต็มเลยครับ ซึ่งก็เป็นดงมันฝรั่งเช่นเคยครับ

ในวันพรุ่งนี้ผมจะออกจากเมืองหลวง เดินทางเข้าสู่แนวชายฝั่งของทะเลบอลติกครับ ซึ่งจริงๆแล้วแถวๆวีลนิอุสมีอีกเมืองที่คนนิยมไปเที่ยวกันคือ Kaunas ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศและเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ และการศึกษาของลิทัวเนียครับ



Day 3: Klaipėda 🇱🇹


เป้าหมายในวันนี้คือเมือง Klaipėda เมืองท่าของประเทศลิทัวเนีย แต่เป็นที่ตั้งของ UNESCO World Heritage Site "Curonian Spit (Kuršių nerija)" แนวสันทรายยาว 98 กิโลเมตรขนาดกับชายฝั่งลิทัวเนียยาวไปจนถึงเมือง Kaliningrad Oblast ในประเทศรัสเซีย (ส่วนติ่งที่อยู่ใต้ลิทัวเนีย) โดยบนสันทรายนี้เป็นที่ตั้งของเมืองตากอากาศชื่อดังอย่าง Nida และทะเลทราย Parnidžio kopa ครับ

การจะไปยัง Klaipėda ผมเลือกนั่งรถไฟไปเพราะระยะทางมันไกล จริงๆคือตัดกลางประเทศเลยนั่นแหละครับ แต่โชคดีที่รถไฟลิทัวเนียใหญ่และนั่งสบายมาก มีทั้งห้องน้ำ ปลั๊กไฟ และไวไฟครบครัน

รอบที่ผมไปคือ 6:50 จะไปถึงเมือง Klaipėda เวลา 11 โมงนิดๆ ค่ารถไฟ 17.4 ยูโรครับ

พอมาถึงเมือง Klaipėda ผมก็ตรงไปที่พักก่อนเพื่อเก็บของครับ โดยเมืองนี้สถานีรถไฟ กับ Old Town และเรือเฟอรี่ที่ข้ามไป Curonian Spit จะอยู่ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตรครับ เพราะฉะนั้นพอลงรถมาก็ต้องเดินไกลหน่อย โดยที่พักผมจะอยู่ตรงกลางระหว่างสถานีกับท่าเรือครับ

ที่พักคืนนี้ชื่อว่า Hostel Kubu เป็น Hostel เล็กๆซ่อนอยู่บนถนนเส้นหลักของเมืองครับ ตอนผมเลือกที่นี่เพราะทำเลมันอยู่กลางๆ เดินไม่ไกลจากสถานี และไม่ไกลจากที่เที่ยวครับ แต่เอาเข้าจริงลืมคิดไปว่านั่งรถบัสเข้าเมืองเอาก็ได้ และจุดจอดรถมันใกล้กับ Old Town ทำให้จริงๆแล้วพักแถวนั้นจะสะดวกกว่าครับ แต่ข้อดีของที่พักที่นี่คือถ้าต้องออกแต่เช้า ก็ไม่ต้องกลัวจะไม่มีรถไปสถานีครับ เดินเท้าไปได้เลย

ที่พักคืนนี้จะเป็นห้องรวม 6 เตียงครับ มีหนึ่งห้องน้ำในห้อง และข้างนอกอีกสอง มีครัวและห้องนั่งเล่นให้แต่ไม่ใหญ่มากครับ ราคาคืนละ 12 ยูโร


พอเก็บของเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเที่ยวในเมืองนี้กันเลยครับ แรกสุดผมแวะทานข้างเที่ยงแถวๆที่พักก่อนซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อว่า Samurai Ramen ครับ รสชาดไม่ญี่ปุ่นเท่าไหร่ แต่ก็พอแทนกันไปได้ครับ ค่าอาหาร 10.99 ยูโรครับ


การไปเที่ยวบน Curonian Spit โดยไม่เช่ารถจะวุ่นวายนิดนึง ชีวิตเราจะขึ้นกับตารางเรือเฟอรี่ และรถบัสบนนั้นครับ ซึ่งรอบที่วิ่งไม่ถี่เท่าไหร่ ถ้ามีเวลาเยอะๆแนะนำให้วันนี้เดินเล่นใน Old Town ก่อน แลวันพรุ่งนี้ค่อยไปเที่ยวบนสันทรายเต็มๆวัน แต่ผมไม่อยากใช้เวลาที่นี่นานมากจริงจะเก็บแค่ที่หลักๆ นั่นคือ Smiltynė Beach และ Nida ครับ

ดังนั้นแรกสุดผมเดินไปยังท่าเรือเฟอรี่ที่ใช้ข้ามไปยัง Curonian Spit ก่อนครับ ซึ่งระหว่างทางก็จะผ่านสวน และรูปปั้นเต็มไปหมดครับ (เมืองนี้มีแผนที่ให้ล่ารูปปั้นด้วย)

ตารางเฟอรี่ดูตามลิ้งนี้เลยครับ ผมข้ามไปตัวเปล่าจะใช้ Old Ferry Terminal ที่จะถึงก่อน Old Town ครับ ถ้าเอารถข้ามจะต้องไปใช้ New Ferry Terminal ครับ

วันในสัปดาห์เวลาเรือออกจะไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่หลักๆคือจะออกทุกครึ่งชั่วโมง และใช้เวลา 10 นาทีในการข้ามฝั่งครับ ค่าตั๋ว 1 ยูโรซื้อจากเครื่องตรง Terminal หรือจะเดินเข้าไปซื้อในตึกที่มีร้านอาหารก็ได้ครับ เรือจะพาเราข้ามไปลงในเมืองเล็กๆที่ชื่อว่า Smiltynė

ส่วนรถบัสที่วิ่งบน Curonian Spit ให้ดูตามลิ้งนี้ครับ โดยรถจะออกจากป้ายตรงหน้าท่าเรือเฟอรี่เลย รอบรถความถี่จะไม่เท่ากันครับ ออกทุก 2-3 ชั่วโมง ที่สำคัญคือเราต้องดูเวลากลับด้วย เพราะมันออกทุก 2-3 ชั่วโมงเช่นกัน จาก Smiltynė ไป Nida จะใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงครับ

อย่างตอนผมไป ขาไปมีรถไปถึง Nida เวลา 13:00 และ 15:00 ส่วนขากลับรถออกจาก Nida เวลา 14:00 17:00 และ 18:00 เป็นรอบสุดท้าย จะเห็นว่าถ้าเราไปรอบ 13:00 จะกลับ 14:00 ก็จะมีเวลาเที่ยวแค่ชม.เดียวซึ่งไม่ทันแน่ๆ ถ้ากลับรอบ 17:00 ก็ต้องอยู่นั่น 4 ชม.ซึ่งนานเกินไป

แต่ถ้าไปรอบ 15:00 เราจะกลับตอน 17:00 หรือ 18:00 ก็ได้ซึ่งเวลาจะกำลังพอดีครับ ดังนั้นผมต้องแพลนไปเที่ยวตรงอื่นก่อนแล้วค่อยมาขึ้นรถไป Nida ตอน 15:00 ถ้าไม่ได้แพลนแล้วขึ้นไปรอบ 13:00 ก็จะติดอยู่ที่นั่น 4 ชั่วโมงไม่ได้ไปไหนครับ

แต่ถ้ามาทั้งวัน เราสามารถข้ามไป Smiltynė ตั้งแต่เข้า และแวะเที่ยวเมืองระหว่าง Smiltynė กับ Nida ซึ่งจะมีที่เที่ยวเช่น Amber Bay, Hill of Witches และ Grey dunes ครับ


Smiltynė Beach

เนื่องจากผมข้ามฝั่งมาตอนบ่ายโมงกว่าๆ ผมจึงตรงไปยัง Smiltynė Beach ก่อนครับ ซึ่งเราจะต้องเดินไปอีกฝั่งด้าน Curonian Spit ที่ติดกับทะเลบอลติกครับ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ระหว่างทางก็จะมีป่าสนให้ดูเพลินๆครับ

หาดแห่งนี้นอกจากจะเป็นที่พักผ่อนของชาวเมืองแล้ว ยังเป็นแหล่งที่พบอำพัน หรือ Amber ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของประเทศบอลติกครับ อำพันเหล่านี้จะโดนน้ำพักมาติดอยู่ในดงสาหร่ายตามแนวหาดแห่งนี้ และชาวบ้านก็จะมาเก็บไปทำเป็นเครื่องประดับอีกทีครับ


เที่ยวหาดเสร็จผมก็เดินย้อนกลับมายังป้ายรถครับ ค่ารถไป Nida อยู่ที่รอบละ 3.8 ยูโร จ่ายเป็นเงินสดบนรถครับ รถบัสจะพาเราวิ่งเรียบสันทรายเเห่งนี้ไปเกือบชม. ผ่านเมืองเล็กๆตามรายทางไป เห็นวิวทะเลสลับกับแนวต้นสนเป็นพักๆครับ



Nida & Parnidžio kopa

มาถึงเมือง Nida ผมก็เดินผ่านตัวเมืองตรงไปยัง Parnidžio kopa (Parnidis Dune) ทะเลทรายที่เป็นแลนด์มาร์คเด่นของ Curonian Spit ครับ ระยะทางจากป้ายรถไปยังจุดชมวิวหลักของทะเลทรายแห่งนี้จะประมาณ 2 กิโลเมตร จะผ่านตัวเมือง สวนสาธารณะ และทุ่งหญ้าก่อนจะเข้าเขตทะเลทรายครับ

ทะเลทรายที่นี่จะทำทางเดินไว้ให้อย่างชัดเจน และจะไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวเดินออกนอกเส้นทางจนกว่าจะถึงจุดชมวิวครับ เราสามาระเดินเลาะทะเลทรายไปอีกฝั่งและวนกลับไปยังตัวเมืองได้ แต่เส้นทางจะพาเราวนไปไกลเกินท่ารถ ผมเลยใช้วิธีเดินกลับทางเดิมครับ

ถ้าเคยไปทะเลทรายจริงๆมาแล้วก็จะไม่รู้สึกอลังการกับ Parnidžio kopa เท่าไหร่ครับ อารมณ์คล้ายๆกับ Red Sand Dune ที่เวียดนามเลย



Klaipėda Old Town

กลับออกจากทะเลทราย Parnidžio kopa ก็เป็นเวลา 18:00 น. แล้ว ผมนั่งรถรอบสุดท้ายต่อเรือเฟอรี่กลับเข้า Klaipėda เพื่อไปหาข้าวเย็นทานครับ ซึ่งร้านที่ผมไป เพื่อนชาวลิทัวเนียซึ่งเกิดที่เมืองนี้แนะนำให้ไปทาน เป็น Pub Restaurant ที่ขายอาหารพื้นเมืองทั่วไปชื่อว่า Kavinė Klaipėdos Senamiestis หรือ Baras Senamiestis ครับ

เนื่องจากฟ้ายังไม่มืด ผมจึงเเวะเดินเล่นใน Old Town อีกนิดหน่อย โดยอย่างที่กล่าวในตอนแรก เมืองนี้มีรูปปั้นเยอะมาก สามารถขอแผนที่จากที่พักมาตามเก็บได้ครับ จุดที่ผมไปมีสองจุดหลักๆคือ รูปแกะสลัก "Old Town Post" ซึ่งจะมีแผนที่เมืองยักษณ์อยู่ และลานที่จอดเรือ + ร้านอาหาร Meridian ครับ



Day 4: Šiauliai 🇱🇹


วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในประเทศลิทัวเนียครับ โดยตอนเช้าผมเดินทางจากเมือง Klaipėda ไปยังเมือง Šiauliai ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนลิทัวเนีย-ลัตเวียครับ

ผมใช้รถไฟในการเดินทางอีกครั้งครับ คราวนี้ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น จริงๆขามาผมก็ผ่านเมืองนี้ไปรอบนึงครับ เพราะฉะนั้นเราสามารถสลับแผนเที่ยววันที่ 3 กับ 4 ได้ครับ และรถบัสที่จะพาเราข้ามชายแดนไปยังเมืองริก้า ต้นทางก็จะอยู่ที่ Klaipėda นี่แหละครับ

ตัวเมือง Šiauliai นั้น จริงๆแล้วเป็นเมืองเล็กๆอยู่ใกล้ชายแดนเท่านั้นเอง แต่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่เมืองนี้มากมายเป็นเพราะว่ามันอยู่ใกล้กับ Hill of Crosses (Kryžių kalna) ซึ่งเป็นสถานที่ศักสิทดิ์ของชาวลิทัวเนียที่มีชื่อเสียงระดับโลกเลยทีเดียวครับ

แต่ก่อนที่จะไปยัง Hill of Crosses ผมเดินจากสถานีรถไฟ Šiauliai ไปเก็บของในที่พักคืนนี้ก่อน ซึ่งจะอยู่ตรงกลางระหว่างสถานีรถไฟกับสถานีรถบัสครับ

ที่พักชื่อว่า Sweet Apartments เป็นอพาร์ตเมนต์ที่รีโนเวทจากโรงงานช๊อคโกแลตอายุร้อยกว่าปีครับ ตอนจองก็ไม่รู้ว่าที่พักมีประวัติพรีเมี่ยมขนาดนี้ คือเมืองนี้ที่พักที่อยู่ใกล้ๆสถานีรถบัสและราคาถูกๆมีไม่เยอะ โดยผมได้อพาร์ตเมนต์ที่อยู่ได้ประมาณ 6 คนแบบสบายๆในราคาคืนละ 23.4 ยูโรเท่านั้นครับ แต่ข้อเสียคือหน้าตึกมันรีโนเวทอยู่ สภาพข้างหน้าเลยเหมือนไซต์ก่อสร้างครับ และฝุ่นเยอะนิดนึง แต่ข้างในโล่งกว้าง และ Facilities ครบครันครับ

อีกอย่างนึงที่อาจจะแปลกๆนิดนึงคืออย่างที่เล่าตอนแรก อพาร์ตเมนต์นี้รีโนเวทจากโรงงานช๊อคโกแลตเก่าแก่ ซึ่งผมมารู้ตอนที่อ่าน information card ตอนหัวค่ำ ความที่ต้องนอนคนเดียวในอพาร์ตเมนต์ใหญ่ๆในตึกอายุร้อยปี โดยที่ผนังด้านหนึ่งของอพาร์ตเมนต์เป็นกำแพงอิฐดั้งเดิมของโรงงานที่เจ้าของอนุรักษ์ไว้ มันก็จะหลับยากนิดนึง แต่ก็ผ่านคืนนั้นมาได้โดยไม่มีใครแวะเอาช๊อคโกแลตมาแจกกลางดึกครับ



Hill of Crosses (Kryžių kalna)

การจะไปยัง Hill of Crosses ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากครับ วิธีที่สะดวกสบายที่สุดคือเหมาแท๊กซี่จากตัวเมือง หรือที่ Šiauliai tourist office ไปตรงๆเลย โดยเราสามารถขอให้ Taxi จอดรอเรา หรือจะขอให้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ Hill of Crosses โทรเรียกรถขากลับให้ก็ได้ครับ โดยราคาแบบไป-กลับจะอยู่ที่ประมาณ 22 ยูโรครับ จะให้รถรอก็จะแพงขึ้น อยู่ที่เราจะต่อราคาได้แค่ไหนครับ

ส่วนวิธีที่ยุ่งยากขึ้นมานิดนึงแต่ประหยัดและเหมาะสำหรับคนที่มีเวลา และเดินทางคนเดียวก็คือนั่งรถบัสประจำทางไปครับ โดยรถจะออกจาก Šiauliai Bus Station ไปลงที่ป้าย Domantai ครับ โดยจะมีรถหลายคันหลายเวลาที่ผ่านป้ายนี้ สามารถเชครอบได้ที่นี่ครับ รถจะออกจากชานชาลาหมายเลข 12 (อนาคตอาจจะเปลี่ยนแปลง ยังไงตอนไปถึงเชคป้ายที่หน้าชานชาลา หรือไปถามที่ออฟฟิศก่อนนะครับ) ขากลับก็นั่งย้อนคันเดิมกลับมา ตั๋วเสามารถซื้อตอนขึ้นรถได้เลยครับ ราคา 0.84 ยูโร แต่พอไปถึง Domantai แล้วเราจะต้องเดินเท้าต่อไปยัง Hill of Crosses เป็นระยะทางอีกประมาณ 2 กิโลเมตรครับ

ผมนั้นใช้วิธีที่สองเพราะไม่รีบ และอยากประหยัดครับ ผมขึ้นรถรอบ 13:30 ตอนขึ้นก็โชว์คำว่า "Kryžių kalna" ถามคุณป้าคนขับว่าเพื่อคอนเฟิร์มว่าคันนี้ผ่านแน่นอนครับ (เค้าไม่พูดอังกฤษ)

รถบัสพาวิ่งออกจากสถานีโดยจอดรับส่งคนตามป้ายรายทางก่อนจะออกนอกเมืองไป รถไม่ติดครับ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึง โดยผมใช้วิธีดู Google map ไปด้วยเพื่อเชคว่าเรามาถึงรึยัง แต่ถ้าไม่มีเนตแนะนำว่าพอข้างทางเริ่มเป็นทุ่งกว้างให้ไปยืนใกล้ๆคนขับให้เค้าช่วยบอกว่าป้ายไหนครับ

พอถึงป้ายผมลงมาพร้อมกับนักท่องเที่ยวอีก 4 คนท่ามกลางทุ่งโล่งสุดสายตา 4 ชีวิตนี้ล้วนเป็น Solo-Backakers ทั้งสิ้นครับ โดยมีชาวญี่ปุ่นสองคนที่บัญเอิญมาเจอกันที่ป้ายรถ Vlogger ชาวไต้หวัน และสาวชาวฟินแลนด์ครับ เนื่องจากต้องเดินไปอีก 2 กิโลเมตร ก็เลยถือโอกาสคุยกันไปด้วยว่าไปไงมาไงกัน

สรุปเร็วๆ มีผมกับสาวชาวญี่ปุ่นคนนึงเป็นนักเรียนอังกฤษเหมือนกันครับ และเมืองที่เค้าเรียนอยู่ห่างจากเมืองผมไปแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น (Leeds กับ Bradford) สาวญี่ปุ่นอีกคนเป็นสายเที่ยวครับ ไปมาหลายประเทศมากกกกกก หนุ่มไต้หวันเพิ่งลาออกจากงานเลยจะแบคแพคไป Vlog ไป แพลนว่าจะเที่ยวในยุโรป 4 เดือนและกลับไปเขียนหนังสือครับ ตอนนี้เค้าอยู่ในเดือนที่สองของการเดินทางแล้วและเริ่มมึนๆแล้วว่าไปไหนมาบ้าง ส่วนสาวฟินแลนด์เดินใส่หูฟังหายไปอย่างรวดเร็วครับ


สองกิโลเมตรผ่านไปเราก็เข้าเขตของ Hill of Crosses โดยฝั่งนึงของถนนจะเป็น information center และร้านขายของระลึก ผู้คนที่มาที่นี่นิยมซื้อไม้กางเขนจากร้านแถวนี้ เขียนอวยพรให้บรรดาพ่อแม่พี่น้องและมาปักใน Hill of Crosses เพื่อให้พรเป็นจริงครับ

ประวัติของเนินเขาแห่งนี้ที่เริ่มจากในอดีตในช่วงที่ลิทัวเนียถูกยึดครองโดยอาณาจักรรัสเซีย มีการต่อสู้เพื่ออิสรภาพหลายครั้ง ชาวลิทัวเนียมากมายเสียชีวิตและสูญหายไปในสงคราม บรรดาครอบครัวของพวกเค้าจึงนำไม้กางเขนมาปักไว้ที่ป้อมบนเนินแห่งนี้เพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิต เนินเขาแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นตัวแทนแห่งความหวัง และสันติภาพครับ


แต่ช่วงที่สำคัญที่สุดของ Hill of Crosses อยู่ในช่วงที่ประเทศถูกปกครองโดยสหภาพโซเวียต ชาวลิทัวเนียที่ทุกทรมานจากการถูกกดขี่ต่างพากันนำไม้กางเขนมาปักไว้ที่เนินแห่งนี้มากมายเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ แสดงตนว่ายังคงยึดมั่นในประเทศ และ Christianity ซึ่งเป็นการต่อต้านโซเวียตอย่างสันติ ทางโซเวียตนั้นก็ทำลายเนินนี้หลายต่อหลายครั้งครับ ทั้งรื้อไม้กางเขนออก เรารถตักดินมาไถเนินทิ้ง จนถึงขั้นมีข่าวลือว่าจะสร้างเขื่อนเพื่อให้น้ำท่วมเนินแห่งนี้ด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะทำลายไปสักกี่ครั้งชาวบ้านก็พากันนำไม้กางเขนมาปักใหม่เรื่อยๆ จนโซเวียตล่มสลายไป เนินเขาแห่งนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ " ศรัทธาที่ไม่สั่นคลอน" ของชาวลิทัวเนียทั้งประเทศครับ (the entire nation's unshakable faith)

ปัจจุบันที่นี่มีไม้กางเกนอยู่ประมาณ 200,000 อัน (อิงจากที่ป้ายบอก น่าจะนับไว้นานแล้ว) นะครับ โดย 50,000 อันถูกปักมาตั้งแต่สมัยถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียต ส่วนที่เหลือทยอยมาทีหลังครับ ดูจากที่นักท่องเที่ยวเกือบทุกคนซื้อไม้กางเขนไปปักด้วย คิดว่าตอนนี้น่าเกินสามแสนไปแล้วครับ

สำหรับการเดินเที่ยวเนินแห่งนี้นะครับ เดินตรงขึ้นบันไดไปแล้วก็วนข้างกลับมา เนินไม่ใหญ่เลยครับ ถ้าเดินดูวิวเพลินๆครึ่งชั่วโมงก็พอครับ แต่ถ้าเดินดูแบบละเอียดๆหน่อย ไปซื้อไม้กางเขนมาปักด้วยก็เผื่อเวลาไว้สักชั่วโมงนิดๆครับ แต่ผมต้องรอรอบรถบัสตอน 16:22 จึงต้องอยู่เที่ยวที่นี่ 2 ชั่วโมงครับ(รถมาถึงตอนเกือบบ่ายสอง แต่เดินเท้าเข้ามาประมาณ 15 นาที)


ขากลับเดินออกมารอรถ เจอคุณป้าคนขับคนเดิมเลยครับ นั่งย้อนศรกลับมาที่สถานีรถบัสเหมือนเดิมครับ โดยเพื่อนไต้หวันรีบแยกไปขึ้นรถไปริก้าต่อ และสองสาวชาวญี่ปุ่นจะเดินทางไปวีลนิอุสครับ แต่พวกเค้าไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้าไว้เลยไปได้รถรอบดึกแทน เราก็เลยไปเดินเล่นในเมืองกันครับ ซึ่งเมืองนี้ก็แทบจะไม่มีที่เที่ยวเลย ที่พอจะมีอะไรน่าสนใจคือสวนสาธารณะของเมือง (Vaikų žaidimų aikštelė) ครับ


Vaikų žaidimų aikštelė

สวนสาธารณะนี้มีทะเลสาบ จิ้งจอกยักษ์ (Iron Fox) เรือ ลุงตกปลา ฝูงเป็ด และหงส์ที่ดุมาก เดินไปจากสถานีรถบัสไปเกือบสองกิโลเมตรครับ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ บรรยากาศดี แต่ทางไปค่อนข้างเปลี่ยว ถ้ามาคนเดียวแนะนำให้กลับก่อนจะมืดครับ

เราอยู่แถวๆสวนจนถึงเวลาที่เพื่อนๆรถออก แล้วผมก็กลับที่พักครับ ต่อมาก็ได้รู้ว่าเพื่อนไต้หวันก็ไม่ได้ขึ้นรถเพราะรถเต็มเหมือนกัน แต่เค้าเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าข้างๆสถานีรถบัสแทน ซึ่งห้างนี้เต็มไปด้วยร้านอาหาร และ Super Market ครบครัน ซึ่งผมก็มาฝากท้องไว้ที่นี่แหละครับ ส่วนรอบๆสถานีก็พอมีร้านอาหารบ้างแต่จะเป็น Pub Restaurant ซะส่วนใหญ่ครับ



Part 1 ก็ขอจบลงไว้เท่านี้นะครับ ในส่วนของการเดินทางเข้าสู่ประเทศลัตเวียในวันรุ่งขึ้นติดตามอ่านได้ใน Part 2 ครับ

Mountain Seal

 วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.40 น.

ความคิดเห็น